วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568

แชร์ทุกข์น้ำท่วม ปฐมบทอยุธยา จากเศรษฐาสู่ยศชนัน


ปฐมบทอยุธยาจากเศรษฐา ทวีสิน สู่ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์: พลวัตการเมืองเรื่องน้ำและการเปลี่ยนผ่านอำนาจในบริบทอุทกภัยปี 2568

1. บทนำ: รอยต่อแห่งอำนาจและวิกฤตการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยา

ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย การลงพื้นที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงมักมิใช่เพียงภารกิจเชิงบริหารราชการแผ่นดินตามปกติวิสัย หากแต่เป็นหมุดหมายที่แฝงนัยยะทางสัญลักษณ์ (Symbolic Politics) และการส่งสัญญาณทางยุทธศาสตร์ที่แหลมคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการลงพื้นที่นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ที่มีความเปราะบางสูง วันที่ 21 ธันวาคม 2568 ได้ถูกบันทึกให้เป็นวันสำคัญทางยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย เมื่อนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งถูกวางตัวในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสุพรรณบุรี ท่ามกลางบริบทของสถานการณ์น้ำท่วมขังที่ยืดเยื้อและร่องรอยความเสียหายจากอุทกภัยที่สะสมมาตลอดช่วงฤดูฝนปี 2568 การเคลื่อนไหวครั้งนี้มิได้เป็นเพียงการติดตามสถานการณ์น้ำตามฤดูกาล แต่เปรียบเสมือน "ปฐมบท" (Prelude) ของการประกาศทิศทางใหม่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ภายหลังจากสิ้นสุดยุคสมัยของนายเศรษฐา ทวีสิน

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างรอบด้านและเจาะลึก โดยมุ่งเน้นการสำรวจพลวัตทางการเมืองที่ซ้อนทับอยู่บนโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำ (Hydro-politics) ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา การวิเคราะห์จะเริ่มต้นจากการสังเคราะห์บทเรียนและมรดกทางนโยบาย (Legacy) ที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ได้ทิ้งไว้ ทั้งในแง่ของความสำเร็จและข้อจำกัดในการรับมือกับวิกฤตน้ำท่วมในช่วงปี 2566-2567 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 ก่อนจะเจาะลึกถึงสภาพปัญหาเชิงโครงสร้างในพื้นที่ "แก้มลิง" หรือพื้นที่รับน้ำนองของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสะท้อนความเหลื่อมล้ำของการจัดสรรทรัพยากรและความยุติธรรมทางสังคม (Distributive Justice) ที่เกษตรกรและผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ต้องแบกรับภาระแทนคนเมืองหลวงมายาวนาน

นอกจากนี้ รายงานจะเชื่อมโยงมิติทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพอันเป็นภูมิหลังทางวิชาการของนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ เข้ากับความคาดหวังในการแก้ไขปัญหาเรื้อรังที่ซับซ้อน (Wicked Problems) ของภาคเกษตรกรรมไทย อาทิ วิกฤตข้าวดีด (Weedy Rice) ที่กัดกินผลผลิตมวลรวม และวงจรการเผาตอซังที่สัมพันธ์กับตารางการจัดการน้ำที่ผิดเพี้ยน การลงพื้นที่สุพรรณบุรีและอยุธยาในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการเยี่ยมเยียนราษฎร แต่คือการเปิดหน้าเสื่อเพื่อนำเสนอ "วิสัยทัศน์ใหม่" ที่พยายามผสานความเป็นเทคโนแครตเข้ากับฐานเสียงทางการเมืองแบบดั้งเดิม เพื่อกอบกู้ศรัทธาและวางรากฐานสู่การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

2. มรดกทางนโยบายจากยุคเศรษฐา ทวีสิน: บทเรียนจากการจัดการวิกฤต (2566-2568)

2.1 กระบวนทัศน์ "CEO Country" กับการแก้ปัญหาเชิงตั้งรับ

ช่วงเวลาแห่งการดำรงตำแหน่งของนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2566 ถึงกลางปี 2567 นั้น ถูกขับเคลื่อนด้วยปรัชญาการบริหารแบบภาคธุรกิจที่เน้นผลลัพธ์รวดเร็ว (Quick Wins) และการกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาค นายเศรษฐา ซึ่งมีพื้นฐานมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment - FDI) และการเจรจาทางการค้าเพื่อฟื้นฟูตัวเลข GDP ที่เติบโตเชื่องช้าเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียน 1 อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะอุทกภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซากในลุ่มน้ำเจ้าพระยา แนวทางการบริหารแบบ CEO กลับเผชิญกับข้อจำกัดในการจัดการกับปัญหารากเหง้าที่มีความซับซ้อนเชิงโครงสร้าง

ในปี 2566 และต่อเนื่องถึงปี 2567 รัฐบาลเศรษฐาเผชิญกับโจทย์หินเรื่องการจัดการน้ำ ทั้งในมิติของ "น้ำท่วม" และ "น้ำแล้ง" ที่เกิดขึ้นสลับกันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) นโยบายหลักที่ถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนคือมาตรการทางการเงิน (Financial Instruments) ในรูปแบบของการจ่ายเงินเยียวยาและการพักชำระหนี้ ข้อมูลเชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณฉุกเฉินจำนวนมหาศาลเพื่อบรรเทาผลกระทบ โดยคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติงบประมาณกว่า 6,169 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนกว่า 6.8 แสนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มในช่วงปี 2567-2568 2

ตารางที่ 1: มาตรการเยียวยาและงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน (2567-2568)

ประเภทมาตรการรายละเอียดและเกณฑ์การจ่ายกลุ่มเป้าหมาย/จำนวนครัวเรือนวงเงินงบประมาณ (ล้านบาท)
เงินเยียวยาเหมาจ่าย9,000 บาทต่อครัวเรือน สำหรับบ้านที่ถูกน้ำท่วมขังเกิน 7 วัน หรือทรัพย์สินเสียหาย685,554 ครัวเรือน6,169
การพักชำระหนี้พักชำระหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย 3-6 เดือนลูกค้า ธ.ก.ส. และธนาคารออมสินN/A (วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน)
งบกลางฉุกเฉินซ่อมแซมพนังกั้นน้ำและโครงสร้างพื้นฐานเร่งด่วนกรมชลประทาน/ท้องถิ่น2,000+

ที่มา: รวบรวมจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและรายงานข่าว 2

ตารางข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลเศรษฐาเลือกใช้ "การเยียวยาเป็นตัวนำ" (Compensation-led Approach) ซึ่งแม้จะช่วยลดแรงเสียดทานทางการเมืองและบรรเทาความทุกข์ยากเฉพาะหน้าได้รวดเร็วตามสไตล์ "คิดใหญ่ ทำเป็น" แต่ในมุมมองของนักวิชาการด้านการจัดการภัยพิบัติ วิธีการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น "วงจรอุบาทว์ของการสงเคราะห์" (Cycle of Relief Dependency) ที่ไม่ได้นำไปสู่การลดความเสี่ยงในอนาคต (Disaster Risk Reduction) อย่างแท้จริง การจ่ายเงิน 9,000 บาท ไม่สามารถชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของเกษตรกรที่สูญเสียโอกาสในการเพาะปลูกตลอดทั้งฤดูกาลได้ และยังไม่รวมถึงต้นทุนแฝงจากการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ทรุดโทรมจากการแช่น้ำนานนับเดือน 2

2.2 วาทกรรมเศรษฐกิจกับการละเลยนิเวศวิทยาลุ่มน้ำ

ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ความพยายามในการจัดการน้ำมักถูกผูกโยงเข้ากับวาระทางเศรษฐกิจอย่างแยกไม่ออก ในการประชุมคณะรัฐมนตรีและการแถลงนโยบายหลายครั้ง นายเศรษฐาและนายอนุทิน ชาญวีรกูล (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น) ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจหลัก เช่น นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ 1 แนวคิดนี้สอดคล้องกับกรอบคิดแบบเสรีนิยมใหม่ที่มองว่า "เมือง" คือเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่ต้องได้รับการปกป้องสูงสุด (Urban Bias)

อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจได้สร้างผลกระทบข้างเคียง (Externalities) ต่อพื้นที่เกษตรกรรมโดยรอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การบริหารจัดการน้ำผ่านประตูระบายน้ำและเขื่อนกั้นน้ำกลายเป็นเครื่องมือในการจัดสรร "ความแห้ง" และ "ความเปียก" ที่ไม่เท่าเทียม พื้นที่นอกคันกั้นน้ำ (Outside the dykes) ในอำเภอบางบาล ผักไห่ และเสนา กลายเป็นพื้นที่รองรับน้ำส่วนเกินเพื่อไม่ให้ไหลเข้าท่วมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและกรุงเทพมหานคร การตัดสินใจเชิงนโยบายเช่นนี้ แม้จะมีความจำเป็นในทางเศรษฐศาสตร์มหภาค แต่ในทางรัฐศาสตร์และสังคมวิทยา มันคือการผลิตซ้ำความอยุติธรรมเชิงพื้นที่ (Spatial Injustice) ที่ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่รับน้ำรู้สึกว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง 4

นายเศรษฐาตระหนักถึงปัญหานี้และพยายามผลักดันแผนการลงทุนระยะยาว เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 1 แสนล้านบาท ที่นายอนุทินเคยกล่าวถึง 6 แต่ด้วยข้อจำกัดของอายุรัฐบาลที่สั้นกว่าคาด และความขัดแย้งเชิงโครงสร้างของพรรคร่วมรัฐบาล (Grand Compromise Coalition) ทำให้โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ยังคงเป็นเพียงแผนงานในกระดาษ หรืออยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งไม่ทันต่อการรับมือฤดูน้ำหลากในปี 2568 การลงจากตำแหน่งของนายเศรษฐาด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเดือนสิงหาคม 2567 7 จึงทิ้ง "สุญญากาศทางยุทธศาสตร์" ไว้ให้รัฐบาลชุดต่อไปต้องสานต่อ ท่ามกลางสถานการณ์น้ำที่กำลังงวดเข้ามาทุกขณะ

3. นิเวศวิทยาการเมืองของอยุธยา: ความเจ็บปวดในพื้นที่ "เสียสละ"

การเลือกจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่แรกๆ ในการลงพื้นที่ของนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ในวันที่ 21 ธันวาคม 2568 มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการเลือกสรรทางยุทธศาสตร์ที่เฉียบคม เพราะอยุธยาคือ "จุดตัด" (Intersection) ของทุกปัญหาในการบริหารจัดการน้ำของไทย

3.1 ภูมิศาสตร์แห่งความเหลื่อมล้ำ: จากบางบาลถึงเสนา

อยุธยาตั้งอยู่ในจุดบรรจบของแม่น้ำสายหลักสามสาย คือ เจ้าพระยา ป่าสัก และลพบุรี ทำให้โดยธรรมชาติแล้ว พื้นที่นี้คือที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง (Floodplain) ที่อุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อความเจริญของกรุงเทพมหานครขยายตัวขึ้น และมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำ อยุธยาจึงถูกเปลี่ยนบทบาทจาก "เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ" ให้กลายเป็น "ปราการด่านหน้า" ในการหน่วงน้ำ 4

ข้อมูลจากการศึกษาทางวิชาการและการสำรวจภาคสนามระบุว่า พื้นที่ลุ่มต่ำในอำเภอบางบาล เสนา ผักไห่ และบางไทร ถูกกำหนดให้เป็น "พื้นที่รับน้ำนอง" หรือ Monkey Cheeks (แก้มลิง) ตามแผนบริหารจัดการน้ำแห่งชาติ กรมชลประทานใช้พื้นที่ทุ่งนาเหล่านี้ในการตัดยอดน้ำ (Peak Cut) เพื่อลดปริมาณน้ำที่ไหลผ่านสถานี C.29 (บางไทร) ก่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ 3

ตารางที่ 2: เปรียบเทียบสถานะ "ผู้ได้รับผลประโยชน์" และ "ผู้เสียสละ" ในระบบจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยา

มิติการเปรียบเทียบพื้นที่เศรษฐกิจ (กทม./นนทบุรี/นิคมฯ)พื้นที่รับน้ำ (อยุธยา: บางบาล/เสนา/ผักไห่)
สถานะการป้องกันป้องกันสูงสุด (คันกั้นน้ำคอนกรีต/อุโมงค์ยักษ์)ป้องกันต่ำ/จงใจให้ท่วม (Flood Retention Zone)
ระยะเวลาท่วมน้ำรอระบาย (ชั่วโมง-วัน)ท่วมขัง (3-5 เดือน)
ระดับความเสียหายทรัพย์สินบางส่วน/การจราจรบ้านเรือน/โครงสร้างพื้นฐาน/รายได้ทั้งปี
การชดเชยประกันภัย/งบ กทม.เงินเยียวยาภัยพิบัติ (ล่าช้าและไม่คุ้มค่า)
วาทกรรมศูนย์กลางความเจริญ/Smart Cityผู้เสียสละ/วิถีชีวิตชาวน้ำ

ที่มา: สังเคราะห์จากงานวิจัยด้านนิเวศวิทยาการเมืองและรายงานข่าว 4

รายงานข่าวระบุชัดเจนว่า เกษตรกรและชาวบ้านในพื้นที่เหล่านี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากการใช้ชีวิตบนถนนหรือในเต็นท์ชั่วคราวริมทางเป็นเวลานานหลายเดือน 4 สภาพความเป็นอยู่เช่นนี้ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่กำลังผลักดัน Soft Power และการท่องเที่ยว การที่นายยศชนันลงพื้นที่ในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำในทุ่งเริ่มลดลงหรือเริ่มเน่าเสีย จึงเป็นการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่โหดร้าย (Brutal Reality) ของนโยบายที่ล้มเหลวในการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเมืองและความยุติธรรมในชนบท

3.2 ความล้มเหลวของโครงสร้างพื้นฐานและการมีส่วนร่วม

ปัญหาของอยุธยาไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "ภัยจากการจัดการ" (Man-made Disaster) โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ เช่น ประตูระบายน้ำและคันกั้นน้ำ มักชำรุดทรุดโทรมหรือไม่เพียงพอต่อการรับมือกับปริมาณน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 11 นอกจากนี้ กระบวนการตัดสินใจเปิด-ปิดประตูระบายน้ำยังคงรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง (กรมชลประทานและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) โดยที่ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมน้อยมาก

บทเรียนจากปี 2554 จนถึง 2568 ชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งเรื่องการเปิดประตูระบายน้ำระหว่างชาวนาในทุ่งกับชาวบ้านในเขตเมือง หรือระหว่างจังหวัดต่อจังหวัด ยังคงดำรงอยู่และรุนแรงขึ้น 12 การขาดกลไกในการเจรจาต่อรองและการชดเชยที่เป็นธรรมและทันท่วงที (Fair and Timely Compensation) ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าถูกรัฐทอดทิ้ง ความรู้สึกนี้เป็น "ระเบิดเวลา" ทางการเมืองที่นายยศชนันต้องเข้าไปกู้สลักอย่างระมัดระวัง

4. วิกฤตการณ์ซ้อนทับในภาคเกษตร: เมื่อ "น้ำ" กลายเป็นศัตรูของ "ข้าว"

นอกจากปัญหาที่อยู่อาศัยแล้ว การบริหารจัดการน้ำที่ไร้ประสิทธิภาพยังส่งผลกระทบลูกโซ่ (Ripple Effect) ที่รุนแรงต่อระบบการผลิตข้าว ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังทางเศรษฐกิจของภาคกลาง ปัญหาที่เกษตรกรในอยุธยาและสุพรรณบุรีเผชิญไม่ใช่แค่น้ำท่วมนา แต่คือสิ่งที่ตามมาหลังจากน้ำลด นั่นคือ "ข้าวดีด" และ "มลพิษจากการเผา"

4.1 สงครามพันธุกรรม: การรุกรานของ "ข้าวดีด" (Weedy Rice)

ข้าวดีด หรือ ข้าววัชพืช (Weedy Rice) คือศัตรูพืชที่ร้ายกาจที่สุดของชาวนาภาคกลาง มันคือข้าวสายพันธุ์ป่าที่มีวิวัฒนาการทางพันธุกรรมให้สามารถแข่งขันกับข้าวปลูกได้อย่างดีเยี่ยม ข้าวดีดมีการร่วงหล่นของเมล็ดง่าย (Shattering) ทำให้เมล็ดข้าวร่วงลงดินก่อนการเก็บเกี่ยว สะสมเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ (Seed Bank) อยู่ในดิน รอเวลางอกในรอบถัดไป 13

ความสัมพันธ์ระหว่าง "น้ำท่วม" กับ "ข้าวดีด" นั้นซับซ้อนและย้อนแย้ง:

  1. การระบาดหลังน้ำท่วม: เมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่และน้ำขังเป็นเวลานาน เมล็ดพันธุ์ข้าวดีดที่มีความทนทานสูงจะสามารถพักตัวอยู่ในดินได้ดีกว่าเมล็ดพืชอื่น เมื่อน้ำลดและเกษตรกรเริ่มเตรียมดินเพื่อทำนาปรัง เมล็ดข้าวดีดเหล่านี้จะงอกขึ้นมาพร้อมกับข้าวปลูก และเนื่องจากมันมีอัตราการเจริญเติบโตที่เร็วกว่า มันจึงแย่งปุ๋ย แย่งแสง และแย่งพื้นที่ จนทำให้ผลผลิตข้าวปลูกลดลงมหาศาล งานวิจัยระบุว่าการระบาดรุนแรงอาจทำให้ผลผลิตเสียหายได้ถึง 60-74% 14

  2. น้ำเป็นเครื่องมือควบคุม: ในทางทฤษฎี การจัดการระดับน้ำ (Water Management) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการคุมข้าวดีด หากเกษตรกรสามารถขังน้ำในระดับลึก (Flooding) ในช่วงแรกของการเตรียมดิน จะสามารถยับยั้งการงอกของข้าวดีดได้ 13 แต่ปัญหาคือ ระบบชลประทานของไทยไม่สามารถส่งน้ำได้ทันเวลาและทั่วถึง หรือบางครั้งก็มีน้ำมากเกินไปจนคุมระดับไม่ได้ ทำให้เครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดนี้กลายเป็นหมัน

นายยศชนัน ซึ่งมีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ย่อมเข้าใจดีว่าปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยการแจกเงิน แต่ต้องแก้ด้วย "ความแม่นยำ" (Precision) ของระบบชลประทานและการนำเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมหรือการปรับปรุงพันธุ์พืชมาใช้ ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบทางวิชาการที่ระบุว่าข้าวดีดมีการแลกเปลี่ยนพันธุกรรมกับข้าวป่าและข้าวปลูกอยู่ตลอดเวลา (Adaptive Introgression) 15

4.2 วงจรอุบาทว์: เร่งรอบ-เผาตอซัง-ฝุ่นพิษ

ผลกระทบต่อเนื่องจากการที่พื้นที่นาถูกใช้เป็นแก้มลิงนาน 3-4 เดือน คือการที่เกษตรกรเหลือเวลาในการทำนาน้อยลง เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป เกษตรกรจำเป็นต้องเร่งรอบการปลูกข้าว (Intensive Cropping) ให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือ วิธีการที่รวดเร็วและประหยัดต้นทุนที่สุดในการเตรียมพื้นที่สำหรับการปลูกรอบใหม่คือ "การเผาตอซัง" (Stubble Burning) 16

แม้ภาครัฐจะมีมาตรการห้ามเผาและรณรงค์เรื่อง Zero Burn แต่ในทางปฏิบัติ เกษตรกรเผชิญกับข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ (Economic Constraints) ที่รัดตัว การไถกลบตอซังมีต้นทุนสูงและใช้เวลานานกว่าการเผามาก ประกอบกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน 16 การเผาจึงกลายเป็นทางเลือกที่ "สมเหตุสมผล" ในมุมมองของเกษตรกร แต่เป็นหายนะในมุมมองของสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นต้นกำเนิดของฝุ่น PM2.5 ที่ปกคลุมภาคกลางและกรุงเทพฯ ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่นายยศชนันลงพื้นที่พอดี (ธันวาคม)

การแก้ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องของการบริหารจัดการเวลาและน้ำ หากรัฐสามารถจัดการน้ำให้เกษตรกรมีเวลาเตรียมดินเพียงพอ หรือมีเทคโนโลยีช่วยย่อยสลายตอซังที่ราคาเข้าถึงได้ วงจรการเผาก็จะลดลง นี่คือโจทย์ที่ท้าทายความสามารถของ "ว่าที่นายกฯ สายวิศวะ" อย่างยิ่ง

5. ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์: นวัตกรรมอำนาจใหม่และการรีเซ็ตแบรนด์เพื่อไทย

ท่ามกลางวิกฤตที่ทับถม การปรากฏตัวของนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะผู้นำทัพคนใหม่ ถือเป็นการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ (Strategic Pivot) ของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการก้าวข้ามภาพลักษณ์เดิมๆ สู่ความทันสมัยที่จับต้องได้

5.1 จาก "ตระกูลการเมือง" สู่ "เทคโนแครตสายพันธุ์ใหม่"

นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ มิได้เป็นเพียงทายาททางการเมืองของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (น้องสาวของนายทักษิณ ชินวัตร) เท่านั้น แต่เขายังพกพาดีกรีทางวิชาการที่น่าจับตามอง ในฐานะศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface - BCI) จากมหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาเอกด้านวิศวกรรมจาก University of Texas at Arlington 18

ภูมิหลังนี้สร้างความแตกต่าง (Differentiation) อย่างชัดเจนจากนักการเมืองรุ่นก่อน นายยศชนันไม่ได้ขายภาพลักษณ์ของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบบคนรุ่นพ่อ หรือนักบริหารธุรกิจแบบนายเศรษฐา แต่เขานำเสนอภาพลักษณ์ของ "นักแก้ไขปัญหาด้วยปัญญาประดิษฐ์และระบบคิดเชิงวิศวกรรม" (Engineering Systems Thinker) การเลือกเขาขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยต้องการดึงคะแนนเสียงจากชนชั้นกลางในเมืองและคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาฐานเสียงคนเสื้อแดงผ่านสายเลือดชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์

5.2 ปรัชญาการจัดการน้ำแบบ BCI: เชื่อม "สมองกล" กับ "สายน้ำ"

แนวคิด Brain-Computer Interface (BCI) ที่นายยศชนันเชี่ยวชาญ อาจถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นกรอบคิด (Conceptual Framework) ในการบริหารประเทศและจัดการน้ำ BCI คือการสร้างช่องทางการสื่อสารโดยตรงระหว่างสมอง (ศูนย์สั่งการ) กับอุปกรณ์ภายนอก (กลไกปฏิบัติการ) โดยอาศัยการประมวลผลสัญญาณที่รวดเร็วและแม่นยำ

เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับระบบจัดการน้ำ:

  • สมอง (Brain): คือศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติที่ต้องประมวลผล Big Data จากดาวเทียม เซนเซอร์ และพยากรณ์อากาศด้วย AI

  • การเชื่อมต่อ (Interface): คือระบบโครงข่ายสื่อสารและสั่งการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำอัตโนมัติ (Automated Sluice Gates) ที่ลดความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) และความล่าช้าจากระบบราชการ

  • อุปกรณ์ (Device): คือโครงสร้างพื้นฐานทั้ง Grey Infrastructure (เขื่อน/ปั๊ม) และ Green Infrastructure (แก้มลิงธรรมชาติ) ที่ทำงานสอดประสานกัน

การลงพื้นที่เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม จึงถูกคาดหวังว่าจะเป็นการเปิดตัวนโยบาย "Smart Water Grid" หรือโครงข่ายน้ำอัจฉริยะ ที่จะเปลี่ยนอยุธยาจากเมืองที่จมน้ำ เป็นเมืองที่ "รู้ทันน้ำ" ด้วยเทคโนโลยี

6. วิเคราะห์การลงพื้นที่ 21 ธันวาคม 2568: ยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่

การเลือกลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและต่อเนื่องไปยังสุพรรณบุรี มีนัยยะทางการเมืองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการรักษาดุลอำนาจในพรรคร่วมรัฐบาลและการบริหารจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำที่เชื่อมโยงกัน

6.1 อยุธยา: การเยียวยาบาดแผลคนเสื้อแดง

อยุธยาเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดงและฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย แต่ความเจ็บปวดจากน้ำท่วมซ้ำซากทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ (Resentment) การที่นายยศชนันลงไปสัมผัสปัญหาด้วยตนเอง พร้อมรับฟังข้อเรียกร้องเรื่องค่าชดเชยและการจัดการน้ำที่เป็นธรรม เป็นการส่งสัญญาณว่า "พรรคไม่ทิ้งกัน" และพร้อมจะนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น

6.2 สุพรรณบุรี: เรียนรู้จาก "บรรหารบุรี" และกระชับมิตรพรรคร่วม

สุพรรณบุรีคือฐานที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคร่วมรัฐบาลที่มีความเหนียวแน่น ในอดีต นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้สร้างตำนานการพัฒนาจังหวัดสุพรรณบุรีให้มีระบบชลประทานและโครงสร้างพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม จนถูกเรียกว่า "บรรหารบุรี" การเดินทางไปสุพรรณบุรีของนายยศชนันจึงมีนัยยะสองประการ:

  1. การเรียนรู้ (Learning): ศึกษาโมเดลการจัดการน้ำของสุพรรณบุรีที่สามารถผันน้ำและควบคุมน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาปรับใช้หรือบูรณาการกับแผนลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาพรวม

  2. การเมือง (Politics): เป็นการให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาลและตระกูลศิลปอาชา เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลผสม (Coalition Stability) ในช่วงที่กำลังจะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีหรือปรับคณะรัฐมนตรี

6.3 บูรณาการลุ่มน้ำท่าจีน-เจ้าพระยา

ในทางอุทกวิทยา แม่น้ำท่าจีน (ที่ไหลผ่านสุพรรณบุรี) และแม่น้ำเจ้าพระยา (ที่ไหลผ่านอยุธยา) มีความเชื่อมโยงกันผ่านระบบคลองต่างๆ เช่น คลองพระยาบันลือ การจัดการน้ำในอยุธยาจะสำเร็จไม่ได้หากขาดการประสานงานกับสุพรรณบุรี การลงพื้นที่ทั้งสองจังหวัดในคราวเดียวสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการมองภาพรวมทั้งระบบ (Holistic View) เพื่อเกลี่ยน้ำและแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน แทนที่จะผลักภาระให้จังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเพียงอย่างเดียว

7. นิเวศวิทยาการเมืองและความยุติธรรม: บทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์

การเปลี่ยนตัวผู้นำจากเศรษฐาเป็นยศชนัน อาจนำมาซึ่งความหวังใหม่ แต่หากวิเคราะห์ผ่านเลนส์ของ "นิเวศวิทยาการเมือง" (Political Ecology) เราจะพบว่าโจทย์ใหญ่นั้นยากกว่าแค่เรื่องเทคโนโลยี

7.1 กับดักของ "การเมืองเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructural Politics)

งานวิจัยด้านนิเวศวิทยาการเมืองชี้ให้เห็นว่า การสร้างเขื่อนหรือประตูระบายน้ำ ไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคที่เป็นกลาง (Neutral) แต่เป็นเรื่องของการเมืองที่แฝงด้วยอำนาจ 10 การตัดสินใจว่าจะสร้างพนังกั้นน้ำที่ไหน สูงเท่าไหร่ คือการตัดสินใจว่าจะ "ปกป้องใคร" และ "ให้ใครรับน้ำ" ที่ผ่านมา รัฐไทยมักเลือกปกป้องเมืองและชนชั้นกลาง โดยผลักภาระให้ชนบทและคนจน 21

ถ้านายยศชนันนำเสนอเพียงแค่เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น (เช่น เซนเซอร์ที่ดีขึ้น ประตูน้ำไฟฟ้า) แต่ไม่ได้เปลี่ยน "ตรรกะ" (Logic) ในการจัดสรรน้ำ ความเหลื่อมล้ำก็จะยังคงอยู่ เทคโนโลยีอาจทำให้การผันน้ำเข้าทุ่งบางบาลทำได้แม่นยำขึ้น เร็วขึ้น แต่ถ้าชาวบางบาลยังคงต้องรับน้ำเหมือนเดิมโดยไม่มีสิทธิมีเสียง เทคโนโลยีนั้นก็จะเป็นเพียงเครื่องมือในการกดขี่ที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น (More efficient oppression)

7.2 ความยุติธรรมในกระบวนการ (Procedural Justice)

หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ (ใครน้ำท่วม) แต่คือกระบวนการ (ใครตัดสินใจ) 22 การจัดการน้ำในอนาคตภายใต้นโยบายของนายยศชนัน จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนในพื้นที่รับน้ำเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน (Participatory Planning) ไม่ใช่แค่รับทราบคำสั่งจากส่วนกลาง การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platforms) ที่นายยศชนันถนัด อาจเป็นช่องทางใหม่ในการทำประชามติเรื่องน้ำแบบเรียลไทม์ หรือการเจรจาต่อรองค่าชดเชยที่โปร่งใสและเป็นธรรม

8. บทสรุปและข้อเสนอแนะ: สู่รุ่งอรุณใหม่หรือเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่?

การลงพื้นที่อยุธยาและสุพรรณบุรีในวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ของนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการ "รีเซ็ต" ยุทธศาสตร์การเมืองและการบริหารจัดการน้ำของพรรคเพื่อไทย การเปลี่ยนผ่านจากยุคเศรษฐา ทวีสิน ที่เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยเงินเยียวยา มาสู่ยุคของยศชนัน ที่เน้นการใช้องค์ความรู้ทางวิศวกรรมและเทคโนโลยี เป็นความพยายามที่จะตอบโจทย์ความท้าทายที่ซับซ้อนขึ้นของศตวรรษที่ 21

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ "ยศชนันโมเดล" จะไม่ได้วัดกันที่ความล้ำสมัยของเทคโนโลยี BCI หรือ AI แต่อยู่ที่ความสามารถในการรื้อถอนโครงสร้างความไม่เป็นธรรมที่ฝังรากลึกในลุ่มน้ำเจ้าพระยา การจะเปลี่ยน "ทุ่งรับน้ำ" ให้เป็น "พื้นที่แห่งความมั่นคง" ต้องอาศัยความกล้าหาญทางนโยบายในการกระจายอำนาจ การปฏิรูปกฎหมายที่ดินและน้ำ และการสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืนให้แก่ผู้เสียสละ

หากนายยศชนันสามารถผสาน "สมองกล" เข้ากับ "หัวใจประชาธิปไตย" ได้ ปฐมบทที่อยุธยาในวันนี้ อาจนำไปสู่บทสรุปที่งดงามของการเมืองไทยในอนาคต แต่หากเทคโนโลยีถูกใช้เพียงเพื่อสร้างภาพลักษณ์ โดยละเลยมิติของคนและความยุติธรรม วิกฤตน้ำท่วมอยุธยาก็จะยังคงเป็นตำนานความขมขื่นที่เล่าขานสืบไป ไม่ต่างจากรอยคราบน้ำที่ยังคงปรากฏบนผนังวัดเก่าในกรุงศรีอยุธยา


หมายเหตุ: รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นโดยอ้างอิงข้อมูลสถานการณ์สมมติในอนาคตตามโจทย์ (ธันวาคม 2568) ผนวกกับข้อมูลข้อเท็จจริงทางวิชาการและบริบททางการเมืองที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน เพื่อฉายภาพฉากทัศน์ที่เป็นไปได้มากที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เศรษฐกิจมนุษย์ วิสัยทัศน์ใหม่ พรรควิชชั่นใหม่

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: พลวัตทางการเมืองและยุทธศาสตร์ "วิสัยทัศน์ใหม่" ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569 การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่...