รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: พลวัตและยุทธศาสตร์เชิงรุกของสถาบันสงฆ์ไทยในวิกฤตการณ์ความขัดแย้งและภัยพิบัติทางมนุษยธรรมชายแดนไทย-กัมพูชา (พ.ศ. 2568)
บทคัดย่อบริหาร
รายงานฉบับนี้เป็นเอกสารวิจัยเชิงลึกที่มุ่งวิเคราะห์บทบาทหน้าที่และการปฏิบัติการจริงของสถาบันวัดและพระสงฆ์ไทย ในบริบทของวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) การศึกษาครอบคลุมมิติการดำเนินงานตั้งแต่การบรรเทาทุกข์ในระยะวิกฤต (Crisis Response) การสนับสนุนความมั่นคงและขวัญกำลังใจ (Security & Morale Support) ไปจนถึงบทบาทในฐานะนักสันติวิธีและผู้นำทางจิตวิญญาณ (Peacebuilding & Spiritual Leadership)
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ในท่ามกลางการปะทะด้วยอาวุธหนักและการอพยพของพลเรือนเรือนแสน สถาบันสงฆ์มิได้ดำรงตนอยู่ในสถานะเหนือโลก (Other-worldly) แต่ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็น "กลไกหลักทางสังคม" (Core Social Mechanism) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการภัยพิบัติ โดยบูรณาการทุนทางสังคม ทุนทางเศรษฐกิจ และทุนทางปัญญา เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่กลไกของรัฐอาจเข้าไม่ถึงอย่างทันท่วงที บทบาทของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ พระนักพัฒนา และเครือข่ายจิตอาสาชาวพุทธ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของโครงสร้าง "บวร" (บ้าน-วัด-โรงเรียน/ราชการ) ที่ยังคงเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงแห่งชาติในศตวรรษที่ 21
1. บทนำ: ภูมิทัศน์ความขัดแย้งและพันธกิจของศาสนจักร
1.1 บริบทสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2568
ปีพุทธศักราช 2568 ถือเป็นหมุดหมายแห่งความตึงเครียดครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อความขัดแย้งเหนือพื้นที่ทับซ้อนและเส้นเขตแดนได้ยกระดับจากการกระทบกระทั่งระดับท้องถิ่น สู่การเผชิญหน้าทางทหารเต็มรูปแบบอีกครั้ง (Full-scale Military Confrontation) ซึ่งมีความรุนแรงเทียบเท่าหรืออาจสูงกว่าวิกฤตการณ์เขาพระวิหารในช่วงทศวรรษ 2550 ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์ระบุว่าการปะทะเกิดขึ้นในสองห้วงเวลาสำคัญ คือช่วงเดือนกรกฎาคม และระลอกใหม่ในเดือนธันวาคม 2568
สถานการณ์ความรุนแรงมีลักษณะเป็นสงครามตามแบบ (Conventional Warfare) ที่มีการใช้อาวุธหนักอย่างกว้างขวาง ฝ่ายกัมพูชาได้มีการระดมยิงด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และปืนใหญ่ เข้าใส่พื้นที่เป้าหมายในฝั่งไทย ซึ่งครอบคลุมทั้งฐานปฏิบัติการทหารและพื้นที่พลเรือน
ผลกระทบจากความรุนแรงดังกล่าวมีความเสียหายในวงกว้าง:
การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน: มีรายงานทหารและพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยสถิติ ณ เดือนกรกฎาคม 2568 ระบุยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายไทย (รวมทหารและพลเรือน) นับสิบราย และบาดเจ็บกว่าร้อยนาย รวมถึงมีการทำลายทรัพย์สินราชการและบ้านเรือนราษฎร
6 วิกฤตผู้พลัดถิ่น: ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ต้องอพยพออกจากพื้นที่อยู่อาศัยอย่างเร่งด่วน ตัวเลขผู้อพยพสะสมสูงถึงระดับแสนคน (149,264 คน ตามรายงานหนึ่ง)
2 สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อระบบสาธารณูปโภคและสาธารณสุขในพื้นที่ส่วนหลัง
ในสภาวะวิกฤตที่กลไกปกติของรัฐต้องทุ่มสรรพกำลังไปที่แนวหน้าและภารกิจด้านความมั่นคง สถาบันสงฆ์จึงก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะ "ตาข่ายรองรับทางสังคม" (Social Safety Net) ที่มีความยืดหยุ่นและเข้าถึงประชาชนได้ลึกซึ้งที่สุด
1.2 กรอบแนวคิด: พุทธศาสนาเพื่อสังคม (Socially Engaged Buddhism)
การวิเคราะห์บทบาทของพระสงฆ์ในรายงานฉบับนี้ อาศัยกรอบแนวคิด "พุทธศาสนาเพื่อสังคม" ซึ่งมองว่าภารกิจของสงฆ์มิได้จำกัดอยู่เพียงการทำวัตรสวดมนต์หรือการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นส่วนตน (Personal Liberation) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบต่อความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์และสังคม (Social Liberation) การเคลื่อนไหวของคณะสงฆ์ไทยในวิกฤตการณ์ 2568 สะท้อนให้เห็นถึงการนำหลัก "พรหมวิหาร 4" (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) และ "สังคหวัตถุ 4" (ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา) มาแปรเปลี่ยนเป็นนโยบายสาธารณะและการปฏิบัติการภาคสนามอย่างเป็นรูปธรรม
2. โครงสร้างการบัญชาการและการตอบสนองของคณะสงฆ์
ความสำเร็จของการบรรเทาทุกข์ในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ มิได้เกิดจากการปฏิบัติการที่กระจัดกระจายของวัดแต่ละแห่งเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการสั่งการและบริหารจัดการที่เป็นระบบผ่านโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ (Ecclesiastical Hierarchy) ซึ่งทำงานสอดประสานกับโครงสร้างอำนาจรัฐ
2.1 บทบาทเชิงนโยบายของมหาเถรสมาคมและเจ้าคณะปกครองชั้นสูง
ในระดับยุทธศาสตร์ พระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ได้แสดงบทบาทผู้นำในการกำหนดทิศทางการช่วยเหลือ:
สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม): ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนเหนือและประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ท่านได้วางนโยบายและมอบหมายให้ฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ลงพื้นที่เชิงรุก โดยไม่จำกัดขอบเขตอยู่เพียงภูมิภาคที่ตนปกครอง แต่ขยายความช่วยเหลือข้ามภูมิภาคไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ประสบภัย
9 พระพรหมสิทธิ (เจ้าคณะภาค 11): มีบทบาทสำคัญในการสั่งการ "ระดับปฏิบัติการ" ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และนครราชสีมา ท่านได้ออกคำสั่งให้วัดในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ปลอดภัยเตรียมพร้อมสถานที่เป็นศูนย์พักพิง โดยเน้นย้ำถึงมิติด้านมนุษยธรรมและการประคับประคองจิตใจ
3 พระพรหมวชิโรดม (สุทัศน์ วรทสฺสี) (เจ้าคณะภาค 10): ในฐานะเจ้าคณะภาคที่ดูแลพื้นที่อุบลราชธานีและศรีสะเกษโดยตรง ท่านมีบทบาทโดดเด่นในการระดมทุนและทรัพยากรจากส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) ลงสู่พื้นที่ ท่านใช้เครือข่ายศิษย์และคณะสงฆ์ในปกครอง (เช่น วัดโมลีโลกยาราม) เป็นฐานในการรวบรวมเครื่องอุปโภคบริโภคและเดินทางไปมอบด้วยตนเอง
10
2.2 กลไกการสื่อสารและการประสานงาน
คณะสงฆ์ได้ใช้กลไกการสื่อสารที่มีอยู่เพื่อลดความตื่นตระหนกของประชาชนและพระสงฆ์ในพื้นที่:
เครือข่ายสายบังคับบัญชา: การสั่งการจากเจ้าคณะภาค -> เจ้าคณะจังหวัด -> เจ้าคณะอำเภอ -> เจ้าอาวาส เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วัดต่างๆ ทราบถึงสถานการณ์และหน้าที่ของตน
10 การประสานงานข้ามหน่วยงาน: วัดหลายแห่งทำงานร่วมกับศูนย์ส่งเสริมศีลธรรมประจำจังหวัด (เช่น ศรีสะเกษ สุรินทร์) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การจัดตั้งศูนย์พักพิงเป็นไปตามมาตรฐานสาธารณสุขและความปลอดภัย
12
3. การบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรม: วัดในฐานะศูนย์บัญชาการภัยพิบัติภาคประชาชน
เมื่อเกิดการอพยพขนานใหญ่ "วัด" ได้กลายเป็นเป้าหมายแรกที่ประชาชนนึกถึง การเปลี่ยนวัดให้เป็นศูนย์พักพิง (Temple-based Shelters) จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนและสำคัญที่สุด
3.1 การจัดตั้งและบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว
จากการรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน พบว่ามีวัดจำนวนมากเปิดพื้นที่รับผู้อพยพ โดยมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ดังแสดงในตารางวิเคราะห์การกระจายตัวและศักยภาพของศูนย์พักพิง (ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1: โครงข่ายวัดและศาสนสถานที่เป็นศูนย์พักพิงหลักในวิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 2568
| จังหวัด | อำเภอ/พื้นที่เสี่ยง | ชื่อวัด/สถานที่รองรับหลัก | ศักยภาพและการรองรับ (โดยประมาณ) | หมายเหตุ/สถานะ |
| บุรีรัมย์ | อ.นางรอง | วัดป่าอัมพวันคุณานุสรณ์ | 500 คน | ศูนย์หลัก เน้นรับผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ |
| วัดใหม่เรไรทอง | 500 คน | รองรับผู้อพยพทั่วไป | ||
| อ.หนองกี่ | วัดหนองกี่ | 100 คน | ศูนย์รองรับส่วนขยาย | |
| วัดชัยมงคล | 200 คน | ศูนย์รองรับส่วนขยาย | ||
| ศรีสะเกษ | อ.กันทรลักษ์ / อ.เมือง | วัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต) | ศูนย์รับบริจาคและประสานงานหลัก | เป็นศูนย์กลางระดับจังหวัด |
| อ.อุทุมพรพิสัย | วัดสระกำแพงใหญ่ | รองรับผู้อพยพ | ทำงานร่วมกับศูนย์ส่งเสริมศีลธรรม | |
| อ.ไพรบึง | วัด (ไม่ระบุชื่อเฉพาะ) | 474 คน | ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียง | |
| สุรินทร์ | อ.กาบเชิง / อ.พนมดงรัก | วัดและศูนย์พักพิง 76 แห่ง | รวมศักยภาพทั้งจังหวัด 2.2 แสนคน | รวมพื้นที่โรงเรียนและวัด |
| อุบลราชธานี | อ.เดชอุดม | วัดอุดมพัฒนา | ไม่ระบุ | ทำงานร่วมกับ สกร.จังหวัด |
| วัดบ้านหนองเงินฮ้อย | ไม่ระบุ | ศูนย์พักพิงชั่วคราวและโรงทาน | ||
| สระแก้ว | อ.ตาพระยา / อ.โคกสูง | วัดในพื้นที่ปลอดภัย | ตามประกาศผู้ว่าราชการจังหวัด | รองรับการอพยพจากพื้นที่สู้รบ |
บทวิเคราะห์เชิงลึก:
ข้อมูลจากตารางสะท้อนให้เห็นว่า วัดมิได้ทำหน้าที่เพียงแค่ให้พื้นที่โล่งสำหรับการกางเต็นท์ แต่มีการ "จำแนกกลุ่มเป้าหมาย" (Triage) อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ในจังหวัดบุรีรัมย์ วัดป่าอัมพวันคุณานุสรณ์ถูกกำหนดให้เน้นรับ ผู้ป่วยติดเตียง 20 ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดที่ไม่สามารถอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงทั่วไปที่แออัดได้ การจัดการเช่นนี้แสดงถึงความเข้าใจในหลักการมนุษยธรรมขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ ดังปรากฏกรณีโศกนาฏกรรมที่ศูนย์พักพิงวัดป่า อ.นางรอง ซึ่งมีชายวัย 64 ปี เสียชีวิตจากโรคประจำตัว
3.2 โลจิสติกส์แห่งศรัทธา: เครือข่ายการระดมทุนและการขนส่ง
ระบบการส่งกำลังบำรุง (Logistics) ของภาคสงฆ์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ โดยมีลักษณะการทำงานแบบ "เครือข่ายใยแมงมุม" ที่เชื่อมโยงวัดในเมืองหลวงกับวัดในพื้นที่
วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร (กรุงเทพฯ): ภายใต้การนำของ พระพรหมวชิโรดม วัดโมลีฯ ได้ทำหน้าที่เป็น Hub หรือศูนย์กลางในการรวบรวมปัจจัยและสิ่งของจากผู้มีจิตศรัทธาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พระพรหมวชิโรดมใช้สถานะความเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองและบารมีส่วนตัวในการระดมความช่วยเหลือจากเจ้าคณะพระสังฆาธิการในเขตปกครอง แล้วจัดขบวนคาราวานขนส่งลงพื้นที่ด้วยตนเอง
10 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์): ฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของวัดโพธิ์ได้จัดตั้งทีมปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว นำโดย พระราชปัญญาวชิรากร ลงพื้นที่มอบข้าวสาร อาหารแห้ง และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้กับโรงทานในศูนย์พักพิงต่างๆ ในจังหวัดศรีสะเกษและอุบลราชธานีอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนธันวาคม 2568 โดยมีปริมาณความช่วยเหลือมหาศาล (เช่น ข้าวสาร 1 ตัน ในจุดเดียว)
9 วัดพระธรรมกายและเครือข่าย: ใช้วิธีการบริหารจัดการแบบองค์กร (Corporate-style Management) โดยร่วมมือกับ "ศูนย์ส่งเสริมศีลธรรม" ประจำจังหวัดต่างๆ ในการระดมทุนและเปิดศูนย์พักพิงที่มีมาตรฐาน การตอบสนองของเครือข่ายนี้มีความรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ตั้งแต่ศรีสะเกษ สุรินทร์ ไปจนถึงจันทบุรีและตราด
12
การระดมทรัพยากรเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า สถาบันสงฆ์มีความสามารถในการเปลี่ยน "ทุนศรัทธา" (Faith Capital) ให้เป็น "ทุนทางวัตถุ" (Material Capital) เพื่อการบรรเทาทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าระบบราชการในบางมิติ เนื่องจากมีความคล่องตัวและลดขั้นตอนเอกสาร (De-bureaucratization)
4. การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ทหาร: ยุทธศาสตร์ "หลังพิง" และนวัตกรรมเพื่อความมั่นคง
ในมิติความมั่นคง บทบาทของพระสงฆ์และวัดมิได้จำกัดอยู่เพียงผู้รับความคุ้มครอง แต่เป็น "ผู้สนับสนุน" (Supporter) ที่สำคัญต่อกองทัพ ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ความสัมพันธ์แบบไทยๆ ระหว่างสถาบันศาสนากับสถาบันทหาร
4.1 ปรากฏการณ์ "กองกำลังข้าวเหนียวนึ่ง": พลังชุมชนหนุนเสริมแนวหน้า
"กองกำลังข้าวเหนียวนึ่ง" เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทางสังคมวิทยาการทหาร เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและแนวชายแดนอีสานใต้ เป็นการรวมตัวของกลุ่มจิตอาสา แม่บ้าน และชาวบ้าน โดยมีวัดและผู้นำชุมชนเป็นศูนย์กลาง
กระบวนการ: กลุ่มจิตอาสาร่วมกันผลิตอาหารแห้งที่เก็บรักษาได้ง่ายและให้พลังงานสูง เช่น ข้าวเหนียวนึ่ง หมูทอด เนื้อแดดเดียว บรรจุห่อพร้อมทาน เพื่อส่งมอบให้กับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานปฏิบัติการแนวหน้า (Forward Operating Bases) ซึ่งการส่งกำลังบำรุงปกติอาจทำได้ยากลำบากหรือล่าช้า
สเกลการปฏิบัติการ: ข้อมูลระบุว่ากลุ่มจิตอาสาเหล่านี้สามารถผลิตอาหารได้ถึงวันละ 2,600 ชุด
22 ซึ่งถือเป็นปริมาณที่มีนัยสำคัญต่อการดำรงชีพของกำลังพลนัยทางจิตวิทยา: "ข้าวเหนียวนึ่ง" ในบริบทนี้มิใช่เพียงอาหาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของ "คำสัญญาประชาคม" ว่าประชาชนจะไม่ทอดทิ้งทหาร การได้รับอาหารที่ปรุงสุกใหม่จากมือชาวบ้านช่วยสร้างขวัญกำลังใจ (Morale) ให้ทหารรู้สึกว่าตนกำลังปกป้องคนที่รักและห่วงใยตนอยู่จริง
4.2 นวัตกรรม Techno-Monasticism: โครงการโซลาร์เซลล์เพื่อความมั่นคง
บทบาทที่ถือว่า "ล้ำสมัย" และฉีกกฎภาพลักษณ์พระสงฆ์แบบเดิม คือการดำเนินงานของ พระปัญญาวชิรโมลี (นพพร ธีรปญฺโญ) หรือ "เจ้าคุณเสียดายแดด" เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ปัญหาหน้างาน: ฐานปฏิบัติการทหารตามแนวชายแดนและจุดเฝ้าระวังมักตั้งอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ห่างไกลจากระบบสายส่งไฟฟ้า (Off-grid areas) ทำให้ทหารขาดแคลนไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์สื่อสาร แสงสว่าง และการดำรงชีพ
23 การแทรกแซงด้วยเทคโนโลยี: พระปัญญาวชิรโมลี ได้นำความเชี่ยวชาญด้านพลังงานทดแทน (Solar Energy) มาประยุกต์ใช้ โดยระดมทุนจัดหาและนำทีมช่างจิตอาสาเข้าติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cells) ให้กับฐานทหาร
รายละเอียดการปฏิบัติการ:
พื้นที่เป้าหมาย: ฐานปฏิบัติการของกองพันทหารราบที่ 13 และฐานพลาญชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ รวมถึงเป้าหมายที่จะขยายให้ครอบคลุมกว่า 20 ฐาน
23 ประสิทธิภาพ: ระบบที่ติดตั้งมีอายุการใช้งานแผงถึง 30 ปี ช่วยให้ทหารมีไฟฟ้าใช้สำหรับวิทยุสื่อสาร ชาร์จแบตเตอรี่ และแสงสว่าง ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดในยุทธวิธี (เช่น การสื่อสารขอความช่วยเหลือ หรือการตรวจการณ์เวลากลางคืน)
ปรัชญาการทำงาน: ท่านมองว่า "ทหารจะหลับนอนอย่างสบายไม่ได้ ต้องทำหน้าที่คอยดูแลปกป้องคุ้มภัยให้ประชาชน... ถ้ามีอะไรพอช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกัน"
23
กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของบทบาทสงฆ์สู่ความเป็น "พระนักนวัตกรรม" (Innovator Monks) ที่ใช้ความรู้ทางเทคนิคสมัยใหม่มาเสริมสร้างความมั่นคงของชาติโดยตรง
4.3 การสร้างขวัญกำลังใจในสนามรบ
นอกจากการสนับสนุนทางวัตถุ คณะสงฆ์ยังทำหน้าที่เป็น "นายทหารฝ่ายจิตวิทยา" โดยธรรมชาติ:
การลงพื้นที่เสี่ยงภัย: การที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่และพระสงฆ์ในพื้นที่เดินทางไปเยี่ยมทหารตามฐานปฏิบัติการ หรือเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล (เช่น รพ.สรรพสิทธิประสงค์) พร้อมมอบวัตถุมงคลและผูกข้อมือ
9 เป็นการสร้างความเชื่อมั่นทางจิตวิญญาณ (Spiritual Confidence) ให้กับทหาร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรบที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายพิธีกรรมและสัญลักษณ์: การประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลให้กับทหารที่เสียชีวิต (เช่น จ.ส.อ. กฤษฎา หาญสุโพธิ์) โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำพิธี ช่วยเยียวยาความรู้สึกสูญเสียของครอบครัวและเพื่อนทหาร
8
5. บทบาทด้านจิตวิญญาณและสันติภาพ: จากผู้เยียวยาสู่นักเจรจา
ในมิติที่นามธรรมแต่ลึกซึ้ง พระสงฆ์ทำหน้าที่เป็น "ผู้รักษา" (Healer) ทั้งในระดับจิตใจปัจเจกบุคคล และในระดับโครงสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศ
5.1 ธรรมโอสถ: การเยียวยาบาดแผลทางใจ (Trauma Healing)
สงครามนำมาซึ่งความหวาดกลัว ความเครียด และความโศกเศร้า (Grief) พระสงฆ์ในศูนย์พักพิงและวัดต่างๆ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและประคับประคองจิตใจผู้ประสบภัย:
การให้สติในภาวะวิกฤต: การนำสวดมนต์ การเทศนา และการสนทนาธรรม ช่วยให้ผู้อพยพมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ลดความตื่นตระหนก และยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น (Acceptance) ซึ่งเป็นการป้องกันปัญหาสุขภาพจิต (PTSD) ในระยะยาว
25 บทบาทของ "พระวินยาธิการ" และ "พระธรรมธร": การทำงานของพระสงฆ์ในพื้นที่ช่วยลดความตึงเครียดในชุมชนและสร้างความสามัคคีในยามวิกฤต
5.2 พุทธสันติวิธีและการทูตภาคประชาชน (Buddhist Diplomacy)
ในขณะที่รัฐบาลใช้มาตรการทางทหารและการทูตกระแสหลัก สถาบันสงฆ์และนักวิชาการชาวพุทธได้เสนอทางออกผ่านกรอบ "สันติศึกษา" และ "การทูตวิถีพุทธ"
การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ของพระเมธีวัชรบัณฑิต (เจ้าคุณหรรษา):
พระเมธีวัชรบัณฑิต (หรรษา ธมฺมหาโส) ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ที่แหลมคมเกี่ยวกับการจัดการความขัดแย้ง โดยเชื่อมโยงหลักพุทธธรรมกับทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 26:
การไกล่เกลี่ย (Mediation): ท่านเสนอให้ใช้กลไกคนกลางตามกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter บทที่ 6 ข้อ 33) เนื่องจากคู่ขัดแย้งมีความไม่ไว้วางใจกันสูง
บทบาทของมหาอำนาจและอาเซียน: ท่านวิเคราะห์ถึงบทบาทของ "ทีมไกล่เกลี่ยหลังฉาก" (Backstage Mediation Team) ที่ประกอบด้วยมาเลเซีย (ประธานอาเซียน), สหรัฐฯ, และจีน ซึ่งสะท้อนความเข้าใจในบริบทภูมิรัฐศาสตร์โลก
พื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone): การเสนอให้ใช้เวทีทวิภาคี (GBC/JBC) เป็นพื้นที่พูดคุยแบบ "ใจถึงใจ" เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระดับเจ้าหน้าที่
สามัคคีธรรม: เน้นย้ำว่าความมั่นคงที่แท้จริงเกิดจากความสามัคคีภายในชาติ
บทบาทของคณะสงฆ์กัมพูชา:
ความน่าสนใจอีกประการคือปฏิกิริยาของคณะสงฆ์ฝ่ายกัมพูชา ที่มีการเดินขบวนเรียกร้องสันติภาพและขอให้มีการหยุดยิงถาวรในกรุงพนมเปญ 27 แม้ในบางบริบทจะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลกัมพูชา (เช่น การสนับสนุนแนวทางของฮุน เซน) แต่การแสดงออกนี้เปิดช่องทางให้เกิด "การเสวนาข้ามพรมแดน" (Cross-border Dialogue) ระหว่างสงฆ์ไทยและสงฆ์กัมพูชา ซึ่งมีรากฐานความเชื่อทางพุทธศาสนาเถรวาทร่วมกัน หากสามารถพัฒนาไปสู่การเจรจาโต๊ะกลมของผู้นำศาสนา (Inter-religious Roundtable) ได้ จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการลดอุณหภูมิความขัดแย้ง
6. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
6.1 บทสรุป: สถาบันสงฆ์ในฐานะ "เสาหลักที่ยืดหยุ่น" (Resilient Pillar)
วิกฤตการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2568 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สถาบันวัดและพระสงฆ์ไทยมีความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) และมีความยืดหยุ่น (Resilience) สูงในการรับมือกับภัยพิบัติ บทบาทของพระสงฆ์ได้ขยายขอบเขตจาก "พิธีกรทางศาสนา" (Ritual Conductors) ไปสู่บทบาทเชิงรุกที่หลากหลาย:
Humanitarian Logistics Hub: วัดเป็นศูนย์กลางการกระจายความช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเข้าถึงรากหญ้า
Force Multiplier: การสนับสนุนเสบียงและเทคโนโลยีพลังงานช่วยเพิ่มขีดความสามารถและความยั่งยืนให้กับกองทัพ
Spiritual Anchor: การเป็นที่พึ่งทางใจช่วยรักษาเสถียรภาพทางสังคมในภาวะสงคราม
การผสมผสานระหว่างการช่วยเหลือฉุกเฉินเฉพาะหน้า (Emergency Relief) การพัฒนานวัตกรรมระยะยาว (Long-term Development) และการสร้างสันติภาพ (Peacebuilding) ทำให้สถาบันสงฆ์เป็นองคาพยพที่ขาดไม่ได้ในโครงสร้างความมั่นคงของชาติไทย
6.2 ข้อเสนอแนะ
การบูรณาการแผนภัยพิบัติ: รัฐบาลควรบรรจุวัดที่มีศักยภาพเข้าใน "แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ" อย่างเป็นทางการ โดยมีการสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ทางการแพทย์ฉุกเฉินให้แก่วัดที่เป็นศูนย์พักพิง
การสนับสนุนนวัตกรรมสงฆ์: กองทัพและหน่วยงานวิจัยควรสนับสนุนต่อยอดโครงการนวัตกรรมของพระสงฆ์ (เช่น โซลาร์เซลล์วัดป่าศรีแสงธรรม) ให้ขยายผลได้กว้างขวางขึ้น
การทูตวิถีพุทธ: กระทรวงการต่างประเทศควรสนับสนุนให้มีการจัดเวทีเสวนาระหว่างผู้นำสงฆ์ไทยและกัมพูชา เพื่อใช้ "ศาสนสัมพันธ์" เป็นกลไกเสริม (Track II Diplomacy) ในการสร้างความเข้าใจและลดความหวาดระแวงระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์และบันทึกปรากฏการณ์ทางสังคมที่สำคัญ โดยมุ่งหวังให้เห็นถึงศักยภาพของสถาบันทางสังคมดั้งเดิมในการรับมือกับความท้าทายในโลกยุคใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น