วิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม : กรณีศึกษาเขาศรีวิชัย ณ บ้านหัวเขา หมู่ 1 ตำบลศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
บทคัดย่อ
การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ที่มีความซ้อนทับของกฎหมายหลายฉบับ เป็นความท้าทายสำคัญของการบริหารจัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรมในประเทศไทย บทความวิชาการฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา "เขาศรีวิชัย" หรือ "เขาหัวบน" แหล่งโบราณคดีสมัยศรีวิชัยที่มีความสำคัญระดับชาติ ซึ่งตั้งอยู่ ณ บ้านหัวเขา หมู่ที่ 1 ตำบลศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถอดบทเรียนจากการลงพื้นที่ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ภายใต้โครงการ "ห้องเรียนวิศวกรสังคม" เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 การศึกษานี้เจาะลึกถึงประเด็นข้อกฎหมายหลักสองด้าน ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ และกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน เพื่อหาแนวทางที่ชอบด้วยกฎหมายในการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน คือ บันไดทางขึ้นสู่ยอดเขาและพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ชุมชน
ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่เขาศรีวิชัยมีสถานะทางกฎหมายที่ซับซ้อน (Legal Complexity) โดยเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตโบราณสถาน การดำเนินการก่อสร้างใดๆ จึงต้องผ่านกระบวนการขออนุญาตที่เข้มงวดภายใต้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 บทความนี้ยังนำเสนอโมเดล "วิศวกรสังคม" (Social Engineer) ในฐานะนวัตกรรมกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และการมีส่วนร่วม ที่ช่วยลดช่องว่างความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐและชุมชน โดยผ่านการบูรณาการความรู้จากนักวิชาการ นิติกร และปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับหลักนิติธรรม
1. บทนำ : ปฐมบทแห่งการอนุรักษ์และการพัฒนา
1.1 บริบทความสำคัญของเขาศรีวิชัยในหน้าประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์
ในท่ามกลางกระแสธารแห่งกาลเวลา "เขาศรีวิชัย" หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า "เขาหัวบน" มิใช่เพียงเนินเขาธรรมดาที่ตั้งตระหง่านอยู่ในอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่เป็นพยานวัตถุสำคัญที่บ่งชี้ถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมศรีวิชัย (Srivijaya Civilization) ซึ่งเคยเป็นมหาอำนาจทางทะเลและศูนย์กลางการค้าระหว่างจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-16 หลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏ ทั้งเทวรูปพระนารายณ์ศิลา พระพิมพ์ดินดิบ และซากสถาปัตยกรรมก่ออิฐบนยอดเขา ล้วนเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีใช้ในการสืบหาที่ตั้งศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งยังคงเป็นประเด็นถกเถียงทางวิชาการว่าศูนย์กลางอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง บนเกาะสุมาตรา หรือที่อำเภอไชยา และอำเภอพุนพิน ในประเทศไทย
ความสำคัญในระดับมหภาคนี้นำมาซึ่งศักยภาพมหาศาลในการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) เพื่อสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านจาก "แหล่งโบราณคดีที่หลับใหล" สู่ "แหล่งท่องเที่ยวที่มีชีวิต" กลับต้องเผชิญกับกำแพงที่มองไม่เห็น นั่นคือ "กำแพงทางกฎหมาย" ที่สลับซับซ้อน อันเนื่องมาจากสถานะของพื้นที่ซึ่งเป็นทั้งป่าไม้และโบราณสถาน การขาดความเข้าใจในกลไกทางกฎหมายเหล่านี้มักนำไปสู่ความขัดแย้ง ระหว่างความต้องการพัฒนาของชุมชนและหน้าที่ในการอนุรักษ์ของภาครัฐ
1.2 โครงการห้องเรียนวิศวกรสังคม : นวัตกรรมการเรียนรู้สู่การแก้ปัญหา
เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายดังกล่าว มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (มรส.) ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำองค์ความรู้ทางวิชาการลงสู่การปฏิบัติจริง จึงได้เกิดการรวมพลังครั้งสำคัญเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 โดยคณะนิติศาสตร์ มรส. นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมชาย บุญคงมาก รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ พร้อมด้วยคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ รองศาสตราจารย์สิทธิกร ศักดิ์แสง, อาจารย์ทศพร จินดาวรรณ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์จุไรพร ชีพประสพ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรอุมา วงศ์เจริญ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูภณัช รัตนชัย และ นายเทพพร ฉิมพิมล นักวิชาการโสตทัศนศึกษา ได้จัดทำโครงการ "ห้องเรียนวิศวกรสังคม (ห้องเรียนชุมชน)" ภาคเรียนที่ 2/2568 ขึ้น [User Query]
โครงการนี้มิใช่เพียงการบรรยายทางวิชาการ แต่เป็นเวทีปฏิบัติการภายใต้หัวข้อ "มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม : กรณีศึกษาเขาศรีวิชัย ณ บ้านหัวเขา หมู่ 1 ตำบลศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี" โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจงที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาปากท้องและการพัฒนาชุมชน คือ การศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง "บันไดทางขึ้น" ไปยังโบราณสถานบนยอดเขา และการจัดทำ "พิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุจำลอง" ให้กับวัดเขาศรีวิชัย เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยว
ความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่กระบวนการมีส่วนร่วมแบบพหุภาคี (Multi-stakeholder Participation) โดยมีการเชิญตัวแทนจากภาครัฐที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง คือ นายจารุวัฒ เต็มไพโรจน์ นิติกรชำนาญการ จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) มาให้ข้อมูลเชิงลึกด้านกฎหมายป่าไม้ ผนวกกับผู้นำชุมชนอย่าง นายไกรสิทธิ์ ประกอบพร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 และ นายธนวัฒน์ ทองคลองไทร ปราชญ์ชาวบ้านด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และผู้นำทางจิตวิญญาณคือ พระสามารถ ฐานิสสโร รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดเขาศรีวิชัย มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและลดความเสี่ยงในการกระทำผิดกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ [User Query]
2. กรอบแนวคิด : วิศวกรสังคม (Social Engineer) ในบริบทการจัดการข้อพิพาททางกฎหมาย
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของตัวบทกฎหมาย จำเป็นต้องทำความเข้าใจเครื่องมือหลักที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีนำมาใช้ในการขับเคลื่อนโครงการนี้ นั่นคือปรัชญา "วิศวกรสังคม"
2.1 นิยามและทักษะของวิศวกรสังคมแห่ง มรส.
แนวคิด "วิศวกรสังคม" ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ไม่ได้หมายถึงวิศวกรที่ทำงานก่อสร้างเชิงโครงสร้าง แต่หมายถึง "นักปฏิบัติการทางสังคม" ที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาของชุมชนโดยใช้องค์ความรู้แบบบูรณาการ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของมหาวิทยาลัยในการสร้างบัณฑิตที่มีคุณลักษณะ 4 ประการ (Soft Skills) ที่จำเป็นต่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
ทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงเหตุ-ผล (Analytical Thinking): ความสามารถในการมองเห็นรากเหง้าของปัญหา กรณีเขาศรีวิชัยคือการวิเคราะห์ว่าทำไมการสร้างบันไดจึงทำไม่ได้ทันที ไม่ใช่เพราะขาดงบประมาณ แต่เพราะติดขัดที่ขั้นตอนทางกฎหมาย
ทักษะการสื่อสาร (Communication): ความสามารถในการแปลงภาษากฎหมายที่ซับซ้อนให้เป็นภาษาชาวบ้าน และสื่อสารความต้องการของชาวบ้านให้เป็นภาษาราชการเพื่อยื่นเรื่องต่อหน่วยงาน
ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration): การทำงานท่ามกลางความขัดแย้งของผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ระหว่างการอนุรักษ์ (กรมศิลปากร/ป่าไม้) และการพัฒนา (ชุมชน/วัด) โดยปราศจากความขัดแย้ง
ทักษะการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม (Social Innovation): การออกแบบกระบวนการขออนุญาตแบบใหม่ หรือการจัดการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับข้อจำกัด
2.2 การประยุกต์ใช้ในกรณีเขาศรีวิชัย
ในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 คณะนิติศาสตร์ได้แปลงทฤษฎีสู่การปฏิบัติ โดยให้อาจารย์และนักศึกษาทำหน้าที่เป็น "วิศวกรสังคม" เชื่อมประสานรอยต่อระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐ การเชิญนิติกรจากกรมป่าไม้มาร่วมเวที เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการ "ปลดล็อค" ความกลัวของชุมชนที่ไม่กล้าดำเนินการใดๆ เพราะกลัวผิดกฎหมาย และเป็นการ "ป้องปราม" ไม่ให้ชุมชนดำเนินการโดยพละการซึ่งอาจนำไปสู่คดีความ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในกรณีผู้นำชุมชนถูกฟ้องร้องในคดีบุกรุกป่าเพื่อสร้างสิ่งสาธารณูปโภคในพื้นที่อื่น
3. การวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายว่าด้วยป่าไม้และที่ดิน
อุปสรรคด่านแรกและด่านที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาเขาศรีวิชัย คือสถานะทางกฎหมายของที่ดิน ซึ่งโดยสภาพกายภาพเป็นภูเขาและป่าไม้ การวิเคราะห์ในส่วนนี้จะมุ่งเน้นไปที่พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็น "กฎหมายแม่บท" ในการควบคุมการใช้พื้นที่
3.1 สถานะทางกฎหมายของพื้นที่ป่าเขาศรีวิชัย
จากการสืบค้นข้อมูลเชิงพื้นที่และกฎหมาย พื้นที่เขาศรีวิชัยตั้งอยู่ในเขตที่มีสถานะเป็นพื้นที่ป่าไม้ตามกฎหมาย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ในเขต "ป่าสงวนแห่งชาติ" หรืออย่างน้อยที่สุดคือ "ป่า" ตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 (ป่าไม้ถาวร) ซึ่งหมายถึงที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน
นัยทางกฎหมายของสถานะนี้มีความสำคัญยิ่ง ตาม มาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ได้บัญญัติห้ามไว้ชัดเจนว่า "ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต" บทบัญญัตินี้เป็นมาตรการเด็ดขาดที่มีโทษทางอาญา
ดังนั้น การที่ชุมชนหรือวัดจะดำเนินการสร้าง "บันไดทางขึ้น" ซึ่งเป็นการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรลงในพื้นที่ป่า ย่อมเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ทันที หากมิได้ผ่านกระบวนการขออนุญาตตามขั้นตอนของกฎหมายเสียก่อน
3.2 ช่องทางทางกฎหมายในการขออนุญาตใช้พื้นที่ (Legal Loopholes & Procedures)
แม้กฎหมายจะมีบทห้าม แต่ก็ได้เปิดช่องทางสำหรับการใช้ประโยชน์เพื่อสาธารณะไว้ ตาม มาตรา 16 และ มาตรา 13/1 แห่ง พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่นิติกรกรมป่าไม้ (นายจารุวัฒ เต็มไพโรจน์) ได้นำเสนอในเวทีวิศวกรสังคม
ตารางที่ 1: เปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายในการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
| ประเด็นพิจารณา | กรณีวัด/สำนักสงฆ์ (พุทธอุทยาน) | กรณีส่วนราชการ/อบต. (เพื่อสาธารณประโยชน์) |
| กฎหมายอ้างอิง | มติ ครม. 23 มิ.ย. 63 / พ.ร.บ. ป่าสงวนฯ มาตรา 16 | พ.ร.บ. ป่าสงวนฯ มาตรา 13/1 |
| ผู้ยื่นคำขอ | สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) | หัวหน้าส่วนราชการ หรือ นายก อบต. |
| วัตถุประสงค์ | เพื่อสร้างวัด หรือสถานที่ปฏิบัติธรรม (โครงการพุทธอุทยาน) | เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ, โครงสร้างพื้นฐาน, สาธารณประโยชน์ |
| เงื่อนไขสำคัญ | พื้นที่ต้องไม่เกิน 15 ไร่ (ในชั้นลุ่มน้ำ 1,2) หรือตามจำเป็น | ต้องมีแผนแม่บทโครงการ, รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ถ้าเข้าข่าย) |
| ค่าธรรมเนียม | ได้รับการยกเว้น หรือผ่อนผันตามระเบียบ | อาจได้รับการยกเว้นหากเป็นโครงการรัฐเพื่อประชาชน |
กระบวนการขออนุญาตสำหรับการสร้างบันได:
เนื่องจากบันไดทางขึ้นเขาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่นอกเขตอาคารเสนาสนะของวัด และมีวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยวสาธารณะ แนวทางที่เหมาะสมที่สุดตามคำแนะนำของนิติกร คือการให้ องค์การบริหารส่วนตำบลศรีวิชัย (อบต.) เป็นผู้ยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ตามมาตรา 13/1 เพื่อ "โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเส้นทางศึกษาธรรมชาติ" 11
ขั้นตอนการดำเนินการมีลำดับดังนี้:
การจัดทำโครงการ: ชุมชนร่วมกับ อบต. เขียนโครงการระบุรายละเอียดสิ่งปลูกสร้าง (บันได) ความกว้าง ระยะทาง และวัสดุที่ใช้ โดยเน้นวัสดุที่กลมกลืนกับธรรมชาติ.
การยื่นคำขอ: ยื่นต่อสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) หรือสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.).
การตรวจสอบสภาพป่า: เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะลงพื้นที่ตรวจสอบว่าบริเวณที่จะสร้างบันไดมีไม้หวงห้ามหรือไม่ หากมีต้องทำเรื่องขออนุญาตทำไม้ควบคู่ไปด้วย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลา.
13 การพิจารณาอนุญาต: หากพื้นที่ไม่ขัดต่อระเบียบ อธิบดีกรมป่าไม้จะเป็นผู้ลงนามอนุญาต.
3.3 บทเรียนจากกรณีศึกษาอื่นและคำพิพากษาศาลฎีกา
ความสำคัญของการปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายป่าไม้นั้นสะท้อนผ่านแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6009/2567 และคดีบุกรุกป่าอ่าวนาง ซึ่งศาลได้วางบรรทัดฐานไว้อย่างเคร่งครัดว่า แม้จำเลยจะเป็นผู้นำชุมชนที่ทำเพื่อสาธารณประโยชน์ แต่หากไม่มีหนังสืออนุญาตจากกรมป่าไม้ ก็ไม่อาจยกเว้นความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนได้
4. การวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายว่าด้วยโบราณสถานและศิลปวัฒนธรรม
นอกจากกฎหมายป่าไม้แล้ว เขาศรีวิชัยยังมีสถานะพิเศษอีกชั้นหนึ่ง คือการเป็น "โบราณสถาน" ภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร ซึ่งมีกฎหมายเฉพาะที่ให้อำนาจในการควบคุมที่เข้มงวดกว่ากฎหมายทั่วไป เพื่อปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
4.1 อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ
พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535) เป็นกฎหมายหลักที่กำกับดูแลพื้นที่นี้ โดยมีมาตราสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างบันไดและพิพิธภัณฑ์ ดังนี้:
มาตรา 7 ทวิ: บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารภายในเขตโบราณสถาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมศิลปากร
15 มาตรา 10: ห้ามมิให้ผู้ใดซ่อมแซม แก้ไข เปลี่ยนแปลง รื้อถอน ต่อเติม ทำลาย เคลื่อนย้ายโบราณสถาน หรือขุดค้นในเขตโบราณสถาน เว้นแต่ได้รับอนุญาต
16
นัยทางกฎหมายต่อการสร้างบันได:
การสร้างบันไดคอนกรีตหรือบันไดไม้ถาวรขึ้นสู่ยอดเขา ถือเป็นการ "เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่" ของโบราณสถาน และอาจเข้าข่ายการ "ขุดค้น" โดยไม่เจตนา เนื่องจากการลงเสาเข็มหรือปรับหน้าดินอาจไปกระทบกับชั้นดินทางโบราณคดี (Archaeological Strata) ที่มีโบราณวัตถุฝังอยู่ ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดให้ต้องมีการ "ขุดตรวจทางโบราณคดี" (Archaeological Test Pit) ตลอดแนวเส้นทางก่อสร้างก่อน ซึ่งต้องดำเนินการโดยนักโบราณคดีของกรมศิลปากรเท่านั้น
นัยทางกฎหมายต่อการสร้างพิพิธภัณฑ์:
การสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ แม้จะเป็นอาคารชั้นเดียว ก็ถือเป็น "อาคาร" ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งเมื่อตั้งอยู่ในเขตโบราณสถาน อำนาจในการอนุญาตจะถูกโอนจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นไปสู่อธิบดีกรมศิลปากร ตามมาตรา 7 ทวิ ผู้ขออนุญาต (วัดหรือชุมชน) ต้องส่งแบบแปลนสถาปัตยกรรมให้กรมศิลปากรพิจารณา โดยมีเกณฑ์สำคัญคือ "ความกลมกลืนและไม่บดบังทัศนียภาพ" (Visual Integrity) ของโบราณสถาน 15
4.2 กรณีศึกษาการบริหารจัดการโบราณวัตถุจำลอง
แนวคิดการจัดทำ "พิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุจำลอง" เป็นแนวทางที่ชาญฉลาดในการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดเรื่องการครอบครองโบราณวัตถุจริง ตามกฎหมาย โบราณวัตถุที่ขุดพบในแผ่นดินไทยถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
การทำของจำลอง (Replica) จึงเป็นทางออกที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงประเด็นลิขสิทธิ์และการขออนุญาตทำสำเนาจากกรมศิลปากร โดยเฉพาะชิ้นงานสำคัญอย่างเทวรูปพระนารายณ์หรือพระพิมพ์ดินดิบ เพื่อให้การจัดแสดงมีความถูกต้องทางวิชาการและไม่ละเมิดสิทธิของทางราชการ
5. พื้นที่ทับซ้อนและโมเดลความร่วมมือ (The Overlapping Jurisdiction & Collaborative Model)
ปัญหาคลาสสิกของการบริหารราชการไทยคือ "พื้นที่ทับซ้อน" (Overlapping Jurisdiction) ซึ่งเขาศรีวิชัยเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด พื้นที่เดียวกันเป็นทั้ง "ป่า" ของกรมป่าไม้ และ "โบราณสถาน" ของกรมศิลปากร คำถามสำคัญคือ ใครมีอำนาจสูงสุด และชุมชนต้องฟังใคร?
5.1 การบูรณาการกฎหมายสองฉบับ
ในทางปฏิบัติ กฎหมายทั้งสองฉบับมีศักดิ์เท่าเทียมกัน และต้องปฏิบัติตามทั้งคู่ (Dual Compliance)
กรมป่าไม้: มองพื้นที่ในมิติของ "ระบบนิเวศ" (Ecosystem) การก่อสร้างต้องไม่ทำลายป่า ไม่เปิดหน้าดินจนเกิดการพังทลาย
กรมศิลปากร: มองพื้นที่ในมิติของ "ประวัติศาสตร์" (History) การก่อสร้างต้องไม่ทำลายหลักฐาน และไม่ทำลายทัศนียภาพความเป็นเมืองเก่า
กรณีเทียบเคียง (Benchmark): อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
กรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการจัดการพื้นที่ทับซ้อนลักษณะนี้คือ "อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท" จังหวัดอุดรธานี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขือน้ำ ทางออกที่ใช้คือการทำ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมป่าไม้และกรมศิลปากร โดยกรมป่าไม้ยินยอมให้กรมศิลปากรใช้พื้นที่ป่าเพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นเอกภาพภายใต้หน่วยงานเดียวที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 19
5.2 บทบาทของ "วิศวกรสังคม" ในการประสานรอยต่อ
จากบทเรียนดังกล่าว คณะนิติศาสตร์ มรส. จึงได้วางบทบาทของ "วิศวกรสังคม" ให้เป็น "ตัวกลาง" (Facilitator) ในการประสานโมเดลความร่วมมือนี้ที่เขาศรีวิชัย
การระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Mapping): ทีมวิศวกรสังคม (อาจารย์และนักศึกษา) ได้ทำการวิเคราะห์แล้วว่า ผู้เล่นหลักคือ วัด (พระสามารถ), ชุมชน (ผู้ใหญ่บ้านไกรสิทธิ์, ปราชญ์ธนวัฒน์), และรัฐ (กรมป่าไม้, กรมศิลปากร)
การสร้างเวทีเจรจา (Dialogue Platform): กิจกรรมวันที่ 8 ธันวาคม คือจุดเริ่มต้นของการนำ "เจ้าของกฎหมาย" (นิติกรป่าไม้) มาคุยกับ "ผู้ใช้พื้นที่" โดยตรง เพื่อหาจุดสมดุล
การเสนอทางออก: แทนที่จะต่างคนต่างทำ หรือต่างคนต่างห้าม วิศวกรสังคมเสนอให้มีการตั้ง "คณะทำงานร่วม" ระดับท้องถิ่น ที่ประกอบด้วยตัวแทนชุมชน อบต. ป่าไม้ และศิลปากร เพื่อร่วมกันร่างแผนแม่บทการพัฒนาเขาศรีวิชัย โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการและข้อกฎหมายเป็นฐาน
6. กรณีศึกษาเชิงลึก : แผนปฏิบัติการสร้างบันไดและพิพิธภัณฑ์ (Action Plan)
จากการสังเคราะห์ข้อมูลกฎหมายและบริบทพื้นที่ สามารถกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการ (Roadmap) สำหรับชุมชนบ้านหัวเขาและ อบต.ศรีวิชัย ในการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนี้:
6.1 โครงการก่อสร้างบันไดทางขึ้นเขา (The Staircase Project)
ความท้าทาย: เป็นสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ลาดชัน เขตป่า และเขตโบราณสถาน
ขั้นตอนดำเนินการ:
สำรวจและออกแบบ (Survey & Design): อบต.ศรีวิชัย ต้องจัดจ้างสถาปนิกและวิศวกรออกแบบบันได โดยต้องประสานนักโบราณคดีจากสำนักศิลปากรที่ 12 ร่วมกำหนดแนวเส้นทาง เพื่อหลีกเลี่ยงจุดที่มีโบราณวัตถุหนาแน่น และต้องออกแบบให้เป็นโครงสร้างเบา (Light Structure) หรือทางเดินยกระดับ (Boardwalk) เพื่อลดการขุดเจาะดิน
ยื่นขอใช้พื้นที่ป่า (Forestry Permit): อบต. ยื่นคำขอตามมาตรา 13/1 ต่อสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 โดยระบุวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม
ยื่นขออนุญาตกรมศิลปากร (Archaeology Permit): ส่งแบบแปลนให้อธิบดีกรมศิลปากรอนุมัติ พร้อมแผนการขุดตรวจทางโบราณคดี
ประชาพิจารณ์: นำแบบและแผนงานเข้าที่ประชุมประชาคมหมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้านรับรองและลดข้อขัดแย้งในอนาคต
6.2 โครงการพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุจำลอง (The Replica Museum Project)
ความท้าทาย: งบประมาณและการบริหารจัดการระยะยาว
ขั้นตอนดำเนินการ:
สถานที่ตั้ง: ควรใช้อาคารเดิมภายในวัดเขาศรีวิชัยมาปรับปรุง (Renovate) แทนการสร้างอาคารใหม่ เพื่อลดขั้นตอนการขออนุญาตปลูกสร้างอาคารใหม่ในเขตโบราณสถานและเขตป่า
การรวบรวมองค์ความรู้: ใช้นักศึกษา มรส. (วิศวกรสังคม) ช่วยในการสืบค้นข้อมูล จัดทำทะเบียนประวัติโบราณวัตถุ และประสานงานกับกรมศิลปากรเพื่อขอข้อมูลวิชาการที่ถูกต้องในการทำป้ายสื่อความหมาย
การทำของจำลอง: ประสานช่างฝีมือท้องถิ่นหรือวิทยาลัยช่างศิลป์ ในการจัดทำเทวรูปจำลอง โดยขออนุญาตต้นแบบจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา (สถานที่เก็บรักษาของจริง)
7. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
การวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายกรณีศึกษาเขาศรีวิชัย สะท้อนให้เห็นว่า "กฎหมาย" มิใช่ศัตรูของการพัฒนา แต่เป็น "กติกา" ที่ช่วยรักษาดุลยภาพระหว่างการอนุรักษ์มรดกของชาติกับการสร้างรายได้ของชุมชน ความสำเร็จของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นที่ทับซ้อน ไม่ได้อยู่ที่การยกเลิกกฎหมาย แต่อยู่ที่ "ความเข้าใจ" และ "กระบวนการที่ถูกต้อง"
7.1 ข้อสรุปสำคัญ
สถานะพื้นที่: เขาศรีวิชัยอยู่ภายใต้กฎหมายซ้อนทับ (ป่าไม้ + โบราณสถาน) การดำเนินการต้องได้รับอนุญาตจากทั้งสองหน่วยงาน
ความเสี่ยง: การดำเนินการโดยพละการของผู้นำชุมชนมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกดำเนินคดีอาญา
ทางออก: การใช้กลไก "วิศวกรสังคม" ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เป็นกุญแจสำคัญในการนำความรู้ทางกฎหมายลงสู่ชุมชน และสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
7.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendations)
ระดับปฏิบัติการ: อบต.ศรีวิชัย ควรบรรจุโครงการพัฒนาเขาศรีวิชัยลงในแผนพัฒนาท้องถิ่น และตั้งงบประมาณสำหรับการจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินการขออนุญาตอย่างเป็นระบบ
ระดับนโยบาย: กรมศิลปากรและกรมป่าไม้ ควรพิจารณาใช้เขาศรีวิชัยเป็นพื้นที่นำร่อง (Pilot Project) ในการบูรณาการขั้นตอนการขออนุญาต (One-Stop Service) สำหรับแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเขตป่า เพื่อลดภาระของชุมชนและท้องถิ่น
บทบาทสถาบันการศึกษา: มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีควรขยายผลโครงการห้องเรียนวิศวกรสังคม ไปสู่การสร้าง "ยุวมัคคุเทศก์" และ "นักจัดการพิพิธภัณฑ์ชุมชน" เพื่อเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเมื่อโครงสร้างพื้นฐานเสร็จสมบูรณ์
โครงการพัฒนาเขาศรีวิชัย ณ บ้านหัวเขา จึงเป็นมากกว่าการสร้างบันไดหรือพิพิธภัณฑ์ แต่คือการสร้าง "บันไดทางความคิด" และ "พิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้" ที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อนิติศาสตร์ผนวกกับพลังชุมชน การพัฒนาที่ยั่งยืนย่อมเกิดขึ้นได้

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น