วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อดุลยภาพและความมั่นคงไทย

 


ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อดุลยภาพความมั่นคงแห่งรัฐบนรากฐานภูมิปัญญาไทย


บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกและยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth) ความมั่นคงของชาติ (National Security) และการรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมผ่านภูมิปัญญาไทย (Thai Wisdom) ท่ามกลางบริบทโลกที่มีความผันผวนสูงทั้งด้านเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ รายงานฉบับนี้สังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิที่หลากหลาย ครอบคลุมนโยบายภาครัฐ ความเคลื่อนไหวของภาคเอกชน และทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อเสนอยุทธศาสตร์ 5 ประการที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) และโมเดลประเทศไทย 4.0

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital GDP) จะขยายตัวถึง 4.2% ในปี 2026 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP รวมของประเทศถึงสองเท่า  แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญ 5 ประการ ได้แก่ 1) ปัญหาอธิปไตยทางข้อมูลและความมั่นคงไซเบอร์ 2) กับดักทางกฎหมายและโครงสร้างราชการที่ไม่เอื้อต่อนวัตกรรม 3) การติดอยู่ในกับดักผู้บริโภคเทคโนโลยีมากกว่าผู้สร้าง 4) ปัญหาช่องว่างทางทักษะ (Talent Gap) และ 5) การขาดการบูรณาการภูมิปัญญาไทยเข้ากับเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างเป็นระบบ

เพื่อก้าวข้ามความท้าทายเหล่านี้ รายงานขอเสนอ 5 แนวทางจัดการอย่างมีกลยุทธ์ ได้แก่:

  1. ยุทธศาสตร์อธิปไตยข้อมูลแบบทางสายกลาง (Middle-Path Data Sovereignty): การสร้างสมดุลระหว่าง Data Localization และ Free Flow of Data

  2. ยุทธศาสตร์นิเวศนวัตกรรมไร้รอยต่อ (Seamless Innovation Ecosystem): การแก้ปัญหามาตรา 157 และการใช้ Sandbox เพื่อปลดล็อกสตาร์ทอัพ

  3. ยุทธศาสตร์ไต่ระดับเทคโนโลยี (Tech Stack Ascension): การเคลื่อนย้ายจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสู่ AI และ Data Application

  4. ยุทธศาสตร์ทุนมนุษย์วิถีไทย 4.0 (Thai Wisdom Human Capital): การสร้างทักษะดิจิทัลคู่คุณธรรม

  5. ยุทธศาสตร์ Soft Power ดิจิทัล (Digital Soft Power Integration): การยกระดับ 5F ด้วยเทคโนโลยี


1. บทนำ: บริบทภูมิทัศน์เศรษฐกิจดิจิทัลและความท้าทายเชิงยุทธศาสตร์

1.1 สถานการณ์เศรษฐกิจดิจิทัลไทยในเวทีโลก

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อที่สำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) โดยมีเป้าหมายระยะยาวคือการขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ข้อมูลจากสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) ระบุว่าไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลโลก (IMD World Digital Competitiveness Ranking) ในอันดับที่ 35 ในปี 2023 และขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 25 ในภาพรวมความสามารถในการแข่งขันปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาการที่สำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐาน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าประทับใจ โดยมีการคาดการณ์ว่า Digital GDP จะมีมูลค่าถึง 5.6 ล้านล้านบาทในปี 2026 นั้น กลับซ่อนเร้นความเปราะบางเชิงโครงสร้างไว้หลายประการ โดยเฉพาะการที่มูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่ตกอยู่กับบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ (Big Tech) ในขณะที่ผู้ประกอบการไทยยังคงเป็นเพียงผู้ใช้งาน (Users) หรือผู้ให้บริการในระดับปลายน้ำ นอกจากนี้ บริบทโลกที่กำลังเผชิญกับภาวะ Deglobalization หรือการเสื่อมถอยของโลกาภิวัตน์ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ทำให้แต่ละประเทศเริ่มหันมาเน้นนโยบายการพึ่งพาตนเอง (Self-Reliance) และความมั่นคงทางเทคโนโลยีมากขึ้น

1.2 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุค 4.0

เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีความยั่งยืนและสมดุล การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) มาประยุกต์ใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็น SEP ไม่ใช่การปฏิเสธเทคโนโลยี แต่เป็นกรอบคิดในการตัดสินใจ (Decision-making Framework) ที่ประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ซึ่งสามารถแปลงเป็นยุทธศาสตร์ดิจิทัลได้ดังนี้ 3:

  • ความพอประมาณ (Moderation): การลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทและขีดความสามารถของประเทศ ไม่ลงทุนเกินตัวจนเกิดภาระทางการคลัง (Fiscal Burden) หรือสร้างหนี้สาธารณะที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

  • ความมีเหตุผล (Reasonableness): การใช้ข้อมูล (Data) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์และตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและหลักวิชาการ ไม่ใช่ตามกระแส (Hype)

  • ภูมิคุ้มกัน (Self-Immunity): การสร้างระบบความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) และการมีเทคโนโลยีที่เป็นของตนเอง (Technology Sovereignty) เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกตัดขาดทางเทคโนโลยีหรือการโจมตีทางไซเบอร์ 6

  • เงื่อนไขความรู้และคุณธรรม: การพัฒนาทักษะดิจิทัลควบคู่กับจริยธรรม (Digital Ethics) เพื่อป้องกันการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด


2. ยุทธศาสตร์ที่ 1: การจัดการสมดุลอธิปไตยข้อมูลและความมั่นคงของชาติ (Balancing Data Sovereignty and National Security)

ความท้าทายประการแรกที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสภาดิจิทัลฯ ได้ชี้ให้เห็นคือเรื่อง "อธิปไตยข้อมูลและความมั่นคงของชาติ" ในยุคที่ข้อมูลคือน้ำมันชนิดใหม่ (Data is the new oil) การที่ข้อมูลสำคัญของประชาชนและข้อมูลความมั่นคงของรัฐถูกจัดเก็บและประมวลผลโดยแพลตฟอร์มต่างชาติ สร้างความเสี่ยงทั้งในมิติความมั่นคงและการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากการจัดเก็บภาษี

2.1 พลวัตของ Data Localization vs. Data Globalization

นโยบายการจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศ (Data Localization) เป็นดาบสองคม ด้านหนึ่งช่วยสร้างความมั่นใจในอธิปไตยของรัฐและความสามารถในการบังคับใช้กฎหมาย แต่อีกด้านหนึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน รายงานจาก Global Data Alliance ชี้ให้เห็นว่าการบังคับใช้ Data Localization ที่เข้มงวดเกินไปอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์เสมอไป มิหนำซ้ำยังอาจทำให้ระบบภายในประเทศถูกตัดขาดจากเครือข่ายความปลอดภัยระดับโลก (Global Threat Intelligence) และเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยไม่สามารถปล่อยให้ข้อมูลไหลเวียนอย่างเสรีโดยไร้การควบคุม (Free Flow with no strings attached) ได้ เนื่องจากความเสี่ยงด้านการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการสูญเสียอำนาจในการกำกับดูแล ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทยคือ "ทางสายกลาง" (The Middle Path) ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลแต่ยังรักษาผลประโยชน์แห่งรัฐ

2.2 มาตรการเชิงรุก: Cloud First Policy และการจำแนกชั้นข้อมูล

รัฐบาลไทยได้เริ่มขับเคลื่อนนโยบาย "Cloud First Policy" ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีการกำหนดแนวทางการจำแนกชั้นข้อมูล (Data Classification Guidelines) เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ:

ตารางที่ 1: กรอบการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐตามระดับความสำคัญ

ระดับข้อมูล (Data Classification)คำนิยามและตัวอย่างนโยบายการจัดเก็บ (Storage Policy)เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์
ข้อมูลทั่วไป (Official Data)ข้อมูลเปิดภาครัฐ, ข้อมูลประชาสัมพันธ์, ข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตนPublic Cloud (ในหรือต่างประเทศก็ได้)เพื่อความประหยัดงบประมาณ ประสิทธิภาพสูง และความยืดหยุ่นในการขยายระบบ (Scalability)
ข้อมูลควบคุม (Protected Data)ข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA), ข้อมูลภาษี, ข้อมูลสุขภาพ, ข้อมูลการเงินDomestic Public Cloud หรือ Cloud ต่างประเทศที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงและปฏิบัติตาม PDPAเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามกฎหมาย แต่ยังเปิดช่องให้ใช้เทคโนโลยีระดับโลกได้ภายใต้เงื่อนไข
ข้อมูลความลับสูง (Highly Protected Data)ข้อมูลความมั่นคงทางทหาร, ข้อมูลข่าวกรอง, ข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (CII)Sovereign Cloud / Government Cloud ภายในประเทศเท่านั้นเพื่อรักษาอธิปไตยสูงสุด ป้องกันการแทรกแซงจากต่างชาติ และปฏิบัติตามกฎหมายความมั่นคง

2.3 การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ (Cyber Immunity)

ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นหัวใจสำคัญของ "ภูมิคุ้มกัน" ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ข้อมูลจากรายงานระบุว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์และการฉ้อโกงออนไลน์ การดำเนินการตาม พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Act) จึงต้องเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure - CII) 7 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคง บริการภาครัฐ การเงิน โทรคมนาคม ขนส่ง พลังงาน และสาธารณสุข

นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลภัยคุกคาม (Threat Intelligence Sharing) ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรด้าน Cybersecurity ของไทยเอง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพื่อไม่ให้ไทยตกเป็นเหยื่อของสงครามไซเบอร์ในอนาคต


3. ยุทธศาสตร์ที่ 2: การปฏิรูปกฎหมายและกลไกรัฐเพื่อปลดล็อกนวัตกรรม (Regulatory Guillotine & Sandbox Mechanism)

อุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็น "กับดักทางกฎหมาย" และ "ความกลัวของระบบราชการ" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ชี้ประเด็นสำคัญเรื่อง "กลไกรัฐและระบบลงทุนสตาร์ทอัพยังไม่เอื้อ" โดยเฉพาะความกังวลเรื่องการถูกฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

3.1 ปมปัญหามาตรา 157 กับวัฒนธรรมความกลัวความผิด

มาตรา 157 ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นดาบที่แขวนอยู่เหนือคอเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบ "Play Safe" หรือ "ทำตามระเบียบแต่ไม่เกิดผลสัมฤทธิ์"  ในบริบทของการส่งเสริมสตาร์ทอัพ (Startup) ซึ่งโดยธรรมชาติมีความเสี่ยงสูงที่จะล้มเหลว (High Risk) การที่โครงการลงทุนของรัฐล้มเหลวมักถูกตีความว่าเป็นการทำความเสียหายแก่รัฐและอาจนำไปสู่การสอบสวนทางวินัยหรืออาญา สิ่งนี้ทำให้:

  1. กองทุนภาครัฐไม่กล้าลงทุนในระยะเริ่มต้น (Early Stage / Seed Round) ซึ่งเป็นช่วงที่สตาร์ทอัพต้องการเงินทุนที่สุด แต่หันไปลงทุนในระยะเติบโต (Growth Stage) ที่ความเสี่ยงต่ำแทน ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาโครงสร้าง

  2. สตาร์ทอัพไทยจำนวนมากเลือกไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท (Flip) ในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ เพื่อหนีข้อจำกัดทางกฎหมายและเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่คล่องตัวกว่า

3.2 ทางออกเชิงรุก: พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น และ Sandbox Act

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ รัฐบาลจำเป็นต้องผลักดันกฎหมายและกลไกใหม่ที่สร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" (Safe Harbor) สำหรับนวัตกรรม:

ก. การตรา พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup Promotion Act)

ร่างกฎหมายฉบับนี้มีสาระสำคัญในการยกเว้นข้อจำกัดของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิมที่ล้าสมัย และสร้างแรงจูงใจใหม่:

  • หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debenture): อนุญาตให้สตาร์ทอัพออกหุ้นกู้แปลงสภาพได้ ซึ่งเป็นเครื่องมือระดมทุนมาตรฐานโลก

  • การถือหุ้นของตนเอง (Treasury Stock): ปลดล็อกให้บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนหรือถือหุ้นตนเองได้ เพื่อใช้ในโครงการ ESOP (Employee Stock Ownership Plan) ดึงดูดคนเก่ง

  • การยกเว้นภาษี (Tax Incentives): ยกเว้นภาษี Capital Gains Tax สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ข. การขยายผล Regulatory Sandbox

กลไก Sandbox อนุญาตให้ธุรกิจทดลองนวัตกรรมใหม่ในวงจำกัดภายใต้การกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น โดยได้รับข้อยกเว้นทางกฎหมายบางประการ ปัจจุบันไทยมีความก้าวหน้าในด้านนี้อย่างมาก:

  • Digital Asset Sandbox: สำนักงาน ก.ล.ต. ได้เปิด Sandbox สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการทดลองให้บริการที่เกี่ยวข้องกับโทเคนดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งช่วยสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองผู้ลงทุน

  • AI Sandbox: ภายใต้ร่างกฎหมาย AI (Draft AI Law) จะมีการจัดตั้ง Sandbox เพื่อทดสอบเทคโนโลยี AI ที่มีความเสี่ยงสูง โดยมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่และผู้ทดสอบหากดำเนินการโดยสุจริต

ตารางที่ 2: เปรียบเทียบกลไก Sandbox ในประเทศไทย

ประเภท Sandboxหน่วยงานกำกับวัตถุประสงค์หลักสถานะปัจจุบัน
Fintech Sandboxธนาคารแห่งประเทศไทย (BoT)ทดสอบนวัตกรรมทางการเงิน (P2P Lending, e-KYC)ดำเนินการแล้ว ประสบความสำเร็จในการผลักดัน PromptPay
Digital Asset Sandboxก.ล.ต. (SEC)ทดสอบบริการสินทรัพย์ดิจิทัล, Exchange, Broker

เปิดรับสมัครแล้ว (ส.ค. 2024) 

AI SandboxETDA / คณะกรรมการ AI แห่งชาติทดสอบระบบ AI ความเสี่ยงสูง, การแพทย์, ยานยนต์ไร้คนขับ

อยู่ในระหว่างร่างกฎหมายและ Public Hearing

Tourism Sandboxททท. / กระทรวงดิจิทัลทดสอบแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการท่องเที่ยวมีโครงการนำร่อง เช่น Phuket Sandbox (โมเดลจัดการโควิด)

3.3 กลไกนิรโทษกรรมทางนวัตกรรม (Innovation Amnesty)

เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐกล้าตัดสินใจ รัฐบาลควรพิจารณากำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนว่า "ความล้มเหลวทางธุรกิจในโครงการส่งเสริมสตาร์ทอัพ หากดำเนินการตามขั้นตอนและไม่มีเจตนาทุจริต ไม่ถือเป็นความผิดตามมาตรา 157" แนวทางนี้จะช่วยปลดล็อก "ความกล้า" ในระบบราชการ และเปลี่ยนบทบาทรัฐจาก "ผู้คุมกฎ" เป็น "ผู้ร่วมสร้าง" (Co-creator)


4. ยุทธศาสตร์ที่ 3: การยกระดับโครงสร้างเทคโนโลยีสู่นวัตกรรมมูลค่าสูง (Elevating Tech Stack & Moving Up Value Chain)

หนึ่งในข้อสังเกตเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ ประเทศไทยมัก "เน้นผิดเลเยอร์" (Wrong Layer Focus) โดยภาครัฐและเอกชนยังคงทุ่มเททรัพยากรไปกับโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม (Infrastructure Layer) เช่น 5G หรืออินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน ซึ่งแม้จะมีความสำคัญ แต่เป็นส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มลดลงเรื่อยๆ (Commoditized) ในขณะที่มูลค่ามหาศาลในโลกยุคใหม่เกิดขึ้นในเลเยอร์ที่สูงกว่า คือ Application Layer, Data Layer และ AI Layer 

4.1 จากผู้ใช้งาน (Users) สู่ผู้สร้าง (Creators/Builders)

ไทยมีจุดแข็งด้านจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียที่สูงมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียง "ผู้บริโภค" แพลตฟอร์มต่างชาติ ยุทธศาสตร์ใหม่ต้องมุ่งเน้นการสร้างเทคโนโลยีของตนเอง (Homegrown Technology) เพื่อลดการขาดดุลบริการดิจิทัลและสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยี:

  1. การพัฒนา National AI Infrastructure:

    • Siam AI & Thai LLM: โครงการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model - LLM) ที่เป็นภาษาไทย เช่น โครงการ OpenThaiGPT หรือความร่วมมือของภาคเอกชนอย่าง Siam AI ที่ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI Cloud ในประเทศ เป็นตัวอย่างที่สำคัญของการสร้าง "อธิปไตยทางปัญญาประดิษฐ์" (AI Sovereignty)  การมี LLM ของตนเองช่วยให้ไทยสามารถรักษาคลังความรู้ วัฒนธรรม และข้อมูลบริบทท้องถิ่นไว้ในโมเดล ไม่ต้องพึ่งพาโมเดลต่างชาติอย่าง ChatGPT เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจมีความลำเอียงทางภาษาและวัฒนธรรม

    • AI Computing Hub: การดึงดูดการลงทุน Data Center และ Cloud Region จากยักษ์ใหญ่เช่น AWS, Google, และ Microsoft  ควบคู่ไปกับการส่งเสริมผู้ให้บริการ Cloud สัญชาติไทย จะช่วยให้ไทยมีกำลังการประมวลผล (Compute Power) ที่เพียงพอสำหรับการพัฒนา AI ขั้นสูง

  2. กรณีศึกษาความสำเร็จ: KBTG Model

    • กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เป็นตัวอย่างขององค์กรไทยที่สามารถยกระดับจากการเป็นแผนกไอทีธนาคาร สู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับภูมิภาค (Regional Tech Company) ที่สามารถส่งออกเทคโนโลยีได้

    • นวัตกรรมอย่าง AINU (เทคโนโลยีพิสูจน์ตัวตน), Car AI (AI ประเมินสภาพรถยนต์), หรือ Thai NLP สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยมีศักยภาพในการสร้าง Deep Tech หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง ยุทธศาสตร์ของ KBTG ที่เน้น "Human-First x AI-First"  ยังสอดคล้องกับหลักการที่ให้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ให้เทคโนโลยีครอบงำ

4.2 การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจ AI (AI Economy Transition)

รัฐบาลควรส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมขยับจากการใช้ Software ทั่วไป มาเป็นการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) และสร้างโมเดลธุรกิจใหม่

  • Generative AI for Business: สนับสนุนให้ SME นำ GenAI มาใช้ในการตลาด การบริการลูกค้า และการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

  • Deep Tech Investment: ปรับมาตรการ BOI ให้สิทธิประโยชน์สูงสุดแก่การลงทุนใน Deep Tech, AI, Robotics และ Bio-Tech แทนการลงทุนในอุตสาหกรรมรับจ้างผลิตแบบเดิม


5. ยุทธศาสตร์ที่ 4: การพัฒนาทุนมนุษย์วิถีไทย 4.0 (Thai Wisdom Human Capital)

วิกฤตที่ใหญ่ที่สุดของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลไทยคือ "คน" ปัญหา Talent Gap หรือการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลขั้นสูงยังคงรุนแรง สัดส่วนบัณฑิตสาย STEM ของไทยอยู่ที่ประมาณ 20% ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ  นอกจากปัญหาเชิงปริมาณแล้ว ยังมีปัญหาเชิงคุณภาพในเรื่องทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และจริยธรรม (Ethics)

5.1 การปฏิรูปการศึกษา: จาก Standardization สู่ Personalization

ระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นมาตรฐานเดียวกัน (Standardized) ไม่สามารถผลิตคนให้ทันโลกยุค AI ได้ ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนต้องเปลี่ยนไปสู่ "การเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหล" (Passion-Driven Learning) และ "การเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย" (Purposeful Learning)

  • AI for Education: นำ AI มาช่วยเป็นผู้ช่วยครู (AI Tutor) เพื่อช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง (Personalized Learning) ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

  • Reskill/Upskill แห่งชาติ: ร่วมมือกับแพลตฟอร์มระดับโลกและบริษัทเทคโนโลยี (เช่น Microsoft, Google) ในการฝึกอบรมทักษะ AI ให้กับแรงงานในวงกว้าง โดยเน้นทักษะที่ AI ทำไม่ได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกัน และความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)

5.2 ภูมิปัญญาไทยในฐานะทักษะแห่งอนาคต (Thai Wisdom as Future Skill)

ในยุคที่ AI สามารถเขียนโค้ดและสร้างรูปภาพได้ "ทักษะมนุษย์" (Soft Skills) และ "ภูมิปัญญา" (Wisdom) จะมีมูลค่าสูงขึ้น การพัฒนาคนไทย 4.0 จึงต้องไม่ทิ้งรากเหง้า:

  • Hand, Heart, and AI Harmony: แนวคิดที่ผสมผสาน "ทักษะฝีมือ" (Hand) อันประณีตของช่างไทย "หัวใจ" (Heart) ที่ใส่ใจในรายละเอียดและการบริการ และ "ปัญญาประดิษฐ์" (AI) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เป็นโมเดลการพัฒนาคนที่สมบูรณ์แบบ

  • ตัวอย่างเช่น ช่างทอผ้าไทยสามารถใช้ AI ช่วยออกแบบลวดลายใหม่ๆ ที่ซับซ้อน (Generative Design) แต่กระบวนการทอยังคงใช้ฝีมือมนุษย์ที่เครื่องจักรเลียนแบบไม่ได้ (Craftsmanship) ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งความทันสมัยและจิตวิญญาณ

5.3 จริยธรรมดิจิทัล (Digital Ethics) และภูมิคุ้มกันทางสังคม

การสร้างคนเก่งต้องมาคู่กับคนดีตามหลัก "เงื่อนไขคุณธรรม" ของ SEP:

  • Digital Literacy & Immunity: สร้างภูมิคุ้มกันให้คนไทยรู้เท่าทัน Fake News, Deepfake และภัยไซเบอร์ ไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง

  • AI Ethics: ปลูกฝังจริยธรรมในการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่สร้างความเกลียดชัง และเคารพในความหลากหลาย


6. ยุทธศาสตร์ที่ 5: การขับเคลื่อนภูมิปัญญาไทยด้วย Soft Power ดิจิทัล (Digital Soft Power Integration)

ยุทธศาสตร์สุดท้ายคือการนำจุดแข็งทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย (Thai Wisdom) มาเป็นฐานในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจผ่านเครื่องมือดิจิทัล รัฐบาลไทยได้ผลักดันนโยบาย Soft Power ผ่าน 5F (Food, Film, Fashion, Fighting, Festivals) 35 แต่ในอดีตการดำเนินการมักเป็นแบบแยกส่วนและขาดการบูรณาการเทคโนโลยี

6.1 ยกระดับ 5F ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Uplift for 5F)

การเปลี่ยนวัฒนธรรมให้เป็นสินค้า (Commodifying Culture) ต้องทำอย่างชาญฉลาดและใช้ดิจิทัลเป็นตัวเร่ง (Accelerator):

  1. Food (อาหาร): ใช้ Big Data วิเคราะห์เทรนด์รสชาติอาหารโลกเพื่อพัฒนาเมนูไทยประยุกต์ ใช้แพลตฟอร์ม E-commerce ส่งออกวัตถุดิบและเครื่องแกงไทยไปทั่วโลก และใช้ AR/VR ในการเล่าเรื่องราวที่มาของวัตถุดิบ (Storytelling) เพื่อเพิ่มมูลค่า

  2. Film & Digital Content (ภาพยนตร์และคอนเทนต์): อุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของไทย (เกม, แอนิเมชัน, คาแรคเตอร์) มีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาทและเติบโตต่อเนื่อง 37 ไทยควรสนับสนุนการสร้าง IP (Intellectual Property) ของตนเอง เช่น เกมที่ดัดแปลงจากตำนานไทย (Home Sweet Home), อาร์ตทอย (Art Toys) ที่มีเอกลักษณ์ไทย หรือ Webtoon ฝีมือคนไทย

  3. Fashion (แฟชั่น): เชื่อมโยงผ้าไทยกับตลาดโลกผ่าน NFT และ Digital Fashion ใน Metaverse หรือใช้ AI ช่วยออกแบบลายผ้าให้ทันสมัย

  4. Fighting (มวยไทย): พัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนมวยไทยออนไลน์ (EdTech) และใช้ Motion Capture ในการวิเคราะห์ท่ามวยเพื่อการฝึกสอนและการทำเกม

  5. Festivals (เทศกาล): ยกระดับสงกรานต์และลอยกระทงสู่ Virtual Festivals ที่คนทั่วโลกเข้าร่วมได้ หรือใช้ระบบจองตั๋วและจัดการฝูงชนด้วย AI เพื่อความปลอดภัยและประสบการณ์ที่ดี

6.2 การท่องเที่ยว 3.0: ดิจิทัลเพื่อชุมชนและประสบการณ์ (Experience Economy)

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของไทย ต้องปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ:

  • Digital Tourism Platform: สร้างแพลตฟอร์มท่องเที่ยวแห่งชาติที่รวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่ซ่อนเร้น (Hidden Gems) และเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวกับชาวบ้านโดยตรง ตัดตัวกลางที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อกระจายรายได้สู่ฐานราก

  • Smart Tourism: ใช้ AI แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวแบบ Personalization ตามความสนใจของนักท่องเที่ยว และใช้เทคโนโลยีแปลภาษาเรียลไทม์เพื่อลดกำแพงภาษา ทำให้นักท่องเที่ยวสัมผัส "ความเป็นไทย" ได้ลึกซึ้งขึ้น

6.3 Soft Power ที่แท้จริง vs. การสร้างแบรนด์

ข้อควรระวังคือ Soft Power ไม่ใช่แค่การทุ่มงบโฆษณา (Branding) แต่คือความสามารถในการโน้มน้าวและดึงดูดใจ (Attraction)  ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เมื่อวัฒนธรรมไทยถูก "ส่งออก" ไปอยู่ในวิถีชีวิตของคนทั่วโลกอย่างแนบเนียนผ่านสื่อดิจิทัลและนวัตกรรม ไม่ใช่การยัดเยียด ดังนั้น การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ของคนรุ่นใหม่ และการให้อิสระในการตีความวัฒนธรรมไทยใหม่ๆ จึงสำคัญกว่าการอนุรักษ์แบบแช่แข็ง


7. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Conclusion & Policy Recommendations)

การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้สมดุลกับความมั่นคงของชาติโดยมีภูมิปัญญาไทยเป็นฐาน เป็นภารกิจที่ท้าทายแต่มีความเป็นไปได้สูง หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันดำเนินตามยุทธศาสตร์ "ทางสายกลาง" ที่ผสานเทคโนโลยีสากลเข้ากับอัตลักษณ์ท้องถิ่น

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเร่งด่วน:

  1. เร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย: ผลักดัน พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น และสร้างความชัดเจนเรื่อง Sandbox และมาตรา 157 เพื่อปลดล็อกพันธนาการของระบบราชการ

  2. ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต: สนับสนุนการพัฒนา Thai LLM และ Sovereign Cloud อย่างจริงจัง เพื่อสร้างอธิปไตยทางปัญญาของชาติ

  3. สร้างคนไทย 4.0: ปฏิรูประบบการศึกษาและฝึกอบรมแรงงานขนานใหญ่ โดยเน้นทักษะดิจิทัลคู่คุณธรรมและภูมิปัญญา

  4. บูรณาการ Soft Power กับ Tech: เปลี่ยนวัฒนธรรม 5F ให้เป็น Digital Asset และสินค้ามูลค่าสูงที่ขายได้ในตลาดโลก

ประเทศไทยในยุคดิจิทัลต้องไม่เป็นเพียง "ผู้ซื้อ" เทคโนโลยี แต่ต้องก้าวสู่การเป็น "ผู้สร้าง" นวัตกรรมที่มีรากเหง้า มีภูมิคุ้มกัน และมีความยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อนำพาชาติให้ "มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน" อย่างแท้จริง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อดุลยภาพและความมั่นคงไทย

  ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อดุลยภาพความมั่นคงแห่งรัฐบนรากฐานภูมิปัญญาไทย บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) รายงานฉบับนี้จัดทำข...