วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568

พลวัตความสัมพันธ์ ดร.นิยม เวชกามา กับม.สงฆ์ มจร


พลวัตความสัมพันธ์เชิงอำนาจและปัญญา: การวิเคราะห์เชิงสถาบันระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)


บทนำ: ภูมิทัศน์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและศาสนจักรในบริบทสังคมไทยร่วมสมัย

ในโครงสร้างสังคมและการเมืองไทย สถาบันสงฆ์และสถาบันการเมืองดำรงอยู่คู่ขนานกันด้วยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและพึ่งพาอาศัยกัน (Symbiotic Relationship) มาอย่างยาวนาน ภายใต้บริบทของรัฐธรรมนูญและกฎหมายมหาเถรสมาคม รัฐมีหน้าที่อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ในขณะที่สถาบันสงฆ์ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจและมอบความชอบธรรมทางศีลธรรมให้แก่รัฐและผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม ในยุคประชาธิปไตยร่วมสมัย ความสัมพันธ์นี้เริ่มมีพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีตัวแสดงใหม่ (Actors) ที่ทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" หรือ "สะพานเชื่อม" (Bridge) ระหว่างอาณาจักรและพุทธจักรที่ชัดเจนยิ่งขึ้น



กรณีศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร พรรคเพื่อไทย และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กับ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของประเทศไทย ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของความสัมพันธ์รูปแบบใหม่นี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด ความสัมพันธ์นี้มิได้จำกัดอยู่เพียงสถานะ "ศิษย์เก่า" และ "สถาบันการศึกษา" หากแต่ขยายปริมณฑลครอบคลุมไปถึงมิติทางวิชาการ (Academic), การเมือง (Political), เศรษฐกิจ (Economic), และสังคมวัฒนธรรม (Socio-cultural) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางนโยบายสาธารณะด้านศาสนาของประเทศ

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เจาะลึกอย่างละเอียดถึงรากฐาน กลไก และผลกระทบของความสัมพันธ์ดังกล่าว โดยอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์จากเอกสารวิชาการ รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข่าวสาร และกิจกรรมทางสังคมที่ปรากฏ เพื่อสังเคราะห์ออกมาเป็นองค์ความรู้ที่อธิบายปรากฏการณ์ "การเมืองแห่งบุญบารมี" (Politics of Merit) และบทบาทของ "ดาวสภาสายพระ" ในระบบการเมืองไทย


บทที่ 1: รากฐานทางปัญญาและการหล่อหลอมอัตลักษณ์ทางวิชาการ

ความสัมพันธ์ขั้นปฐมภูมิที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของ ดร.นิยม เวชกามา กับ มจร คือความสัมพันธ์ทางปัญญา (Intellectual Relationship) ผ่านกระบวนการศึกษาในระดับดุษฎีบัณฑิต ซึ่งมิใช่เพียงการได้รับวุฒิการศึกษาเพื่อประดับบารมี แต่เป็นการเข้าสู่กระบวนการหล่อหลอมทางความคิด (Intellectual Socialization) ที่นำไปสู่การบูรณาการหลักพุทธธรรมเข้ากับอุดมการณ์ทางการเมือง

1.1 พุทธจิตวิทยา: กรอบแนวคิดทางการเมืองใหม่

จากการตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการพบว่า ดร.นิยม เวชกามา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา พุทธจิตวิทยา (Buddhist Psychology) จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในปีพุทธศักราช 2561 (รุ่นที่ 5) 1 การเลือกศึกษาในสาขานี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อรูปแบบการทำงานการเมืองของท่านในเวลาต่อมา

สาขาวิชา "พุทธจิตวิทยา" ของ มจร มุ่งเน้นการนำหลักธรรมทางพุทธศาสนามาอธิบายพฤติกรรมมนุษย์และกระบวนการทางจิต ซึ่ง ดร.นิยม ได้นำองค์ความรู้นี้มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และจัดการกับปัญหาทางการเมือง ดุษฎีนิพนธ์ของท่านในหัวข้อ "รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนชาวสกลนครตามแนวพุทธจิตวิทยา" (A Model of Political Participation in Democracy of Sakol Nakhon Inhabitants Based on Buddhist Psychology) 1 ถือเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสังเคราะห์สองศาสตร์ที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน—คือ "การเมือง" ที่เต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจ และ "พุทธจิตวิทยา" ที่มุ่งเน้นความสงบและการรู้เท่าทันจิต—ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

1.2 การวิเคราะห์ดุษฎีนิพนธ์และนัยทางการเมือง

ในงานวิจัยดังกล่าว ดร.นิยม ได้เสนอแนวคิดที่ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่พึงปรารถนา ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "สติสัมปชัญญะ" (Mindfulness Awareness) และ "สาราณียธรรม" (ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถึงกัน) 1 ข้อค้นพบจากการวิจัยนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงในเล่มวิทยานิพนธ์ แต่ถูกนำมาขยายผลเป็นวาทกรรม (Discourse) ทางการเมืองที่ท่านใช้สื่อสารกับสาธารณชน

ตารางที่ 1: การสังเคราะห์กรอบแนวคิดจากงานวิจัยสู่การปฏิบัติจริง

องค์ประกอบทางวิชาการ (จากดุษฎีนิพนธ์)การนำไปประยุกต์ใช้ทางการเมือง (Political Application)นัยสัมพันธ์ต่อ มจร
แนวคิดหลัก: สติสัมปชัญญะ (Mindfulness Awareness)

การเรียกร้องให้ใช้สติในการอภิปรายและการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสภา 4

เป็นการเผยแพร่อัตลักษณ์ทางวิชาการของ มจร สู่เวทีระดับชาติ
พื้นที่ศึกษา: จังหวัดสกลนคร

การสร้าง "สกลนครโมเดล" เป็นต้นแบบเมืองธรรมะและ Soft Power 5

ใช้ผลงานวิจัยเป็นฐานข้อมูลในการพัฒนาพื้นที่ฐานเสียง (Vote Base)
ข้อเสนอแนะ: การมีส่วนร่วมตามแนวพุทธ

การผลักดันให้ประชาชนเข้าวัดและปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลาจิตใจทางการเมือง 1

สร้าง Demand หรือความต้องการใช้บริการทางวิชาการ/ศาสนาจาก มจร

1.3 ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ทางปัญญากับคณาจารย์

ความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม กับคณาจารย์ในหลักสูตรพุทธจิตวิทยา มิได้ยุติลงเมื่อสำเร็จการศึกษา แต่แปรเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์แบบ "กัลยาณมิตรเชิงยุทธศาสตร์" คณาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ได้แก่ ผศ.ดร.สิริวัฒน์ ศรีเครือดง และ ผศ.ดร.สมโภช ศรีวิจิตรวรกุล 1 ยังคงมีบทบาทในการให้คำปรึกษาและสนับสนุนบทบาททางสังคมของ ดร.นิยม

เหตุการณ์ที่สะท้อนความสัมพันธ์นี้ได้อย่างชัดเจนคือ เมื่อ ดร.นิยม ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะอาจารย์จากสาขาพุทธจิตวิทยา มจร นำโดย รศ.ดร.สิริวัฒน์ ศรีเครือดง ได้เดินทางเข้าพบเพื่อแสดงความยินดีถึงทำเนียบรัฐบาล 4 ในโอกาสนี้ อาจารย์ได้มอบเข็มกลัดพุทธจิตวิทยาและฝากฝังภารกิจในการนำหลัก "Mindfulness Awareness" ไปใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงการที่สถาบันการศึกษา (มจร) ให้การรับรอง (Endorse) และมอบความชอบธรรมทางศีลธรรม (Moral Legitimacy) ให้แก่ศิษย์เก่าที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นอกจากนี้ ดร.นิยม ยังได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษและผู้ทรงคุณวุฒิในการสอนรายวิชาต่างๆ ของ มจร ในวิทยาเขตและวิทยาลัยสงฆ์ต่างๆ ช่วยตอกย้ำสถานะความเป็น "ปัญญาชนทางพุทธศาสนา" ของท่านให้เด่นชัดยิ่งขึ้นในสายตาของพระนิสิตและบุคลากร


บทที่ 2: เครือข่ายศิษย์เก่ามหาจุฬาฯ ในฐานะฐานอำนาจทางการเมือง

ในมิติทางสังคมวิทยาการเมือง เครือข่ายศิษย์เก่า (Alumni Network) ของสถาบันการศึกษาชั้นนำมักทำหน้าที่เป็นกลไกในการสร้างคอนเนกชัน (Connection) และการสนับสนุนซึ่งกันและกัน สำหรับ มจร ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งพระสังฆาธิการและฆราวาส ความสัมพันธ์ในมิตินี้จึงมีพลังมหาศาล

2.1 โครงสร้างเครือข่าย "มจร คอนเนกชัน" ในการเมืองไทย

ดร.นิยม เวชกามา มิได้เคลื่อนไหวอย่างโดดเดี่ยวในความสัมพันธ์กับ มจร แต่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายศิษย์เก่าที่มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในรัฐบาลและรัฐสภา การรวมตัวของศิษย์เก่า มจร ในเวทีการเมืองสร้างสิ่งที่เรียกว่า "กลุ่มอำนาจสีชมพู" (สีประจำ มจร) ที่มีความเข้าใจและพร้อมสนับสนุนกิจการพระพุทธศาสนา

จากข้อมูลปรากฏบุคคลสำคัญทางการเมืองที่เป็นศิษย์เก่าและมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ ดร.นิยม ดังนี้:

  • ดร.สุทิน คลังแสง (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม): ศิษย์เก่า มจร ที่ได้รับเชิญมาร่วมงานคืนสู่เหย้าและสนับสนุนกิจกรรมของสมาคม 8

  • ดร.จำนงค์ ไชยมงคล (ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงกลาโหม): ศิษย์เก่าหลักสูตรพุทธจิตวิทยา (ร่วมรุ่นหรือสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ดร.นิยม) และเป็นประธานจัดงานคืนสู่เหย้า 8

  • คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์: ได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่นปีเดียวกับ ดร.นิยม (2563) 9

ความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายนี้ทำให้ ดร.นิยม สามารถประสานงานข้ามกระทรวงและระดมความร่วมมือระดับสูงได้ง่ายขึ้น โดยมี "ความเป็นลูกมหาจุฬาฯ" เป็นจุดเชื่อมโยง (Common Ground) ที่สำคัญ

2.2 บทบาทแกนนำในสมาคมศิษย์เก่า

ดร.นิยม มีบทบาทเชิงรุกในสมาคมศิษย์เก่า มจร อย่างต่อเนื่อง มิใช่เพียงสมาชิกสมทบ แต่เป็นระดับ "ผู้กำหนดทิศทาง" (Key Influencer):

  1. การได้รับรางวัลเกียรติยศ: การได้รับคัดเลือกเป็น "ศิษย์เก่าดีเด่น" ด้านการพัฒนาสังคมและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ประจำปี 2563 9 เป็นเครื่องยืนยันว่า มจร ให้การยอมรับในผลงานและสถานะทางสังคมของท่าน รางวัลนี้ทำหน้าที่เหมือน "ตราประทับ" ที่รับรองคุณภาพของนักการเมืองผู้นี้ต่อประชาคมชาวพุทธ

  2. การขับเคลื่อนกิจกรรมสมาคม: ในงาน "คืนสู่เหย้าชาว มจร ครั้งที่ 16" ดร.นิยม ได้รับบทบาทเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาการจัดงาน ร่วมกับแกนนำศิษย์เก่าท่านอื่นๆ 8 การมีส่วนร่วมในระดับบริหารการจัดงานแสดงให้เห็นถึงบารมีและการเป็นศูนย์กลางในการระดมทรัพยากรและบุคคลสำคัญมาร่วมงาน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สมาคมและมหาวิทยาลัยในทางอ้อม

2.3 นัยทางการเมืองของฐานเสียงศิษย์เก่า

เครือข่ายศิษย์เก่า มจร ซึ่งประกอบด้วยพระภิกษุสงฆ์ที่ลาสิกขาไปเป็นผู้นำชุมชน ข้าราชการ และนักธุรกิจท้องถิ่น ถือเป็น "หัวคะแนนธรรมชาติ" ที่มีคุณภาพ การที่ ดร.นิยม รักษาความสัมพันธ์อันดีกับ มจร และสมาคมศิษย์เก่า จึงเท่ากับการรักษาฐานคะแนนเสียง (Vote Bank) ที่มีความจงรักภักดีและมีอิทธิพลทางความคิดต่อชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสานและทั่วประเทศ


บทที่ 3: "ดาวสภาสายพระ" กับภารกิจพิทักษ์สถาบันและนิติบัญญัติ

บทบาทที่โดดเด่นและเป็นรูปธรรมที่สุดของความสัมพันธ์นี้คือ การทำหน้าที่เป็น "ผู้แทน" ของ มจร และคณะสงฆ์ในรัฐสภา สื่อมวลชนและวงการเมืองขนานนาม ดร.นิยม ว่า "ดาวสภาสายพระ" 10 ฉายานี้สะท้อนถึงภารกิจหลักของท่านในการใช้กลไกทางรัฐสภาเพื่อปกป้อง พิทักษ์ และผลักดันผลประโยชน์ของสถาบันพระพุทธศาสนา ซึ่ง มจร เป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญ

3.1 ยุทธการปกป้องงบประมาณแผ่นดินเพื่อศาสนา

งบประมาณถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนกิจการคณะสงฆ์และมหาวิทยาลัยสงฆ์ ในกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ดร.นิยม ได้แสดงบทบาทเป็น "องครักษ์พิทักษ์งบพระ" อย่างแข็งขัน

  • การปะทะกับฝ่ายตรวจสอบ: เมื่อมีการอภิปรายจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน (เช่น พรรคก้าวไกล หรือพรรคประชาชน ในข้อมูล snippet) ที่เสนอให้ตัดลดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เช่น งบนิตยภัต (เงินเดือนพระ), งบพัดยศ, หรือโครงการก่อสร้างของมหาวิทยาลัยสงฆ์ โดยอ้างเหตุผลความไม่คุ้มค่าหรือไม่โปร่งใส 13

  • วาทกรรมตอบโต้: ดร.นิยม จะเป็นผู้ลุกขึ้นอภิปรายโต้แย้งทันที โดยใช้วาทกรรมที่แหลมคมว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการ "เหยียบย่ำศาสนา" และชี้แจงถึงความจำเป็นของงบประมาณเหล่านี้ในการธำรงรักษาโครงสร้างทางสังคมและศีลธรรมของชาติ 13

  • ผลประโยชน์ต่อ มจร: เนื่องจาก มจร ได้รับงบประมาณอุดหนุนผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกระทรวงการอุดมศึกษาฯ การปกป้องงบภาพรวมของ พศ. จึงเท่ากับการปกป้องความมั่นคงทางการเงินของ มจร โดยตรง การกระทำนี้ได้รับเสียงชื่นชมและสนับสนุนจากผู้บริหาร มจร เช่น ดร.ไพรัตน์ ฉิมหาด ผู้ช่วยอธิการบดี มจร วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ที่ออกมาโพสต์สนับสนุนแนวทางของ ดร.นิยม 13

3.2 การผลักดัน "ธนาคารพระพุทธศาสนา" และความร่วมมือทางนิติบัญญัติ

หนึ่งในความพยายามเชิงโครงสร้างที่สำคัญที่สุดคือ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติจัดตั้ง "ธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย" (Buddhist Bank) เพื่อให้เป็นสถาบันการเงินที่บริหารจัดการทรัพย์สินของวัดและองค์กรทางศาสนาตามหลักธรรมาภิบาล

  • ความร่วมมือทางวิชาการ: ในคณะทำงานพิจารณางบประมาณเพื่อการจัดตั้งธนาคารพุทธ ดร.นิยม ได้ดึงตัวแทนจาก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) เข้ามาร่วมเป็นคณะทำงานและที่ปรึกษา 14 นี่คือการใช้ความเชี่ยวชาญทางวิชาการของ มจร มาสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร่างกฎหมาย

  • การต่อสู้กับฝ่ายกฎหมาย: ข้อมูลระบุถึงเหตุการณ์ที่ ดร.นิยม ปะทะคารมกับตัวแทน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อย่างดุเดือด เมื่อฝ่ายกฤษฎีกาตั้งคำถามถึงความจำเป็นและความเหมาะสมทางพระธรรมวินัยของการมีธนาคารพระ ดร.นิยม ได้ทำหน้าที่โต้แย้งแทนคณะสงฆ์ โดยยืนยันว่าร่างกฎหมายนี้ผ่านการกลั่นกรองจากผู้รู้ทางศาสนา (มจร/มมร) มาแล้ว และเรียกร้องให้กฤษฎีกาช่วยหาทางออกเชิงเทคนิคแทนการตั้งป้อมคัดค้าน 15 เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ดร.นิยม ทำหน้าที่เป็น "กันชน" (Buffer) ทางการเมืองให้แก่แนวคิดที่มาจากภาคประชาสังคมชาวพุทธและมหาวิทยาลัยสงฆ์

3.3 ร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

ดร.นิยม ในฐานะแกนนำคณะผู้เสนอ ได้ยื่น "ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" ต่อสภาผู้แทนราษฎร 16 กฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกทางกฎหมายที่ชัดเจนในการป้องกันภัยคุกคามต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นประเด็นที่นักวิชาการ มจร และเครือข่ายองค์กรชาวพุทธเรียกร้องมาโดยตลอด การที่ ดร.นิยม เป็นหัวหอกในการผลักดันเรื่องนี้ เป็นการตอบสนองต่อ "ฉันทามติ" (Consensus) ของเครือข่ายมหาจุฬาฯ ที่ต้องการความมั่นคงทางนิติรัฐ


บทที่ 4: การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะและยุทธศาสตร์ Soft Power

เมื่อ ดร.นิยม ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งฝ่ายบริหารในฐานะ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ผู้ช่วยรัฐมนตรี (กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) ความสัมพันธ์กับ มจร ได้ถูกยกระดับจากการ "ปกป้อง" ไปสู่การ "พัฒนา" ร่วมกันผ่านนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะนโยบาย Soft Power

4.1 ยุทธศาสตร์ "ธรรมะ" คือ Soft Power และสกลนครโมเดล

ดร.นิยม ได้ประกาศนโยบายที่จะผลักดันให้ "การปฏิบัติธรรม" และ "แหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนา" เป็น Soft Power ของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ ควบคู่ไปกับการขัดเกลาจิตใจสังคม 5

  • บทบาทของ มจร: มจร ในฐานะสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐาน (มีสถาบันวิปัสสนาธุระ) และมีวิทยาเขตกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ ดร.นิยม ได้นำองค์ความรู้ด้านพุทธจิตวิทยาที่ร่ำเรียนมาใช้เป็นแกนหลักในการออกแบบกิจกรรม "ท่องเที่ยวเชิงธรรมะ"

  • สกลนครโมเดล: ดร.นิยม ยกจังหวัดสกลนครเป็นพื้นที่นำร่อง (Pilot Project) โดยเชื่อมโยงวัดสำคัญ เช่น วัดพระธาตุเชิงชุม และวัดป่าสายวิปัสสนา (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) เข้ากับระบบการท่องเที่ยว 5 นโยบายนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองนโยบายรัฐบาล แต่ยังเป็นการนำทรัพยากรของ มจร (องค์ความรู้/บุคลากร) ลงไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ ซึ่งเป็นการสร้างผลงานรูปธรรมให้แก่ทั้งตัวนักการเมืองและสถาบัน

4.2 การยกระดับพุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญคือการพัฒนา "พุทธมณฑล" ให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก 19 ในการดำเนินการเรื่องนี้ ดร.นิยม ทำงานร่วมกับ พระพรหมบัณฑิต (กรรมการมหาเถรสมาคม และอุปนายกสภามหาวิทยาลัย มจร) อย่างใกล้ชิดในการประชุมคณะกรรมการการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ 20

  • ความร่วมมือแบบบูรณาการ: การประชุมระดมสมองเพื่อจัดงานเฉลิมพระเกียรติและโครงการอบรมพระสงฆ์ด้าน AI และสื่อดิจิทัล แสดงให้เห็นถึงการแบ่งบทบาทที่ชัดเจน:

    • ดร.นิยม (ฝ่ายการเมือง): สนับสนุนด้านงบประมาณ การประสานงานกับหน่วยงานรัฐ และนโยบาย

    • พระพรหมบัณฑิต/มจร (ฝ่ายวิชาการสงฆ์): สนับสนุนด้านเนื้อหา หลักสูตร และบุคลากรสงฆ์

  • การสานต่อนโยบาย: ดร.นิยม รับลูกนโยบายจากพระพรหมบัณฑิตที่ต้องการให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเผยแผ่ศาสนา โดยเตรียมจัดทำโครงการเพื่อดึงคนรุ่นใหม่เข้าสู่วัดผ่านสื่อโซเชียล 20 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการปรับตัวของ มจร ในยุคดิจิทัล

ตารางที่ 2: การเปรียบเทียบบทบาทในโครงการสำคัญ

โครงการนโยบาย (Policy Initiative)บทบาทของ ดร.นิยม (ฝ่ายการเมือง)บทบาทของ มจร (ฝ่ายวิชาการ/สงฆ์)ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
Buddhist Soft Powerกำหนดนโยบาย, ประสาน ททท., ผลักดันงบประมาณให้องค์ความรู้ด้านการปฏิบัติธรรม, สถานที่ (มหาจุฬาอาศรม), วิทยากรเศรษฐกิจชุมชนเติบโต, ภาพลักษณ์เมืองพุทธเข้มแข็ง
ธนาคารพุทธ (Buddhist Bank)ยกร่างกฎหมาย, ต่อสู้ในสภา, ประสานกฤษฎีกาส่งผู้แทนร่วมคณะทำงาน, ให้ความเห็นทางพระธรรมวินัยความโปร่งใสทางการเงินของวัด, ระบบทุนนิยมวิถีพุทธ
ศูนย์กลางพุทธศาสนาโลกสนับสนุนงบประมาณปรับปรุงภูมิทัศน์, นโยบายต่างประเทศเชื่อมโยงเครือข่ายชาวพุทธนานาชาติ (UN Day of Vesak)ไทยเป็นผู้นำโลกด้านศาสนา, Soft Power ระดับโลก

บทที่ 5: มิติการอุปถัมภ์และทรัพยากร (Patronage & Material Support)

นอกเหนือจากความร่วมมือทางนโยบายและวิชาการ ความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม กับ มจร ยังปรากฏในรูปแบบดั้งเดิมของสังคมไทย คือระบบ "การอุปถัมภ์" (Patronage) ผ่านการบริจาคและสนับสนุนปัจจัยทางวัตถุ ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงความกตัญญูและการเสริมสร้างบารมี

5.1 การบริจาคสร้างถาวรวัตถุและอาคารปฏิบัติธรรม

หลักฐานเชิงประจักษ์ระบุว่า ดร.นิยม เวชกามา เป็นผู้บริจาครายสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ มจร โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติวิปัสสนา:

  • มหาจุฬาอาศรม: ดร.นิยม พร้อมด้วยคณะศิษย์เก่าพุทธจิตวิทยารุ่นที่ 5 และกัลยาณมิตร ได้บริจาคเงินจำนวน 250,000 บาท เพื่อเป็นเจ้าภาพสร้าง "เรือนพักผู้ปฏิบัติธรรมมหาจุฬาอาศรม หลังที่ 45" ณ มจร วิทยาเขตวังน้อย 2

  • นัยทางสัญลักษณ์: การเลือกสร้าง "เรือนพักผู้ปฏิบัติธรรม" (ไม่ใช่แค่ห้องเรียนทั่วไป) สะท้อนถึงความยึดมั่นในอัตลักษณ์ของสาขาวิชา "พุทธจิตวิทยา" ที่ท่านสำเร็จการศึกษา และเป็นการสนับสนุนพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัยในการเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรม นอกจากนี้ คณะศิษย์เก่าที่นำโดย รศ.ดร.สิริวัฒน์ (อาจารย์ที่ปรึกษา) ยังร่วมบริจาคสร้างหลังที่ 9 อีกด้วย 2 แสดงถึงความสามัคคีของกลุ่มศิษย์อาจารย์ในการระดมทุน

5.2 ทานบารมีผ่านการถวายภัตตาหาร

ดร.นิยม ยังปรากฏชื่อเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพล (อาหารกลางวัน) แก่ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และพระนิสิตทั้งชาวไทยและนานาชาติ ณ อาคารหอฉัน 72 ปี พระวิสุทธาธิบดี 2 การกระทำนี้ในทางพุทธศาสนาคือการสร้าง "มหาทาน" และในทางสังคมวิทยาคือการกระชับความสัมพันธ์ (Social Bonding) กับประชาคมในมหาวิทยาลัย การที่นักการเมืองระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีมาถวายภัตตาหารด้วยตนเองย่อมสร้างความประทับใจและตอกย้ำสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด


บทที่ 6: บทวิเคราะห์เชิงสังเคราะห์และบทสรุป

จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้าน สามารถสรุปได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา กับ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกและมีพลวัตสูง โดยสามารถสังเคราะห์เป็น "โมเดลความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยเชิงยุทธศาสตร์" (Strategic Symbiotic Model) ดังนี้:

6.1 การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่างตอบแทน (Mutual Benefits)

  1. สิ่งที่ มจร มอบให้ ดร.นิยม:

    • ความชอบธรรม (Legitimacy): วุฒิปริญญาเอกและรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น สร้างภาพลักษณ์ "นักการเมืองน้ำดี" ผู้มีความรู้คู่คุณธรรม

    • ฐานทางปัญญา (Intellectual Base): องค์ความรู้ด้านพุทธจิตวิทยานำไปใช้อ้างอิงในการกำหนดนโยบายและอภิปรายในสภา

    • เครือข่ายสนับสนุน (Support Network): พลังของศิษย์เก่าและคณะสงฆ์ที่เป็นฐานเสียงและผนังทองแดงกำแพงเหล็กทางสังคม

  2. สิ่งที่ ดร.นิยม มอบให้ มจร:

    • การปกป้องทางการเมือง (Political Protection): การเป็นปากเสียงในสภาเพื่อปกป้องงบประมาณและชื่อเสียง

    • การผลักดันนโยบาย (Policy Advocacy): การนำข้อเสนอของมหาวิทยาลัย (เช่น พ.ร.บ.อุปถัมภ์ฯ, ธนาคารพุทธ) เข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ

    • ทรัพยากร (Resources): ทั้งทุนทรัพย์ส่วนตัวและการดึงงบประมาณภาครัฐลงสู่โครงการของมหาวิทยาลัย

6.2 บทสรุป: ดร.นิยม ในฐานะ "สะพานเชื่อม" แห่งยุคสมัย

ดร.นิยม เวชกามา มิได้เป็นเพียงศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จ แต่เป็น "ปรากฏการณ์" ที่ชี้ให้เห็นถึงการผสานกลมกลืนระหว่างพุทธจักรและอาณาจักรในระบอบประชาธิปไตยไทย ท่านทำหน้าที่เป็น "สะพานเชื่อม" (Bridge) ที่นำเสียงของพระสงฆ์และนักวิชาการศาสนาจาก มจร เข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจรัฐ (ทำเนียบ/สภา) และในขณะเดียวกันก็นำทรัพยากรและอำนาจรัฐกลับมาค้ำจุนสถาบันศาสนา

ความสัมพันธ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองที่ท้าทาย การมี "ตัวแทน" ที่มีความเข้าใจลึกซึ้งทั้งในทางธรรม (พุทธจิตวิทยา/มจร) และทางโลก (การเมือง/กฎหมาย) อย่าง ดร.นิยม เวชกามา จึงเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สามารถดำรงสถานะและพันธกิจในการจัดการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป


รายงานการวิจัยฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์ในเอกสารที่ปรากฏ โดยมุ่งเน้นความถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อฉายภาพความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตความสัมพันธ์ ดร.นิยม เวชกามา กับม.สงฆ์ มจร

พลวัตความสัมพันธ์เชิงอำนาจและปัญญา: การวิเคราะห์เชิงสถาบันระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) บทนำ: ภูมิทัศ...