ปฐมบทอยุธยาจากเศรษฐา ทวีสิน สู่ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์: พลวัตการเมืองเรื่องน้ำและการเปลี่ยนผ่านอำนาจในบริบทอุทกภัยปี 2568
1. บทนำ: รอยต่อแห่งอำนาจและวิกฤตการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยา
ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย การลงพื้นที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงมักมิใช่เพียงภารกิจเชิงบริหารราชการแผ่นดินตามปกติวิสัย หากแต่เป็นหมุดหมายที่แฝงนัยยะทางสัญลักษณ์ (Symbolic Politics) และการส่งสัญญาณทางยุทธศาสตร์ที่แหลมคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการลงพื้นที่นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ที่มีความเปราะบางสูง วันที่ 21 ธันวาคม 2568 ได้ถูกบันทึกให้เป็นวันสำคัญทางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย เมื่อนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งถูกวางตัวในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสุพรรณบุรี ท่ามกลางบริบทของสถานการณ์น้ำท่วมขังที่ยืดเยื้อและร่องรอยความเสียหายจากอุทกภัยที่สะสมมาตลอดช่วงฤดูฝนปี 2568 การเคลื่อนไหวครั้งนี้มิได้เป็นเพียงการติดตามสถานการณ์น้ำตามฤดูกาล แต่เปรียบเสมือน "ปฐมบท" (Prelude) ของการประกาศทิศทางใหม่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ภายหลังจากสิ้นสุดยุคสมัยของนายเศรษฐา ทวีสิน
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างรอบด้านและเจาะลึก โดยมุ่งเน้นการสำรวจพลวัตทางการเมืองที่ซ้อนทับอยู่บนโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำ (Hydro-politics) ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา การวิเคราะห์จะเริ่มต้นจากการสังเคราะห์บทเรียนและมรดกทางนโยบาย (Legacy) ที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ได้ทิ้งไว้ ทั้งในแง่ของความสำเร็จและข้อจำกัดในการรับมือกับวิกฤตน้ำท่วมในช่วงปี 2566-2567 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 ก่อนจะเจาะลึกถึงสภาพปัญหาเชิงโครงสร้างในพื้นที่ "แก้มลิง" หรือพื้นที่รับน้ำนองของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสะท้อนความเหลื่อมล้ำของการจัดสรรทรัพยากรและความยุติธรรมทางสังคม (Distributive Justice) ที่เกษตรกรและผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ต้องแบกรับภาระแทนคนเมืองหลวงมายาวนาน
นอกจากนี้ รายงานจะเชื่อมโยงมิติทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพอันเป็นภูมิหลังทางวิชาการของนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ เข้ากับความคาดหวังในการแก้ไขปัญหาเรื้อรังที่ซับซ้อน (Wicked Problems) ของภาคเกษตรกรรมไทย อาทิ วิกฤตข้าวดีด (Weedy Rice) ที่กัดกินผลผลิตมวลรวม และวงจรการเผาตอซังที่สัมพันธ์กับตารางการจัดการน้ำที่ผิดเพี้ยน การลงพื้นที่สุพรรณบุรีและอยุธยาในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการเยี่ยมเยียนราษฎร แต่คือการเปิดหน้าเสื่อเพื่อนำเสนอ "วิสัยทัศน์ใหม่" ที่พยายามผสานความเป็นเทคโนแครตเข้ากับฐานเสียงทางการเมืองแบบดั้งเดิม เพื่อกอบกู้ศรัทธาและวางรากฐานสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
2. มรดกทางนโยบายจากยุคเศรษฐา ทวีสิน: บทเรียนจากการจัดการวิกฤต (2566-2568)
2.1 กระบวนทัศน์ "CEO Country" กับการแก้ปัญหาเชิงตั้งรับ
ช่วงเวลาแห่งการดำรงตำแหน่งของนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2566 ถึงกลางปี 2567 นั้น ถูกขับเคลื่อนด้วยปรัชญาการบริหารแบบภาคธุรกิจที่เน้นผลลัพธ์รวดเร็ว (Quick Wins) และการกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาค นายเศรษฐา ซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment - FDI) และการเจรจาทางการค้าเพื่อฟื้นฟูตัวเลข GDP ที่เติบโตเชื่องช้าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียน
ในปี 2566 และต่อเนื่องถึงปี 2567 รัฐบาลเศรษฐาเผชิญกับโจทย์หินเรื่องการจัดการน้ำ ทั้งในมิติของ "น้ำท่วม" และ "น้ำแล้ง" ที่เกิดขึ้นสลับกันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) นโยบายหลักที่ถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนคือมาตรการทางการเงิน (Financial Instruments) ในรูปแบบของการจ่ายเงินเยียวยาและการพักชำระหนี้ ข้อมูลเชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณฉุกเฉินจำนวนมหาศาลเพื่อบรรเทาผลกระทบ โดยคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบประมาณกว่า 6,169 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนกว่า 6.8 แสนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มในช่วงปี 2567-2568
ตารางที่ 1: มาตรการเยียวยาและงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน (2567-2568)
| ประเภทมาตรการ | รายละเอียดและเกณฑ์การจ่าย | กลุ่มเป้าหมาย/จำนวนครัวเรือน | วงเงินงบประมาณ (ล้านบาท) |
| เงินเยียวยาเหมาจ่าย | 9,000 บาทต่อครัวเรือน สำหรับบ้านที่ถูกน้ำท่วมขังเกิน 7 วัน หรือทรัพย์สินเสียหาย | 685,554 ครัวเรือน | 6,169 |
| การพักชำระหนี้ | พักชำระหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย 3-6 เดือน | ลูกค้า ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน | N/A (วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน) |
| งบกลางฉุกเฉิน | ซ่อมแซมพนังกั้นน้ำและโครงสร้างพื้นฐานเร่งด่วน | กรมชลประทาน/ท้องถิ่น | 2,000+ |
ที่มา: รวบรวมจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและรายงานข่าว
ตารางข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลเศรษฐาเลือกใช้ "การเยียวยาเป็นตัวนำ" (Compensation-led Approach) ซึ่งแม้จะช่วยลดแรงเสียดทานทางการเมืองและบรรเทาความทุกข์ยากเฉพาะหน้าได้รวดเร็วตามสไตล์ "คิดใหญ่ ทำเป็น" แต่ในมุมมองของนักวิชาการด้านการจัดการภัยพิบัติ วิธีการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น "วงจรอุบาทว์ของการสงเคราะห์" (Cycle of Relief Dependency) ที่ไม่ได้นำไปสู่การลดความเสี่ยงในอนาคต (Disaster Risk Reduction) อย่างแท้จริง การจ่ายเงิน 9,000 บาท ไม่สามารถชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของเกษตรกรที่สูญเสียโอกาสในการเพาะปลูกตลอดทั้งฤดูกาลได้ และยังไม่รวมถึงต้นทุนแฝงจากการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ทรุดโทรมจากการแช่น้ำนานนับเดือน
2.2 วาทกรรมเศรษฐกิจกับการละเลยนิเวศวิทยาลุ่มน้ำ
ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ความพยายามในการจัดการน้ำมักถูกผูกโยงเข้ากับวาระทางเศรษฐกิจอย่างแยกไม่ออก ในการประชุมคณะรัฐมนตรีและการแถลงนโยบายหลายครั้ง นายเศรษฐาและนายอนุทิน ชาญวีรกูล (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น) ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจหลัก เช่น นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจได้สร้างผลกระทบข้างเคียง (Externalities) ต่อพื้นที่เกษตรกรรมโดยรอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การบริหารจัดการน้ำผ่านประตูระบายน้ำและเขื่อนกั้นน้ำกลายเป็นเครื่องมือในการจัดสรร "ความแห้ง" และ "ความเปียก" ที่ไม่เท่าเทียม พื้นที่นอกคันกั้นน้ำ (Outside the dykes) ในอำเภอบางบาล ผักไห่ และเสนา กลายเป็นพื้นที่รองรับน้ำส่วนเกินเพื่อไม่ให้ไหลเข้าท่วมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและกรุงเทพมหานคร การตัดสินใจเชิงนโยบายเช่นนี้ แม้จะมีความจำเป็นในทางเศรษฐศาสตร์มหภาค แต่ในทางรัฐศาสตร์และสังคมวิทยา มันคือการผลิตซ้ำความอยุติธรรมเชิงพื้นที่ (Spatial Injustice) ที่ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่รับน้ำรู้สึกว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง
นายเศรษฐาตระหนักถึงปัญหานี้และพยายามผลักดันแผนการลงทุนระยะยาว เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 1 แสนล้านบาท ที่นายอนุทินเคยกล่าวถึง
3. นิเวศวิทยาการเมืองของอยุธยา: ความเจ็บปวดในพื้นที่ "เสียสละ"
การเลือกจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่แรกๆ ในการลงพื้นที่ของนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ในวันที่ 21 ธันวาคม 2568 มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการเลือกสรรทางยุทธศาสตร์ที่เฉียบคม เพราะอยุธยาคือ "จุดตัด" (Intersection) ของทุกปัญหาในการบริหารจัดการน้ำของไทย
3.1 ภูมิศาสตร์แห่งความเหลื่อมล้ำ: จากบางบาลถึงเสนา
อยุธยาตั้งอยู่ในจุดบรรจบของแม่น้ำสายหลักสามสาย คือ เจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี ทำให้โดยธรรมชาติแล้ว พื้นที่นี้คือที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง (Floodplain) ที่อุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อความเจริญของกรุงเทพมหานครขยายตัวขึ้น และมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำ อยุธยาจึงถูกเปลี่ยนบทบาทจาก "เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ" ให้กลายเป็น "ปราการด่านหน้า" ในการหน่วงน้ำ
ข้อมูลจากการศึกษาทางวิชาการและการสำรวจภาคสนามระบุว่า พื้นที่ลุ่มต่ำในอำเภอบางบาล เสนา ผักไห่ และบางไทร ถูกกำหนดให้เป็น "พื้นที่รับน้ำนอง" หรือ Monkey Cheeks (แก้มลิง) ตามแผนบริหารจัดการน้ำแห่งชาติ กรมชลประทานใช้พื้นที่ทุ่งนาเหล่านี้ในการตัดยอดน้ำ (Peak Cut) เพื่อลดปริมาณน้ำที่ไหลผ่านสถานี C.29 (บางไทร) ก่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ
ตารางที่ 2: เปรียบเทียบสถานะ "ผู้ได้รับผลประโยชน์" และ "ผู้เสียสละ" ในระบบจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยา
| มิติการเปรียบเทียบ | พื้นที่เศรษฐกิจ (กทม./นนทบุรี/นิคมฯ) | พื้นที่รับน้ำ (อยุธยา: บางบาล/เสนา/ผักไห่) |
| สถานะการป้องกัน | ป้องกันสูงสุด (คันกั้นน้ำคอนกรีต/อุโมงค์ยักษ์) | ป้องกันต่ำ/จงใจให้ท่วม (Flood Retention Zone) |
| ระยะเวลาท่วม | น้ำรอระบาย (ชั่วโมง-วัน) | ท่วมขัง (3-5 เดือน) |
| ระดับความเสียหาย | ทรัพย์สินบางส่วน/การจราจร | บ้านเรือน/โครงสร้างพื้นฐาน/รายได้ทั้งปี |
| การชดเชย | ประกันภัย/งบ กทม. | เงินเยียวยาภัยพิบัติ (ล่าช้าและไม่คุ้มค่า) |
| วาทกรรม | ศูนย์กลางความเจริญ/Smart City | ผู้เสียสละ/วิถีชีวิตชาวน้ำ |
ที่มา: สังเคราะห์จากงานวิจัยด้านนิเวศวิทยาการเมืองและรายงานข่าว
รายงานข่าวระบุชัดเจนว่า เกษตรกรและชาวบ้านในพื้นที่เหล่านี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากการใช้ชีวิตบนถนนหรือในเต็นท์ชั่วคราวริมทางเป็นเวลานานหลายเดือน
3.2 ความล้มเหลวของโครงสร้างพื้นฐานและการมีส่วนร่วม
ปัญหาของอยุธยาไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "ภัยจากการจัดการ" (Man-made Disaster) โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ เช่น ประตูระบายน้ำและคันกั้นน้ำ มักชำรุดทรุดโทรมหรือไม่เพียงพอต่อการรับมือกับปริมาณน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
บทเรียนจากปี 2554 จนถึง 2568 ชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งเรื่องการเปิดประตูระบายน้ำระหว่างชาวนาในทุ่งกับชาวบ้านในเขตเมือง หรือระหว่างจังหวัดต่อจังหวัด ยังคงดำรงอยู่และรุนแรงขึ้น
4. วิกฤตการณ์ซ้อนทับในภาคเกษตร: เมื่อ "น้ำ" กลายเป็นศัตรูของ "ข้าว"
นอกจากปัญหาที่อยู่อาศัยแล้ว การบริหารจัดการน้ำที่ไร้ประสิทธิภาพยังส่งผลกระทบลูกโซ่ (Ripple Effect) ที่รุนแรงต่อระบบการผลิตข้าว ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังทางเศรษฐกิจของภาคกลาง ปัญหาที่เกษตรกรในอยุธยาและสุพรรณบุรีเผชิญไม่ใช่แค่น้ำท่วมนา แต่คือสิ่งที่ตามมาหลังจากน้ำลด นั่นคือ "ข้าวดีด" และ "มลพิษจากการเผา"
4.1 สงครามพันธุกรรม: การรุกรานของ "ข้าวดีด" (Weedy Rice)
ข้าวดีด หรือ ข้าววัชพืช (Weedy Rice) คือศัตรูพืชที่ร้ายกาจที่สุดของชาวนาภาคกลาง มันคือข้าวสายพันธุ์ป่าที่มีวิวัฒนาการทางพันธุกรรมให้สามารถแข่งขันกับข้าวปลูกได้อย่างดีเยี่ยม ข้าวดีดมีการร่วงหล่นของเมล็ดง่าย (Shattering) ทำให้เมล็ดข้าวร่วงลงดินก่อนการเก็บเกี่ยว สะสมเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ (Seed Bank) อยู่ในดิน รอเวลางอกในรอบถัดไป
ความสัมพันธ์ระหว่าง "น้ำท่วม" กับ "ข้าวดีด" นั้นซับซ้อนและย้อนแย้ง:
การระบาดหลังน้ำท่วม: เมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่และน้ำขังเป็นเวลานาน เมล็ดพันธุ์ข้าวดีดที่มีความทนทานสูงจะสามารถพักตัวอยู่ในดินได้ดีกว่าเมล็ดพืชอื่น เมื่อน้ำลดและเกษตรกรเริ่มเตรียมดินเพื่อทำนาปรัง เมล็ดข้าวดีดเหล่านี้จะงอกขึ้นมาพร้อมกับข้าวปลูก และเนื่องจากมันมีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วกว่า มันจึงแย่งปุ๋ย แย่งแสง และแย่งพื้นที่ จนทำให้ผลผลิตข้าวปลูกลดลงมหาศาล งานวิจัยระบุว่าการระบาดรุนแรงอาจทำให้ผลผลิตเสียหายได้ถึง 60-74%
14 น้ำเป็นเครื่องมือควบคุม: ในทางทฤษฎี การจัดการระดับน้ำ (Water Management) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการคุมข้าวดีด หากเกษตรกรสามารถขังน้ำในระดับลึก (Flooding) ในช่วงแรกของการเตรียมดิน จะสามารถยับยั้งการงอกของข้าวดีดได้
13 แต่ปัญหาคือ ระบบชลประทานของไทยไม่สามารถส่งน้ำได้ทันเวลาและทั่วถึง หรือบางครั้งก็มีน้ำมากเกินไปจนคุมระดับไม่ได้ ทำให้เครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดนี้กลายเป็นหมัน
นายยศชนัน ซึ่งมีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ย่อมเข้าใจดีว่าปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยการแจกเงิน แต่ต้องแก้ด้วย "ความแม่นยำ" (Precision) ของระบบชลประทานและการนำเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมหรือการปรับปรุงพันธุ์พืชมาใช้ ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบทางวิชาการที่ระบุว่าข้าวดีดมีการแลกเปลี่ยนพันธุกรรมกับข้าวป่าและข้าวปลูกอยู่ตลอดเวลา (Adaptive Introgression)
4.2 วงจรอุบาทว์: เร่งรอบ-เผาตอซัง-ฝุ่นพิษ
ผลกระทบต่อเนื่องจากการที่พื้นที่นาถูกใช้เป็นแก้มลิงนาน 3-4 เดือน คือการที่เกษตรกรเหลือเวลาในการทำนาน้อยลง เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป เกษตรกรจำเป็นต้องเร่งรอบการปลูกข้าว (Intensive Cropping) ให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือ วิธีการที่รวดเร็วและประหยัดต้นทุนที่สุดในการเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกรอบใหม่คือ "การเผาตอซัง" (Stubble Burning)
แม้ภาครัฐจะมีมาตรการห้ามเผาและรณรงค์เรื่อง Zero Burn แต่ในทางปฏิบัติ เกษตรกรเผชิญกับข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ (Economic Constraints) ที่รัดตัว การไถกลบตอซังมีต้นทุนสูงและใช้เวลานานกว่าการเผามาก ประกอบกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน
การแก้ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องของการบริหารจัดการเวลาและน้ำ หากรัฐสามารถจัดการน้ำให้เกษตรกรมีเวลาเตรียมดินเพียงพอ หรือมีเทคโนโลยีช่วยย่อยสลายตอซังที่ราคาเข้าถึงได้ วงจรการเผาก็จะลดลง นี่คือโจทย์ที่ท้าทายความสามารถของ "ว่าที่นายกฯ สายวิศวะ" อย่างยิ่ง
5. ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์: นวัตกรรมอำนาจใหม่และการรีเซ็ตแบรนด์เพื่อไทย
ท่ามกลางวิกฤตที่ทับถม การปรากฏตัวของนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะผู้นำทัพคนใหม่ ถือเป็นการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ (Strategic Pivot) ของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการก้าวข้ามภาพลักษณ์เดิมๆ สู่ความทันสมัยที่จับต้องได้
5.1 จาก "ตระกูลการเมือง" สู่ "เทคโนแครตสายพันธุ์ใหม่"
นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ มิได้เป็นเพียงทายาททางการเมืองของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (น้องสาวของนายทักษิณ ชินวัตร) เท่านั้น แต่เขายังพกพาดีกรีทางวิชาการที่น่าจับตามอง ในฐานะศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface - BCI) จากมหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาเอกด้านวิศวกรรมจาก University of Texas at Arlington
ภูมิหลังนี้สร้างความแตกต่าง (Differentiation) อย่างชัดเจนจากนักการเมืองรุ่นก่อน นายยศชนันไม่ได้ขายภาพลักษณ์ของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบบคนรุ่นพ่อ หรือนักบริหารธุรกิจแบบนายเศรษฐา แต่เขานำเสนอภาพลักษณ์ของ "นักแก้ไขปัญหาด้วยปัญญาประดิษฐ์และระบบคิดเชิงวิศวกรรม" (Engineering Systems Thinker) การเลือกเขาขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยต้องการดึงคะแนนเสียงจากชนชั้นกลางในเมืองและคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาฐานเสียงคนเสื้อแดงผ่านสายเลือดชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์
5.2 ปรัชญาการจัดการน้ำแบบ BCI: เชื่อม "สมองกล" กับ "สายน้ำ"
แนวคิด Brain-Computer Interface (BCI) ที่นายยศชนันเชี่ยวชาญ อาจถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นกรอบคิด (Conceptual Framework) ในการบริหารประเทศและจัดการน้ำ BCI คือการสร้างช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างสมอง (ศูนย์สั่งการ) กับอุปกรณ์ภายนอก (กลไกปฏิบัติการ) โดยอาศัยการประมวลผลสัญญาณที่รวดเร็วและแม่นยำ
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับระบบจัดการน้ำ:
สมอง (Brain): คือศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติที่ต้องประมวลผล Big Data จากดาวเทียม เซนเซอร์ และพยากรณ์อากาศด้วย AI
การเชื่อมต่อ (Interface): คือระบบโครงข่ายสื่อสารและสั่งการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำอัตโนมัติ (Automated Sluice Gates) ที่ลดความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) และความล่าช้าจากระบบราชการ
อุปกรณ์ (Device): คือโครงสร้างพื้นฐานทั้ง Grey Infrastructure (เขื่อน/ปั๊ม) และ Green Infrastructure (แก้มลิงธรรมชาติ) ที่ทำงานสอดประสานกัน
การลงพื้นที่เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม จึงถูกคาดหวังว่าจะเป็นการเปิดตัวนโยบาย "Smart Water Grid" หรือโครงข่ายน้ำอัจฉริยะ ที่จะเปลี่ยนอยุธยาจากเมืองที่จมน้ำ เป็นเมืองที่ "รู้ทันน้ำ" ด้วยเทคโนโลยี
6. วิเคราะห์การลงพื้นที่ 21 ธันวาคม 2568: ยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่
การเลือกลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและต่อเนื่องไปยังสุพรรณบุรี มีนัยยะทางการเมืองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการรักษาดุลอำนาจในพรรคร่วมรัฐบาลและการบริหารจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำที่เชื่อมโยงกัน
6.1 อยุธยา: การเยียวยาบาดแผลคนเสื้อแดง
อยุธยาเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดงและฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย แต่ความเจ็บปวดจากน้ำท่วมซ้ำซากทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ (Resentment) การที่นายยศชนันลงไปสัมผัสปัญหาด้วยตนเอง พร้อมรับฟังข้อเรียกร้องเรื่องค่าชดเชยและการจัดการน้ำที่เป็นธรรม เป็นการส่งสัญญาณว่า "พรรคไม่ทิ้งกัน" และพร้อมจะนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
6.2 สุพรรณบุรี: เรียนรู้จาก "บรรหารบุรี" และกระชับมิตรพรรคร่วม
สุพรรณบุรีคือฐานที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคร่วมรัฐบาลที่มีความเหนียวแน่น ในอดีต นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้สร้างตำนานการพัฒนาจังหวัดสุพรรณบุรีให้มีระบบชลประทานและโครงสร้างพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม จนถูกเรียกว่า "บรรหารบุรี" การเดินทางไปสุพรรณบุรีของนายยศชนันจึงมีนัยยะสองประการ:
การเรียนรู้ (Learning): ศึกษาโมเดลการจัดการน้ำของสุพรรณบุรีที่สามารถผันน้ำและควบคุมน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาปรับใช้หรือบูรณาการกับแผนลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาพรวม
การเมือง (Politics): เป็นการให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลและตระกูลศิลปอาชา เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลผสม (Coalition Stability) ในช่วงที่กำลังจะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหรือปรับคณะรัฐมนตรี
6.3 บูรณาการลุ่มน้ำท่าจีน-เจ้าพระยา
ในทางอุทกวิทยา แม่น้ำท่าจีน (ที่ไหลผ่านสุพรรณบุรี) และแม่น้ำเจ้าพระยา (ที่ไหลผ่านอยุธยา) มีความเชื่อมโยงกันผ่านระบบคลองต่างๆ เช่น คลองพระยาบันลือ การจัดการน้ำในอยุธยาจะสำเร็จไม่ได้หากขาดการประสานงานกับสุพรรณบุรี การลงพื้นที่ทั้งสองจังหวัดในคราวเดียวสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการมองภาพรวมทั้งระบบ (Holistic View) เพื่อเกลี่ยน้ำและแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน แทนที่จะผลักภาระให้จังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเพียงอย่างเดียว
7. นิเวศวิทยาการเมืองและความยุติธรรม: บทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์
การเปลี่ยนตัวผู้นำจากเศรษฐาเป็นยศชนัน อาจนำมาซึ่งความหวังใหม่ แต่หากวิเคราะห์ผ่านเลนส์ของ "นิเวศวิทยาการเมือง" (Political Ecology) เราจะพบว่าโจทย์ใหญ่นั้นยากกว่าแค่เรื่องเทคโนโลยี
7.1 กับดักของ "การเมืองเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructural Politics)
งานวิจัยด้านนิเวศวิทยาการเมืองชี้ให้เห็นว่า การสร้างเขื่อนหรือประตูระบายน้ำ ไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคที่เป็นกลาง (Neutral) แต่เป็นเรื่องของการเมืองที่แฝงด้วยอำนาจ
ถ้านายยศชนันนำเสนอเพียงแค่เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น (เช่น เซนเซอร์ที่ดีขึ้น ประตูน้ำไฟฟ้า) แต่ไม่ได้เปลี่ยน "ตรรกะ" (Logic) ในการจัดสรรน้ำ ความเหลื่อมล้ำก็จะยังคงอยู่ เทคโนโลยีอาจทำให้การผันน้ำเข้าทุ่งบางบาลทำได้แม่นยำขึ้น เร็วขึ้น แต่ถ้าชาวบางบาลยังคงต้องรับน้ำเหมือนเดิมโดยไม่มีสิทธิมีเสียง เทคโนโลยีนั้นก็จะเป็นเพียงเครื่องมือในการกดขี่ที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น (More efficient oppression)
7.2 ความยุติธรรมในกระบวนการ (Procedural Justice)
หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ (ใครน้ำท่วม) แต่คือกระบวนการ (ใครตัดสินใจ)
8. บทสรุปและข้อเสนอแนะ: สู่รุ่งอรุณใหม่หรือเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่?
การลงพื้นที่อยุธยาและสุพรรณบุรีในวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ของนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการ "รีเซ็ต" ยุทธศาสตร์การเมืองและการบริหารจัดการน้ำของพรรคเพื่อไทย การเปลี่ยนผ่านจากยุคเศรษฐา ทวีสิน ที่เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยเงินเยียวยา มาสู่ยุคของยศชนัน ที่เน้นการใช้องค์ความรู้ทางวิศวกรรมและเทคโนโลยี เป็นความพยายามที่จะตอบโจทย์ความท้าทายที่ซับซ้อนขึ้นของศตวรรษที่ 21
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ "ยศชนันโมเดล" จะไม่ได้วัดกันที่ความล้ำสมัยของเทคโนโลยี BCI หรือ AI แต่อยู่ที่ความสามารถในการรื้อถอนโครงสร้างความไม่เป็นธรรมที่ฝังรากลึกในลุ่มน้ำเจ้าพระยา การจะเปลี่ยน "ทุ่งรับน้ำ" ให้เป็น "พื้นที่แห่งความมั่นคง" ต้องอาศัยความกล้าหาญทางนโยบายในการกระจายอำนาจ การปฏิรูปกฎหมายที่ดินและน้ำ และการสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืนให้แก่ผู้เสียสละ
หากนายยศชนันสามารถผสาน "สมองกล" เข้ากับ "หัวใจประชาธิปไตย" ได้ ปฐมบทที่อยุธยาในวันนี้ อาจนำไปสู่บทสรุปที่งดงามของการเมืองไทยในอนาคต แต่หากเทคโนโลยีถูกใช้เพียงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ โดยละเลยมิติของคนและความยุติธรรม วิกฤตน้ำท่วมอยุธยาก็จะยังคงเป็นตำนานความขมขื่นที่เล่าขานสืบไป ไม่ต่างจากรอยคราบน้ำที่ยังคงปรากฏบนผนังวัดเก่าในกรุงศรีอยุธยา
หมายเหตุ: รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นโดยอ้างอิงข้อมูลสถานการณ์สมมติในอนาคตตามโจทย์ (ธันวาคม 2568) ผนวกกับข้อมูลข้อเท็จจริงทางวิชาการและบริบททางการเมืองที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน เพื่อฉายภาพฉากทัศน์ที่เป็นไปได้มากที่

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น