วิเคราะห์สันติภาพพูดง่าย–ทำให้เกิดยาก: กรณีศึกษาชายแดนไทย–กัมพูชา ปี 2568
บทนำ
ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่สะท้อนพลวัตของสันติภาพชายแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างเด่นชัด แม้สองประเทศจะมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมใกล้ชิด แต่ความขัดแย้งในประเด็นดินแดน พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) และคดีปราสาทพระวิหาร ยังคงเป็นประเด็นที่ทำให้สันติภาพมีความเปราะบาง
ในช่วงปี 2567–2568 ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีทั้งสัญญาณของความร่วมมือ เช่น การทูตเชิงเศรษฐกิจ และความตึงเครียดจากเหตุการณ์ชายแดนช่วงปลายปี 2568 ที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องสั่งกองทัพเฝ้าระวังพื้นที่อย่างใกล้ชิด บทความนี้วิเคราะห์ว่าเหตุใด “สันติภาพที่พูดง่าย” จึง “เกิดขึ้นจริงได้ยาก” โดยอาศัยกรอบทฤษฎีด้านการสร้างสันติภาพ และการจัดการความขัดแย้งระหว่างรัฐ เพื่อสังเคราะห์ปัจจัยทางโครงสร้าง การเมือง และความไม่ไว้วางใจที่ขัดขวางการบรรลุข้อตกลงสันติภาพในปี 2568
กรอบแนวคิดทางทฤษฎี
บทความนี้ใช้ทฤษฎีสำคัญ 3 กลุ่มเพื่อวิเคราะห์กรณีชายแดนไทย–กัมพูชา ได้แก่:
1. สันติภาพเชิงลบ (Negative Peace) – Johan Galtung
หมายถึงสภาวะที่ “ไม่มีการใช้อาวุธหรือความรุนแรงโดยตรง” แต่ยังไม่ใช่สันติภาพที่แท้จริง เนื่องจากความขัดแย้งเชิงโครงสร้างยังคงดำรงอยู่ กรณีไทย–กัมพูชามักคงอยู่ในกรอบนี้ เพราะแม้ไม่มีสงคราม แต่ยังมีความหวาดระแวง การเสริมกำลังทหาร และความขัดแย้งเชิงอำนาจรัฐสภา–กองทัพ
2. ทฤษฎีการสร้างสันติภาพ (Peacebuilding)
เน้นการแก้ไขรากเหง้าของความขัดแย้ง การสร้างความไว้วางใจ และการสร้างกลไกทางสถาบันที่ยั่งยืน แต่ในกรณีปี 2568 กระบวนการสร้างสันติภาพยังติดขัดจากปัจจัยทางการเมืองภายในทั้งสองประเทศ
3. ทฤษฎีการเจรจาความขัดแย้งชายแดน (Border Conflict Management)
ชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งชายแดนมักถูกทำให้รุนแรงขึ้นจากการเมืองภายใน เช่น การใช้ประเด็นดินแดนสร้างคะแนนนิยม การขาดข้อมูลร่วม (Common Understanding) และบทบาทของกองทัพที่ยังมีอิทธิพลสูง
กรณีศึกษาเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ปี 2567–2568
1. ความสัมพันธ์ทวิภาคีและสถานการณ์ชายแดน
ตลอดปี 2567–2568 มีทั้งการพัฒนาและความตึงเครียด ได้แก่
-
ความร่วมมือด้านการค้า การขนส่ง และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
-
เหตุการณ์ชาวบ้านและทหารปะทะหรือเข้าใจผิดตามแนวชายแดน
-
การเพิ่มกำลังคุ้มกันของทั้งสองฝ่ายหลังเหตุการณ์ปลายปี 2568
-
การออกแถลงการณ์ของรัฐบาลไทยให้เข้มมาตรการดูแลประชาชนในพื้นที่ชายแดน
ภาพรวมสะท้อนความสัมพันธ์ที่ “ร่วมมือแต่ระแวง” (Cooperative but Suspicious)
2. ความคืบหน้าคดีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA)
ในปี 2568 การเจรจายังมีคืบหน้าเพียงระดับคณะทำงาน แต่ยังไม่มีข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม ปัจจัยที่ทำให้ชะงัก ได้แก่
-
ความกังวลเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงาน
-
การเมืองภายในไทยที่ยังไม่ลงตัว
-
ความไม่ไว้วางใจจากประวัติข้อพิพาทในอดีต
3. ประเด็นปราสาทพระวิหาร
แม้คำตัดสินศาลโลกจะมีความชัดเจน แต่การปฏิบัติยังมีข้อถกเถียง เช่น เส้นแบ่งพื้นที่โดยรอบ การเข้าถึงของนักท่องเที่ยว หรือบทบาททหารในพื้นที่ ทำให้ประเด็นนี้ยังปลดชนวนได้ไม่เต็มที่
บริบทการเมืองภายในไทย–กัมพูชาในปี 2568
ประเทศไทย
-
นโยบายความมั่นคงชายแดนของรัฐบาลชุดปัจจุบันมีความเข้มข้นขึ้นหลังเกิดเหตุความตึงเครียด
-
ความเคลื่อนไหวการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่โยงกับสถานการณ์ชายแดน
-
กระแสชาตินิยมที่เพิ่มขึ้นในสังคมจากความกังวลด้านอธิปไตย
กัมพูชา
-
รัฐบาลกัมพูชายังคงใช้นโยบายปกป้องดินแดนเพื่อรักษาความชอบธรรมทางการเมือง
-
กองทัพกัมพูชามีบทบาทสำคัญต่อการประเมินภัยคุกคามชายแดน
-
กระแสชาตินิยมในกัมพูชาต่อคดีปราสาทพระวิหารถูกใช้เป็นประเด็นหาเสียงในบางพื้นที่
ผลคือ “การเมืองภายในกลายเป็นตัวเร่งความไม่ไว้วางใจระหว่างประเทศ”
ปัจจัยที่ทำให้สันติภาพพูดง่าย–เกิดยาก (ปี 2568)
1. ช่องว่างในการปฏิบัติ (Implementation Gap)
แม้มีการประชุมคณะทำงานร่วม แต่ยังไม่มีข้อตกลงที่ประชาชนรับรู้ได้จริง และหน่วยปฏิบัติระดับพื้นที่ยังมีการตีความคำสั่งไม่ตรงกัน
2. ความไม่ไว้วางใจระหว่างกองทัพสองประเทศ
กองทัพมักมองโลกผ่านความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ มากกว่ามิติทางเศรษฐกิจหรือการทูต ทำให้เกิดการปฏิบัติแบบระมัดระวังสูง และบางครั้งนำไปสู่การตอบโต้ที่เกินจำเป็น
3. ความซับซ้อนของข้อกฎหมายระหว่างประเทศ
เช่น การตีความแนวเขตดินแดน คดีปราสาทพระวิหาร และกฎหมายทางทะเล ทำให้การเจรจาต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญและใช้เวลานาน
4. การใช้ประเด็นดินแดนเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ทั้งในไทยและกัมพูชา ประเด็นชายแดนเป็นเครื่องมือสร้างชาติ (Nation-building Tool) และสามารถถูกขยายผลทางการเมืองได้ง่าย
5. การขาดกลไกความร่วมมือระดับชุมชนชายแดน
ประชาชนในพื้นที่ชายแดนยังไม่มีเวทีที่เป็นทางการในการสื่อสารกับภาครัฐ ส่งผลให้ความเข้าใจผิดและข่าวลือสร้างความตึงเครียดได้เร็ว
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
กรณีชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าการสร้างสันติภาพเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ไม่ใช่เพียงการลงนามข้อตกลงทางการทูต แต่ต้องจัดการกับโครงสร้างทางการเมือง ภาพจำทางประวัติศาสตร์ และความไม่ไว้วางใจที่ฝังรากลึก
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
-
จัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านสันติภาพชายแดนที่โปร่งใส เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อลดความหวาดระแวง
-
เพิ่มกลไกความร่วมมือชุมชนชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อลดข่าวลือและสร้างความเชื่อมโยงทางสังคม
-
ส่งเสริมช่องทางการทูตคู่ขนาน (Track II Diplomacy) เช่น นักวิชาการ ภาคเอกชน และองค์กรสันติภาพ
-
ใช้กรอบสันติภาพเชิงบวกเป็นเป้าหมายร่วม ไม่ใช่เพียงป้องกันการสู้รบ
-
ลดการใช้ประเด็นอธิปไตยเพื่อหวังผลทางการเมือง และสร้างกลไกตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง
สุดท้าย กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่า “สันติภาพ” ไม่ใช่เพียงคำประกาศ แต่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง ความไว้วางใจ และความร่วมมือเชิงสถาบันที่ยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น