พลวัตแห่งความชอบธรรม: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่อแนวคิด 'ทำถูก' (Doing Right) และกลยุทธ์จากสโลแกนของพรรคการเมืองไทยในการสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569
1. บทนำ: รุ่งอรุณแห่งการเลือกตั้งและความท้าทายของนิยาม 'ความถูกต้อง' ในบริบทวิกฤตซ้อนทับ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569
ในบริบทอันเปราะบางนี้ พรรคการเมืองต่างๆ ได้ระดมสรรพกำลังทางปัญญาและทรัพยากรทางการสื่อสารเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง ผ่านการสร้างสรรค์ "วาทกรรม" และ "สโลแกน" ที่มิใช่เพียงถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อ แต่เป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ในการกำหนดนิยามของความจริงและความชอบธรรม สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้คือการปรากฏขึ้นของแกนกลางทางความคิดที่หมุนรอบคำว่า "ทำ" (Action/Doing) และ "ถูก" (Right/Correct) ซึ่งสะท้อนถึงความโหยหาของสังคมไทยที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาที่จับต้องได้ ท่ามกลางความสิ้นหวังต่อระบบโครงสร้างเดิม
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เจาะลึกถึงยุทธศาสตร์การสื่อสารทางการเมืองของพรรคการเมืองหลักในการเลือกตั้งปี 2569 โดยใช้กรอบแนวคิดเรื่อง "การทำถูก" (Doing Right) เป็นเลนส์ในการถอดรหัสความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสโลแกน นโยบาย และการวางตำแหน่งทางการตลาด (Political Positioning) เพื่อชี้ให้เห็นว่า แต่ละพรรคการเมืองกำลังนิยามความ "ถูกต้อง" อย่างไร และนิยามเหล่านั้นสะท้อนหรือตอบสนองต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การวิเคราะห์จะครอบคลุมถึงบริบทแวดล้อมทางมหภาค การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการตลาดทางการเมือง และการวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์ (Critical Discourse Analysis) เพื่อให้ได้ภาพสะท้อนที่ครบถ้วนและลุ่มลึกที่สุด
1.1 ภูมิทัศน์วิกฤต: แรงขับเคลื่อนเบื้องหลังวาทกรรม 'ทำ'
เพื่อให้เข้าใจถึงน้ำหนักและความหมายของสโลแกนทางการเมืองในปี 2569 จำเป็นต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมความรู้สึกนึกคิดของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.2 ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาสก่อนหน้า
ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นระเบิดเวลาที่คุกคามเสถียรภาพของสังคมไทย แม้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 86.8 ในช่วงกลางปี 2568 แต่ยังคงเป็นระดับที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค และที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือแนวโน้มของหนี้เสีย (NPLs) ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินเชื่อรถยนต์และบัตรเครดิต
ในมิติของความมั่นคง สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาและการปะทะกันทางทหารในช่วงปลายปี 2568 ได้กลายเป็นตัวแปรแทรกซ้อนที่สำคัญ
1.2 นิยามพหุมิติของแนวคิด 'ทำถูก' (The Polysemy of Doing Right)
จากการสังเคราะห์ข้อมูลสโลแกนและนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ พบว่าแนวคิดเรื่อง "ทำถูก" ในการเลือกตั้ง 2569 ไม่ได้มีความหมายเดียว แต่มีลักษณะเป็นพหุความหมาย (Polysemy) ที่ถูกตีความแตกต่างกันไปตามอุดมการณ์และฐานเสียงของแต่ละพรรค:
ความถูกต้องเชิงปฏิบัติการ (Pragmatic Rightness): นิยามนี้เน้นที่ "ผลลัพธ์" และ "ประสิทธิภาพ" (Effectiveness) เป็นหลัก "การทำถูก" ในความหมายนี้คือการทำสิ่งที่แก้ปัญหาได้จริง รวดเร็ว และตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้าของประชาชน โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับกรอบทฤษฎีหรืออุดมการณ์ทางประชาธิปไตยที่เคร่งครัด ตัวแทนที่ชัดเจนของแนวคิดนี้คือพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย
ความถูกต้องเชิงหลักการ (Principled/Moral Rightness): นิยามนี้เน้นที่ "ความชอบธรรม" ทางจริยธรรม กฎหมาย และโครงสร้างอำนาจ "การทำถูก" คือการสร้างกติกาที่เป็นธรรม การรื้อถอนโครงสร้างที่ไม่เสมอภาค และการยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยสากล ตัวแทนของแนวคิดนี้คือพรรคประชาชนและพรรคเป็นธรรม
ความถูกต้องเชิงจารีต (Traditional Rightness): แม้จะไม่ได้ถูกเน้นย้ำมากนักในข้อมูลชุดนี้ แต่ยังคงแฝงอยู่ในวาทกรรมของพรรคอนุรักษนิยมที่เน้นความสงบเรียบร้อย ซึ่งมักเชื่อมโยงกับแนวคิด "ทำถูก" ในแง่ของการรักษาขนบธรรมเนียมและความต่อเนื่องของรัฐไทย
การปะทะกันระหว่างนิยามความถูกต้องเหล่านี้จะเป็นแกนกลางของการต่อสู้ทางการเมืองในปี 2569 โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง "ปากท้องที่ต้องกินต้องใช้" กับ "โครงสร้างที่ต้องแก้ไข" ท่ามกลางความไม่แน่นอนของอนาคต
2. กรอบทฤษฎี: การตลาดทางการเมืองและวาทกรรมอำนาจ
เพื่อให้การวิเคราะห์มีความลุ่มลึกและเป็นระบบ รายงานฉบับนี้จะประยุกต์ใช้กรอบทฤษฎีจากสองสาขาวิชาหลัก ได้แก่ การตลาดทางการเมือง (Political Marketing) และการวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์ (Critical Discourse Analysis)
2.1 วิวัฒนาการสู่พรรคการเมืองแบบมุ่งเน้นตลาด (Market-Oriented Party)
ทฤษฎีการตลาดทางการเมือง โดยเฉพาะโมเดลของ Lees-Marshment (2001) จำแนกพรรคการเมืองออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ พรรคที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ (Product-Oriented), พรรคที่มุ่งเน้นการขาย (Sales-Oriented), และพรรคที่มุ่งเน้นตลาด (Market-Oriented)
พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยแสดงลักษณะของ Market-Oriented Party อย่างเด่นชัด ผ่านการใช้นโยบายที่ตอบสนองต่อ "ความเจ็บปวด" (Pain Points) ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง เช่น ปัญหาหนี้สินและค่าครองชีพ
ในทางกลับกัน พรรคประชาชนยังคงรักษากลิ่นอายของ Product-Oriented Party ที่มีจุดยืนทางอุดมการณ์แข็งแกร่ง (เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ, การปฏิรูป) แต่พยายามใช้กลยุทธ์การสื่อสารสมัยใหม่ (Sales Techniques) เพื่อ "ขาย" อุดมการณ์เหล่านั้นให้กับกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กว้างขวางขึ้น ผ่านแคมเปญอย่าง "Hackable Bangkok"
2.2 วาทกรรมเชิงวิพากษ์และการสร้างความเป็นผู้กระทำ (Discursive Agency)
การวิเคราะห์วาทกรรมเชิงวิพากษ์ (CDA) ตามแนวทางของ Fairclough (2001) และ van Dijk (1997) ช่วยให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "ภาษา" กับ "อำนาจ" ในสโลแกนทางการเมือง
ในสภาวะที่ประชาชนรู้สึกไร้อำนาจ (Powerless) ต่อหน้าปัญหาเศรษฐกิจและภัยคุกคามต่างๆ การใช้ภาษาที่เน้นการกระทำเป็นการสื่อสารว่าพรรคการเมืองนั้นๆ มี "อำนาจศักดิ์สิทธิ์" (Performative Power) ที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ การช่วงชิงคำว่า "ทำ" จึงเป็นการช่วงชิงสถานะของการเป็น "ผู้กอบกู้" (Savior) ในจิตวิทยาทางการเมือง นอกจากนี้ การใช้คำคุณศัพท์ขยายความ เช่น "ทำถูก", "ทำจริง", "ทำเป็น" ยังทำหน้าที่เป็น "Modalities" ที่บ่งบอกระดับของความมั่นใจและความน่าเชื่อถือ (Epistemic Authority) เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
3. พรรคภูมิใจไทย: ยุทธศาสตร์ 'พูดแล้วทำ Plus' และปฏิบัติการนิยมแบบเบ็ดเสร็จ
พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง 2569 ด้วยความมั่นใจในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่าน การประกาศตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจนและการเปิดตัวนโยบายชุดใหญ่ สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้น "ความต่อเนื่อง" (Continuity) และ "ผลสัมฤทธิ์" (Results)
3.1 ถอดรหัสสโลแกน "พูดแล้วทำ Plus"
สโลแกน "พูดแล้วทำ Plus"
ส่วนเพิ่มทางมูลค่า (Value Addition): สื่อถึงว่าพรรคจะทำ "มากกว่า" สิ่งที่เคยสัญญาไว้ หรือทำได้ดีกว่าเดิม เป็นการสร้างความคาดหวังเชิงบวก (Positive Expectancy)
การขยายผล (Expansion): สื่อถึงการขยายขอบเขตความสำเร็จจากนโยบายเฉพาะจุด (เช่น กัญชา, คมนาคม) ไปสู่การแก้ปัญหาระดับมหภาคที่ครอบคลุมทุกมิติ
ความทันสมัย (Modernity): การใช้คำภาษาอังกฤษทับศัพท์ "Plus" ช่วยปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่หรือคนเมืองได้มากขึ้น ลดทอนภาพลักษณ์ความเป็นพรรคภูธรหรือพรรคบ้านใหญ่แบบดั้งเดิม
3.2 นโยบาย "4 เดือน 4 ภารกิจหลัก แก้ 4 ภัย"
หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ "ทำถูก" ของพรรคภูมิใจไทย คือชุดนโยบายที่ถูกจัดหมวดหมู่เป็น "4 ภัย" ซึ่งประกอบด้วย ภัยเศรษฐกิจ, ภัยความมั่นคง, ภัยสังคม, และภัยธรรมชาติ
ตารางที่ 1: วิเคราะห์เชิงลึกชุดนโยบาย "4 ภัย" ของพรรคภูมิใจไทย
| ประเภทภัย | นโยบายหลัก (Key Policies) | การวิเคราะห์กลยุทธ์ 'ทำถูก' (Strategic Analysis) | ผลกระทบที่คาดหวัง |
| ภัยเศรษฐกิจ | - คนละครึ่งพลัส (Co-payment Plus) - พักหนี้ 1 แสนบาท (Debt Moratorium) - บัตร 30 บาทพลัส | ประชานิยมแบบอัพเกรด (Upgraded Populism): เป็นการนำนโยบายที่ประชาชนคุ้นเคยและชื่นชอบมาปัดฝุ่นใหม่ การใช้ชื่อเดิมเติมคำว่า "พลัส" ช่วยลดต้นทุนในการสื่อสาร (Communication Cost) และการเรียนรู้ของประชาชน เน้นการแก้ปัญหาปากท้องทันทีซึ่งเป็น Pain Point ใหญ่ที่สุด | ดึงดูดฐานเสียงระดับล่างและชนชั้นกลางที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ, กระตุ้นการบริโภคระยะสั้น |
| ภัยความมั่นคง | - สนับสนุนกองทัพปกป้องอธิปไตย - การทูตเชิงรุก - เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดน | ชาตินิยมเชิงปฏิบัติ (Pragmatic Nationalism): ใช้สถานการณ์ขัดแย้งชายแดนสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็ง (Strongman) ตอบโจทย์กลุ่มอนุรักษนิยมที่กังวลเรื่องความมั่นคง แต่เน้นการเยียวยาควบคู่ไปด้วยเพื่อลดแรงต้าน | สร้างความชอบธรรมในการใช้งบความมั่นคง, ดึงคะแนนจากฝ่ายขวา |
| ภัยสังคม | - ปราบปรามสแกมเมอร์ (Anti-Scammer) - ยาเสพติดเป็นภัยความมั่นคง | กฎหมายและความสงบเรียบร้อย (Law and Order): จับประเด็นภัยคุกคามสมัยใหม่ (Digital Threat) ที่กระทบคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะชนชั้นกลางในเมือง แสดงถึงความทันสมัยในการมองปัญหา | สร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัย, ดึงดูดคนเมือง |
| ภัยธรรมชาติ | - โซลาร์ฟาร์มชุมชน - Net Zero Goals | สีเขียวแบบกินได้ (Edible Green): แปลงนโยบายสิ่งแวดล้อมให้เป็นเรื่องปากท้อง (ลดค่าไฟ/ขายไฟได้) ทำให้เรื่องไกลตัวกลายเป็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้ | สร้างภาพลักษณ์สากล, ตอบโจทย์เทรนด์โลกและคนรุ่นใหม่ |
3.3 การสร้างความชอบธรรมผ่าน "การกระทำ"
พรรคภูมิใจไทยนิยาม "การทำถูก" ว่าคือ "การลงมือทำ" (Execution) มากกว่า "การตั้งคำถาม" (Questioning) ความชอบธรรมของพรรคไม่ได้มาจากการมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ แต่มาจากการเป็น "ผู้บริหารจัดการ" (Manager) ที่มีประสิทธิภาพ นายอนุทิน ชาญวีรกูล พยายามสร้างแบรนด์บุคคล (Personal Brand) ในฐานะผู้นำที่ "กล้าตัดสินใจ" และ "พร้อมทำงานกับทุกฝ่าย" ซึ่งเป็นจุดขายที่สำคัญในสภาวะที่การเมืองต้องการทางออกที่ประนีประนอม
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนสำคัญของกลยุทธ์นี้คือข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและความยั่งยืนทางการคลัง นโยบายประชานิยมขนานใหญ่อาจถูกโจมตีจากนักวิชาการและฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น "การทำผิด" ในระยะยาว แม้จะ "ทำถูกใจ" ในระยะสั้น
4. พรรคเพื่อไทย: ยุทธศาสตร์ 'ยกเครื่องประเทศไทย' และการเดิมพันครั้งสุดท้ายของแบรนด์ชินวัตร
พรรคเพื่อไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้ง 2569 ในสถานะที่แตกต่างจากอดีต จากเดิมที่เป็นผู้กำหนดเกม (Game Setter) กลับกลายเป็นผู้ที่ต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้ศรัทธา (Reputation Recovery) ความล่าช้าและอุปสรรคของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
4.1 ถอดรหัสสโลแกน "ยกเครื่องประเทศไทย" และ "เพื่อไทยทำได้"
สโลแกน "ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้" (Overhaul Thailand, Pheu Thai Can Do It)
ในขณะเดียวกัน การนำสโลแกน "คิดใหญ่ ทำเป็น" กลับมาใช้ควบคู่กัน เป็นการตอกย้ำ (Reaffirmation) ถึงดีเอ็นเอของพรรคที่เชี่ยวชาญเรื่องเศรษฐกิจ เพื่อเรียกความมั่นใจจากฐานเสียงเดิมที่อาจเริ่มลังเล
4.2 ยุทธศาสตร์แคนดิเดตนายกฯ 3 คน: ผสมผสานเพื่อความอยู่รอด
การเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน ได้แก่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์: ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ในพรรคที่มีประสบการณ์บริหาร (จากบทบาทในกระทรวงการคลัง) เชื่อมโยงกับนโยบายแก้หนี้และสวัสดิการ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ: ตัวแทนของกลุ่มทุนและบารมีทางการเมือง (บ้านใหญ่) เชื่อมโยงกับนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน (รถไฟฟ้า 20 บาท) และความสัมพันธ์กับภาคธุรกิจ
ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์: เป็น "ไพ่ใบใหม่" (Wildcard) ที่สำคัญที่สุด การดึงนักวิชาการด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์และลูกชายของ "เจ๊แดง" (เยาวภา วงศ์สวัสดิ์) มาเป็นแคนดิเดต สะท้อนถึงความต้องการผสาน "สายเลือดชินวัตร" เข้ากับ "ภาพลักษณ์เทคโนแครต" (Technocrat Image) เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจฐานความรู้และเทคโนโลยี (New S-Curve)
12 20
4.3 นโยบายเศรษฐกิจ: จากแจกเงินสู่การสร้างโอกาส
เพื่อไทยพยายามปรับนิยาม "ทำถูก" จากการแจกเงิน (Helicopter Money) มาเป็นการ "สร้างรายได้" (Income Generation) และ "ลดรายจ่าย"
นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย: เป็นสัญลักษณ์ของความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสาธารณะ และการลดค่าครองชีพคนเมือง
นโยบายหวยเกษียณ: นวัตกรรมการออมเงินที่จูงใจด้วยนิสัยชอบเสี่ยงโชคของคนไทย เป็นการแก้ปัญหาสังคมสูงวัยแบบ "คิดนอกกรอบ" (Lateral Thinking)
12 การแก้หนี้และการเพิ่ม GDP: เน้นการปรับโครงสร้างหนี้และการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านเทคโนโลยี
บทวิเคราะห์ความท้าทาย: "การทำถูก" ของเพื่อไทยในปี 2569 คือการพิสูจน์ว่าพรรคยังมีความสามารถ (Competency) ในการบริหารเศรษฐกิจเหนือกว่าคู่แข่ง ความเสี่ยงสำคัญคือ หากนโยบายเหล่านี้ยังคงติดขัดในทางปฏิบัติหรือถูกมองว่าเป็นเพียง "เหล้าเก่าในขวดใหม่" ความน่าเชื่อถือของแบรนด์เพื่อไทยอาจถึงจุดวิกฤตที่ยากจะกู้คืน
5. พรรคประชาชน: ยุทธศาสตร์ 'เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ' และการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
พรรคประชาชน (People's Party) ซึ่งสืบทอดฐานเสียงและอุดมการณ์จากพรรคก้าวไกล เลือกใช้เส้นทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพรรคร่วมรัฐบาล แทนที่จะแข่งขันในเกม "ประชานิยม" พรรคเลือกที่จะแข่งขันในเกม "อุดมการณ์" (Ideological Warfare) โดยมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนแปลงรากฐานของสังคมไทย
5.1 ถอดรหัสสโลแกน "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ"
การนำคำขวัญของการปฏิวัติฝรั่งเศส (Liberté, Égalité, Fraternité) มาใช้เป็นอุดมการณ์หลักและสโลแกนหาเสียง
เสรีภาพ (Liberty): สื่อถึงสิทธิในการแสดงออก การปลดล็อกพันธนาการทางกฎหมาย และการต่อต้านอำนาจนิยม
เสมอภาค (Equality): สื่อถึงการทลายทุนผูกขาด การกระจายอำนาจ และความเท่าเทียมทางโอกาสทางเศรษฐกิจ
ภราดรภาพ (Fraternity): สื่อถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนในการต่อสู้กับระบบที่ไม่เป็นธรรม
สโลแกนนี้ไม่ได้ขาย "นโยบาย" รายตัว แต่ขาย "ความฝัน" (Dream) ถึงสังคมใหม่ ซึ่งดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางที่มีแนวคิดก้าวหน้า (Progressives) ที่มองว่าปัญหาของประเทศไม่สามารถแก้ได้ด้วยการปะผุ แต่ต้องรื้อสร้างใหม่
5.2 แคมเปญ "2569 เปิด เปลี่ยน กรุง" และ Hackable Bangkok
แคมเปญ "2569 เปิด เปลี่ยน กรุง" (Hackable Bangkok)
ความโปร่งใส (Transparency): เปิดเผยข้อมูลรัฐ (Open Data) ให้ประชาชนตรวจสอบได้
การมีส่วนร่วม (Participation): เปิดช่องทางให้ประชาชนร่วมคิดร่วมแก้ปัญหา (Co-creation) ไม่ใช่แค่รอรับบริการจากรัฐ
เทคโนโลยี (Technology): การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ
นี่คือนิยาม "ทำถูก" ของพรรคประชาชน คือการทำให้ระบบ "เปิด" และ "โปร่งใส" ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การแก้ปัญหาคอร์รัปชันและประสิทธิภาพในระยะยาว
5.3 วิกฤตและความจริงใจ: กรณี "You know me little go"
กรณีดราม่าวลี "You know me little go" ที่พรรคประชาชนออกมาขอโทษสังคม
6. พรรคทางเลือกและตัวแปรแทรกซ้อน: การค้นหาที่ยืนในสนามรบ
6.1 พรรคประชาธิปัตย์: "ประเทศไทยไม่ทน"
พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามกลับมาทวงคืนพื้นที่ด้วยแคมเปญ "ประเทศไทยไม่ทน"
6.2 พรรคเป็นธรรมและพรรคโอกาสใหม่
พรรคเป็นธรรม: ชูสโลแกน "ประชาธิปไตยที่เป็นธรรม"
24 เน้นจุดยืนเรื่องสันติภาพปาตานีและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็น Niche Market ที่ชัดเจน การ "ทำถูก" ของพรรคคือการคืนความเป็นธรรมให้กับผู้ถูกกดขี่พรรคโอกาสใหม่: ชูสโลแกน "วิกฤตเปลี่ยนไทย โอกาสใหม่เปลี่ยนอนาคต"
25 วางตำแหน่งเป็นพรรคบริหาร (Technocratic Party) ที่มุ่งแก้ปัญหาด้วยความรู้ความสามารถ พยายามเป็นทางเลือกที่สามที่ไม่ยึดติดกับขั้วขัดแย้งเดิม
7. บทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ: สงครามวาทกรรมและการช่วงชิงความหมายของคำว่า 'ทำ'
การเลือกตั้ง 2569 เป็นสนามประลองที่คำว่า "ทำ" ถูกใช้เป็นอาวุธหลักในการสื่อสาร ตารางต่อไปนี้สรุปเปรียบเทียบยุทธศาสตร์ของพรรคหลัก:
ตารางที่ 2: เปรียบเทียบยุทธศาสตร์สโลแกนและนิยามความ 'ทำถูก'
| มิติการเปรียบเทียบ | พรรคภูมิใจไทย | พรรคเพื่อไทย | พรรคประชาชน | พรรคประชาธิปัตย์ |
| สโลแกนหลัก | พูดแล้วทำ Plus | ยกเครื่องประเทศไทย / เพื่อไทยทำได้ | เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ | ประเทศไทยไม่ทน / ทำได้ไว ทำได้จริง |
| นิยาม 'ทำถูก' | Effectiveness: ทำแล้วเห็นผลทันที, แก้ปัญหาเฉพาะหน้า | Competence: ทำด้วยความเชี่ยวชาญ, สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ | Principle: ทำตามหลักการ, รื้อโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม | Integrity: ทำด้วยความซื่อสัตย์, ตรวจสอบถ่วงดุล |
| กลุ่มเป้าหมาย | รากหญ้า, ข้าราชการ, คนต่างจังหวัด | ชนชั้นกลาง, ภาคธุรกิจ, คนเสื้อแดง | คนรุ่นใหม่, ปัญญาชน, คนเมือง | อนุรักษนิยมในเมือง, ภาคใต้ |
| จุดเน้นนโยบาย | ประชานิยม + สาธารณสุข + ความมั่นคง | โครงสร้างพื้นฐาน + เศรษฐกิจดิจิทัล + รายได้ | ปฏิรูปกองทัพ/ + กระจายอำนาจ + สิทธิเสรีภาพ | การศึกษา + ประกันรายได้ + ปราบโกง |
| จุดแข็ง (Strengths) | เครือข่ายพื้นที่แน่น, ทรัพยากรพร้อม, ภาพลักษณ์ผู้ปฏิบัติ | ทีมเศรษฐกิจเข้มแข็ง, แบรนด์เป็นที่รู้จัก | พลังโซเชียลมีเดีย, ความชัดเจนทางอุดมการณ์ | ฐานเสียงจัดตั้งเดิม, ภาพลักษณ์ผู้นำ (อภิสิทธิ์) |
| จุดอ่อน (Weaknesses) | ข้อครหากัญชา/ผลประโยชน์, ขาดฐานเสียงคนรุ่นใหม่ | ความเชื่อมั่นลดลงจากดิจิทัลวอลเล็ต, ความไม่ชัดเจนทางจุดยืน | ไม่มีเครือข่ายหัวคะแนน | แบรนด์เสื่อมความนิยม, ถูกมองว่าล้าหลัง |
7.1 ความย้อนแย้งของการ "ทำถูก" (The Paradox of Doing Right)
สิ่งที่น่าสังเกตคือ พรรคการเมืองส่วนใหญ่ (ยกเว้นพรรคประชาชน) เลือกที่จะนิยาม "ทำถูก" ในความหมายของการ "แจก" หรือ "อุดหนุน" (Subsidy) ซึ่งแม้จะ "ถูกใจ" ประชาชนในระยะสั้น แต่มีความเสี่ยงที่จะ "ผิดหลักการ" ทางเศรษฐศาสตร์และการคลังในระยะยาว (Fiscal Discipline)
7.2 บทบาทของเทคโนโลยีในนิยามความถูกต้อง
การเข้ามาของกลุ่มคนสายเทค (Tech Professionals) ลงสมัครรับเลือกตั้ง
8. บทสรุปและแนวโน้มอนาคต: การปะทะกันของสองขั้วความคิด
การเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของสังคมไทยในการเลือกระหว่างสองเส้นทางของความ "ถูกต้อง":
เส้นทางปฏิบัตินิยม (Pragmatic Path): เลือกพรรคที่สัญญาว่าจะ "ทำ" ให้ชีวิตดีขึ้นเดี๋ยวนี้ (Instant Gratification) ผ่านนโยบายช่วยเหลือต่างๆ โดยยอมประนีประนอมกับโครงสร้างอำนาจเดิม เส้นทางนี้มีพรรคภูมิใจไทยและเพื่อไทยเป็นแกนนำ
เส้นทางอุดมการณ์ (Ideological Path): เลือกพรรคที่สัญญาว่าจะ "รื้อ" และ "สร้าง" ระบบใหม่ที่เป็นธรรม (Structural Reform) แม้จะต้องใช้เวลาและเผชิญความขัดแย้ง เส้นทางนี้มีพรรคประชาชนเป็นแกนนำ
ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่รุมเร้า มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มใหญ่จะให้ความสำคัญกับ "ปากท้อง" และ "ความอยู่รอด" เหนือ "อุดมการณ์" ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์ต่อพรรคที่มีทรัพยากรและเครือข่ายที่สามารถส่งมอบผลประโยชน์ได้ทันที อย่างไรก็ตาม พลังของคนรุ่นใหม่และความเบื่อหน่ายต่อการเมืองแบบเดิมก็อาจสร้างจุดเปลี่ยน (Turning Point) ที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน
ท้ายที่สุด ชัยชนะในการเลือกตั้ง 2569 อาจไม่ได้ตกเป็นของพรรคที่ "ทำถูก" ที่สุดในเชิงอุดมการณ์ หรือพรรคที่ "ทำเก่ง" ที่สุดในเชิงบริหาร แต่จะเป็นของพรรคที่สามารถ "ทำให้ประชาชนเชื่อ" (Persuasion) ว่าสิ่งที่พรรคทำนั้น คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับชีวิตของพวกเขาในขณะนั้น ความชอบธรรมทางการเมืองในปี 2569 จึงเป็นสิ่งที่ลื่นไหลและต้องถูกสร้างขึ้นใหม่ตลอดเวลาผ่านวาทกรรมและการกระทำในสนามเลือกตั้งที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น