รายงานการวิจัย: พลวัตทางการเมืองและบทบาทเชิงสถาบันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
1. บทนำ: สกลนครในฐานะพื้นที่ยุทธศาสตร์แห่ง "พุทธธรรม" และการเมืองระบบอุปถัมภ์
1.1 บริบทเชิงพื้นที่และอัตลักษณ์ทางศาสนา
จังหวัดสกลนคร มิได้เป็นเพียงหน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แต่ยังดำรงสถานะพิเศษในฐานะ "แอ่งธรรมะแห่งอีสาน" (Dharma Basin of Isan) หรือ "เมืองพุทธธรรม" ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่หยั่งรากลึกในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของประชากร
ในบริบททางการเมือง อัตลักษณ์ทางศาสนาที่เข้มข้นนี้ได้แปรสภาพเป็น "ทุนทางวัฒนธรรม" (Cultural Capital) และ "ทุนทางการเมือง" (Political Capital) ที่สำคัญยิ่ง นักการเมืองในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับสถาบันสงฆ์และเครือข่ายพุทธศาสนิกชน เพื่อสร้างความชอบธรรม (Legitimacy) และบารมี (Charisma) ในการครองใจประชาชน
1.2 โครงสร้างทางการเมืองและพลวัตการเลือกตั้ง (2562-2566)
จากการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดสกลนคร ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562 และ 2566 พบว่าพื้นที่นี้เป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคเพื่อไทย (และพรรคไทยรักไทย/พลังประชาชนในอดีต) โดยมีตระกูลการเมืองและบุคคลที่มีอิทธิพลในพื้นที่ครองตำแหน่งมายาวนาน
ตารางที่ 1 แสดงให้เห็นถึงรายชื่อ สส. จังหวัดสกลนคร ในชุดที่ 26 (พ.ศ. 2566) และบทบาทที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องของการเมืองระบบเครือญาติและระบบอุปถัมภ์ที่ผูกโยงกับฐานเสียงในแต่ละอำเภอ
ตารางที่ 1: รายนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร ชุดที่ 26 (พ.ศ. 2566) และเขตพื้นที่รับผิดชอบ
| เขตเลือกตั้ง | รายชื่อ สส. | พรรคการเมือง | พื้นที่ฐานเสียงหลัก | คะแนนเสียง (2566) | หมายเหตุ/ความสัมพันธ์ |
| เขต 1 | นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย | เพื่อไทย | อ.เมือง (ต.ธาตุเชิงชุม) | 29,716 | ตระกูลนักธุรกิจเก่าแก่, อุปถัมภ์วัดพระธาตุเชิงชุม |
| เขต 2 | นายชาตรี หล้าพรหม | เพื่อไทย | อ.กุสุมาลย์, อ.โพนนาแก้ว | 27,406 | รับไม้ต่อจาก ดร.นิยม เวชกามา (ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์/ย้ายพรรค) |
| เขต 3 | นางสาวจิรัชยา สัพโส | เพื่อไทย | อ.พรรณานิคม, อ.วาริชภูมิ | 49,346 | บุตรสาวนายพัฒนา สัพโส, ฐานเสียงครอบครัวสัพโส |
| เขต 4 | นายพัฒนา สัพโส | เพื่อไทย | อ.พังโคน, อ.พรรณานิคม | 35,690 | แกนนำ นปช., สายวัดป่า, บิดาของ สส.เขต 3 |
| เขต 5 | นายชัยมงคล ไชยรบ | พลังประชารัฐ | อ.สว่างแดนดิน (บางส่วน) | 29,085 | อดีตนายก อบจ., ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น |
| เขต 6 | นางสาวสกุณา สาระนันท์ | เพื่อไทย | อ.สว่างแดนดิน, อ.ส่องดาว | 39,035 | ผู้นำโมเดลเศรษฐกิจผ้าคราม |
| เขต 7 | นายเกษม อุประ | เพื่อไทย | อ.วานรนิวาส | 32,195 | สส.อาวุโส, บทบาทในงานประเพณี |
1.3 กรอบแนวคิด: ระบบอุปถัมภ์และการเมืองเชิงพุทธ (Buddhist Politics)
การวิเคราะห์บทบาทของ สส.สกลนคร จำเป็นต้องอาศัยกรอบแนวคิดเรื่อง "ระบบอุปถัมภ์" (Patronage System) ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของการเมืองไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมือง (ผู้อุปถัมภ์) กับประชาชน (ผู้รับอุปถัมภ์) มิได้จำกัดอยู่เพียงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางวัตถุ แต่ขยายไปสู่การแลกเปลี่ยนทางจิตวิญญาณและการทำบุญ
นอกจากนี้ แนวคิด "การเมืองเชิงพุทธ" (Buddhist Politics) ยังอธิบายถึงการที่นักการเมืองนำหลักธรรมหรือสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนามาใช้ในการสร้างความชอบธรรมทางการเมือง
2. บทบาทเชิงนิติบัญญัติและนโยบายระดับชาติ: กรณีศึกษา ดร.นิยม เวชกามา และเครือข่าย
บทบาทที่โดดเด่นและมีนัยสำคัญที่สุดของ สส.สกลนคร ในการอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา คือการทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมี ดร.นิยม เวชกามา (อดีต สส.เขต 2 พรรคเพื่อไทย) เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนวาระทางศาสนาในระดับชาติ ท่านได้วางตำแหน่งทางการเมือง (Political Positioning) ของตนอย่างชัดเจนในฐานะ "ผู้แทนของคณะสงฆ์" และ "ผู้พิทักษ์พุทธศาสนา" ในสภาผู้แทนราษฎร
2.1 การเป็น "สถาปนิกกฎหมาย" เพื่อความมั่นคงของพุทธศาสนา
ดร.นิยม เวชกามา ได้ริเริ่มและผลักดันร่างกฎหมายหลายฉบับที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเกราะคุ้มกันทางกฎหมายและยกระดับการบริหารจัดการกิจการพระพุทธศาสนาให้เป็นระบบและมีความเป็นอิสระมากขึ้น
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ.....
หลักการและเหตุผล: ร่างกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นจากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐและคณะสงฆ์ โดยเฉพาะการใช้อำนาจรัฐในการจับกุมพระภิกษุโดยไม่ผ่านกระบวนการทางธรรมวินัยอย่างเหมาะสม ดร.นิยมและคณะ จึงเสนอกฎหมายนี้เพื่อกำหนดหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ให้ชัดเจน
18 สาระสำคัญและกลไกการคุ้มครอง:
การจัดตั้งกองทุน: เสนอให้จัดตั้ง "กองทุนเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" เพื่อสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินคดีและให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่พระภิกษุสามเณรที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา เพื่อให้พระสงฆ์มีทนายความและสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเป็นธรรมก่อนที่จะถูกบังคับให้ลาสิกขา
20 สมัชชาอุปถัมภ์ฯ ระดับจังหวัด: เสนอให้มีโครงสร้างองค์กรในรูปแบบ "สมัชชา" ประจำจังหวัด เพื่อกระจายอำนาจการดูแลกิจการพระพุทธศาสนาให้พุทธศาสนิกชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วม แทนที่จะรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางเพียงอย่างเดียว
22 บทกำหนดโทษ: มีการกำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำที่เป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา หรือการละเมิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง เพื่อสร้างความเกรงกลัวและป้องกันภัยคุกคามจากภายในและภายนอก
21
ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
กฎหมายเหล่านี้มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับวัดและองค์กรทางศาสนา โดยแนวคิด "ธนาคารพุทธ" มีเป้าหมายเพื่อให้วัดสามารถบริหารจัดการทรัพย์สินและเงินบริจาคได้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และนำดอกผลมาใช้เพื่อสาธารณประโยชน์และสวัสดิการสงฆ์ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบธนาคารพาณิชย์ทั่วไปที่อาจไม่เข้าใจบริบทของเงินวัด
17
ยุทธศาสตร์การปฏิรูป 20 ปี
ดร.นิยม ยังได้นำเสนอวิสัยทัศน์ระยะยาวในการปฏิรูปการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผ่าน 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ (1) การปฏิรูปกฎหมายคณะสงฆ์ (2) การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (3) การเผยแผ่เชิงรุกในระดับนานาชาติ และ (4) การสร้างเครือข่ายพุทธนานาชาติ เพื่อให้พุทธศาสนาไทยก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัตน์
24
2.2 การอภิปรายตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจรัฐ (Parliamentary Oversight)
นอกจากการเสนอกฎหมาย ดร.นิยม และ สส.พรรคเพื่อไทย ในจังหวัดสกลนคร ยังใช้กลไกรัฐสภาในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างเข้มข้นในประเด็นที่กระทบต่อสถาบันสงฆ์
วิกฤตศรัทธาและคดี "เงินทอนวัด": ในช่วงที่มีการดำเนินคดีเงินทอนวัดและการบุกจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ดร.นิยม เป็นหนึ่งใน สส. เพียงไม่กี่คนที่กล้าลุกขึ้นอภิปรายปกป้องพระสงฆ์กลางสภา โดยชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของการใช้อำนาจรัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและพระธรรมวินัย ท่านได้ตั้งกระทู้ถามสดและเรียกร้องให้มีการคืนสมณเพศแก่พระเถระที่ถูกจับสึกโดยไม่สมัครใจเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด หรือเมื่อศาลยกฟ้อง
25 การโจมตีการบริหารงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.): ดร.นิยม ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล พศ. โดยเฉพาะประเด็นการใช้คำสั่ง คสช. มาตรา 44 แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ มาเป็น ผู้อำนวยการ พศ. ซึ่งท่านมองว่าเป็นการนำ "อำนาจทหาร-ตำรวจ" มาปกครองสงฆ์ สร้างความหวาดระแวงและความขัดแย้งรุนแรงในวงการสงฆ์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
26 การปกป้องศาสนสมบัติ: มีการอภิปรายเปิดโปงความพยายามในการแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินธรณีสงฆ์ โดยตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสในการทำสัญญาเช่ากับเอกชน ซึ่งอาจทำให้คณะสงฆ์เสียประโยชน์มหาศาล
26
2.3 การตอบโต้ทางการเมืองในประเด็นศาสนา
บทบาทของ สส.สกลนคร ยังรวมถึงการเป็น "องครักษ์พิทักษ์งบประมาณศาสนา" เมื่อเผชิญกับการตรวจสอบจากพรรคฝ่ายค้านอื่น (เช่น พรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชน) ที่มีอุดมการณ์รัฐฆราวาส (Secular State)
การปกป้องงบประมาณสำนักพุทธฯ: เมื่อมีการอภิปรายตัดลดงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดย สส.พรรคก้าวไกล ดร.นิยม และเครือข่าย สส.เพื่อไทย ได้ลุกขึ้นตอบโต้ทันที โดยระบุว่าการตัดงบประมาณคือการ "บ่อนทำลาย" และ "ด้อยค่า" พุทธศาสนา การกระทำดังกล่าวถูกนำมาขยายผลทางการเมืองเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ว่าพรรคเพื่อไทยคือพรรคที่ปกป้องศาสนา ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นภัยคุกคาม
27 การสร้างวาทกรรม: สส.สกลนคร ใช้วาทกรรม "ปกป้องศาสนา" เพื่อสร้างความชอบธรรมในการจัดสรรงบประมาณลงสู่พื้นที่วัดในเขตเลือกตั้งของตน และใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีคู่แข่งทางการเมืองว่าไม่มีความเคารพต่อสถาบันหลักของชาติ
30
3. บทบาทเชิงพื้นที่และวัฒนธรรม: สส. ในฐานะ "มัคทายกผู้ทรงอิทธิพล"
ในระดับท้องถิ่น บทบาทของ สส.สกลนคร ก้าวข้ามหน้าที่นิติบัญญัติไปสู่การเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม (Cultural and Spiritual Patron) ผ่านการเข้าร่วมและสนับสนุนประเพณีสำคัญของจังหวัด ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการรักษาฐานเสียงในระบบอุปถัมภ์
3.1 ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง: เวทีแสดงบารมีทางการเมือง
งานประเพณีแห่ปราสาทผึ้งในช่วงเทศกาลออกพรรษา ถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดสกลนคร และเป็นพื้นที่ที่ สส. ทุกคนต้องเข้ามามีบทบาท
การระดมทรัพยากร (Resource Mobilization): สส. อย่าง นายเกษม อุประ (เขต 7) และ นายพัฒนา สัพโส (เขต 4) มีบทบาทสำคัญในการประสานงานดึงงบประมาณจากส่วนกลาง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือกระทรวงวัฒนธรรม รวมทั้งประสานกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพื่อสนับสนุนการจัดงานให้ยิ่งใหญ่
33 การที่งานมีความอลังการย่อมสะท้อนถึง "เพาเวอร์" ของนักการเมืองในพื้นที่การมีส่วนร่วมเชิงสัญลักษณ์: การปรากฏตัวของ สส. ในพิธีเปิดงาน การเดินนำขบวนแห่ของอำเภอหรือคุ้มวัดต่างๆ ไปยังวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร เป็นการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ว่า สส. คือผู้นำที่เดินเคียงข้างประชาชนในเส้นทางบุญ
34 การสนับสนุนเสบียงอาหารและเงินทุนให้แก่ช่างทำปราสาทผึ้งในชุมชน ("เยือนวิถีชน คนทำปราสาทผึ้ง") เป็นการสร้างความผูกพันส่วนบุคคลที่ลึกซึ้งกว่าการหาเสียงทั่วไป31
3.2 เทศกาลนมัสการพระธาตุเชิงชุม: ศูนย์รวมศรัทธา
วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร เป็นปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมือง สส.เขต 1 อย่าง นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่โดยตรง มีบทบาทโดดเด่นในการอุปถัมภ์วัดแห่งนี้มายาวนาน
บทบาทเจ้าภาพหลัก: ในงานนมัสการพระธาตุเชิงชุมและหลวงพ่อพระองค์แสน สส.อภิชาติ และเครือข่าย จะรับเป็นเจ้าภาพในกิจกรรมสำคัญ เช่น พิธีทำบุญตักบาตร พิธีเวียนเทียน และการจัดหามหรสพสมโภช
36 การดำรงตำแหน่งยาวนานหลายสมัยของนายอภิชาติ ส่วนหนึ่งมาจากการรักษาฐานคะแนนในเขตเทศบาลเมืองผ่านกิจกรรมของวัดพระธาตุเชิงชุมการพัฒนาภูมิทัศน์: ในสมัยที่ นายชัยมงคล ไชยรบ (สส.เขต 5 ปัจจุบัน) ดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สกลนคร ได้มีการจัดสรรงบประมาณจำนวนมากเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์รอบองค์พระธาตุ สร้างลานกิจกรรม และสนับสนุนการแสดงแสงสีเสียง ซึ่งเป็นการยกระดับงานบุญให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างรายได้เข้าสู่จังหวัด
11
3.3 กฐิน ผ้าป่า และความสัมพันธ์กับสายพระป่า
การทอดกฐินและผ้าป่าสามัคคี เป็นกลไกทางเศรษฐศาสตร์การเมืองที่สำคัญในการกระจายทรัพยากรจากเมืองสู่ชนบท และเป็นการเชื่อมต่อกับเครือข่าย "พระป่า" ที่มีอิทธิพลสูงในสกลนคร
นายพัฒนา สัพโส กับวัดป่าสุทธาวาส: นายพัฒนา สัพโส (เขต 4) มีความสัมพันธ์อันดีกับวัดป่าสุทธาวาส ซึ่งเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต การเข้าร่วมงานกฐินและงานรำลึกบูรพาจารย์ ณ วัดแห่งนี้ เป็นการแสดงความเคารพต่อสายกรรมฐาน ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชนชั้นกลางและกลุ่มอนุรักษ์นิยมในพื้นที่
2 เครือข่ายบุญข้ามพื้นที่: สส. มักทำหน้าที่เป็น "ประธานสายบุญ" นำพานักธุรกิจหรือผู้ศรัทธาจากกรุงเทพฯ มาทอดกฐินในวัดที่ห่างไกลในเขตเลือกตั้งของตน กิจกรรมนี้ช่วยนำเม็ดเงินเข้าสู่ชุมชนและวัด ช่วยซ่อมแซมศาลา กุฏิ หรือสร้างเมรุเผาศพ ซึ่งเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สำคัญของหมู่บ้าน
5
4. บทบาทนักพัฒนา: พุทธธรรมกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Buddhist Economy)
นอกเหนือจากมิติทางพิธีกรรม สส.สกลนคร บางท่านได้ริเริ่มการนำทุนทางวัฒนธรรมพุทธมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทาง "เศรษฐกิจพอเพียง" และ "เศรษฐกิจสร้างสรรค์"
4.1 กรณีศึกษา: นางสาวสกุณา สาระนันท์ และ "ครามสกล"
นางสาวสกุณา สาระนันท์ (สส.เขต 6 พรรคเพื่อไทย) ได้นำเสนอโมเดลการพัฒนาที่โดดเด่น โดยการเชื่อมโยงภูมิปัญญา "ผ้าย้อมคราม" เข้ากับวิถีชีวิตชาวพุทธและตลาดสากล
ครามกับวิถีสงฆ์: สีคราม (Indigo) เป็นสีธรรมชาติที่สัมพันธ์กับ "สีกรัก" หรือสีจีวรของพระป่าสายกรรมฐาน ที่เน้นความเรียบง่ายและเป็นมิตรกับธรรมชาติ การส่งเสริมผ้าย้อมครามจึงเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่สอดคล้องกับหลักธรรมเรื่องการเบียดเบียนธรรมชาติน้อยที่สุด
44 การสร้างอาชีพฐานราก: สส.สกุณา ได้ผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มแม่บ้านและวิสาหกิจชุมชน (มักมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดหรือศาลาประชาคม) เพื่อผลิตผ้าย้อมครามที่มีคุณภาพมาตรฐาน จนได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)
45 บทบาทนี้เปลี่ยนวัดจากพื้นที่ประกอบพิธีกรรมเพียงอย่างเดียว ให้กลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และสร้างรายได้ (Learning and Economic Hub) เมื่อชาวบ้านมีรายได้ดีขึ้น ก็ย่อมมีกำลังทรัพย์ในการทำนุบำรุงวัดวาอารามต่อไป เป็นวัฏจักรที่เกื้อกูลกัน46 Soft Power และการเมือง: การนำผ้าครามขึ้นสู่เวทีแฟชั่นโชว์และการประชุมพรรคระดับชาติ เป็นการยกระดับสินค้าท้องถิ่นและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวสกลนคร ซึ่งส่งผลบวกต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของตัว สส. เอง
43
5. ความขัดแย้งและพลวัตปัญหา: เมื่อศาสนาปะทะการเมือง
บทบาทของ สส.สกลนคร ในการอุปถัมภ์พุทธศาสนา ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายและความขัดแย้งที่ซับซ้อน
5.1 การเมืองเรื่องที่ดินวัด (Land Rights Issues)
ปัญหาที่ดินวัดทับซ้อนกับที่ดินรัฐ (ป่าสงวน, ที่สาธารณประโยชน์) เป็นปัญหาเรื้อรังในสกลนคร สส. หลายท่าน เช่น ดร.นิยม และนายอภิชาติ ได้เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยและผลักดันนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหานี้
การพิสูจน์สิทธิ: สส. ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างวัดกับกรมที่ดินและสำนักงานพระพุทธศาสนา เพื่อเร่งรัดกระบวนการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดที่ตั้งมาก่อนประกาศเขตป่า เพื่อให้วัดสามารถออกโฉนดหรือเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องได้
48 การมีโฉนดที่ดินไม่เพียงสร้างความมั่นคงให้วัด แต่ยังป้องกันการบุกรุกของเอกชนและการนำที่ดินวัดไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
5.2 การเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 วัดและพระสงฆ์ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่ประชาชนงดเข้าวัดทำบุญ ทำให้ขาดแคลนปัจจัยและภัตตาหาร สส.นิยม เวชกามา ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเยียวยาวัดและพระสงฆ์อย่างเร่งด่วน เช่น การสนับสนุนค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ-ค่าไฟ) ให้แก่วัด และการจัดโรงทานเพื่อช่วยเหลือประชาชน
5.3 ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ศาสนา
การปะทะกันทางความคิดระหว่างกลุ่ม "อนุรักษ์นิยมพุทธ" (ที่นำโดย สส.เพื่อไทย/พลังประชารัฐ ในพื้นที่) กับกลุ่ม "ก้าวหน้า/เสรีนิยม" (พรรคก้าวไกล/ประชาชน) ส่งผลให้ประเด็นศาสนากลายเป็นสมรภูมิทางการเมือง
วาทกรรมและการตอบโต้: สส.สกลนคร มักใช้วาทกรรมว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นพวก "ไม่เอาศาสนา" หรือ "จะตัดงบวัด" เพื่อปลุกระดมฐานเสียงชาวพุทธในพื้นที่ให้เกิดความหวาดกลัวและหันมาสนับสนุนฝั่งตน
27 การทำให้ศาสนาเป็นการเมือง (Politicization of Religion) เช่นนี้ แม้จะได้ผลในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจสร้างความแตกแยกในหมู่พุทธศาสนิกชนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน
6. บทสรุป: "สกลนครโมเดล" - พุทธศาสนาในฐานะเสาหลักทางการเมืองและสังคม
จากการวิเคราะห์บทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร สามารถสรุปเป็น "โมเดลความสัมพันธ์" ระหว่างนักการเมืองกับพุทธศาสนาได้ 3 มิติหลัก ดังนี้:
มิติผู้พิทักษ์ (The Protector): นำโดย ดร.นิยม เวชกามา และเครือข่าย ที่เน้นการต่อสู้ในระดับนิติบัญญัติเพื่อสร้างเกราะคุ้มกันทางกฎหมายให้แก่สถาบันสงฆ์ ปกป้องพระเถระจากอำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม และผลักดันโครงสร้างการบริหารจัดการศาสนาที่กระจายอำนาจ
มิติมัคทายก (The Steward): สส. ทุกท่านทำหน้าที่เป็นผู้นำในการระดมทรัพยากรและงบประมาณเพื่อบำรุงศาสนสถานและจัดงานประเพณีท้องถิ่น (แห่ปราสาทผึ้ง, ไหว้พระธาตุ) ซึ่งเป็นการแปลงทุนทางเศรษฐกิจและบารมีทางการเมืองให้เป็นกุศลและคะแนนเสียงในระบบอุปถัมภ์
มิตินักพัฒนา (The Developer): นำโดย สส.สกุณา สาระนันท์ ที่เชื่อมโยงทุนทางวัฒนธรรมพุทธและภูมิปัญญาท้องถิ่น (ผ้าคราม) เข้ากับนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความอยู่รอดทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนรอบวัด
ข้อเสนอแนะและทิศทางในอนาคต:
บทบาทของ สส.สกลนคร สะท้อนให้เห็นว่า ในสังคมไทย "การเมือง" และ "ศาสนา" ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ ความสำเร็จทางการเมืองในพื้นที่นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับสถาบันสงฆ์ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในอนาคตคือการปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่มีความหลากหลายทางความคิดมากขึ้น สส. จำเป็นต้องก้าวข้ามการใช้ศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง (Political Tool) ไปสู่การส่งเสริมหลักธรรมคำสอนเพื่อสร้าง "ธรรมาธิปไตย" และสังคมที่สันติสุขอย่างแท้จริง การผลักดันกฎหมายควรเน้นที่ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย เพื่อให้พุทธศาสนาสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและสง่างามในโลกสมัยใหม่
ตารางสรุป: การเปรียบเทียบบทบาทหลักของ สส. สกลนคร ด้านพุทธศาสนา
| ชื่อ สส. | พรรค | บทบาทหลัก (Role Archetype) | กิจกรรม/ผลงานเด่น |
| ดร.นิยม เวชกามา | เพื่อไทย | ผู้พิทักษ์ (Legislator/Protector) | ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์ฯ, ปกป้องพระเถระคดีเงินทอนวัด, ตรวจสอบ พศ. |
| นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย | เพื่อไทย | มัคทายกหลัก (Grand Steward) | เจ้าภาพงานนมัสการพระธาตุเชิงชุม, อุปถัมภ์วัดในเขตเมือง |
| นายพัฒนา สัพโส | เพื่อไทย | ผู้นำจิตวิญญาณท้องถิ่น (Local Spiritual Leader) | เชื่อมโยงสายพระป่า (วัดป่าสุทธาวาส), ประธานกฐินสายชนบท |
| นางสาวสกุณา สาระนันท์ | เพื่อไทย | นักพัฒนาวิถีพุทธ (Buddhist Developer) | โมเดลผ้าครามสกล, เศรษฐกิจชุมชนรอบวัด, GI สินค้าวัฒนธรรม |
| นายเกษม อุประ | เพื่อไทย | ผู้สืบสานประเพณี (Traditionalist) | สนับสนุนงานแห่ปราสาทผึ้ง, ระดมงบประมาณจัดงานประเพณี |

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น