วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568

แนวคิดใช้กำลังทหารเพื่อสันติภาพ บนสนามชายแดนไทย-กัมพูชา



วิเคราะห์แนวคิดการใช้กำลังทหารเพื่อสันติภาพ: กรณีศึกษาปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชาปี 2568


Analysis of the Concept of Military Force for Peace: A Case Study of the Thai-Cambodian Border Conflict in 2025

1. บทนำ (Introduction)

ในปีพุทธศักราช 2568 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญกับบททดสอบความมั่นคงครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น เมื่อข้อพิพาทเรื่องพรมแดนที่เรื้อรังมายาวนานระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งทางทหารเต็มรูปแบบ (Full-scale Military Confrontation) ซึ่งมีความรุนแรงและซับซ้อนเกินกว่ากรอบของการปะทะตามแนวชายแดนในอดีต เหตุการณ์นี้มิใช่เพียงการยิงตอบโต้กันด้วยอาวุธประจำกายหรือปืนใหญ่ในวงจำกัดดังเช่นวิกฤตการณ์ปี 2551-2554 แต่เป็นการยกระดับไปสู่การใช้กำลังทางอากาศ (Air Power) การรุกข้ามพรมแดนด้วยกำลังทหารราบยานเกราะ และการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ในระดับยุทธการ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ถูกจับตามองจากนักวิชาการด้านความมั่นคงทั่วโลก นั่นคือแนวคิด "การใช้กำลังทหารเพื่อสันติภาพ" (Military Force for Peace) หรือในบริบทของนโยบายต่างประเทศคือ "สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง" (Peace through Strength)

รายงานการวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปรากฏการณ์ความขัดแย้งในปี 2568 อย่างละเอียดรอบด้าน โดยมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบสมมติฐานทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายไทยที่เชื่อว่า การแสดงออกถึงแสนยานุภาพที่เหนือกว่าและการใช้กำลังอย่างเด็ดขาดเพื่อ "ทำให้ไร้ความสามารถ" (Disable) ต่อภัยคุกคาม คือหนทางเดียวที่จะนำมาซึ่งเสถียรภาพในระยะยาว 1 ท่ามกลางบริบททางการเมืองภายในที่เปราะบางของทั้งสองประเทศ ความล้มเหลวของกลไกการทูตระดับภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) และการแทรกแซงของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้นโยบาย "การทูตภาษี" (Tariff Diplomacy) เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ 2

ขอบเขตของการศึกษานี้จะครอบคลุมตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการปะทะในเดือนพฤษภาคม 2568 การยกระดับความรุนแรงในเดือนกรกฎาคมภายใต้ "ปฏิบัติการยุทธบดินทร์" (Operation Yuttha Bodin) การเจรจาหยุดยิงที่เปราะบาง และการกลับมาปะทุของสงครามในเดือนธันวาคมภายใต้ "ปฏิบัติการศตวรรษ" (Operation Sattawat) 4 นอกจากนี้ จะทำการวิเคราะห์ถึงผลกระทบในเชิงลึกต่อโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ และวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่าครึ่งล้านคน 5 เพื่อตอบคำถามสำคัญที่ว่า การใช้กำลังทหารเพื่อบังคับสันติภาพ (Peace Enforcement) ในศตวรรษที่ 21 นั้น เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิผลจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการสร้าง "กับดักความมั่นคง" (Security Dilemma) ที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม


2. กรอบแนวคิดและทฤษฎี: พลวัตของอำนาจและการป้องปราม (Theoretical Framework)

การทำความเข้าใจพฤติกรรมของรัฐและการตัดสินใจทางทหารในวิกฤตการณ์ปี 2568 จำเป็นต้องอาศัยกรอบทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์ทหารที่หลากหลาย เพื่ออธิบายแรงจูงใจ (Motivations) และพลวัต (Dynamics) ของความขัดแย้ง

2.1 สัจนิยมและแนวคิด "สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง" (Realism and Peace through Strength)

รากฐานทางความคิดที่ขับเคลื่อนนโยบายความมั่นคงของไทยในปี 2568 สอดคล้องอย่างยิ่งกับสำนักคิดสัจนิยม (Realism) ซึ่งมองว่าระบบระหว่างประเทศคือสภาวะอนาธิปไตย (Anarchy) ที่ไม่มีอำนาจกลางคอยควบคุม รัฐจึงต้องพึ่งพาตนเอง (Self-help) เพื่อความอยู่รอด 6 ในมุมมองนี้ "สันติภาพ" มิใช่สภาวะตามธรรมชาติ แต่เป็นผลลัพธ์ของดุลอำนาจ (Balance of Power) หรือการมีอำนาจนำ (Hegemony) ที่เข้มแข็งพอที่จะยับยั้งผู้ท้าชิงได้

แนวคิด "สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง" (Peace through Strength) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากปรัชญาโรมัน Si vis pacem, para bellum (หากปรารถนาสันติ จงเตรียมรบ) และถูกนำมาใช้อย่างโดดเด่นในนโยบายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 7 ได้ถูกนำมาปรับใช้โดยกองทัพไทย รัฐบาลไทยภายใต้นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล และผู้นำทางทหาร เชื่อว่าการเจรจาทางการทูตที่ปราศจากแรงกดดันทางทหารนั้นไร้ผล (Ineffectual) และอาจถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ 9 ดังนั้น การแสดงออกถึงขีดความสามารถทางทหารที่เหนือกว่าและความเต็มใจที่จะใช้กำลังนั้น (Will to use force) จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบังคับให้คู่ขัดแย้งยุติพฤติกรรมคุกคามและยอมรับสถานะเดิม (Status Quo) หรือยอมจำนนต่อข้อเรียกร้อง

2.2 ทฤษฎีการป้องปราม (Deterrence Theory)

ทฤษฎีการป้องปรามเป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ทางทหารในครั้งนี้ โดยแบ่งออกเป็นมิติต่างๆ ดังนี้ 10:

  1. การป้องปรามโดยการปฏิเสธ (Deterrence by Denial): คือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าการโจมตีทางทหารจะไม่ประสบผลสำเร็จ หรือมีโอกาสชนะน้อยมาก รัฐจะลงทุนในการสร้างป้อมค่าย ระบบป้องกันภัยทางอากาศ หรือการวางกำลังทหารที่เข้มแข็งตามแนวชายแดน เพื่อ "ปฏิเสธ" ไม่ให้ข้าศึกบรรลุวัตถุประสงค์ ในกรณีนี้ กองทัพไทยพยายามแสดงให้เห็นว่าการรุกของกัมพูชาจะถูกต้านทานได้อย่างสมบูรณ์

  2. การป้องปรามโดยการลงโทษ (Deterrence by Punishment): คือการขู่ว่าจะตอบโต้ด้วยความรุนแรงที่สร้างความเสียหายเกินกว่าผลประโยชน์ที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้รับจากการโจมตี ยุทธศาสตร์นี้เห็นได้ชัดเจนจากการที่กองทัพอากาศไทยใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 โจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชา เช่น ศูนย์บัญชาการ คลังอาวุธ และโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (คาสิโนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฐานปฏิบัติการ) 12 เพื่อสร้าง "ความเจ็บปวด" (Pain) ให้กับระบอบการปกครองของกัมพูชาจนต้องยุติการกระทำ

  3. การป้องปรามทั่วไป vs. การป้องปรามฉุกเฉิน (General vs. Immediate Deterrence): การป้องปรามทั่วไปคือภาวะปกติของการรักษาดุลอำนาจเพื่อไม่ให้เกิดวิกฤต แต่เมื่อวิกฤตเริ่มก่อตัวขึ้น (เช่น การปะทะในเดือนพฤษภาคม 2568) สถานการณ์จะเปลี่ยนไปสู่ "การป้องปรามฉุกเฉิน" ซึ่งฝ่ายหนึ่งพยายามหยุดยั้งอีกฝ่ายที่กำลังจะลงมือโจมตี ความล้มเหลวของการป้องปรามทั่วไปในปี 2568 นำไปสู่ความจำเป็นในการใช้มาตรการทางทหารที่รุนแรงขึ้นเพื่อฟื้นฟูการป้องปราม 13

2.3 การบังคับให้กระทำ (Compellence)

นอกเหนือจากการป้องปราม (Deterrence) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อ ห้าม ไม่ให้เกิดการกระทำ พฤติกรรมของกองทัพไทยในปี 2568 ยังเข้าข่าย "การบังคับให้กระทำ" (Compellence) 11 ซึ่งหมายถึงการใช้กำลังหรือการขู่ว่าจะใช้กำลังเพื่อบังคับให้ฝ่ายตรงข้าม หยุด การกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ (เช่น การยิงปืนใหญ่ หรือการรุกล้ำ) หรือ ทำ ในสิ่งที่ฝ่ายเราต้องการ (เช่น การถอนทหาร การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง) ปฏิบัติการ "ยุทธบดินทร์" และ "ศตวรรษ" มีลักษณะของการบังคับให้กัมพูชาถอยกลับไปสู่เส้นแบ่งเขตแดนเดิมและยอมรับเงื่อนไขของไทย

2.4 ทฤษฎีสงครามที่เป็นธรรม (Just War Theory)

ในมิติของจริยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ การใช้กำลังทหารต้องอยู่ภายใต้กรอบความชอบธรรม (Legitimacy) สองประการ 14:

  • Jus ad bellum (ความชอบธรรมในการก่อสงคราม): ไทยอ้างสิทธิในการป้องกันตนเอง (Self-defense) ตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 โดยระบุว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนด้วยอาวุธหนักและการวางกับระเบิดในดินแดนไทย 15 การอ้างเหตุผลนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความชอบธรรมในเวทีโลก

  • Jus in bello (ความชอบธรรมระหว่างรบ): ประเด็นนี้ถูกท้าทายอย่างมากในความขัดแย้งปี 2568 เนื่องจากทั้งสองฝ่ายถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธหนักในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่หนาแน่น การโจมตีโรงพยาบาล โรงเรียน และพื้นที่มรดกโลก (ปราสาทพระวิหาร) รวมถึงการใช้ระเบิดลูกปราย (Cluster Munitions) ซึ่งขัดต่อหลักการความได้สัดส่วน (Proportionality) และการจำแนกเป้าหมาย (Distinction) 4


3. บริบทความขัดแย้ง: มรดกอดีต ปมขัดแย้งใหม่ และการเมืองภายใน (Contextual Analysis)

ความขัดแย้งในปี 2568 มิได้เกิดขึ้นจากสุญญากาศ แต่เป็นผลลัพธ์ของการปะทุซ้ำ (Re-ignition) ของรอยร้าวทางประวัติศาสตร์ที่ฝังรากลึก ผสมผสานกับปัจจัยกระตุ้นใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองภายในและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจสีเทา

3.1 มรดกจากยุคอาณานิคม: ปัญหาเขตแดนและปราสาทพระวิหาร

รากเหง้าของปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา สืบเนื่องมาจากการจัดทำแผนที่ในยุคอาณานิคมฝรั่งเศส โดยเฉพาะสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 ซึ่งกำหนดเส้นเขตแดนตามสันปันน้ำ (Watershed Line) ของเทือกเขาพนมดงรัก แต่แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นกลับมีความคลาดเคลื่อนและผนวกเอาพื้นที่ปราสาทพระวิหารเข้าไปในฝั่งกัมพูชา 17

  • คำตัดสิน ICJ: ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ตัดสินในปี 1962 ให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา และในปี 2013 ได้ตีความขยายพื้นที่บริเวณรอบตัวปราสาท (Promontory) ให้เป็นของกัมพูชาด้วย แต่ยังคงเหลือพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆ ที่ไม่ได้ข้อยุติ

  • พื้นที่เปราะบางใหม่: ในปี 2568 จุดปะทะไม่ได้จำกัดอยู่แค่พระวิหาร แต่ขยายไปยังกลุ่มปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิอธิปไตย และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ไทยใช้เป็นฐานปฏิบัติการ 4

3.2 ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลและ MOU 2544 (The Maritime Dispute)

หนึ่งในชนวนเหตุสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมในปี 2568 คือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปี 2544 (MOU 2001) ข้อตกลงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวางกรอบการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลและพัฒนาแหล่งพลังงานร่วมกันในอ่าวไทย แต่กลับกลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรง

  • ข้อโต้แย้ง: ฝ่ายคัดค้านและกลุ่มชาตินิยมในไทยโจมตีว่า MOU นี้ "ยอมรับ" เส้นเขตแดนไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศในปี 1972 (พ.ศ. 2515) ซึ่งลากเส้นผ่ากลางเกาะกูดของไทย การยอมรับกรอบการเจรจานี้จึงเท่ากับยอมรับการละเมิดอธิปไตยของไทย 20

  • การเคลื่อนไหวทางการเมือง: ในเดือนธันวาคม 2568 คณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภาไทย ภายใต้การนำของ ส.ว. นพดล อินนา ได้มีมติเอกฉันท์เสนอให้รัฐบาล "ยกเลิก" MOU 2544 โดยให้เหตุผลว่ากัมพูชาขาดความจริงใจในการเจรจาและมีเจตนาละเมิดอธิปไตยเหนือเกาะกูด 20 แรงกดดันนี้บีบให้รัฐบาลนายกฯ อนุทิน ต้องแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกัมพูชาเพื่อรักษาฐานเสียงและลดแรงเสียดทานภายใน

3.3 ปัจจัยใหม่: อาชญากรรมข้ามชาติและปฏิบัติการสีเทา (Grey Zone Operations)

มิติใหม่ที่ซับซ้อนของความขัดแย้งปี 2568 คือความเชื่อมโยงกับ "อุตสาหกรรมต้มตุ๋น" (Scam Industry) และธุรกิจคาสิโนตามแนวชายแดน

  • แรงกดดันจากจีน: รัฐบาลจีนได้กดดันให้ไทยและประเทศเพื่อนบ้านปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ดำเนินงานโดยชาวจีนโพ้นทะเลในกัมพูชา ไทยตอบสนองด้วยการตัดระบบสาธารณูปโภคและอินเทอร์เน็ตข้ามแดนไปยังพื้นที่เหล่านี้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผลประโยชน์ที่มีความเชื่อมโยงกับชนชั้นนำในกัมพูชา 21

  • เป้าหมายทางทหาร: กองทัพไทยอ้างสิทธิในการโจมตี "คาสิโน" ฝั่งกัมพูชา โดยระบุว่าสถานที่เหล่านี้ถูกดัดแปลงเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร (Dual-use facilities) ใช้สำหรับปล่อยโดรนโจมตีและเก็บสะสมอาวุธ การโจมตีนี้จึงมีนัยของการตัดท่อน้ำเลี้ยงทางเศรษฐกิจของกลุ่มอิทธิพลฝ่ายตรงข้ามด้วย 12

3.4 การเมืองภายใน: การเปลี่ยนผ่านและชาตินิยม

  • ประเทศไทย: เสถียรภาพทางการเมืองของไทยอยู่ในภาวะเปราะบาง การถอดถอนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงกลางปี 2568 สืบเนื่องจากคลิปเสียงหลุดที่สนทนากับสมเด็จฮุน เซน ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจที่เปิดโอกาสให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวขึ้นมาและใช้นโยบายชาตินิยมที่แข็งกร้าวเพื่อสร้างความชอบธรรม 22 กองทัพไทยจึงมีบทบาทนำ (Primacy) ในการกำหนดนโยบายความมั่นคงเหนือฝ่ายพลเรือน

  • กัมพูชา: การสืบทอดอำนาจจากสมเด็จฮุน เซน สู่บุตรชาย ฮุน มาเนต ยังคงเป็นกระบวนการที่ต้องการการพิสูจน์ความสามารถ ฮุน มาเนต จำเป็นต้องแสดงบทบาทเป็น "ผู้ปกป้องชาติ" (Defender of the Nation) เพื่อสร้างบารมีในกองทัพและประชาชน การยอมจำนนต่อไทยจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางการเมือง 24


4. ลำดับเหตุการณ์วิกฤตการณ์: จากการปะทะสู่สงคราม (Chronology of Conflict)

วิกฤตการณ์ครั้งนี้พัฒนาจากเหตุการณ์ย่อยไปสู่สงครามเต็มรูปแบบผ่านกระบวนการยกระดับ (Escalation Ladder) ที่รวดเร็วและรุนแรง

4.1 ระยะก่อตัว: การปะทะและความตึงเครียด (พฤษภาคม - มิถุนายน 2568)

  • 28 พฤษภาคม 2568: สัญญาณเตือนแรกเริ่มขึ้นเมื่อเกิดการปะทะด้วยอาวุธปืนเล็กยาวบริเวณช่องบก ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย นับเป็นการสูญเสียชีวิตครั้งแรกในรอบหลายปี.26

  • มิถุนายน 2568: สถานการณ์ขยายตัวสู่มาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ กัมพูชาประกาศห้ามนำเข้าสินค้าไทย ในขณะที่ไทยตอบโต้ด้วยการปิดด่านพรมแดนบางแห่งและตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามแดน.19

4.2 ระยะยกระดับ: "ปฏิบัติการยุทธบดินทร์" (กรกฎาคม 2568)

จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อความพยายามในการเจรจาล้มเหลว และเกิดเหตุการณ์ที่ไทยมองว่าเป็นการยั่วยุรุนแรง

  • 23 กรกฎาคม: ทหารไทย 5 นายได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดขณะลาดตระเวน ไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาลักลอบวางกับระเบิดใหม่ในพื้นที่ และประกาศเรียกทูตกลับ.19

  • 24 กรกฎาคม - จุดเปลี่ยนสำคัญ: การปะทะขยายตัวตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะที่ปราสาทตาเมือนธมและตาควาย ไทยรายงานการตรวจพบโดรน (UAV) ของกัมพูชา และการเคลื่อนกำลังของทหารกัมพูชาเข้าตัดรั้วลวดหนาม.4

  • การโจมตีทางอากาศ: กองทัพอากาศไทย (RTAF) ตัดสินใจส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 เข้าโจมตีเป้าหมายทางทหารลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชา บริเวณช่องอานม้า โดยอ้างว่าเพื่อทำลายศูนย์บัญชาการของกองพลทหารราบที่ 8 และ 9 ของกัมพูชา การตัดสินใจใช้อำนาจทางอากาศ (Air Strike) ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งอย่างก้าวกระโดด.4

  • ปฏิบัติการยุทธบดินทร์ (Operation Yuttha Bodin): กองทัพบกไทยประกาศใช้ "ปฏิบัติการยุทธบดินทร์" ซึ่งเป็นการรุกประสานระหว่างทหารราบ ยานเกราะ และกำลังทางอากาศ เพื่อผลักดันกำลังกัมพูชาออกจากพื้นที่ทับซ้อนและทำลายฐานยิงจรวด.4

4.3 ระยะพักรบ: สัญญาสงบศึกทรัมป์ (สิงหาคม - พฤศจิกายน 2568)

  • 28 กรกฎาคม: ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้าแทรกแซงโดยตรงด้วยการโทรศัพท์สายตรงถึงผู้นำทั้งสองประเทศ และขู่จะใช้มาตรการทางภาษี (Tariffs) อย่างรุนแรงหากไม่หยุดยิง นำไปสู่การลงนามข้อตกลงหยุดยิง "ทันทีและไม่มีเงื่อนไข" ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีมาเลเซียเป็นคนกลาง.2

  • ตุลาคม: มีการลงนามขยายผลข้อตกลงหยุดยิง โดยทรัมป์เดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วยตนเอง เพื่อแสดงถึงความสำเร็จทางการทูตของสหรัฐฯ.29

  • ความเปราะบาง: แม้จะมีข้อตกลง แต่ความตึงเครียดยังคงอยู่ ไทยระงับการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ในเดือนพฤศจิกายน หลังเกิดเหตุระเบิดซ้ำอีกครั้ง.29

4.4 ระยะสงครามระลอกสอง: "ปฏิบัติการศตวรรษ" (ธันวาคม 2568)

ความล้มเหลวของการป้องปรามและความไม่ไว้วางใจนำไปสู่การระเบิดของสงครามอีกครั้งที่มีความรุนแรงกว่าเดิม

  • 7-8 ธันวาคม: การปะทะรอบใหม่เริ่มขึ้น กัมพูชาใช้จรวดหลายลำกล้อง BM-21 ยิงถล่มพื้นที่พลเรือนและฐานทหารไทย ไทยตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศระลอกใหม่.4

  • ปฏิบัติการศตวรรษ (Operation Sattawat): ในวันที่ 10 ธันวาคม กองทัพไทยเปิดปฏิบัติการรุกข้ามพรมแดนเพื่อยึดพื้นที่ทางยุทธวิธีบางส่วนในกัมพูชา เพื่อสร้างแนวกันชน (Buffer Zone) และทำลายฐานยิงจรวดที่คุกคามเมืองชายแดนไทย.4

  • จุดยืนที่แข็งกร้าว: นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศว่าจะไม่ยอมรับการหยุดยิงจนกว่ากัมพูชาจะถอนทหารและเก็บกู้ระเบิดทั้งหมด โดยย้ำว่าจะดำเนินปฏิบัติการทางทหารต่อไปจนกว่าจะ "รู้สึกปลอดภัย" และภัยคุกคามจะหมดไป.31


ตารางที่ 1: เปรียบเทียบขีดความสามารถและยุทธวิธีทางทหารในความขัดแย้งปี 2568

หัวข้อกองทัพไทย (Royal Thai Armed Forces)กองทัพกัมพูชา (Royal Cambodian Armed Forces)
ยุทธศาสตร์หลักPeace through Strength (สันติภาพผ่านความแข็งแกร่ง), Deterrence by Punishment, Offensive DefenseAsymmetric Warfare (สงครามอสมมาตร), Defensive Posture, Area Denial
หลักนิยมการรบประสานเหล่า (Combined Arms), Air-Land Battleการตั้งรับลึก, การใช้ภูมิประเทศ, การตอบโต้ด้วยการยิงสนับสนุน
อาวุธหลักที่ใช้เครื่องบินขับไล่ F-16, JAS-39 Gripen, รถถังหลัก, ปืนใหญ่ระยะไกล, โดรนโจมตีจรวดหลายลำกล้อง BM-21 Grad, ปืนใหญ่, กับระเบิด (PMN-2), โดรนพลีชีพ, โดรนสอดแนม
เป้าหมายการโจมตีศูนย์บัญชาการ, ฐานยิงจรวด, คลังอาวุธ, คาสิโน (อ้างว่าเป็นฐานโดรน), โครงสร้างพื้นฐานทางทหารฐานทหารชายแดน, ชุมชนพลเรือนไทยใกล้ชายแดน (เพื่อสร้างแรงกดดันทางจิตวิทยา), โรงพยาบาล
ปฏิบัติการสำคัญOp. Yuttha Bodin (ก.ค.), Op. Sattawat (ธ.ค.)การระดมยิงปูพรม (Rocket Barrage), การวางกับระเบิดใหม่ในพื้นที่สีเทา

5. วิเคราะห์ยุทธศาสตร์การใช้กำลัง: "Peace through Strength" ของไทย

ยุทธศาสตร์ของไทยในปี 2568 ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) จากการเน้นการเจรจาและการรักษาสถานะเดิม (Containment) มาสู่การใช้กำลังเชิงรุก (Compellence) เพื่อบังคับผลลัพธ์ที่ต้องการ

5.1 วัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์: การทำลายขีดความสามารถ (Disabling Capability)

หัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ไทยคือการเปลี่ยนเป้าหมายจากการ "ผลักดัน" ข้าศึก มาสู่การ "ทำลายขีดความสามารถ" พลเอก ชัยพฤกษ์ ดวงประภาส เสนาธิการทหารบก ได้ให้สัมภาษณ์ระบุชัดเจนว่าเป้าหมายไม่ใช่การยึดดินแดนถาวร แต่คือการ "Disable" หรือทำให้ขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาใช้การไม่ได้ เพื่อไม่ให้เป็นภัยคุกคามในระยะยาว 1

  • ตรรกะแบบสัจนิยม: แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ความปลอดภัยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงข้าม ไม่สามารถ โจมตีได้ (Capability denial) ไม่ใช่แค่ ไม่อยาก โจมตี (Intent denial)

  • การปราบปรามเชิงรุก: ไทยมองว่าโครงสร้างพื้นฐานของกัมพูชาบริเวณชายแดน เช่น หอสังเกตการณ์หรืออาคารสูง เป็นภัยคุกคามที่ต้องถูกทำลายล่วงหน้า (Preemptive strike) หากมีข้อบ่งชี้ว่าจะถูกใช้ทางทหาร 2

5.2 การใช้อำนาจทางอากาศเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง (Air Power Diplomacy)

การตัดสินใจใช้ F-16 และ Gripen โจมตีข้ามพรมแดน มีนัยสำคัญทางยุทธศาสตร์หลายประการ:

  1. ความได้เปรียบทางเทคโนโลยี (Technological Superiority): ไทยใช้ความเหนือกว่าทางอากาศ (Air Superiority) ที่กัมพูชาไม่มีทางต่อกรได้ เพื่อสร้างความเสียหายหนักในเวลาสั้นๆ (Shock and Awe) โดยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารราบไทย

  2. การส่งสัญญาณ (Signaling): การโจมตีเป้าหมายลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชา เป็นการส่งสัญญาณว่าไทยพร้อมจะขยายขอบเขตสงคราม (Escalate) ไปสู่ระดับที่กัมพูชาจะรับความเสียหายไม่ไหว (Unacceptable Costs) หากยังไม่ยุติการกระทำ

  3. เป้าหมายทางเศรษฐกิจ-การเมือง: การโจมตี "คาสิโน" ตามชายแดน ซึ่งไทยอ้างว่าเป็นฐานปล่อยโดรนโจมตี เป็นการโจมตีท่อน้ำเลี้ยง (Logistics and Financial Nodes) ของกลุ่มอิทธิพลในกัมพูชาโดยตรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบอบฮุน มาเนต 12

5.3 ปัจจัยการเมืองภายใน: รัฐบาลอนุทินและกองทัพ

บริบททางการเมืองไทยในปี 2568 มีความสำคัญยิ่ง นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งก้าวขึ้นมาหลังจากวิกฤตการเมือง จำเป็นต้องสร้างความชอบธรรมในฐานะผู้นำที่เข้มแข็ง การแสดงท่าทีแข็งกร้าว (Hardline Stance) ต่อกัมพูชาช่วย:

  • ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อรวมศูนย์อำนาจ

  • สร้างพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ ซึ่งต้องการแสดงบทบาทนำในการปกป้องอธิปไตย

  • เบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเศรษฐกิจหรือการเมืองอื่นๆ ในประเทศ 22


6. วิเคราะห์ยุทธศาสตร์การตอบโต้ของกัมพูชา

แม้จะเป็นรองด้านกำลังรบและเทคโนโลยี แต่กัมพูชาภายใต้การนำของฮุน มาเนต และอิทธิพลเบื้องหลังของฮุน เซน ได้ใช้ยุทธศาสตร์ผสมผสาน (Hybrid Strategy) เพื่อรับมือและเอาตัวรอด

6.1 สงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare)

กัมพูชาตระหนักดีว่าไม่สามารถต่อกรกับไทยในการรบตามแบบ (Conventional Warfare) ได้ จึงหันมาใช้ยุทธวิธีที่เน้นต้นทุนต่ำแต่สร้างผลกระทบสูง:

  • การยิงปูพรมด้วยจรวด (Rocket Barrage): การใช้จรวด BM-21 ยิงใส่พื้นที่พลเรือนและเมืองชายแดนของไทย เป็นยุทธวิธี "Terror Bombing" เพื่อสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนไทย และกดดันให้รัฐบาลไทยต้องเผชิญกับกระแสสังคมที่ต้องการยุติสงคราม 2

  • สงครามทุ่นระเบิด (Mine Warfare): การวางกับระเบิดใหม่ในพื้นที่พิพาทเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจำกัดการเคลื่อนที่ของทหารราบยานเกราะไทย และสร้างความสูญเสียทางจิตวิทยา 26

  • โดรน: การใช้โดรนพลีชีพและโดรนสอดแนม แสดงให้เห็นการปรับตัวทางเทคโนโลยี แม้จะไม่ซับซ้อนเท่ากองทัพอากาศไทย แต่ก็สร้างความกังวลให้กับการป้องกันภัยทางอากาศของไทย 12

6.2 ความชอบธรรมทางการเมืองและการสืบทอดอำนาจ (Legitimacy and Succession)

สำหรับ ฮุน มาเนต สงครามนี้คือ "การชุบตัวด้วยไฟ" (Baptism by Fire) นักวิเคราะห์มองว่าความขัดแย้งถูกใช้เพื่อสร้าง "ผลงาน" ให้กับฮุน มาเนต ในฐานะผู้ปกป้องชาติ (Defender of the Nation) เพื่อสร้างบารมีทัดเทียมบิดา และกระชับอำนาจภายในกองทัพกัมพูชา การยอมถอยให้ไทยจะทำลายความชอบธรรมของเขาในสายตากลุ่มชาตินิยมและทหารเก่า 21 สมเด็จฮุน เซน เองก็ใช้โอกาสนี้ปลุกระดมมวลชนและสร้างภาพลักษณ์ไทยในฐานะ "ผู้รุกราน" (Aggressor) เพื่อสร้างความสามัคคีภายในชาติ 25

6.3 การทูต: บทบาทผู้ถูกกระทำ (Victimhood Diplomacy)

กัมพูชาพยายามนำประเด็นเข้าสู่เวทีโลก (Internationalization) โดยเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เข้าแทรกแซง ส่งจดหมายประท้วง และกล่าวหาไทยว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและก่ออาชญากรรมต่อมนุษยธรรม 34 การวางตัวเป็น "เหยื่อ" ของการรุกรานจากเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่า เป็นกลยุทธ์เพื่อดึงความเห็นใจและแรงกดดันจากประชาคมโลก เพื่อชดเชยความเสียเปรียบทางทหาร


7. การแทรกแซงจากภายนอก: ความล้มเหลวของการทูตและบทบาทมหาอำนาจ

วิกฤตการณ์ปี 2568 เปิดเผยถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์การทูตโลกและภูมิภาค

7.1 "การทูตภาษี" (Tariff Diplomacy) ของทรัมป์

บทบาทของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวแปรที่น่าสนใจที่สุด ทรัมป์ไม่ได้ใช้วิธีการทูตแบบดั้งเดิมที่เน้นค่านิยมหรือกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ใช้นโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) และแนวทางแบบนักธุรกิจ (Transactional)

  • กลไก: ทรัมป์ขู่จะใช้กำแพงภาษี (Tariffs) อัตราสูงกับสินค้าส่งออกของทั้งไทยและกัมพูชา หากไม่ยอมหยุดยิง นี่คือการใช้ "เศรษฐกิจนำการทหาร" เพื่อบังคับผลลัพธ์ 2

  • ผลลัพธ์: การขู่เรื่องเศรษฐกิจได้ผลในระยะสั้น (เดือนกรกฎาคม) เพราะทั้งสองประเทศพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ แต่สัญญาสงบศึกที่เกิดจากการบีบบังคับ (Coerced Peace) ขาดความยั่งยืน เพราะไม่ได้แก้ไขปัญหารากเหง้า เมื่อทรัมป์หันไปสนใจเรื่องอื่น ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นใหม่ สะท้อนให้เห็นว่า "Tariff Diplomacy" เป็นเพียงยาแก้ปวดชั่วคราว ไม่ใช่การรักษาโรค

7.2 ความล้มเหลวของอาเซียน (ASEAN's Ineffectiveness)

วิกฤตปี 2568 ตอกย้ำถึงข้อจำกัดของ "วิถีอาเซียน" (ASEAN Way) ที่เน้นการไม่แทรกแซงกิจการภายในและการตัดสินใจด้วยฉันทามติ

  • บทบาทที่ไร้น้ำหนัก: แม้มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนจะพยายามไกล่เกลี่ยและเสนอส่งผู้สังเกตการณ์ แต่ขาดเครื่องมือในการบังคับใช้ข้อตกลง (Enforcement Mechanism) 36

  • ความแตกแยก: สมาชิกอาเซียนไม่สามารถมีท่าทีเป็นเอกภาพได้ ส่งผลให้อาเซียนกลายเป็นเพียง "ผู้ชม" ในเวทีความขัดแย้งหลังบ้านตัวเอง ปล่อยให้มหาอำนาจภายนอกเข้ามามีบทบาทหลัก 38

7.3 จีน: ผู้ไกล่เกลี่ยที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

จีนอยู่ในสถานะลำบาก เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทั้งสองฝ่าย (ไทยเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ กัมพูชาเป็นพันธมิตรที่แนบแน่น)

  • บทบาท: จีนเลือกใช้การทูตเงียบๆ (Quiet Diplomacy) และสนับสนุนให้เกิดการเจรจา แต่ระมัดระวังไม่ให้ถูกมองว่าเข้าข้างฝ่ายใด 40

  • ความย้อนแย้ง: อาวุธที่ทั้งสองฝ่ายใช้รบกัน (เช่น จรวดของกัมพูชา รถถัง/เรือดำน้ำของไทยที่กำลังจัดหา) ล้วนมีความเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีจีน หรือการสนับสนุนจากจีน ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลของจีนในด้านความมั่นคงของภูมิภาคที่ทับซ้อนกับความขัดแย้ง 21


8. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และมนุษยธรรม (Impact Assessment)

สงครามนำมาซึ่งต้นทุนมหาศาลที่บ่อนทำลายความมั่นคงของมนุษย์และเศรษฐกิจในระดับมหภาค

8.1 วิกฤตผู้พลัดถิ่นและมนุษยธรรม

ความขัดแย้งส่งผลให้เกิดวิกฤตทางมนุษยธรรมที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในภูมิภาค

  • ผู้พลัดถิ่น: มีรายงานประชาชนกว่า 300,000 ถึง 500,000 คน ในทั้งสองฝั่งต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย (IDPs) ก่อให้เกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยชั่วคราว ค่ายผู้อพยพมีความแออัดและขาดแคลนทรัพยากร 4

  • ความเสียหายต่อพลเรือน: มีรายงานความเสียหายต่อโรงพยาบาล โรงเรียน และพื้นที่ชุมชน ซึ่งอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม การเสียชีวิตของเด็กและพลเรือนจากการโจมตีด้วยจรวดและกับระเบิดสร้างบาดแผลทางจิตใจที่ยากจะเยียวยา 16

8.2 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • การค้าชายแดน: การปิดด่านพรมแดนทำให้มูลค่าการค้าชายแดนหายไปกว่า 50,000 - 80,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนภาคอีสานของไทยและภาคตะวันตกของกัมพูชา 42

  • การท่องเที่ยว: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในไทยที่การท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ของ "ดินแดนแห่งรอยยิ้ม" ถูกแทนที่ด้วยภาพข่าวสงคราม ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปยังประเทศอื่น 44

  • แรงงาน: แรงงานกัมพูชาในไทยกว่า 700,000 - 800,000 คน เผชิญความไม่แน่นอน บางส่วนอพยพกลับประเทศเพราะความกลัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และเกษตรกรรมของไทยที่พึ่งพาแรงงานเหล่านี้อย่างหนัก 43


9. บทสรุปและข้อเสนอแนะ (Conclusion and Recommendations)

9.1 บทสรุป: ความล้มเหลวของแนวคิด "Peace through Strength"

การวิเคราะห์กรณีศึกษาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาปี 2568 ชี้ให้เห็นว่า แม้กองทัพไทยจะประสบความสำเร็จทางยุทธวิธีในการทำลายเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา แต่ยุทธศาสตร์ "Peace through Strength" หรือการใช้กำลังเพื่อบังคับสันติภาพ ล้มเหลวในการสร้างเสถียรภาพที่ยั่งยืน สาเหตุหลักคือ:

  1. Security Dilemma ที่รุนแรงขึ้น: การใช้กำลังที่รุนแรงของไทยยิ่งกระตุ้นความหวาดระแวงและผลักดันให้กัมพูชาแสวงหาอาวุธและพันธมิตรเพื่อมาถ่วงดุลมากขึ้น แทนที่จะยอมจำนน การกระทำของไทยถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของระบอบกัมพูชา ซึ่งทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยากขึ้น

  2. ชาตินิยมเป็นดาบสองคม: แรงกดดันทางทหารไม่สามารถทำลายล้างกระแสชาตินิยมได้ แต่กลับยิ่งเติมเชื้อไฟให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายใช้ปลุกระดมประชาชนเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง ทำให้ไม่มีฝ่ายใดกล้าประนีประนอม

  3. ความเปราะบางของ "สันติภาพที่ถูกบังคับ": สันติภาพที่เกิดจากการขู่เข็ญ (ไม่ว่าจะด้วยกำลังทหารหรือภาษีของทรัมป์) เป็นเพียงการหยุดยิงชั่วคราว หากไม่แก้ปัญหาที่รากเหง้า (Root Causes) เช่น ปัญหาเขตแดนทับซ้อนและความไม่ไว้วางใจ สงครามก็จะปะทุขึ้นใหม่เสมอ

9.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendations)

เพื่อออกจากวงจรอุบาทว์นี้ จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์:

  1. เปลี่ยนจาก "Compellence" เป็น "Confidence Building": ควรยุติการใช้กำลังเชิงรุกและหันมาสร้างกลไกสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ (CBMs) เช่น การลาดตระเวนร่วม หรือการจัดตั้งสายด่วนระหว่างแม่ทัพภาค

  2. ฟื้นฟูกลไกทวิภาคี: ควรเร่งรัดให้มีการประชุม GBC และ JBC โดยเร็ว เพื่อเปิดช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการ และแยกแยะปัญหาเขตแดนออกจากความร่วมมือด้านอื่น

  3. บทบาทของคนกลาง: ไทยควรพิจารณายอมรับบทบาทของผู้สังเกตการณ์อิสระ (เช่น จากอาเซียน หรือ UN) ในพื้นที่จุดเสี่ยง เพื่อตรวจสอบการหยุดยิงและลดข้อครหาเรื่องการเริ่มโจมตีก่อน ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการตอบโต้ที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ

  4. การจัดการ MOU 2544: รัฐบาลไทยต้องสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนถึงความสำคัญของ MOU 2544 ในฐานะกรอบการเจรจา การยกเลิก MOU ฝ่ายเดียวจะไม่ช่วยรักษาอธิปไตย แต่จะทำลายกลไกทางกฎหมายที่ไทยใช้ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และเปิดทางสู่ความขัดแย้งที่ไร้กติกา

วิกฤตการณ์ปี 2568 เป็นบทเรียนราคาแพงที่ย้ำเตือนว่า ในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ชัยชนะในสนามรบอาจนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ในสนามเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ และ "สันติภาพ" ที่แท้จริงไม่อาจสร้างขึ้นได้ด้วยปลายกระบอกปืนเพียงอย่างเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แนวคิดใช้กำลังทหารเพื่อสันติภาพ บนสนามชายแดนไทย-กัมพูชา

วิเคราะห์แนวคิดการใช้กำลังทหารเพื่อสันติภาพ: กรณีศึกษาปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชาปี 2568 Analysis of the Concept of Military Force for Peace: A...