วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568

พูดง่ายทำให้เกิดยาก สันติภาพชายแดนไทย-กัมพูชา

 


วิเคราะห์สันติภาพพูดง่าย–ทำให้เกิดยาก: กรณีศึกษาชายแดนไทย–กัมพูชา ปี 2568

บทนำ

ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่สะท้อนพลวัตของสันติภาพชายแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างเด่นชัด แม้สองประเทศจะมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมใกล้ชิด แต่ความขัดแย้งในประเด็นดินแดน พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) และคดีปราสาทพระวิหาร ยังคงเป็นประเด็นที่ทำให้สันติภาพมีความเปราะบาง

ในช่วงปี 2567–2568 ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีทั้งสัญญาณของความร่วมมือ เช่น การทูตเชิงเศรษฐกิจ และความตึงเครียดจากเหตุการณ์ชายแดนช่วงปลายปี 2568 ที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องสั่งกองทัพเฝ้าระวังพื้นที่อย่างใกล้ชิด บทความนี้วิเคราะห์ว่าเหตุใด “สันติภาพที่พูดง่าย” จึง “เกิดขึ้นจริงได้ยาก” โดยอาศัยกรอบทฤษฎีด้านการสร้างสันติภาพ และการจัดการความขัดแย้งระหว่างรัฐ เพื่อสังเคราะห์ปัจจัยทางโครงสร้าง การเมือง และความไม่ไว้วางใจที่ขัดขวางการบรรลุข้อตกลงสันติภาพในปี 2568


กรอบแนวคิดทางทฤษฎี

บทความนี้ใช้ทฤษฎีสำคัญ 3 กลุ่มเพื่อวิเคราะห์กรณีชายแดนไทย–กัมพูชา ได้แก่:

1. สันติภาพเชิงลบ (Negative Peace) – Johan Galtung

หมายถึงสภาวะที่ “ไม่มีการใช้อาวุธหรือความรุนแรงโดยตรง” แต่ยังไม่ใช่สันติภาพที่แท้จริง เนื่องจากความขัดแย้งเชิงโครงสร้างยังคงดำรงอยู่ กรณีไทย–กัมพูชามักคงอยู่ในกรอบนี้ เพราะแม้ไม่มีสงคราม แต่ยังมีความหวาดระแวง การเสริมกำลังทหาร และความขัดแย้งเชิงอำนาจรัฐสภา–กองทัพ

2. ทฤษฎีการสร้างสันติภาพ (Peacebuilding)

เน้นการแก้ไขรากเหง้าของความขัดแย้ง การสร้างความไว้วางใจ และการสร้างกลไกทางสถาบันที่ยั่งยืน แต่ในกรณีปี 2568 กระบวนการสร้างสันติภาพยังติดขัดจากปัจจัยทางการเมืองภายในทั้งสองประเทศ

3. ทฤษฎีการเจรจาความขัดแย้งชายแดน (Border Conflict Management)

ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งชายแดนมักถูกทำให้รุนแรงขึ้นจากการเมืองภายใน เช่น การใช้ประเด็นดินแดนสร้างคะแนนนิยม การขาดข้อมูลร่วม (Common Understanding) และบทบาทของกองทัพที่ยังมีอิทธิพลสูง


กรณีศึกษาเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ปี 2567–2568

1. ความสัมพันธ์ทวิภาคีและสถานการณ์ชายแดน

ตลอดปี 2567–2568 มีทั้งการพัฒนาและความตึงเครียด ได้แก่

  • ความร่วมมือด้านการค้า การขนส่ง และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ

  • เหตุการณ์ชาวบ้านและทหารปะทะหรือเข้าใจผิดตามแนวชายแดน

  • การเพิ่มกำลังคุ้มกันของทั้งสองฝ่ายหลังเหตุการณ์ปลายปี 2568

  • การออกแถลงการณ์ของรัฐบาลไทยให้เข้มมาตรการดูแลประชาชนในพื้นที่ชายแดน

ภาพรวมสะท้อนความสัมพันธ์ที่ “ร่วมมือแต่ระแวง” (Cooperative but Suspicious)

2. ความคืบหน้าคดีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA)

ในปี 2568 การเจรจายังมีคืบหน้าเพียงระดับคณะทำงาน แต่ยังไม่มีข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม ปัจจัยที่ทำให้ชะงัก ได้แก่

  • ความกังวลเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงาน

  • การเมืองภายในไทยที่ยังไม่ลงตัว

  • ความไม่ไว้วางใจจากประวัติข้อพิพาทในอดีต

3. ประเด็นปราสาทพระวิหาร

แม้คำตัดสินศาลโลกจะมีความชัดเจน แต่การปฏิบัติยังมีข้อถกเถียง เช่น เส้นแบ่งพื้นที่โดยรอบ การเข้าถึงของนักท่องเที่ยว หรือบทบาททหารในพื้นที่ ทำให้ประเด็นนี้ยังปลดชนวนได้ไม่เต็มที่


บริบทการเมืองภายในไทย–กัมพูชาในปี 2568

ประเทศไทย

  • นโยบายความมั่นคงชายแดนของรัฐบาลชุดปัจจุบันมีความเข้มข้นขึ้นหลังเกิดเหตุความตึงเครียด

  • ความเคลื่อนไหวการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่โยงกับสถานการณ์ชายแดน

  • กระแสชาตินิยมที่เพิ่มขึ้นในสังคมจากความกังวลด้านอธิปไตย

กัมพูชา

  • รัฐบาลกัมพูชายังคงใช้นโยบายปกป้องดินแดนเพื่อรักษาความชอบธรรมทางการเมือง

  • กองทัพกัมพูชามีบทบาทสำคัญต่อการประเมินภัยคุกคามชายแดน

  • กระแสชาตินิยมในกัมพูชาต่อคดีปราสาทพระวิหารถูกใช้เป็นประเด็นหาเสียงในบางพื้นที่

ผลคือ “การเมืองภายในกลายเป็นตัวเร่งความไม่ไว้วางใจระหว่างประเทศ”


ปัจจัยที่ทำให้สันติภาพพูดง่าย–เกิดยาก (ปี 2568)

1. ช่องว่างในการปฏิบัติ (Implementation Gap)

แม้มีการประชุมคณะทำงานร่วม แต่ยังไม่มีข้อตกลงที่ประชาชนรับรู้ได้จริง และหน่วยปฏิบัติระดับพื้นที่ยังมีการตีความคำสั่งไม่ตรงกัน

2. ความไม่ไว้วางใจระหว่างกองทัพสองประเทศ

กองทัพมักมองโลกผ่านความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ มากกว่ามิติทางเศรษฐกิจหรือการทูต ทำให้เกิดการปฏิบัติแบบระมัดระวังสูง และบางครั้งนำไปสู่การตอบโต้ที่เกินจำเป็น

3. ความซับซ้อนของข้อกฎหมายระหว่างประเทศ

เช่น การตีความแนวเขตดินแดน คดีปราสาทพระวิหาร และกฎหมายทางทะเล ทำให้การเจรจาต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญและใช้เวลานาน

4. การใช้ประเด็นดินแดนเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ทั้งในไทยและกัมพูชา ประเด็นชายแดนเป็นเครื่องมือสร้างชาติ (Nation-building Tool) และสามารถถูกขยายผลทางการเมืองได้ง่าย

5. การขาดกลไกความร่วมมือระดับชุมชนชายแดน

ประชาชนในพื้นที่ชายแดนยังไม่มีเวทีที่เป็นทางการในการสื่อสารกับภาครัฐ ส่งผลให้ความเข้าใจผิดและข่าวลือสร้างความตึงเครียดได้เร็ว


บทสรุปและข้อเสนอแนะ

กรณีชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าการสร้างสันติภาพเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ไม่ใช่เพียงการลงนามข้อตกลงทางการทูต แต่ต้องจัดการกับโครงสร้างทางการเมือง ภาพจำทางประวัติศาสตร์ และความไม่ไว้วางใจที่ฝังรากลึก

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. จัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านสันติภาพชายแดนที่โปร่งใส เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อลดความหวาดระแวง

  2. เพิ่มกลไกความร่วมมือชุมชนชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อลดข่าวลือและสร้างความเชื่อมโยงทางสังคม

  3. ส่งเสริมช่องทางการทูตคู่ขนาน (Track II Diplomacy) เช่น นักวิชาการ ภาคเอกชน และองค์กรสันติภาพ

  4. ใช้กรอบสันติภาพเชิงบวกเป็นเป้าหมายร่วม ไม่ใช่เพียงป้องกันการสู้รบ

  5. ลดการใช้ประเด็นอธิปไตยเพื่อหวังผลทางการเมือง และสร้างกลไกตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง

สุดท้าย กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า “สันติภาพ” ไม่ใช่เพียงคำประกาศ แต่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง ความไว้วางใจ และความร่วมมือเชิงสถาบันที่ยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พูดง่ายทำให้เกิดยาก สันติภาพชายแดนไทย-กัมพูชา

  วิเคราะห์สันติภาพพูดง่าย–ทำให้เกิดยาก: กรณีศึกษาชายแดนไทย–กัมพูชา ปี 2568 บทนำ ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่สะท้อนพลวัต...