ภาพจำของเด็กในศูนย์พักพิงสะท้อนออกมาจากภาพวาดทางศิลปะต่อสถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา: กรณีศึกษาศูนย์พักพิงชั่วคราวอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ
1. บทนำ: ภูมิทัศน์แห่งความขัดแย้งและผลกระทบต่อเยาวชน
สถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) มิใช่เพียงเหตุการณ์ปะทะทางทหารที่จำกัดวงอยู่ในพื้นที่ยุทธวิธี แต่ได้ขยายวงกว้างกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางมนุษยธรรมที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อโครงสร้างสังคมและจิตวิทยาของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเปราะบางที่สุดคือ "เด็กและเยาวชน" การปะทะกันด้วยอาวุธหนัก การใช้กำลังทางอากาศด้วยเครื่องบินขับไล่ F-16 และการระดมยิงปืนใหญ่ข้ามพรมแดนในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์
อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งตั้งอยู่ในฐานะพื้นที่แนวหลัง ได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการรองรับผู้อพยพจากพื้นที่เสี่ยงภัย การจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ณ วัดและพื้นที่สาธารณะในอำเภอปรางค์กู่ จึงเป็นมากกว่าการจัดหาที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่ "ภาพจำ" (Mental Representations) ของเด็ก ๆ เกี่ยวกับสงคราม สันติภาพ และฮีโร่ ถูกประกอบสร้างและถ่ายทอดออกมาผ่านกิจกรรมทางศิลปะ รายงานฉบับนี้มุ่งสำรวจปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านการวิเคราะห์ภาพวาดของเด็กในศูนย์พักพิงอำเภอปรางค์กู่ โดยใช้กรอบแนวคิดทางศิลปบำบัด (Art Therapy) และสัญวิทยาสังคม (Social Semiotics) เพื่อถอดรหัสความหมายที่ซ่อนอยู่ในลายเส้น สีสัน และองค์ประกอบศิลป์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการรับรู้ (Cognitive Processing) และกลไกการป้องกันทางจิตใจ (Defense Mechanisms) ของเด็กไทยในภาวะวิกฤต
2. บริบทสถานการณ์และการอพยพ: จากแนวปะทะสู่พื้นที่พักพิง
2.1 พลวัตของความขัดแย้งระลอกใหม่ในเดือนธันวาคม 2568
ความขัดแย้งในปี 2568 มีลักษณะที่แตกต่างจากวิกฤตการณ์เขาพระวิหารในอดีต (เช่น ปี 2551 หรือ 2554) ตรงที่มีระดับความรุนแรงของยุทโธปกรณ์ที่สูงขึ้น ข้อมูลเชิงประจักษ์บ่งชี้ว่ามีการใช้อากาศยานรบ F-16 ของกองทัพอากาศไทยในการปฏิบัติการตอบโต้ ซึ่งสร้างเสียงกัมปนาทที่ได้ยินไปทั่วพื้นที่รอยต่อจังหวัดศรีสะเกษและกัมพูชา
2.2 นิเวศวิทยาของศูนย์พักพิงอำเภอปรางค์กู่
อำเภอปรางค์กู่ แม้จะไม่ได้อยู่ติดเส้นเขตแดนโดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) รองรับผู้อพยพจากอำเภอภูสิงห์และกันทรลักษ์ การเลือกใช้ "วัดระกา ตำบลพิมาย" เป็นที่ตั้งของศูนย์พักพิงชั่วคราว
3. กรอบแนวคิดทฤษฎี: ศิลปะในฐานะพยานหลักฐานทางจิตสังคม
3.1 สัญวิทยาสังคมในศิลปะเด็ก (Social Semiotics of Children’s Art)
ตามแนวคิดของ Kress และ van Leeuwen (2006) ภาพวาดไม่ใช่เพียงผลผลิตของจินตนาการส่วนบุคคล แต่เป็น "วาทกรรมทางสังคม" (Social Discourse) เด็กไม่ได้วาดสิ่งที่เขา "เห็น" ด้วยตาเพียงอย่างเดียว แต่วาดสิ่งที่เขา "รู้" และ "รู้สึก" (Intellectual Realism)
3.2 จิตวิทยาสังคมและกลไก "บุญคุณ" (Bunkhun)
สังคมไทยมีโครงสร้างความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ที่เน้นเรื่อง "บุญคุณ" และความกตัญญู
4. วิเคราะห์ "ภาพจำ" ผ่านกรณีศึกษาภาพวาดในศูนย์พักพิง
จากการวิเคราะห์ภาพวาด (Visual Analysis) ของเด็กในศูนย์พักพิงอำเภอปรางค์กู่ ที่สะท้อนผ่านผลงานศิลปะหลากหลายชิ้น สามารถจำแนกแก่นเรื่องหลัก (Key Themes) และถอดรหัสสัญลักษณ์ได้ดังนี้:
4.1 วาทกรรม "ฮีโร่" และทหารผู้ปกป้อง (The Hero Narrative)
ภาพวาดจำนวนมาก (Image 1, 2, 4) นำเสนอภาพลักษณ์ของทหารไทยในฐานะ "วีรบุรุษ" อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับปฏิบัติการทางจิตวิทยาและมวลชนสัมพันธ์ (Civil Affairs) ของกองทัพที่มักเข้าไปทำกิจกรรมกับเด็กในพื้นที่ขัดแย้ง
ทหารในอุดมคติ (Image 1): ภาพเด็กหญิงอนัญญาวาดภาพทหารสวมชุดเครื่องแบบเต็มยศ ยืนตระหง่านคู่กับแผนที่ประเทศไทยและเครื่องบิน F-16 พร้อมข้อความภาษาอังกฤษว่า "You are our true heroes (คุณคือฮีโร่ตัวจริง)" และภาษาไทย "ไทยรักสงบ" การเลือกใช้คำว่า "True Heroes" สะท้อนถึงการรับรู้ที่เด็กมีต่อทหารว่าไม่ใช่ผู้รุกราน แต่เป็นผู้เสียสละ ท่าทางการยืนของทหารที่มั่นคงและใบหน้าที่ยิ้มแย้ม (แม้อยู่ในสนามรบ) เป็นการฉายภาพความปรารถนา (Wish Fulfillment) ของเด็กที่ต้องการให้ผู้ปกป้องมีความเข้มแข็งและใจดี
ความสัมพันธ์แบบ "พี่-น้อง" (Image 2, 4): ภาพทหารที่วาดออกมาในลักษณะตัวการ์ตูนน่ารัก (Chibi style) หรือทหารที่โบกมือทักทาย (Image 4) ลดทอนความน่ากลัวของสงครามลง เด็กพยายาม "ทำให้เชื่อง" (Tame) ความรุนแรงผ่านลายเส้นที่นุ่มนวล นี่คือกุศโลบายทางจิตใจในการจัดการกับความกลัว โดยเปลี่ยนภาพทหารที่ถือปืนจริงให้กลายเป็นตัวละครที่เข้าถึงได้และเป็นมิตร
4.2 อาวุธยุทโธปกรณ์: สัญลักษณ์แห่งอำนาจและความปลอดภัย
สิ่งที่น่าสนใจคือการปรากฏของอาวุธสงครามสมัยใหม่ในภาพวาดของเด็กอย่างละเอียดลออ (Image 1, 3, 4, 6) ซึ่งสะท้อนถึงการสังเกตการณ์ที่เฉียบคมและการรับรู้ถึงภัยคุกคาม
พลานุภาพของ F-16 (Image 1, 3): ภาพเครื่องบินรบ F-16 ที่บินอยู่เหนือแผนที่ประเทศไทยหรือปราสาทเขาพระวิหาร เป็นภาพสะท้อนโดยตรงจากเหตุการณ์จริงที่มีการใช้กำลังทางอากาศ
2 เด็กวาดเครื่องบินเหล่านี้ไม่ใช่ในฐานะภัยคุกคามต่อตนเอง แต่เป็น "เครื่องมือปกป้อง" ที่ทรงพลัง เส้นความเร็ว (Motion lines) ที่วาดประกอบเครื่องบินแสดงถึงความรวดเร็วและเสียงที่ดังสนั่น ซึ่งเป็นประสบการณ์ทางผัสสะ (Sensory Experience) ที่เด่นชัดที่สุดสำหรับเด็กในพื้นที่ปะทะรถถังและปืนใหญ่ (Image 3, 4, 6): การวาดรถถังสีเขียว (Image 6) หรือรถบรรทุกติดตั้งจรวดหลายลำกล้อง (Image 4) แสดงให้เห็นว่าเด็กได้รับรู้ถึง "เทคโนโลยี" ของสงคราม การวาดรายละเอียดของล้อสายพานหรือปากกระบอกปืน ชี้ให้เห็นว่าเด็กให้ความสนใจกับวัตถุเหล่านี้ในฐานะสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง (Strength) ที่จะปกป้องพวกเขาจากอันตรายภายนอก
4.3 ชาตินิยมและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ (Nationalism and Sacred Space)
ภาพวาดของเด็กในศูนย์พักพิงไม่ได้มีเพียงเรื่องราวปัจจุบัน แต่ยังเชื่อมโยงกับมิติทางประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ของชาติ
ช้างเอราวัณสามเศียร (Image 2): ภาพช้างสามเศียรซึ่งเป็นพาหนะของพระอินทร์และมีความเชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ในอดีตของธงชาติลาวและสยาม รวมถึงพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
16 ปรากฏในภาพวาดของเด็กพร้อมกับทหารถือธงชาติไทย การนำสัตว์ในตำนานมาอยู่ร่วมกับทหารยุคปัจจุบัน เป็นการผสาน "อำนาจศักดิ์สิทธิ์" (Divine Power) เข้ากับ "อำนาจทางทหาร" (Military Power) เด็กอาจกำลังสื่อสารถึงการปกป้องคุ้มครองประเทศด้วยอำนาจที่เหนือธรรมชาติปราสาทเขาพระวิหาร (Image 3): ภาพปราสาทที่วาดอย่างวิจิตรบรรจงพร้อมธงชาติไทย สะท้อนปมขัดแย้งเรื่องดินแดนที่เป็นแกนกลางของสงคราม
19 เด็กรับรู้ผ่านวาทกรรมของผู้ใหญ่ว่าสถานที่แห่งนี้คือ "ของไทย" ที่ต้องหวงแหน การวาดปราสาทให้อยู่ภายใต้การคุ้มกันของเฮลิคอปเตอร์และรถถัง เป็นการประกาศกรรมสิทธิ์ทางจินตนาการ (Imaginative Ownership) เหนือพื้นที่พิพาท
4.4 ข้อความและวาทกรรม "ไทยรักสงบ"
ข้อความที่ปรากฏซ้ำๆ ในภาพวาด เช่น "ไทยรักสงบ" (Image 1), "ไทยนี้รักสงบ" (Image 3), หรือ "ขอให้ทหารไทยทุกนายปลอดภัย" (Image 4) สะท้อนถึงการกล่อมเกลาทางสังคมผ่านบทเพลงชาติและค่านิยมหลักของไทย อย่างไรก็ตาม การเขียนคำว่า "รักสงบ" ควบคู่ไปกับการวาดภาพอาวุธสงครามร้ายแรง นำเสนอความย้อนแย้ง (Irony) ที่เด็กอาจไม่ตระหนักรู้ แต่สะท้อนตรรกะของผู้ใหญ่ที่ว่า "รบเพื่อสันติภาพ" (Fighting for Peace) ซึ่งเด็กได้รับมาและผลิตซ้ำในงานศิลปะของตน
5. การวิเคราะห์บรรยากาศและกระบวนการทางศิลปะ (Process Analysis)
5.1 พื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจในวงล้อมศิลปะ (The Art Circle as Safe Space)
ภาพบรรยากาศการวาดภาพ (Image 5, 9) แสดงให้เห็นเด็กๆ นั่งล้อมวงบนโต๊ะม้าหินอ่อน หรือนั่งกับพื้น ตั้งใจจดจ่ออยู่กับการวาดภาพ โดยมีอุปกรณ์เครื่องเขียนวางอยู่ตรงกลาง
สมาธิท่ามกลางวิกฤต (Focus amidst Crisis): สีหน้าของเด็กในภาพ (Image 5) แสดงความมุ่งมั่นและจดจ่อ (Concentration) ภาวะนี้เรียกว่า "Flow State" ซึ่งช่วยให้เด็กหลุดพ้นจากความวิตกกังวลในสถานการณ์ปัจจุบันชั่วคราว การวาดภาพกลายเป็นเครื่องมือในการจัดการอารมณ์ (Emotional Regulation) ช่วยให้ระดับความเครียดลดลง
21 ชุมชนแห่งการเยียวยา (Healing Community): การวาดภาพร่วมกันเป็นกลุ่ม (Image 9) สร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Social Cohesion) เด็กๆ ได้เห็นว่าเพื่อนๆ ก็วาดภาพทหารหรืออาวุธเหมือนกัน ซึ่งช่วยยืนยันความรู้สึก (Validate Feelings) ว่าความกลัวหรือความสนใจในเรื่องสงครามเป็นเรื่องปกติที่แบ่งปันกันได้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องแบกรับไว้คนเดียว
5.2 ความแตกต่างทางเพศสรีระในงานศิลปะ (Gender Nuances)
จากการสังเกต (Image 9) พบว่าเด็กผู้หญิงบางคนเลือกวาดภาพตัวการ์ตูนผู้หญิงที่มีตาโตน่ารัก หรือภาพดอกไม้และธรรมชาติ ในขณะที่เด็กผู้ชาย (Image 5, 1, 3) มีแนวโน้มวาดภาพการสู้รบและอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่า
เด็กผู้ชาย: มักใช้ศิลปะเพื่อ "จำลองการต่อสู้" (Re-enactment) เพื่อสร้างความรู้สึกควบคุมสถานการณ์และแสดงออกถึงความก้าวร้าวในเชิงบวก (Assertiveness)
23 เด็กผู้หญิง: มักใช้ศิลปะเพื่อสร้าง "โลกในอุดมคติ" หรือพื้นที่ที่สวยงามปลอดภัย (Idealized Safe Place) เพื่อหลีกหนีจากความจริงที่โหดร้าย และเน้นเรื่องความสัมพันธ์และการดูแล (Care and Relationship)
23
6. นัยสำคัญทางสังคมและวัฒนธรรม: การตีความเชิงลึก
6.1 วัฒนธรรม "เกรงใจ" และการแสดงออกทางอารมณ์
ในวัฒนธรรมไทย ความรู้สึก "เกรงใจ" (Kreng Jai) และการเคารพผู้ใหญ่ เป็นบรรทัดฐานที่เข้มแข็ง
6.2 การผลิตซ้ำภาพจำของรัฐชาติ (Reproduction of State Ideology)
ภาพวาดเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ระบบการศึกษาและสื่อของไทยประสบความสำเร็จในการปลูกฝังอุดมการณ์รัฐชาติ แม้ในยามวิกฤต เด็กๆ ยังคงยึดมั่นในสัญลักษณ์ของชาติ (ธงไตรรงค์, แผนที่ขวานทอง) และสถาบันทหาร ในฐานะที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว การที่เด็กวาดภาพแผนที่ประเทศไทยอย่างชัดเจน (Image 1, 3) แสดงถึงความตระหนักรู้ใน "ขอบเขตของชาติ" (National Boundaries) ที่กำลังถูกคุกคาม ซึ่งเป็นแนวคิดนามธรรมที่ถูกทำให้เป็นรูปธรรมผ่านประสบการณ์สงคราม
7. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
บทสรุป
ภาพจำของเด็กในศูนย์พักพิงอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ที่สะท้อนผ่านงานศิลปะในช่วงวิกฤตการณ์ชายแดนปี 2568 เผยให้เห็นพลวัตที่ซับซ้อนระหว่าง "ความไร้เดียงสา" กับ "ความรุนแรง" เด็กๆ ไม่ได้เพียงแต่วาดภาพสิ่งที่เห็น แต่พวกเขากำลัง "จัดการ" (Process) กับความจริงที่โหดร้ายผ่านจินตนาการ ภาพทหารฮีโร่ เครื่องบิน F-16 และปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ได้เป็นเพียงรูปวาด แต่เป็นกลไกทางจิตวิทยาในการสร้างความมั่นคงทางใจ การยืนยันตัวตนของชาติ และการแสดงความขอบคุณต่อผู้ปกป้อง ภายใต้บริบทของวัฒนธรรมไทยที่เน้นความกตัญญูและความสามัคคี
ข้อเสนอแนะ
การอ่านใจผ่านภาพวาด: ผู้ดูแลศูนย์พักพิงและครูควรใช้ภาพวาดเป็นเครื่องมือในการประเมินสุขภาพจิตเด็ก (Mental Health Screening) เด็กที่วาดภาพความรุนแรงซ้ำๆ หรือใช้สีดำ/แดงในปริมาณมาก อาจต้องการการดูแลเป็นพิเศษเพื่อป้องกันภาวะ PTSD
พื้นที่ปลอดภัยที่ยั่งยืน: ควรจัดให้มีกิจกรรมศิลปะอย่างต่อเนื่องในศูนย์พักพิง ไม่ใช่เพียงเพื่อความบันเทิง แต่เพื่อเป็นพื้นที่ระบายความเครียด (Cathartic Space) โดยมีนักจิตวิทยาหรือผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ
การสื่อสารความจริง: ควรมีการอธิบายสถานการณ์ให้เด็กฟังด้วยภาษาที่เหมาะสม เพื่อลดความสับสนและจินตนาการที่น่ากลัวเกินจริง ซึ่งอาจสะท้อนออกมาในรูปแบบของภาพวาดปีศาจหรือการทำลายล้างที่ไร้ขอบเขต
ตารางที่ 1: การวิเคราะห์องค์ประกอบสัญญะในภาพวาดเด็ก (Semiotic Matrix of Children's War Art)
| องค์ประกอบสัญญะ (Signifier) | ความหมายบ่งชี้ (Denotation) | ความหมายแฝง/นัยยะทางจิตสังคม (Connotation & Psychosocial Implication) | บริบทความเชื่อมโยง (Contextual Link) |
| เครื่องบิน F-16 / เครื่องบินรบ | อากาศยานทหาร, การโจมตีทางอากาศ | อำนาจที่เหนือกว่า, เสียงที่น่ากลัว (Trauma Trigger), เทคโนโลยีแห่งการปกป้อง, ความรวดเร็ว | การใช้กำลังทางอากาศของกองทัพไทยในปี 2568 |
| ทหารไทย (เครื่องแบบเขียว/ลายพราง) | เจ้าหน้าที่ทหาร, ผู้ถืออาวุธ | "ฮีโร่" (Hero), ผู้ปกป้อง (Guardian), ตัวแทนของพ่อ (Father Figure), ความกตัญญู (Bunkhun) | ค่านิยม "รั้วของชาติ" และกิจกรรมมวลชนสัมพันธ์ |
| แผนที่ประเทศไทย / ธงชาติ | พื้นที่ทางภูมิศาสตร์, สัญลักษณ์ชาติ | อาณาเขตที่ต้องหวงแหน (Territorial Integrity), ความเป็นพวกเรา (Us vs Them), ความภาคภูมิใจ | ปัญหาเขตแดนเขาพระวิหาร |
| ปราสาท / วัด | สิ่งก่อสร้างทางวัฒนธรรม | พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์, มรดกของชาติ, สาเหตุของความขัดแย้ง, ความสงบสุขทางจิตวิญญาณ | กรณีพิพาทเขาพระวิหารและการใช้วัดเป็นศูนย์พักพิง |
| รถถัง / ปืนใหญ่ | ยานพาหนะสงคราม | ความแข็งแกร่ง (Strength), เกราะป้องกัน, ความรุนแรงที่จำเป็น (Necessary Violence) | การปะทะด้วยอาวุธหนักตามแนวชายแดน |
| ข้อความ "รักสงบ", "ขอบคุณ" | ตัวอักษร, ภาษา | การกล่อมเกลาทางสังคม (Socialization), ความพยายามเป็น "เด็กดี" (Good Child), ความย้อนแย้งของสงครามเพื่อสันติภาพ | วัฒนธรรม "เกรงใจ" และ "รู้คุณ" ของไทย |
รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อสะท้อนภาพปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยาในบริบทเฉพาะของเหตุการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ปี 2568









ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น