วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ส่องนโยบายแก้จนเพื่อไทย ผ่านวิสัยทัศน์ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ กลางศึกเลือกตั้งปี 2569


วิเคราะห์เชิงลึกยุทธศาสตร์ "ยกเครื่องประเทศไทย" ของพรรคเพื่อไทยและการแก้สมการความยากจนด้วยนวัตกรรมภาครัฐเพื่อการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569


บทคัดย่อ

ท่ามกลางภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้งในมิติของกับดักรายได้ปานกลางที่เรื้อรัง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม และความท้าทายจากกระแสเทคโนโลยีโลก รายงานวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ทางการเมืองและชุดนโยบายใหม่ของพรรคเพื่อไทย ภายใต้แคมเปญ "Reboot Thailand" หรือ "ยกเครื่องประเทศไทย" โดยมีจุดเน้นสำคัญอยู่ที่การสังเคราะห์วิสัยทัศน์ของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 ผู้เสนอแนวคิด "Science-based Policy" หรือนโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยฐานคิดทางวิทยาศาสตร์

การศึกษานี้เจาะลึกถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงกระบวนทัศน์ของพรรคเพื่อไทย จากพรรคที่เน้นนโยบายประชานิยมแบบดั้งเดิม (Traditional Populism) สู่ "ประชานิยมเชิงเทคนิค" (Technocratic Populism) ที่มุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาและการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการบริหารจัดการภาครัฐ (Government RAG System) เพื่อแก้ปัญหาความยากจนที่ต้นเหตุ ผ่านการลดความเหลื่อมล้ำทางข้อมูล (Information Asymmetry) และการสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่ (High Value Economy) ที่เปลี่ยนจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมรับจ้างผลิต สู่การเป็นผู้สร้างนวัตกรรมระดับโลกในด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการแพทย์


1. บทนำ: บริบทมหภาคและพลวัตใหม่ของการเมืองไทยปี 2569

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2569 ไม่ใช่เพียงการเลือกตั้งตามวาระปกติ แต่เป็นสมรภูมิที่เกิดขึ้นท่ามกลาง "พายุที่สมบูรณ์แบบ" (Perfect Storm) ของประเทศไทย ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ 1 สภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำกว่าศักยภาพมาอย่างยาวนาน โดยมีอัตราการขยายตัวของ GDP เฉลี่ยต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งไม่เพียงพอที่จะนำพาประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ภายในปี 2037 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 2 ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อพรรคการเมืองในการนำเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้

1.1 กับดักรายได้ปานกลางและความจำเป็นในการปรับโครงสร้าง (Structural Reform Imperative)

ข้อมูลจากธนาคารโลก (World Bank) ชี้ให้เห็นว่าโมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมของไทยที่พึ่งพาการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นนั้น ได้มาถึงทางตันและหยุดชะงักมานานกว่าทศวรรษ 2 การที่ประเทศไทยจะยกระดับสถานะสู่ประเทศรายได้สูง (High-income Status) จำเป็นต้องมีการ "กล้าเล่นเกมใหม่" (Dare to play a new game) ที่ฉีกกรอบเดิมอย่างสิ้นเชิง 2 ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ประกอบด้วยหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในเวทีโลก เนื่องจากการขาดแคลนนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นของตนเอง

ในบริบทเช่นนี้ นโยบายการแจกเงิน (Cash Handouts) หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่เคยเป็น "อาวุธหลัก" ของพรรคการเมืองในการดึงดูดคะแนนเสียง เริ่มถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพและความยั่งยืนทางการคลัง 4 ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางในเมือง เริ่มมองหาพรรคการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว มากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

1.2 ภูมิทัศน์การเมืองแบบ "สามก๊ก" (The Three-Way Struggle)

ภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยในปี 2569 ได้วิวัฒนาการจากการต่อสู้สองขั้วระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายอนุรักษ์นิยม มาสู่การแข่งขันที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในรูปแบบ "สามเส้า" (Three-way struggle) ระหว่างสามพรรคการเมืองใหญ่ที่มีจุดยืนและฐานเสียงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน 6

  1. พรรคประชาชน (People's Party - PP): พรรคสืบทอดอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกลและอนาคตใหม่ ซึ่งมีจุดแข็งที่ชัดเจนในเรื่องอุดมการณ์การปฏิรูปโครงสร้างทางอำนาจ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการสร้างระบบรัฐสวัสดิการ โดยมีฐานเสียงหลักเป็นคนรุ่นใหม่และคนในเขตเมือง 6

  2. พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai - BJT): ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลและมีเครือข่ายทางการเมืองที่เข้มแข็งผ่านระบบบ้านใหญ่และเครือข่ายอุปถัมภ์ในท้องถิ่น พรรคภูมิใจไทยวางตำแหน่งตัวเองเป็นพรรคสายกลางที่เน้นการปฏิบัติและประนีประนอม แต่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องระบบอุปถัมภ์แบบเก่า 7

  3. พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai - PT): พรรคแกนนำรัฐบาลที่กำลังเผชิญความท้าทายในการรักษาฐานเสียงเดิม (Rural Mass) ควบคู่ไปกับการขยายฐานเสียงสู่กลุ่มคนชั้นกลางและปัญญาชน พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการเป็นพรรคที่ "กินได้" (Deliverable) กับการเป็นพรรคที่มีความทันสมัย (Modernized) เพื่อสู้กับพรรคประชาชนในเขตเมือง และสู้กับพรรคภูมิใจไทยในเขตชนบท 9

1.3 ยุทธศาสตร์ "Reboot Thailand" ของพรรคเพื่อไทย

เพื่อตอบสนองต่อพลวัตทางการเมืองและเศรษฐกิจดังกล่าว เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 พรรคเพื่อไทยได้จัดงาน "Reboot Thailand: Pheu Thai Can Deliver" หรือ "ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้" เพื่อเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน ได้แก่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (นักบริหารธุรกิจและนักการเมืองลายคราม), นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ (หัวหน้าพรรคและมือประสานสิบทิศ) และ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ (นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับโลก) 11

การวางตำแหน่งให้ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน เป็นแคนดิเดตลำดับที่ 1 ถือเป็นการ "เดิมพัน" ทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการสลัดภาพลักษณ์การเมืองแบบเก่า และนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ของ "พรรคเชิงนโยบายวิทยาศาสตร์" (Science-based Policy Party) ที่พร้อมจะใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่บทความนี้จะทำการวิเคราะห์ในเชิงลึก


2. อัตลักษณ์และบทบาทของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์: จากนักวิจัยสู่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง

การทำความเข้าใจนโยบาย "ยกเครื่องประเทศไทย" จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ "ตัวตน" และ "กระบวนทัศน์" (Paradigm) ของผู้นำเสนอนโยบาย ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพทั่วไป แต่เป็น "Technocrat" ที่ก้าวเข้าสู่สนามการเมืองพร้อมกับต้นทุนทางปัญญาที่สูงลิ่ว

2.1 ภูมิหลังทางวิชาการและรากฐานทางความคิด

ศ.ดร.ยศชนัน สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจาก University of Texas at Arlington สหรัฐอเมริกา และดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 14 ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของเขาคือ เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface: BCI) ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ผสมผสานความรู้ด้านวิศวกรรม ประสาทวิทยาศาสตร์ และวิทยาการข้อมูลเข้าด้วยกัน

ผลงานวิจัยของเขาได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยได้รับรางวัลสำคัญมากมาย เช่น รางวัลนักประดิษฐ์จากสภาวิจัยแห่งชาติ (2016), รางวัลนวัตกรรมมหาวิทยาลัยมหิดล (2014) และการนำทีมนักศึกษาไทยคว้ารางวัลเหรียญเงินจากการแข่งขัน Cybathlon 2020 ซึ่งเป็นการแข่งขันเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้พิการระดับโลก 17 พื้นฐานเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันหล่อหลอมวิธีคิดของเขาในการมองปัญหาของประเทศ ไม่ใช่ในมุมมองของ "นักปกครอง" แต่ในมุมมองของ "วิศวกรระบบ" (System Engineer) ที่มองว่าปัญหาสังคมคือ "Bug" ของระบบที่ต้องได้รับการ "Debug" หรือแก้ไขด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลจริง

2.2 สถานะ "ทายาททางการเมือง" กับภารกิจข้ามพ้นเงาตระกูล

แม้จะมีโปรไฟล์ทางวิชาการที่โดดเด่น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยศชนัน มีต้นทุนทางการเมืองที่สืบทอดมาทางสายเลือด ในฐานะบุตรชายคนโตของ อดีตนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และเป็นหลานชายของ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร 19 สถานะนี้เป็น "ดาบสองคม"

  • ในแง่บวก: เขามีฐานเสียงสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเดิม และมีความชอบธรรม (Legitimacy) ในการเข้าถึงโครงสร้างอำนาจภายในพรรค

  • ในแง่ลบ: เขาต้องเผชิญกับข้อครหาเรื่องสืบทอดอำนาจและระบบเครือญาติ (Nepotism) ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ฝ่ายตรงข้ามมักหยิบยกมาโจมตี 5

อย่างไรก็ตาม ยศชนัน เลือกที่จะนิยามความสัมพันธ์ของเขากับพรรคเพื่อไทยด้วยวาทกรรมที่น่าสนใจคือ "ยืนบนไหล่ยักษ์" (Standing on the Giant's Shoulders) 21

2.3 ยุทธศาสตร์ "ยืนบนไหล่ยักษ์" (Standing on the Giant's Shoulders)

แนวคิดนี้สะท้อนความเข้าใจในสัจธรรมทางการเมือง (Realpolitik) ของยศชนัน เขาเปรียบพรรคเพื่อไทยเป็น "ยักษ์" ที่มีกำลังมหาศาล มีความเข้าใจปัญหาปากท้องของประชาชน และมีกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายที่ทรงพลัง (Execution Power) ส่วนตัวเขาเปรียบเสมือน "คนตัวเล็ก" ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเทคโนโลยี 21

  • การผนึกกำลัง (Synergy): ยศชนันไม่ได้เข้ามาเพื่อทำลายหรือรื้อทิ้งสิ่งที่พรรคเคยทำ แต่เข้ามาเพื่อ "ติดอาวุธ" (Equip) ให้กับยักษ์ เขามองว่านโยบายประชานิยมแบบเดิมอาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่ยังขาดประสิทธิภาพและความแม่นยำ หน้าที่ของเขาคือการนำ Data Science และ Technology มาเป็น "สมอง" ให้กับ "ร่างกาย" ที่แข็งแรงของพรรคเพื่อไทย

  • นัยสำคัญ: ยุทธศาสตร์นี้เป็นการส่งสัญญาณไปยังฐานเสียงสองกลุ่มพร้อมกัน คือ (1) บอกฐานเสียงเดิมว่าพรรคยังคงเป็นพรรคที่ดูแลปากท้องเหมือนเดิมแต่จะทำได้ดีขึ้น และ (2) บอกฐานเสียงใหม่ (ชนชั้นกลาง/คนรุ่นใหม่) ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังปรับตัวสู่ความทันสมัยและใช้วิชาการนำการเมือง


3. วิเคราะห์นโยบาย "ยกเครื่องประเทศไทย": การปฏิรูปรัฐด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Government RAG System)

แกนกลางของข้อเสนอนโยบายของยศชนัน คือการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาใช้ในการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินและการให้บริการประชาชน ซึ่งมีความลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าวาทกรรม "Digital Government" ทั่วไปที่มักหยุดอยู่แค่การทำแอปพลิเคชันหรือลดการใช้กระดาษ

3.1 จาก "ผู้สั่งการ" สู่ "ผู้แนะนำ" (From Commander to Recommender)

ปรัชญาการบริหารของยศชนันคือการเปลี่ยนบทบาทของรัฐ (Role of State) จากเดิมที่เป็น "ผู้สั่งการ" (Commander) ที่กำหนดนโยบายแบบปูพรม (One-size-fits-all) มาสู่การเป็น "ผู้แนะนำ" (Recommender) ที่ให้คำปรึกษาที่แม่นยำแก่ปัจเจกบุคคล 21

ในอดีต รัฐบาลอาจประกาศเขตโซนนิ่งเกษตรกรรมโดยดูจากแผนที่ภาพรวม แล้วสั่งให้เกษตรกรปลูกหรือไม่ปลูกพืชบางชนิด ซึ่งมักเกิดความผิดพลาดเพราะข้อมูลไม่ละเอียดพอ แต่ในโมเดลใหม่ รัฐบาลจะทำหน้าที่เหมือน "ที่ปรึกษาส่วนตัว" (Personal Consultant) ที่คอยชี้ช่องทางและโอกาส โดยใช้ข้อมูลเป็นฐานในการตัดสินใจ

3.2 นวัตกรรม Government RAG System

กลไกสำคัญที่จะทำให้ปรัชญาข้างต้นเป็นจริงได้ คือการพัฒนาระบบที่เรียกว่า "Government RAG System" (Retrieval-Augmented Generation) 21

  • นิยามทางเทคนิค: RAG คือเทคนิคทาง AI ที่ช่วยให้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) สามารถสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลภายนอกที่เชื่อถือได้ (Knowledge Base) ก่อนที่จะประมวลผลคำตอบออกมา ซึ่งต่างจาก ChatGPT ทั่วไปที่ตอบตามข้อมูลที่ถูกเทรนมาและอาจล้าสมัยหรือมั่วข้อมูล (Hallucination) ได้

  • การประยุกต์ใช้ในภาครัฐ: ยศชนันเสนอให้สร้าง AI ของรัฐที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูล Big Data ของหน่วยงานต่างๆ (เช่น กรมที่ดิน, กรมอุตุนิยมวิทยา, กระทรวงพาณิชย์) ที่มีความแม่นยำและเป็นปัจจุบันที่สุด เพื่อทำหน้าที่ตอบคำถามและให้คำแนะนำแก่ประชาชน

  • กรณีศึกษา (Use Case): เกษตรกรสามารถถามระบบว่า "ที่ดินแปลงนี้ของฉัน สภาพดินแบบนี้ ในช่วงเวลานี้ ตลาดโลกต้องการอะไร และฉันควรปลูกอะไรเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด?" ระบบ RAG จะดึงข้อมูลสภาพดิน พยากรณ์อากาศ และราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้า มาประมวลผลและให้คำตอบที่ "Tailor-made" สำหรับเกษตรกรรายนั้นๆ 21

3.3 การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางข้อมูล (Information Asymmetry)

นัยสำคัญทางเศรษฐศาสตร์ของ Government RAG System คือการแก้ปัญหา "ความไม่สมมาตรของข้อมูล" (Information Asymmetry) ซึ่งเป็นรากเหง้าของความยากจน 21

  • คนรวย/ทุนใหญ่: มีเงินจ้างที่ปรึกษา มีทีมวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้ตัดสินใจลงทุนได้แม่นยำ ความเสี่ยงต่ำ

  • คนจน/เกษตรกร: ขาดข้อมูล ตัดสินใจตามความเชื่อเดิม หรือตามกระแส (เช่น แห่ปลูกยางพาราตามกันจนล้นตลาด) ทำให้ความเสี่ยงสูง

    การที่รัฐจัดหา "สมองกลอัจฉริยะ" ให้ประชาชนใช้ฟรี คือการ "Democratize Intelligence" หรือกระจายความฉลาดและข้อมูลเชิงลึกให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการประกอบอาชีพของคนตัวเล็กได้อย่างมหาศาล นี่คือการแก้สมการความยากจนที่ต้นเหตุ ไม่ใช่การรอแจกเงินเยียวยาเมื่อเจ๊งแล้ว

3.4 การเปรียบเทียบวิสัยทัศน์ AI กับพรรคคู่แข่ง

เพื่อเห็นภาพความแตกต่างที่ชัดเจน ควรเปรียบเทียบแนวคิด AI ของยศชนัน กับแนวคิดของพรรคประชาชน โดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (เท้ง)

มิติการเปรียบเทียบยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ (พรรคเพื่อไทย) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน)
จุดเน้นหลัก (Core Focus)เศรษฐกิจและการสร้างรายได้ (Wealth Creation): ใช้ AI เพื่อเพิ่มผลผลิต แนะนำอาชีพ และสร้างมูลค่าเพิ่มความโปร่งใสและการเมือง (Transparency & Politics): ใช้ AI ตรวจสอบงบประมาณ เปิดเผยข้อมูลรัฐ และจับโกง
บทบาทของ AIAI as a Consultant: เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจและการเกษตรให้ประชาชนAI as a Watchdog: เป็นเครื่องมือตรวจสอบการทำงานของรัฐและนักการเมือง
กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)เกษตรกร, SMEs, ผู้ประกอบการ, กลุ่มคนรากหญ้าที่ต้องการโอกาสทางเศรษฐกิจคนรุ่นใหม่, ชนชั้นกลางในเมือง, ผู้ที่ต้องการเห็นการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ
ผลลัพธ์ที่คาดหวังการหลุดพ้นจากความยากจน, รายได้ที่เพิ่มขึ้น, GDP Growthรัฐบาลที่โปร่งใส, ลดคอร์รัปชัน, ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง

ตารางนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ทั้งสองพรรคจะชูเรื่อง Technology เหมือนกัน แต่ "จุดประสงค์" (End Game) แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พรรคเพื่อไทยเลือกที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ "ปากท้อง" ซึ่งเป็นจุดแข็งเดิมของพรรค ในขณะที่พรรคประชาชนใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ "อุดมการณ์" และการตรวจสอบ


4. การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่ High Value Economy: เปลี่ยน "ครัว" เป็น "ห้องผ่าตัด"

นอกจากเครื่องมือในการบริหารรัฐแล้ว ยศชนันยังเสนอวิสัยทัศน์ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาคของไทย เพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยเสนอแนวคิด "High Value Economy" หรือเศรษฐกิจมูลค่าสูง

4.1 อุปมาอุปไมย: จาก Kitchen สู่ Operating Room

ยศชนันใช้อุปมาอุปไมยที่ทรงพลังในการสื่อสารวิสัยทัศน์นี้ คือการเปลี่ยนประเทศไทยจาก "ครัวของโลก" (Kitchen of the World) ไปสู่ "ห้องผ่าตัดของโลก" (Operating Room of the World) 22

  • ความหมาย: ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกทำเกษตรหรือเลิกขายอาหาร แต่หมายถึงการยกระดับจากการขายสินค้าเกษตรขั้นปฐมภูมิ (Primary Products) ที่มีกำไรต่ำ ไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) และการแพทย์ขั้นสูงที่มีมูลค่ามหาศาล

  • ตรรกะทางเศรษฐกิจ: การขายข้าว 1 ตัน อาจได้กำไรหลักพัน แต่การนำข้าวหรือพืชผลเกษตรมาสกัดสารสำคัญเพื่อผลิตยาหรือวัสดุทางการแพทย์ อาจสร้างมูลค่าได้หลักล้าน การขยับ Position ของประเทศสู่จุดนี้จึงเป็นทางรอดเดียวในการเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากร

4.2 ยุทธศาสตร์ "อวัยวะเทียม" และ Medical Hub

หนึ่งในรูปธรรมของนโยบายนี้คือการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและวิจัย "อวัยวะเทียม" (Artificial Organs) และเวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative Medicine) 22

  • ศักยภาพของไทย: ไทยมีจุดแข็งเรื่องบริการทางการแพทย์ (Medical Service) เป็นทุนเดิม มีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน JCI มากที่สุดในอาเซียน และเป็น Medical Hub ที่ดึงดูดคนไข้ต่างชาติปีละล้านคน 26 แต่ที่ผ่านมาเรานำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์เกือบทั้งหมด

  • ข้อเสนอ: ยศชนันเสนอให้รัฐลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานการวิจัย เพื่อให้ไทยสามารถผลิตนวัตกรรมได้เอง เช่น การเพาะเลี้ยงอวัยวะจากสเต็มเซลล์ หรือการใช้สุกรดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อปลูกถ่ายอวัยวะให้มนุษย์ (Xenotransplantation) ซึ่งต้องใช้วัตถุดิบจากภาคปศุสัตว์ของไทย เป็นการเชื่อมโยงเกษตรกรเข้ากับห่วงโซ่อุปทานระดับไฮเทค 22

  • ตลาดโลก: ตลาดเทคโนโลยีชีวภาพโลกกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดเนื่องจากสังคมผู้สูงอายุ 27 การที่ไทยกระโดดเข้าสู่ตลาดนี้จะสร้าง S-Curve ใหม่ทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง

4.3 การปฏิรูประบบนิเวศนวัตกรรม (Ecosystem Overhaul)

ยศชนันตระหนักดีว่า การมีแค่วิสัยทัศน์ไม่เพียงพอ หาก "ดิน" หรือระบบนิเวศไม่เอื้ออำนวย เมล็ดพันธุ์ชั้นดีก็ไม่อาจเติบโตได้ เขายกตัวอย่างว่า "ถ้า อีลอน มัสก์ มาเกิดที่เมืองไทย เจอระบบนิเวศแบบนี้เข้าไป ก็อาจจะไม่รอด" 21

  • Thai Silicon Valley: เสนอการปรับผังเมือง (Town Planning) ใหม่ ให้ภาคเอกชนและอุตสาหกรรมไฮเทคมาตั้งอยู่รายล้อมมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการถ่ายเทองค์ความรู้และบุคลากร (Knowledge Spillover) 21

  • กฎระเบียบที่เอื้อต่อ Startup: การแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการระดมทุนและการทดลองนวัตกรรม (Regulatory Sandbox) เพื่อให้สตาร์ทอัพไทยสามารถเติบโตและแข่งขันได้


5. สมการแก้ความยากจนใหม่: Precision Opportunity และความมั่นคงมนุษย์

พรรคเพื่อไทยในยุค "ทักษิณ ชินวัตร" ประสบความสำเร็จจากนโยบายประชานิยมที่เน้นการเข้าถึงทุน (กองทุนหมู่บ้าน) และการเข้าถึงบริการสาธารณสุข (30 บาทรักษาทุกโรค) แต่ในยุค "ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์" สมการความยากจนถูกตีความใหม่

5.1 สมการความยากจนใหม่ (The New Poverty Equation)

ยศชนันมองว่า ความยากจน = การขาดโอกาสที่แม่นยำ + โครงสร้างที่ไม่เอื้ออำนวย 21

การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่แค่การแจกเงิน (ซึ่งแก้ได้ชั่วคราว) แต่คือการมอบ "เครื่องมือ" (Tools) และ "ข้อมูล" (Data) ที่ช่วยให้คนจนสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

5.2 เทคโนโลยีเพื่อ "คนตัวเล็ก" (Tech for the Little People)

ยศชนันพยายามลบล้างความเชื่อที่ว่าเทคโนโลยีเป็นเรื่องของนายทุนหรือคนรวย โดยเน้นย้ำว่า AI และเทคโนโลยีขั้นสูงมีประโยชน์สูงสุดสำหรับ "คนตัวเล็ก" ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง 22

  • กรณีศึกษาผู้พิการ: จากประสบการณ์วิจัย BCI ยศชนันแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้พิการจากที่เป็น "ภาระ" ของครอบครัว ให้สามารถกลับมาสื่อสาร ขยับตัว หรือทำงานได้อีกครั้ง 1 นี่คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กลุ่มเปราะบาง

  • Precision Agriculture: การใช้ AI ช่วยเกษตรกรรายย่อยให้มีความรู้เท่าทันตลาดโลก ทำให้พวกเขาสามารถต่อรองราคาหรือเลือกปลูกพืชที่ทำกำไรได้จริง 21

5.3 การแก้หนี้และสวัสดิการแบบใหม่

ควบคู่ไปกับนโยบายระยะยาว พรรคเพื่อไทยยังคงมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อ "ห้ามเลือด" ทางเศรษฐกิจ โดย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ได้เสนอมาตรการแก้หนี้ครบวงจร และนโยบาย "หวยเกษียณ" 12

  • หวยเกษียณ: นวัตกรรมทางการเงินที่เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อหวยของคนไทย (ซึ่งเป็นรายจ่ายสิ้นเปลือง) ให้กลายเป็นเงินออมระยะยาว โดยเงินที่ซื้อหวยจะไม่สูญเปล่าแต่ถูกเก็บไว้ในบัญชีการออมเพื่อวัยเกษียณ นโยบายนี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการออมของสังคมสูงวัยและการแก้ปัญหาความยากจนในวัยชรา

  • การศึกษาคู่การทำงาน: นโยบายให้นักศึกษาสามารถทำงานรับจ้างภาคเอกชนโดยใช้เครื่องมือของมหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่ปี 1 เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียนและลดภาระหนี้ กยศ. 21


6. เศรษฐกิจสร้างสรรค์และ Soft Power: อัตลักษณ์ไทยในโลกสมัยใหม่

อีกหนึ่งขาสำคัญของการ "ยกเครื่องประเทศไทย" คือการผลักดัน Soft Power ซึ่งสอดรับกับนโยบาย OFOS (One Family One Soft Power) และ THACCA ที่รัฐบาลปัจจุบันกำลังดำเนินการ

6.1 นิยามใหม่ของ Soft Power

ยศชนันและทีมเศรษฐกิจสร้างสรรค์มอง Soft Power ไม่ใช่แค่ "วัฒนธรรม" แต่คือ "กระบวนการ" (Process) ในการเปลี่ยนต้นทุนทางวัฒนธรรมให้เป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ 28

  • From Culture to Capital: การนำความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) มาใส่ในสินค้าและบริการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น หรือเทศกาล 29

  • Science x Culture: จุดที่น่าสนใจคือวิสัยทัศน์ของยศชนันในการผสาน "วิทยาศาสตร์" เข้ากับ "วัฒนธรรม" ตัวอย่างเช่น การพัฒนา "อาหารไทย" ให้เป็น "Functional Food" หรืออาหารเพื่อสุขภาพที่มีผลวิจัยรองรับว่าช่วยป้องกันโรคได้จริง ซึ่งจะทำให้สามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าอาหารปกติหลายเท่า 30

6.2 การสร้างแรงงานสร้างสรรค์ (Creative Workforce)

เป้าหมายของนโยบายนี้คือการสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ผ่านการ Reskill/Upskill คนไทยให้มีทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ 31 โดยรัฐจะสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น TCDC ในระดับจังหวัด และ Platform การเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเป็น "Creator" ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของประเทศ 32


7. บทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบและการแข่งขันทางการเมือง (Comparative Political Analysis)

การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่าง 3 แนวทางหลัก ซึ่งสะท้อนผ่านนโยบายของแต่ละพรรค

7.1 พรรคเพื่อไทย (Technocratic Populism)

  • จุดขาย: "ปากท้อง + เทคโนโลยี" เน้นการสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation) โดยใช้รัฐเป็นพี่เลี้ยงและผู้สนับสนุน

  • กลุ่มเป้าหมาย: ฐานเสียงเดิม (รากหญ้า/เกษตรกร) + ฐานเสียงใหม่ (คนทำงาน/SMEs) ที่ต้องการโอกาสทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้

  • จุดแข็ง: ความน่าเชื่อถือเรื่องเศรษฐกิจในอดีต และภาพลักษณ์ใหม่ที่ดูทันสมัยและเป็นวิชาการของแคนดิเดต

  • จุดอ่อน: ความคลุมเครือในจุดยืนทางการเมืองเรื่องประชาธิปไตย และภาระจากการเป็นพรรครัฐบาลเดิม

7.2 พรรคประชาชน (Structural Reformism)

  • จุดขาย: "ความเท่าเทียม + โครงสร้างอำนาจ" เน้นการตรวจสอบรัฐ การกระจายอำนาจ และการทำลายทุนผูกขาด 6

  • กลุ่มเป้าหมาย: คนรุ่นใหม่, ปัญญาชน, ชนชั้นกลางในเมืองที่เบื่อหน่ายระบบเก่า

  • จุดแข็ง: ความชัดเจนในอุดมการณ์ และผู้นำที่มีเสน่ห์ดึงดูดคนรุ่นใหม่ (ณัฐพงษ์, ศิริกัญญา)

  • จุดอ่อน: นโยบายเศรษฐกิจอาจถูกมองว่าเป็นนามธรรม หรือเน้นการทุบโครงสร้างมากกว่าการสร้างรายได้ระยะสั้น

7.3 พรรคภูมิใจไทย (Pragmatic Patronage)

  • จุดขาย: "พูดแล้วทำ + ท้องถิ่นนิยม" เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การพัฒนาพื้นที่ และเครือข่ายอุปถัมภ์ที่เข้าถึงพึ่งได้ 7

  • กลุ่มเป้าหมาย: คนในต่างจังหวัดที่ยังพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ และกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ต้องการความสงบ

  • จุดแข็ง: กลไกการเลือกตั้งที่เข้มแข็งมากในระดับเขต และทรัพยากรทางการเมืองที่มหาศาล

  • จุดอ่อน: ภาพลักษณ์เรื่องความโปร่งใส และการขาดวิสัยทัศน์ระดับชาติที่ชัดเจนในสายตาคนเมือง


8. ความท้าทายและอุปสรรคในการขับเคลื่อนนโยบาย (Implementation Challenges)

แม้ว่าวิสัยทัศน์ของ ยศชนัน จะมีความสมบูรณ์ในเชิงทฤษฎี แต่การนำไปปฏิบัติจริงในบริบทประเทศไทย ย่อมเผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายประการ

8.1 ระบบราชการที่แข็งตัว (Bureaucratic Rigidity)

การจะสร้าง Government RAG System ที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการบูรณาการข้อมูล (Data Integration) จากทุกกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งในทางปฏิบัติ ระบบราชการไทยมักมีวัฒนธรรมหวงแหนข้อมูล (Data Silos) และขาดความเป็นเอกภาพ 21 การจะเปลี่ยนข้าราชการจาก "ผู้คุมกฎ" เป็น "ผู้ให้บริการข้อมูล" เป็นเรื่องที่ท้าทายวัฒนธรรมองค์กรอย่างรุนแรง

8.2 ข้อจำกัดทางการเมืองและพรรคร่วมรัฐบาล

หากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย (Landslide) และต้องจัดตั้งรัฐบาลผสม การผลักดันนโยบายที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี อาจถูกต่อรองจากพรรคร่วมรัฐบาลที่ต้องการงบประมาณไปลงในโครงการประชานิยมแบบเก่าที่เห็นผลเร็วและได้คะแนนเสียงง่ายกว่า 7

8.3 ความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital Readiness)

การเปลี่ยนประเทศสู่ High Value Economy ต้องใช้แรงงานที่มีทักษะสูงมาก ในขณะที่ระบบการศึกษาไทยยังมีปัญหาในการผลิตคนให้ตรงกับความต้องการ 3 การจะ Upskill เกษตรกรสูงอายุให้ใช้ AI หรือเปลี่ยนแรงงานไร้ฝีมือเข้าสู่อุตสาหกรรมไบโอเทค ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน และอาจเกิดปัญหารอยต่อของการเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ที่คนกลุ่มหนึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลัง


9. บทสรุป

ยุทธศาสตร์ "ยกเครื่องประเทศไทย" ของพรรคเพื่อไทย และการเปิดตัว ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการ "นิยามใหม่" (Redefine) บทบาทของพรรคเพื่อไทยในสนามการเมืองปี 2569 จากพรรคที่เคยพึ่งพานโยบายประชานิยมแบบแจกเงิน สู่การเป็นพรรคที่เสนอนโยบายแก้ปัญหาโครงสร้างด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ (Technocratic Populism)

ข้อเสนอเรื่อง Government RAG System และ High Value Economy เป็นนวัตกรรมทางนโยบายที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการแก้ปัญหาความยากจนที่ต้นเหตุ ด้วยการมอบ "ข้อมูล" และ "โอกาส" ที่แม่นยำให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสวยหรูของวิสัยทัศน์ แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการ "บริหารจัดการ" เพื่อเอาชนะแรงเสียดทานจากระบบราชการ และความสามารถในการสื่อสารเพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า "วิทยาศาสตร์" สามารถเปลี่ยนชีวิตพวกเขาให้ดีขึ้นได้จริง

การเลือกตั้งปี 2569 จึงไม่ใช่แค่การเลือกตั้งผู้นำ แต่เป็นการเลือกระหว่าง "อดีตที่คุ้นเคย" กับ "อนาคตที่ท้าทาย" และบทพิสูจน์ว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถ "Reboot" ตัวเองและประเทศไทย ได้สำเร็จตามคำประกาศหรือไม่

ตารางที่ 1: สรุปเปรียบเทียบแนวทางการแก้ปัญหาความยากจน

แนวทางนโยบายประชานิยมดั้งเดิม (Old Paradigm)นโยบายยกเครื่องประเทศไทย (New Paradigm - Yodchanan)
สมมติฐานคนจนเพราะขาดเงินทุนคนจนเพราะขาดโอกาสและข้อมูลที่ถูกต้อง
เครื่องมือหลักการแจกเงิน, พักหนี้, กองทุนกู้ยืมGovernment RAG System, Precision Agriculture, BCI
บทบาทรัฐผู้สงเคราะห์ (Provider)ผู้แนะนำและสนับสนุน (Enabler & Recommender)
ความยั่งยืนต่ำ (หมดเงินก็หมดกัน)สูง (สร้างทักษะและรายได้ระยะยาว)
ตัวอย่างโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต, กองทุนหมู่บ้านThai Silicon Valley, หวยเกษียณ, Medical Hub

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทำแบบมีสมอง นโยบายพรรคการเมือง สู้ศึกศึกเลือกตั้งปี 2569

พลวัตและยุทธศาสตร์นโยบายการเมืองไทยในการเลือกตั้ง 2569: การสังเคราะห์ "นวัตกรรมเชิงบริหาร" และ "ทุนทางวัฒนธรรม" บทคัดย่...