วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568

หมอกควันสวนสันติภาพ กลางวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา


วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ต่อวิกฤตการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ปี พ.ศ. 2568: สาเหตุ ผลกระทบ และพลวัตความมั่นคงในภูมิภาค


ประเภทเอกสาร: รายงานวิเคราะห์ความเสี่ยงและยุทธศาสตร์ความมั่นคงระดับสูง (High-Level Strategic & Geopolitical Risk Assessment)

ความยาว: ฉบับสมบูรณ์ (Comprehensive Report)


บทนำ: ภูมิทัศน์ความขัดแย้งและนัยสำคัญทางยุทธศาสตร์ของวิกฤตการณ์ปี 2568

ในปี พ.ศ. 2568 ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีปได้เผชิญกับบททดสอบความมั่นคงครั้งสำคัญที่สุดในรอบทศวรรษ เมื่อความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง เปลี่ยนสภาพจากการเผชิญหน้าทางทหารระดับต่ำ (Low-intensity confrontation) ไปสู่การปะทะด้วยอาวุธหนักและการใช้กำลังทางอากาศอย่างเต็มรูปแบบ วิกฤตการณ์ครั้งนี้มิได้เป็นเพียงการปะทะกันเพื่อแย่งชิงพื้นที่ทับซ้อนทางภูมิศาสตร์ หรือข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือโบราณสถานดังเช่นในอดีต หากแต่เป็นผลลัพธ์ของสมการทางการเมืองภายในที่ซับซ้อนของทั้งสองประเทศ ผนวกกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงอำนาจนำในภูมิภาค และความล้มเหลวของกลไกการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่เดิม

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เจาะลึกถึง "รากเหง้า" และ "ตัวเร่ง" ของความขัดแย้งในปี 2568 โดยก้าวข้ามการรายงานสถานการณ์รายวัน ไปสู่การถอดรหัสโครงสร้างอำนาจทางการเมือง (Political Power Structure) ที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจของผู้นำทั้งสองฝ่าย ทั้งนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ของไทย และสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต ของกัมพูชา รวมถึงบทบาทของตัวแสดงภายนอกอย่างอาเซียน สหรัฐอเมริกา และจีน การวิเคราะห์จะครอบคลุมถึงมิติทางประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ได้รับการชำระสะสาง ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหภาคที่รุนแรงจากการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานข้ามพรมแดน และวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนนับแสนคน

วิกฤตการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ "สงครามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ" (Diversionary War Theory) ที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองภายในประเทศ ควบคู่ไปกับ "กับดักชาตินิยม" (Nationalist Trap) ที่ทำให้ทางออกทางการทูตเป็นไปได้ยากขึ้น รายงานนี้จะทำหน้าที่เป็นเอกสารอ้างอิงเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจพลวัตที่ซับซ้อนและเสนอแนะกรอบความคิดในการมองปัญหาที่กว้างกว่ามิติทางทหารเพียงอย่างเดียว


ส่วนที่ 1: บริบททางประวัติศาสตร์และโครงสร้างความขัดแย้ง (Historical Context and Structural Fault Lines)

เพื่อให้เข้าใจถึงความรุนแรงและรูปแบบของความขัดแย้งในปี 2568 จำเป็นต้องพิจารณาถึงรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่รอวันปะทุ ความขัดแย้งนี้มิได้เริ่มต้นในปี 2568 แต่เป็นผลพวงของการก่อตัวของรัฐชาติสมัยใหม่ (Nation-State Building) ที่ไม่สมบูรณ์ และมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคม

1.1 มรดกบาปจากยุคอาณานิคม: สนธิสัญญา ค.ศ. 1904 และ 1907

แก่นกลางของปัญหาพรมแดนไทย-กัมพูชา คือความขัดแย้งระหว่าง "หลักการสันปันน้ำ" (Watershed Principle) ซึ่งเป็นหลักการสากลในการกำหนดพรมแดนตามธรรมชาติ กับ "แผนที่ระวาง 1:200,000" ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสในช่วงที่กัมพูชาเป็นอาณานิคม สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 ถูกสร้างขึ้นในบริบทที่สยามมีความเสียเปรียบทางอำนาจอย่างมาก แผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาพนมดงรักและเขาพระวิหาร มิได้ยึดตามสันปันน้ำจริง แต่ขีดเส้นล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่สยามถือครอง เพื่อให้ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ยุทธศาสตร์ตกอยู่ในเขตอินโดจีนของฝรั่งเศส

ความคลาดเคลื่อนนี้กลายเป็น "ระเบิดเวลาทางกฎหมาย" เมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินคดีปราสาทพระวิหารในปี ค.ศ. 1962 (พ.ศ. 2505) โดยยึดถือแผนที่ของฝรั่งเศสเป็นหลักเหนือหลักสันปันน้ำ ส่งผลให้ตัวปราสาทตกเป็นของกัมพูชา แม้ไทยจะปฏิบัติตามคำตัดสินด้วยการถอนกำลัง แต่ไทยก็ได้สงวนสิทธิ์ในข้อกฎหมายไว้ และไม่ยอมรับเส้นเขตแดนในแผนที่ดังกล่าวสำหรับพื้นที่รอบข้าง ทำให้เกิด "พื้นที่ทับซ้อน" (Overlapping Claim Area) ขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกลายเป็นจุดปะทุของความขัดแย้งซ้ำซาก รวมถึงวิกฤตการณ์ในปี 2551-2554 และล่าสุดในปี 2568

1.2 ความล้มเหลวของกลไกทวิภาคี: MOU 2543 และความชะงักงัน

หลังวิกฤตการณ์ในอดีต ทั้งสองประเทศพยายามสร้างกลไกเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนร่วมกัน ผ่านบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 (ค.ศ. 2000) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก กลไกนี้สร้างคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ขึ้นเพื่อเป็นเวทีเจรจา อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ กลไกเหล่านี้มักถูกแช่แข็ง (Paralyzed) เมื่อเกิดความตึงเครียดทางการเมือง

ในปี 2568 ความล้มเหลวของกลไกเหล่านี้ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น กัมพูชาถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงด้วยการสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรและดัดแปลงภูมิประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ขณะที่ไทยก็ถูกมองว่าใช้กลไก JBC เพื่อประวิงเวลา โดยไม่ยอมรับรองผลการเจรจาเนื่องจากแรงกดดันจากกลุ่มชาตินิยมภายในประเทศ การที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้แม้แต่เรื่องพื้นฐาน เช่น การเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน (Joint Demining) กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การปักปันเขตแดนไม่มีความคืบหน้า และเปิดโอกาสให้มีการสะสมกำลังทหารในพื้นที่พิพาทจนนำไปสู่การปะทะ 4

1.3 จิตวิทยาความหวาดระแวง (Psychology of Mistrust)

ลึกลงไปกว่ามิติทางกฎหมายและภูมิศาสตร์ คือมิติทางจิตวิทยาและความทรงจำร่วมทางประวัติศาสตร์ สำหรับไทย กัมพูชามักถูกมองผ่านเลนส์ของความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ โดยเฉพาะบทบาทของตระกูลฮุน ที่มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและแปรเปลี่ยนได้กับกลุ่มการเมืองไทย ส่วนในมุมมองของกัมพูชา ไทยคือ "มหาอำนาจเพื่อนบ้าน" ที่มีประวัติศาสตร์ของการรุกรานและพยายามครอบงำ ความรู้สึกชาตินิยมที่ถูกปลูกฝังผ่านแบบเรียนและวาทกรรมทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย ทำให้ข้อพิพาทชายแดนมิใช่เรื่องของการเจรจาทางเทคนิค แต่เป็นเรื่องของ "ศักดิ์ศรีของชาติ" ที่ยอมลดราวาศอกไม่ได้ 


ส่วนที่ 2: ลำดับเหตุการณ์วิกฤตการณ์ปี 2568 (Chronology of the 2025 Conflict)

วิกฤตการณ์ปี 2568 มิได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นกระบวนการไต่ระดับความรุนแรง (Escalation Ladder) ที่เริ่มจากการยั่วยุเชิงสัญลักษณ์ไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะสำคัญดังนี้

ตารางที่ 1: ลำดับเหตุการณ์สำคัญของวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2568

ระยะเวลาเหตุการณ์สำคัญรายละเอียดและนัยสำคัญแหล่งข้อมูล
ระยะที่ 1: การก่อตัวการยั่วยุและการปะทะระลอกแรก
กุมภาพันธ์ - เมษายนสงครามสัญลักษณ์กัมพูชานำนักท่องเที่ยวร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม และมีการเผาศาลาตรีมุข รวมถึงการดัดแปลงภูมิประเทศทางทหาร ไทยเริ่มจับตามองกิจกรรมที่ผิดปกติ7
28 พฤษภาคมการปะทะที่ช่องบกเกิดการปะทะด้วยอาวุธปืนเล็ก ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ถือเป็นความสูญเสียชีวิตครั้งแรกในรอบหลายปี นำไปสู่การลดระดับความสัมพันธ์และการปิดด่านบางส่วน2
ระยะที่ 2: สงคราม"สงคราม 5 วัน" (The July War)
กรกฎาคม (ต้นเดือน)วิกฤตทุ่นระเบิดทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขาขาดในพื้นที่ลาดตระเวน ไทยกล่าวหากัมพูชาว่าลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย นำไปสู่การขับทูตและเรียกทูตกลับ7
24 กรกฎาคมสงครามเต็มรูปแบบการปะทะขยายวงกว้างตลอดแนวชายแดน ไทยใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 โจมตีทางอากาศใส่ที่ตั้งทางทหารของกัมพูชาที่ช่องอานม้า ทำลายกองบังคับการ กัมพูชาใช้จรวด BM-21 ยิงใส่พลเรือนใน จ.ศรีสะเกษ9
ระยะที่ 3: สันติภาพลวงข้อตกลงกัวลาลัมเปอร์
28 กรกฎาคมการหยุดยิงภายใต้แรงกดดันจากอาเซียนและสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงที่ปุตราจายา มาเลเซีย10
26 ตุลาคมปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ผู้นำสองประเทศลงนามข้อตกลงสันติภาพโดยมี ปธน. ทรัมป์ เป็นสักขีพยาน ตกลงถอนอาวุธหนักและตั้งผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT)4
ระยะที่ 4: แตกหักการกลับมาของการสู้รบ (ธันวาคม)
พฤศจิกายนการระงับข้อตกลงไทยประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพหลังมีเหตุทหารไทยบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดใหม่ อ้างว่ากัมพูชาไม่จริงใจในการถอนอาวุธ4
7-10 ธันวาคมสงครามระลอกใหม่กัมพูชาเปิดฉากยิงระลอกใหม่ในพื้นที่ช่องอานม้าและภูผาเหล็ก ไทยตอบโต้ด้วย "ปฏิบัติการศตวรรษ" ยึดพื้นที่ยุทธศาสตร์ช่องระยี-ปลดต่าง และช่องคนา9

2.1 การยกระดับสู่สงครามทางอากาศและการใช้อาวุธหนัก

จุดเปลี่ยนสำคัญของปี 2568 คือการที่กองทัพอากาศไทย (RTAF) ตัดสินใจใช้กำลังทางอากาศ (Airstrikes) ด้วยเครื่องบินขับไล่ F-16 ในวันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งถือเป็นการยกระดับจากการปะทะด้วยปืนใหญ่และทหารราบในอดีต การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ "การป้องปรามด้วยการลงโทษ" (Punitive Deterrence) เพื่อส่งสัญญาณว่าไทยมีความเหนือกว่าทางเทคโนโลยีและพร้อมที่จะใช้มันเพื่อยุติการคุกคาม ในทางกลับกัน กัมพูชาตอบโต้ด้วยยุทธศาสตร์อสมมาตร (Asymmetric Strategy) โดยใช้จรวดหลายลำกล้อง BM-21 ที่มีความแม่นยำต่ำแต่มีอำนาจทำลายล้างสูง ยิงเข้าใส่พื้นที่ชุมชนและโรงพยาบาลในฝั่งไทย เพื่อสร้างแรงกดดันทางจิตวิทยาและทางการเมืองต่อรัฐบาลไทย

2.2 การล่มสลายของข้อตกลงสันติภาพ

ความพยายามในการสร้างสันติภาพผ่าน "ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์" ในเดือนตุลาคม ภายใต้การไกล่เกลี่ยของมาเลเซียและสหรัฐฯ ล้มเหลวเนื่องจาก "ความไม่ไว้วางใจในระดับยุทธวิธี" (Tactical Distrust) ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ในลำดับขั้นตอนการถอนอาวุธ (Sequencing) ไทยต้องการให้กัมพูชาถอนจรวด BM-21 ก่อนเนื่องจากเป็นภัยคุกคามต่อพลเรือน ขณะที่กัมพูชาต้องการให้ไทยถอนปืนใหญ่ 155 มม. ที่มีความแม่นยำสูงก่อน ความขัดแย้งเรื่อง "ไก่กับไข่" นี้ ประกอบกับการตรวจพบการวางทุ่นระเบิดใหม่ ทำให้ข้อตกลงกลายเป็นเพียงกระดาษ และนำไปสู่การปะทะที่รุนแรงกว่าเดิมในเดือนธันวาคม 


ส่วนที่ 3: การวิเคราะห์สาเหตุเชิงลึก: ปัจจัยภายในและการเมือง (Domestic Political Drivers)

สมมติฐานหลักของรายงานฉบับนี้คือ วิกฤตการณ์ชายแดนปี 2568 มิได้เกิดจากข้อพิพาทเรื่องดินแดนเพียงอย่างเดียว แต่เป็น "สงครามเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง" (War of Political Survival) ของผู้นำทั้งสองประเทศ

3.1 ประเทศไทย: วิกฤตศรัทธาและการเปลี่ยนขั้วอำนาจ

สถานการณ์การเมืองไทยในปี 2568 อยู่ในภาวะผันผวนอย่างยิ่ง การปะทะกันตามแนวชายแดนกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดชะตากรรมของรัฐบาล

  • จุดจบของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร: ความขัดแย้งชายแดนถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย คลิปเสียงหลุดระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ในเดือนมิถุนายน ซึ่งแสดงท่าทีประนีประนอมของผู้นำไทย ถูกฝ่ายตรงข้ามตีความว่าเป็นการ "ขายชาติ" หรือ "สมรู้ร่วมคิด" กับกัมพูชา กระแสชาตินิยมที่ถูกจุดติดนำไปสู่การถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาล (ภูมิใจไทย) และจบลงด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่ง กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า "กัมพูชา" ยังคงเป็น "ของแสลง" ในการเมืองไทย และใครที่ถูกมองว่าอ่อนข้อให้กัมพูชาจะสูญเสียความชอบธรรมทันที

  • กำเนิดรัฐบาล "อนุทิน" และลัทธิความแข็งกร้าว: นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จำเป็นต้องสร้างฐานอำนาจใหม่ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง เพื่อความอยู่รอด นายอนุทินจึงเลือกใช้ยุทธศาสตร์ "สันติภาพด้วยความแข็งแกร่ง" (Peace Through Strength)  การแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกัมพูชา การสั่งการให้ตอบโต้ทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ และการประกาศไม่เจรจาจนกว่ากัมพูชาจะหยุดยิง ช่วยให้เขาสามารถ:

    1. ดึงเสียงสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกองทัพ

    2. กลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความล้มเหลวในการจัดการน้ำท่วมและเศรษฐกิจ

    3. ใช้สถานะ "ภาวะสงคราม" เพื่อชะลอการยุบสภาและการเลือกตั้งออกไป ทำให้รัฐบาลมีอำนาจบริหารประเทศต่อไปภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน 

3.2 กัมพูชา: การถ่ายโอนอำนาจและการสร้างบารมีของ "ฮุน มาเนต"

ในฝั่งกัมพูชา วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อที่ละเอียดอ่อนของการสืบทอดอำนาจ

  • ความท้าทายของผู้นำใหม่: สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต แม้จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ยังคงต้องพิสูจน์บารมี (Charisma) และความสามารถในการปกป้องอธิปไตยของชาติ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากทั้งกองทัพและประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ การเผชิญหน้ากับไทย—ศัตรูทางประวัติศาสตร์—เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการสร้างความสามัคคีภายในชาติ (Rally-round-the-flag effect)

  • เงาของ "ฮุน เซน": บทบาทของ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภา ยังคงโดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจทางทหาร การที่หน่วยองครักษ์ (Bodyguard Unit - BHQ) ซึ่งขึ้นตรงต่อตระกูลฮุน เข้ามาร่วมรบโดยตรง สะท้อนว่าสงครามนี้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีตระกูลพอๆ กับศักดิ์ศรีของรัฐ กัมพูชาใช้วิกฤตนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาเศรษฐกิจภายใน และเพื่อแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาภายใต้ผู้นำใหม่จะไม่ยอมตกอยู่ใต้อิทธิพลของไทย


ส่วนที่ 4: มิติทางการทหารและยุทธวิธี (Military Dimensions and Tactics)

การปะทะในปี 2568 แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของการรบในสมรภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผสมผสานระหว่างสงครามตามแบบและเทคโนโลยีสมัยใหม่

4.1 ความไม่สมดุลของกำลังรบ (Asymmetric Capabilities)

  • กองทัพไทย: เน้นการใช้ "ความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี" (Technological Superiority) การใช้เครื่องบิน F-16 ในภารกิจโจมตีทางอากาศเชิงลึก (Deep Strike) เพื่อทำลายศูนย์บัญชาการและตัดเส้นทางส่งกำลังบำรุงของกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถในการรบร่วม (Joint Operations) ระหว่างทหารบกและทหารอากาศ นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบปืนใหญ่ที่มีความแม่นยำสูงในการยิงตอบโต้แบบ Counter-battery fire 

  • กองทัพกัมพูชา: เน้นยุทธวิธี "ปฏิเสธการเข้าถึงพื้นที่" (Area Denial) และ "การสร้างความเสียหายวงกว้าง" กัมพูชาพึ่งพาปืนใหญ่สนามและจรวดหลายลำกล้อง (BM-21 Grad) ซึ่งมีความคล่องตัวสูงในการยิงแล้วย้ายฐาน (Shoot and Scoot) เพื่อหลบหลีกการตอบโต้ของไทย นอกจากนี้ ยังมีการนำโดรน (UAV) มาใช้ในการตรวจการณ์และชี้เป้า ซึ่งช่วยลดข้อด้อยด้านการข่าวกรองลงได้บ้าง

4.2 ยุทธการทุ่นระเบิด (Landmine Warfare)

ประเด็นที่สร้างความขัดแย้งรุนแรงที่สุดคือ "ทุ่นระเบิด" ไทยอ้างว่ากัมพูชาใช้ยุทธวิธีลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (PMN-2) ในพื้นที่ลาดตระเวนของไทย ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาและข้อตกลงทวิภาคี การใช้ทุ่นระเบิดใหม่นี้มีเป้าหมายทางยุทธวิธีเพื่อจำกัดการเคลื่อนที่ของทหารราบไทย และเป้าหมายทางจิตวิทยาเพื่อบั่นทอนขวัญกำลังใจ การที่ไทยยื่นเรื่องให้สหประชาชาติตรวจสอบข้อเท็จจริง (UN Fact-Finding Mission) ถือเป็นการใช้มาตรการทางการทูตควบคู่กับการทหารเพื่อกดดันกัมพูชาในเวทีโลก

4.3 ภูมิศาสตร์ยุทธศาสตร์ (Strategic Geography)

การรบกระจายตัวใน 3 พื้นที่หลัก ซึ่งแต่ละพื้นที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่างกัน:

  1. สามเหลี่ยมมรกต (ช่องบก/ช่องอานม้า): จุดบรรจบของพรมแดนไทย-ลาว-กัมพูชา เป็นพื้นที่สูงข่มที่สามารถตรวจการณ์และควบคุมเส้นทางคมนาคมเข้าสู่ที่ราบเขมรต่ำได้ ฝ่ายที่ครองพื้นที่นี้จะได้เปรียบในการรุกและรับ

  2. ปราสาทตาเมือน/ตาควาย: พื้นที่นี้มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์และจิตวิทยา การรบที่นี่มักเป็นการรบระยะประชิดของทหารราบ เพื่อแย่งชิงการควบคุมตัวปราสาท

  3. เขาพระวิหาร (ภูมะเขือ): เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ดั้งเดิมที่มีการวางกำลังหนาแน่นทั้งสองฝ่าย การยิงปะทะในพื้นที่นี้มักใช้อาวุธหนักยิงข้ามยอดเขา 


ส่วนที่ 5: ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม (Socio-Economic Impacts)

ผลกระทบของสงครามครั้งนี้ขยายวงกว้างเกินกว่าสนามรบ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศอย่างรุนแรง

ตารางที่ 2: สรุปผลกระทบทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรม

ตัวชี้วัดข้อมูลสถิติ/สถานการณ์ผลกระทบและนัยสำคัญแหล่งข้อมูล
การค้าชายแดนลดลง 99.5%มูลค่าการค้าหายไปกว่า 500 ล้านบาทต่อวัน ด่านศุลกากรหลัก (คลองลึก, ช่องจอม) เป็นอัมพาต20
ห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรตกค้างมันสำปะหลังและข้าวโพดจากกัมพูชาเน่าเสีย สินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยขาดแคลนในกัมพูชา ส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูง21
ผู้พลัดถิ่น (IDPs)รวมกว่า 530,000 คน

ไทย: ~400,000 คน (ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์)


กัมพูชา: ~130,000 คน

10
การท่องเที่ยวซบเซาอย่างหนักนักท่องเที่ยวในกัมพูชาหายไป 70% ตลาดหุ้นไทยกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีกผันผวน23
โครงสร้างพื้นฐานเสียหายโรงพยาบาล (รพ.พนมดงรัก), บ้านเรือน, และโบราณสถาน (เครนก่อสร้างเขาพระวิหาร) ถูกทำลาย9

5.1 วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจชายแดน

การค้าชายแดนซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจในจังหวัดอีสานใต้และภาคตะวันตกของกัมพูชาได้พังทลายลง การปิดด่านพรมแดนไม่เพียงแต่หยุดการไหลเวียนของสินค้า แต่ยังทำลายระบบเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) ที่หล่อเลี้ยงประชาชนรากหญ้า แรงงานกัมพูชานับหมื่นคนไม่สามารถข้ามมาทำงานในไทยได้ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรและก่อสร้างของไทย ขณะที่ฝั่งกัมพูชาต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อเนื่องจากขาดแคลนสินค้าจำเป็นและน้ำมันเชื้อเพลิงจากไทย 21

5.2 โศกนาฏกรรมทางมนุษยธรรม

การอพยพประชาชนกว่าครึ่งล้านคนออกจากพื้นที่สู้รบสร้างภาระมหาศาลให้กับรัฐบาลท้องถิ่น ศูนย์พักพิงชั่วคราวมีความแออัดและเสี่ยงต่อโรคระบาด สภาพจิตใจของผู้พลัดถิ่นย่ำแย่จากการสูญเสียที่อยู่อาศัยและวิถีชีวิต นอกจากนี้ การปิดโรงเรียนกว่า 1,200 แห่งตามแนวชายแดนยังส่งผลกระทบระยะยาวต่อการศึกษาของเยาวชน  การที่โรงพยาบาลตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี (แม้จะอ้างว่าเป็นลูกหลง) ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่ร้ายแรง


ส่วนที่ 6: บทบาทของตัวแสดงระหว่างประเทศและความล้มเหลวของการทูต (International Dimensions)

วิกฤตการณ์ปี 2568 เปิดเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดของกลไกระหว่างประเทศในการจัดการความขัดแย้งในภูมิภาค

6.1 อาเซียน: เสือกระดาษ?

มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปี 2568 ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการไกล่เกลี่ย แต่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของอาเซียน คือหลักการ "ไม่แทรกแซงกิจการภายใน" (Non-interference) และกระบวนการตัดสินใจที่ต้องใช้ฉันทามติ (Consensus) ไทยซึ่งเป็นสมาชิกก่อตั้งอาเซียน ยืนกรานปฏิเสธการแทรกแซงจากภายนอกในระยะแรก โดยมองว่าเป็นปัญหาระดับทวิภาคี ทำให้อาเซียนไม่สามารถส่งทีมผู้สังเกตการณ์ (AOT) เข้าพื้นที่ได้ทันท่วงที ความล้มเหลวนี้ตอกย้ำว่าเมื่อเกิดความขัดแย้งทางการทหารระหว่างสมาชิก อาเซียนมักไม่มีเครื่องมือบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ 

6.2 สหรัฐอเมริกาและ "ทรัมป์ 2.0"

การเข้ามามีบทบาทของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการผลักดันข้อตกลงสันติภาพเดือนตุลาคม สะท้อนถึงนโยบายต่างประเทศแบบ "Transactionalist" ทรัมป์ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ (ขู่ขึ้นภาษี) บีบให้ทั้งสองฝ่ายลงนามในข้อตกลง แต่แนวทางนี้แก้ปัญหาได้เพียงเปลือกนอก เมื่อแรงกดดันจางหายไปและผลประโยชน์ทางการเมืองภายในกลับมามีน้ำหนักมากกว่า ปัญหาก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง การพึ่งพาตัวบุคคล (Personality-driven diplomacy) มากกว่ากลไกสถาบัน ทำให้ความยั่งยืนของข้อตกลงมีน้อย

6.3 จีน: ผู้สังเกตการณ์ผู้ทรงอิทธิพล

จีนวางตัวลำบากในความขัดแย้งนี้ เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทั้งสองประเทศ ในด้านหนึ่ง กัมพูชาคือพันธมิตรที่ "เหล็กไหล" (Ironclad friend) ของจีน แต่ไทยก็เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง จีนเลือกที่จะสนับสนุนการเจรจาอยู่เบื้องหลังมากกว่าการเข้าแทรกแซงโดยตรง เพื่อรักษาดุลอำนาจและผลประโยชน์ในโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) ที่ต้องผ่านทั้งสองประเทศ 


ส่วนที่ 7: ข้อเสนอทางออกและแนวคิด "สวนสันติภาพ" (The Peace Park Proposal)

ท่ามกลางเสียงปืน ได้มีการรื้อฟื้นแนวคิด "สวนสันติภาพ" (Peace Park) ขึ้นมาอีกครั้งโดยภาคประชาสังคมและนักวิชาการ เพื่อเป็นทางออกระยะยาว

7.1 แนวคิดและหลักการ

แนวคิดนี้เสนอให้เปลี่ยนพื้นที่พิพาททางทหาร (Killing Fields) ให้เป็นพื้นที่แห่งความร่วมมือ (Living Fields) โดยการจัดตั้ง "อุทยานสันติภาพนานาชาติ" ครอบคลุมพื้นที่กลุ่มปราสาทและเทือกเขาพนมดงรัก โมเดลนี้อ้างอิงความสำเร็จจากกรณีพิพาทเอกวาดอร์-เปรู โดยเสนอให้:

  • ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ไข่แดง (Demilitarized Zone)

  • บริหารจัดการพื้นที่ร่วมกัน (Joint Management) เพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและมรดกโลก

  • ใช้กลไกการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนทั้งสองฝั่ง ลดแรงจูงใจในการรบ

7.2 ความเป็นไปได้และอุปสรรค

แม้จะเป็นแนวคิดที่มีอุดมการณ์ที่ดี แต่ในทางปฏิบัติเผชิญอุปสรรคใหญ่หลวง:

  1. กับดักอธิปไตย: ฝ่ายความมั่นคงของทั้งสองประเทศมองว่าการ "บริหารร่วม" คือการ "ยอมเสียดินแดน" ทางอ้อม

  2. ความไม่ไว้วางใจ: การขาดความเชื่อใจทำให้ไม่มีฝ่ายใดยอมถอนทหารก่อน เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสยึดพื้นที่

  3. วาทกรรมชาตินิยม: ในภาวะที่กระแสชาตินิยมขึ้นสูง การเสนอเรื่องสันติภาพมักถูกโจมตีว่าเป็นพวก "โลกสวย" หรือ "ไม่รักชาติ" 

อย่างไรก็ตาม หากมองข้ามความขัดแย้งระยะสั้น แนวคิดนี้อาจเป็น "ทางลง" (Exit Strategy) เดียวที่ยั่งยืนสำหรับทั้งสองฝ่ายในอนาคต เมื่อต้นทุนของสงครามเริ่มสูงเกินกว่าผลประโยชน์ทางการเมือง


บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต (Conclusion and Future Outlook)

วิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2568 เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดว่า "ประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ชำระ" สามารถถูกปลุกขึ้นมาเป็นปีศาจได้เสมอเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเอื้ออำนวย

สรุปประเด็นสำคัญ

  1. สงครามเพื่อการเมือง: สาเหตุที่แท้จริงของการปะทะรอบใหม่มิใช่เรื่องพื้นที่ แต่เป็นเรื่องความมั่นคงของระบอบการเมืองในกรุงเทพฯ และพนมเปญ

  2. ความล้มเหลวของการป้องปราม: การสะสมอาวุธและความแข็งกร้าวทางทหาร ไม่ได้นำมาซึ่งสันติภาพ แต่กลับนำมาซึ่งการยกระดับความรุนแรง (Escalation)

  3. ราคาที่ต้องจ่าย: ประชาชนตามแนวชายแดนคือผู้แบกรับต้นทุนของความขัดแย้ง ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และโอกาสทางเศรษฐกิจ

ฉากทัศน์ปี 2569 (Scenarios for 2026)

  • ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้มากที่สุด (Status Quo Antagonism): การปะทะประปรายยังคงดำเนินต่อไป กลายเป็น "ความขัดแย้งแช่แข็ง" (Frozen Conflict) รัฐบาลไทยจะใช้สถานการณ์นี้เพื่อประคองอำนาจจนกว่าจะมั่นใจในเสถียรภาพ แล้วจึงค่อยๆ ลดระดับความรุนแรงลง

  • ฉากทัศน์ทางออก: การเจรจาจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมี "คนกลาง" ที่ทรงอิทธิพลพอ (อาจเป็นจีนร่วมกับสหรัฐฯ) และเมื่อผู้นำทั้งสองฝ่ายได้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองภายในของตนแล้ว การจัดตั้ง "เขตปลอดทหาร" และการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน (Joint Demining) จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจคืนมา

วิกฤตการณ์นี้ย้ำเตือนว่า สันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเปราะบาง และ "อธิปไตย" ยังคงเป็นวาทกรรมที่ทรงพลังที่สุดในการขับเคลื่อนความขัดแย้ง หรือสร้างความสามัคคี ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้นำว่าจะเลือกใช้มันในทิศทางใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปัญจวัคคีย์: โปลิตบูโรแห่งพุทธศาสนายุคต้น

วิเคราะห์ถอดบทเรียนจากธัมเมกขสถูปสารนาถ: ปัญจวัคคีย์ “โปลิตบูโร” แห่งพุทธศาสนายุคต้น บทนำ: พาราไดม์ใหม่แห่งการบริหารจัดการองค์กรสงฆ์ในพุทธกา...