บทคัดย่อบริหาร (Executive Summary)
รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการศึกษาวิเคราะห์เจาะลึกถึงพัฒนาการทางความคิด ยุทธศาสตร์การสื่อสาร และจุดยืนทางการเมืองของ ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการด้านพุทธสันติวิธีและสื่อมวลชนอาวุโส ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญจากการเป็นสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม สู่บทบาทนักวิชาการอิสระที่ขับเคลื่อนวาระทางสังคมด้วยนวัตกรรมทางความคิด เพื่อเตรียมความพร้อมและชี้นำทิศทางสังคมไทยสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปี พุทธศักราช 2569
สาระสำคัญของการศึกษานี้ครอบคลุมการวิเคราะห์สาเหตุและนัยยะของการลาออกจากพรรคการเมืองในฐานะการปรับกระบวนทัศน์จาก "ผู้เล่นในสนาม" (Political Actor) สู่ "สถาปนิกทางปัญญา" (Intellectual Architect) โดยมีการบูรณาการองค์ความรู้ 5 เสาหลัก ได้แก่ (1) หลักพุทธธรรม (2) พุทธสันติวิธี (3) นิเทศศาสตร์และสื่อมวลชนเชิงพุทธ (4) ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ (5) ภูมิปัญญาไทย เข้ากับบริบทความท้าทายแห่งอนาคต เช่น ภัยคุกคามทางดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า วิสัยทัศน์ของ ดร.สำราญ สมพงษ์ นำเสนอโมเดล "ประชาธิปไตยเชิงปัญญา" (Wisdom Democracy) ซึ่งมุ่งเน้นการก้าวข้ามความขัดแย้งแบบขั้วอำนาจเดิม (Polarization) ด้วยการใช้อริยสัจโมเดลในการจัดการความขัดแย้ง และการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมผ่านการผสานเทคโนโลยีเข้ากับรากฐานทางวัฒนธรรม เพื่อรองรับภูมิทัศน์การเมืองใหม่ในปี 2569
1. บทนำ: ปฐมบทแห่งการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์การเมืองไทย
1.1 บริบททางการเมืองและสังคมไทยก่อนปี 2569
การเมืองไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตกอยู่ในสภาวะที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า "กับดักความขัดแย้งเรื้อรัง" (Protracted Social Conflict) ซึ่งมีรากฐานมาจากความเห็นต่างทางอุดมการณ์ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มการเมืองจารีตและกลุ่มพลังใหม่ เมื่อมองไปข้างหน้าสู่ปี 2569 ซึ่งจะเป็นหมุดหมายสำคัญของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ สังคมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Disruption) สงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
ในบริบทเช่นนี้ บทบาทของนักคิดและนักวิชาการที่สามารถเชื่อมโยง "โลกเก่า" (ภูมิปัญญา, ศาสนา, วัฒนธรรม) เข้ากับ "โลกใหม่" (เทคโนโลยี, AI, เสรีภาพ) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ดร.สำราญ สมพงษ์ ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในฐานะ "โซ่ข้อกลาง" ที่พยายามนำเสนอทางออกผ่านกรอบคิดแบบพุทธสันติวิธี ซึ่งมิใช่การประนีประนอมอย่างไร้หลักการ แต่เป็นการใช้ปัญญาในการจัดการความจริง
1.2 ภูมิหลังและรากฐานทางปัญญาของ ดร.สำราญ สมพงษ์
การจะเข้าใจวิสัยทัศน์ของ ดร.สำราญ จำเป็นต้องพิจารณารากฐานทางปัญญาที่สั่งสมมาจาก 3 แหล่งสำคัญ
รากฐานทางธรรม: การศึกษาในระบบปริยัติธรรมและระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา ทำให้ท่านมีความแม่นยำในหลักพุทธธรรมและสามารถตีความคัมภีร์สู่การปฏิบัติจริง (Praxis)
รากฐานทางสื่อสารมวลชน: ประสบการณ์กว่า 3 ทศวรรษในวงการสื่อมวลชน ตั้งแต่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ, คมชัดลึก จนถึงบรรณาธิการข่าวการเมืองบ้านเมืองออนไลน์ ทำให้ท่านเข้าใจ "กลไกการกำหนดวาระทางสังคม" (Agenda Setting) อย่างลึกซึ้ง
2 รากฐานทางวิชาการและการวิจัย: การผลิตผลงานวิจัยเรื่องรูปแบบการสื่อสารเพื่อสันติภาพในสื่อออนไลน์ สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในการแก้ปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้างวัฒนธรรมผ่านเครื่องมือการสื่อสารสมัยใหม่
4
2. การลาออกจากพรรคแผ่นดินธรรม: นัยยะเชิงยุทธศาสตร์และการเมืองภาคพลเมือง
2.1 จากพรรคการเมืองสู่ขบวนการทางปัญญา
ประเด็นการลาออกจากพรรคแผ่นดินธรรมของ ดร.สำราญ สมพงษ์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ (Strategic Shift) แม้พรรคแผ่นดินธรรมจะมีอุดมการณ์ในการสร้าง "การเมืองวิถีพุทธ" แต่ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบพรรคการเมืองไทย มักทำให้พรรคขนาดเล็กที่เน้นอุดมการณ์เฉพาะทาง (Niche Party) ประสบความยากลำบากในการขยายฐานเสียงและผลักดันนโยบายในระดับมหภาค
การวิเคราะห์เชิงลึกชี้ให้เห็นว่า การลาออกนี้มิใช่การละทิ้งอุดมการณ์ แต่เป็นการ "ยกระดับพื้นที่การต่อสู้" จากเวทีการเมือง สู่พื้นที่สาธารณะ (Public Sphere) การเคลื่อนไหวในฐานะนักวิชาการอิสระช่วยให้ ดร.สำราญ สามารถวิพากษ์วิจารณ์และเสนอแนะนโยบายให้กับทุกพรรคการเมืองได้อย่างเป็นกลาง (Neutrality) และมีน้ำหนักทางวิชาการมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ "ปัญญาชนสาธารณะ" ที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งผ่านการให้ความรู้แก่ประชาชน มากกว่าการแสวงหาตำแหน่งทางการเมือง
2.2 ข้อจำกัดของพรรคศาสนาในบริบทโลกและไทย
การลาออกยังสะท้อนถึงการตระหนักรู้ในข้อจำกัดของ "พรรคศาสนา" ในบริบทสังคมสมัยใหม่ ที่มักถูกมองว่าอนุรักษ์นิยมหรือสุดโต่ง การก้าวออกมาขับเคลื่อนในนามส่วนตัวหรือกลุ่มวิชาการ ทำให้สามารถนำเสนอแนวคิด "พุทธสันติวิธี" ในรูปแบบที่เป็นสากล (Universalizing Buddhism) และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ถูกตีตราว่าเป็นตัวแทนของสถาบันสงฆ์หรือกลุ่มผลประโยชน์ทางศาสนาเพียงอย่างเดียว
3. พุทธสันติวิธีและอริยสัจโมเดล: แกนหลักของอุดมการณ์ทางการเมือง
3.1 ทฤษฎีอริยสัจโมเดล (Ariyasacca Model) ในรัฐศาสตร์
หัวใจสำคัญของปรัชญาการเมืองตามทัศนะของ ดร.สำราญ คือการนำหลักความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ (อริยสัจ 4) มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์นโยบายและแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งท่านเรียกว่า "อริยสัจโมเดล"
| องค์ประกอบโมเดล | ความหมายทางการเมืองและสังคม | การประยุกต์ใช้ของ ดร.สำราญ |
| 1. ทุกข์ (Suffering) | ปัญหาความขัดแย้ง, ความรุนแรง, ความยากจน, ความเหลื่อมล้ำ | การกำหนดรู้และยอมรับว่าความขัดแย้งเป็นธรรมชาติของสังคม แต่ความรุนแรงเป็นสิ่งที่บริหารจัดการได้ |
| 2. สมุทัย (Cause) | โครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม, ตัณหาของนักการเมือง, อคติในสื่อ | การวิเคราะห์เจาะลึกถึง "ภูเขาน้ำแข็ง" (Iceberg Model) ที่ซ่อนอยู่ใต้พฤติกรรมความรุนแรง |
| 3. นิโรธ (Cessation) | สันติภาพเชิงบวก (Positive Peace), สังคมสมานฉันท์ | วิสัยทัศน์สังคมที่ยั่งยืน ที่ไม่ได้หมายถึงแค่การไม่มีสงคราม แต่รวมถึงความยุติธรรม |
| 4. มรรค (Path) | นโยบายสาธารณะ, กระบวนการยุติธรรม, การสื่อสารอย่างสันติ | การเสนอทางออกผ่าน "มรรคมีองค์ 8" เช่น สัมมาวาจา (สื่อสร้างสรรค์), สัมมาอาชีวะ (เศรษฐกิจพอเพียง) |
3.2 กรณีศึกษาการประยุกต์ใช้: จากกราดยิงโคราชถึงตำรวจนาแก
ดร.สำราญ ได้สาธิตศักยภาพของ "พุทธสันติวิธี" ผ่านการวิเคราะห์เหตุการณ์จริง:
โศกนาฏกรรมกราดยิงโคราช (2563): ท่านวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นี้คือ "ทุกข์" ที่เกิดจาก "สมุทัย" คือความกดดันและความไม่เป็นธรรมในระบบราชการทหาร การแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง (วิสามัญฆาตกรรม) เป็นเพียงการระงับเหตุปลายเหตุ แต่การแก้ที่ต้นเหตุต้องใช้ "มรรค" คือการปฏิรูปโครงสร้างและการเยียวยาจิตใจด้วยความเมตตา
9 กรณีตำรวจนาแกปราบปอบ: ท่านยกย่องการปฏิบัติหน้าที่ของ ร.ต.อ.ภูริทัตต์ ภูริทัตตานนท์ ที่ใช้บทสวดมนต์ (ปฏิจจสมุปบาท) และการเจรจาอย่างสันติในการระงับเหตุหญิงคลุ้มคลั่ง แทนที่จะใช้อาวุธ นี่คือตัวอย่างรูปธรรมของ "พุทธสันติวิธีปฏิบัติการ" (Applied Buddhist Peace) ที่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถนำไปใช้ลดความสูญเสียได้จริง
10
4. สื่อมวลชนเชิงพุทธ: ปฏิรูปภูมิทัศน์สื่อเพื่อการเลือกตั้ง 2569
4.1 วิกฤต "หิวแสง" และนิเวศสื่อดิจิทัล
ในการเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งปี 2569 ดร.สำราญ มองว่าอุปสรรคใหญ่ที่สุดคือสภาพแวดล้อมของสื่อที่เต็มไปด้วย "ความหิวแสง" (Attention Economy) ที่กระตุ้นเร้าอารมณ์และความเกลียดชัง ท่านวิเคราะห์ปรากฏการณ์ "2 พส." (พระมหาไพรวัลย์และพระมหาสมปอง) ว่าเป็นภาพสะท้อนของสังคมที่โหยหาที่พึ่งทางใจในรูปแบบใหม่ แต่ก็เตือนสติว่าสื่อ (โดยเฉพาะสื่อสงฆ์) ต้องรักษาดุลยภาพระหว่าง "ความนิยม" (Rating) กับ "หลักการ" (Dhamma)
4.2 โมเดล "14 ส. สื่อเพื่อสันติภาพ"
เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธาและความขัดแย้งในสื่อ ดร.สำราญ ได้สังเคราะห์องค์ความรู้จากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เสนอโมเดล "14 ส. สื่อเพื่อสันติภาพเชิงพุทธ" เพื่อเป็นมาตรฐานจริยธรรมใหม่สำหรับสื่อมวลชนและการสื่อสารทางการเมือง
สื่อสารสาระ (Substance): มุ่งเน้นข้อเท็จจริงและเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ไม่ผลิตข่าวลวง (Fake News)
สืบสานสัมพันธ์ (Relationship): ใช้การสื่อสารเพื่อเชื่อมรอยร้าวในสังคม ไม่ใช่ขยายความขัดแย้ง
สมัยสมพงษ์ (Timeliness): รู้จักกาลเทศะในการนำเสนอประเด็นที่อ่อนไหว
สังคมสุขสำราญ (Social Well-being): เป้าหมายสูงสุดคือความผาสุกของส่วนรวม
สร้างสรรค์สันติภาพ (Peace Building): สื่อทำหน้าที่เป็น "สะพาน" แห่งความเข้าใจ
(และองค์ประกอบอื่นๆ ที่เน้นความสุภาพ ความเมตตา และปัญญา)
โมเดลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเลือกตั้งปี 2569 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) อย่างเข้มข้น การยึดหลัก "สัมมาวาจา" (Right Speech) ตามแนวทางของ ดร.สำราญ จะเป็นเกราะป้องกันสังคมไทยจากความแตกแยก
5. การบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาไทยสู่ยุค AI
5.1 จากเกษตรทฤษฎีใหม่สู่ "ภูมิคุ้มกันดิจิทัล"
ดร.สำราญ ได้ขยายขอบเขตการตีความ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ให้กว้างไกลกว่ามิติด้านการเกษตร สู่มิติด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีและการเมือง ท่านมองว่าหลัก "ความมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี" คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดในโลกยุค Disruptive Technology การเลือกตั้งปี 2569 จะต้องเป็นการแข่งขันกันด้วยนโยบายที่สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่รอการสงเคราะห์จากรัฐเพียงอย่างเดียว
5.2 การหลอมรวม AI กับภูมิปัญญาไทย (AI-Thai Wisdom Synergy)
จุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดในวิสัยทัศน์ระยะหลังของ ดร.สำราญ คือการเปิดรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็นพันธมิตรในการทำงาน (Co-creator) ท่านไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่เสนอให้ใช้ "ภูมิปัญญาไทย" เป็น "ซอฟต์แวร์ทางจริยธรรม" (Ethical Software) ในการควบคุม AI
การขจัดความยากจนด้วย AI และภูมิปัญญา: เสนอการใช้ AI วิเคราะห์ Big Data เพื่อระบุปัญหาความยากจนรายครัวเรือน แต่ใช้แนวทางแก้ไขแบบภูมิปัญญาไทย เช่น การรวมกลุ่มสหกรณ์, การแปรรูปสมุนไพร, และการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน
11 การบริหารจัดการน้ำ: เปรียบเทียบภูมิปัญญาการจัดการน้ำของจีนกับไทย โดยใช้ AI จำลองสถานการณ์ เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ซึ่งเป็นปัญหาการเมืองระดับชาติ
12
6. วิสัยทัศน์สู่การเลือกตั้งปี 2569: ยุทธศาสตร์ "ประชาธิปไตยเชิงปัญญา"
6.1 การวิเคราะห์ยุทธวิธี "รวมบ้านใหญ่" (The Big House Strategy)
ดร.สำราญ และทีมวิเคราะห์ AI ได้ประเมินแนวโน้มการเลือกตั้งปี 2569 ว่าพรรคการเมืองจะกลับมาใช้ยุทธศาสตร์ "บ้านใหญ่" หรือการดึงตระกูลการเมืองท้องถิ่นที่มีอิทธิพลเข้ามาร่วมพรรคเพื่อการันตีที่นั่ง ส.ส. เขต
ดังนั้น ข้อเสนอของท่านคือ พรรคการเมืองต้องเปลี่ยนสภาพจาก "บ้านใหญ่แห่งอำนาจ" เป็น "บ้านใหญ่แห่งปัญญา" ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และพัฒนาอาชีพให้คนในพื้นที่
6.2 คุณสมบัติผู้นำและนโยบายที่พึงประสงค์
สำหรับการสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 ดร.สำราญ เสนอว่าสังคมไทยต้องการผู้นำที่มีสมรรถนะ 3 ด้าน (3 Core Competencies)
ความฉลาดทางข้อมูล (Data Intelligence): ตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่แม่นยำ ไม่ใช่อคติ
จริยธรรมดิจิทัล (Digital Ethics): มีความโปร่งใสและเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกไซเบอร์
ปัญญาปฏิบัติ (Applied Wisdom): สามารถประยุกต์หลักธรรมและภูมิปัญญามาแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ได้
6.3 นโยบายปฏิรูปศาสนาและสังคม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนา ดร.สำราญ ได้เสนอนโยบายเชิงรุก 7 ด้าน เพื่อให้พรรคการเมืองนำไปพิจารณาสำหรับการเลือกตั้งปี 2569
Digital Sangha: การนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) หรือระบบบัญชีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการทรัพย์สินวัด เพื่อความโปร่งใสและเรียกศรัทธากลับคืน
วัดเป็นศูนย์กลางชุมชน (Community Sandbox): ฟื้นฟูบทบาทวัดให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รองรับสังคมสูงวัย
การศึกษาฐานสมรรถนะ: ปฏิรูปการเรียนการสอนของสงฆ์ให้ทันโลก เพื่อให้พระสงฆ์เป็น "ผู้นำทางจิตวิญญาณ" ที่สามารถให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตของคนยุคใหม่ได้
7. บทสรุป: เส้นทางสู่การเมืองแห่งความตื่นรู้
จากการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่า วิสัยทัศน์ของ ดร.สำราญ สมพงษ์ สำหรับการเลือกตั้งปี 2569 คือการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจาก "การเมืองแห่งความขัดแย้ง" (Politics of Conflict) สู่ "การเมืองแห่งความตื่นรู้" (Politics of Awakening) หรือ "ประชาธิปไตยเชิงปัญญา"
การลาออกจากพรรคแผ่นดินธรรมของท่าน เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวข้ามกำแพงสังกัด เพื่อมาทำงานทางความคิดที่กว้างขวางขึ้น โดยมีจุดเน้นที่การสร้าง "พลเมืองตื่นรู้" (Awakened Citizens) ที่มีอาวุธทางปัญญาเป็น "พุทธสันติวิธี" และมีเครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็น "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ที่เสริมพลังด้วย AI
ในภูมิทัศน์การเมืองปี 2569 ที่คาดว่าจะมีความดุเดือดของการแข่งขัน แนวคิดของ ดร.สำราญ สมพงษ์ จะทำหน้าที่เป็น "เข็มทิศ" ทางจริยธรรม และเป็น "พิมพ์เขียว" ทางนโยบายที่ท้าทายให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องยกระดับตัวเองจากการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ มาเป็นการแข่งขันกันทำความดีและสร้างปัญญาให้กับสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งหากสังคมไทยสามารถรับเอาแนวคิด "อริยสัจโมเดล" และ "14 ส. สื่อสร้างสรรค์" ไปปฏิบัติได้จริง การเลือกตั้งปี 2569 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองแห่งสันติภาพและเสถียรภาพที่ยั่งยืนของประเทศไทย


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น