วิเคราะห์เชิงวิพากษ์ว่าด้วยพลวัตทางนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนบนฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง: การถอดรหัสยุทธศาสตร์พรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2569
บทคัดย่อ
รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับพลวัตของ "นโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน" (Sustainable Development Policy) และการตีความ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคการเมืองหลัก 3 พรรค ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ภายใต้บริบทของวิกฤตการณ์ทางการเมืองช่วงปลายปี 2568 ที่นำไปสู่การยุบสภาและการก้าวขึ้นสู่อำนาจของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ การวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งปี 2569 ไม่ใช่เพียงการแข่งขันเพื่อแย่งชิงอำนาจบริหาร แต่เป็นการต่อสู้ทางอุดมการณ์เพื่อนิยามความหมายของ "ความยั่งยืน" (Sustainability) ในบริบทของสังคมไทยสมัยใหม่ ระหว่างแนวทาง "อนุรักษนิยมเชิงปฏิบัติ" (Pragmatic Conservatism) ที่เน้นปากท้องและภูมิปัญญาท้องถิ่น ของพรรคภูมิใจไทย แนวทาง "เสรีนิยมใหม่สีเขียว" (Green Neoliberalism) ที่มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านโมเดล BCG ของพรรคเพื่อไทย และแนวทาง "ความยุติธรรมทางนิเวศ" (Ecological Justice) ที่เรียกร้องการปฏิรูปโครงสร้างทางอำนาจของพรรคประชาชน
1. บทนำ: รุ่งอรุณแห่งความไม่แน่นอนและภูมิทัศน์การเมืองไทยก่อนปี 2569
1.1 วิกฤตการณ์ทางการเมืองปี 2568 และจุดจบของรัฐบาลข้ามขั้ว
ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งความผันผวนครั้งประวัติศาสตร์ของการเมืองไทย รอยร้าวใน "รัฐบาลข้ามขั้ว" ที่นำโดยพรรคเพื่อไทยเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นจากการปะทะกันทางผลประโยชน์และอุดมการณ์ที่ไม่ลงรอยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ที่มีมติถอดถอนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากกรณีจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาทางการทูตกับกัมพูชาและประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน
การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในเดือนกันยายน 2568 ผ่านการสนับสนุนจากพรรคประชาชนในลักษณะ "ข้อตกลงประนีประนอมครั้งใหญ่" (Grand Compromise) เพื่อเปิดทางไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ ได้เปลี่ยนสมการทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง
1.2 การเลือกตั้ง 2569: สงครามแย่งชิงนิยาม "ความยั่งยืน"
การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบายที่ผูกโยงกับ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" (SEP) ซึ่งเป็นวาทกรรมหลักในการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
2. กรอบแนวคิด: ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในโลกยุคหลังปี 2568
2.1 พลวัตของ SEP จากเกษตรทฤษฎีใหม่สู่ BCG Model
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) ได้ถูกยกระดับจากการเป็นแนวทางปฏิบัติในระดับครัวเรือนและชุมชนเกษตรกรรม ไปสู่การเป็น "อุดมการณ์ของรัฐ" (State Ideology) ที่ครอบคลุมทุกมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งรัฐบาลชุดก่อนหน้าและระบบราชการพยายามผลักดันให้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการรายงานทบทวนระดับชาติโดยสมัครใจ (Voluntary National Review - VNR) ปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความย้อนแย้งของการพัฒนา ภายใต้กรอบ SEP และ BCG แม้ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) บางด้าน แต่กลับถดถอยในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (SDG 15) อย่างมีนัยสำคัญ
2.2 วาทกรรมความยั่งยืนในฐานะเครื่องมือทางการเมือง
ในการเลือกตั้งปี 2569 SEP ถูกนำมาผลิตซ้ำและตีความใหม่ใน 3 มิติหลัก:
มิติความมั่นคงและชาตินิยม (Nationalist Sustainability): เน้นการพึ่งพาตนเอง (Self-reliance) เพื่อความอยู่รอดท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างประเทศและการกีดกันทางการค้า
มิติโอกาสทางเศรษฐกิจ (Economic Opportunism): การแปลง "ความยั่งยืน" ให้เป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ, เกษตรมูลค่าสูง, และ Soft Power
มิติความยุติธรรมเชิงโครงสร้าง (Structural Justice): การตั้งคำถามถึงการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรมและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการฐานทรัพยากร
3. พรรคภูมิใจไทย: อัตลักษณ์ "อนุรักษนิยมกินได้" และความยั่งยืนแบบท้องถิ่นนิยม
3.1 ยุทธศาสตร์ "พูดแล้วทำ" ในบริบทความยั่งยืน
ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทยได้สลัดภาพลักษณ์ของการเป็นพรรคตัวแปร (Kingmaker) มาสู่การเป็น "พรรคแกนนำหลัก" ของขั้วอนุรักษนิยมใหม่ นโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืนของภูมิใจไทยไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานทฤษฎีสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน แต่เน้นไปที่ "ความยั่งยืนของปากท้อง" (Livelihood Security) โดยใช้ฐานคิดเรื่อง "ภูมิปัญญาท้องถิ่น" (Local Wisdom) มาผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่
พรรคภูมิใจไทยตีความ SEP ผ่านเลนส์ของ "ความพอประมาณ" ที่ไม่ได้แปลว่าการจำกัดความต้องการ แต่หมายถึงการสร้างรายได้ให้ พอเพียง ต่อการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี ผ่านการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนและการยกระดับผลิตภัณฑ์ OTOP ให้ทันสมัย
3.2 กัญชาเสรี: บททดสอบสำคัญของ "เศรษฐกิจพอเพียง" หรือ "ทุนนิยมฉวยโอกาส"?
นโยบายที่สะท้อนความขัดแย้งในตัวเองที่สุดของภูมิใจไทยคือ "กัญชาเสรี" ซึ่งพรรคพยายามตีกรอบว่าเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่จะสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" ทางรายได้ให้กับเกษตรกร ลดการพึ่งพาพืชผลเกษตรเชิงเดี่ยวที่ราคาผันผวน
ความสำเร็จทางตัวเลข vs ต้นทุนทางสังคม: ข้อมูลระบุว่าอุตสาหกรรมกัญชาสร้างมูลค่าหมุนเวียนกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท และสร้างธุรกิจรายย่อยกว่า 18,000 แห่ง
18 นายอนุทินใช้ตัวเลขนี้ยืนยันว่านโยบายนี้คือการระเบิดมูลค่าทางเศรษฐกิจจากดินสู่ดาว (From Soil to Star) ตามหลัก SEP ที่เน้นการพึ่งพาตนเองการถอยเชิงยุทธศาสตร์: อย่างไรก็ตาม เพื่อลดแรงเสียดทานจากกลุ่มอนุรักษนิยมและชนชั้นกลางในเมืองที่มีความกังวลเรื่องผลกระทบทางสังคม นายอนุทินได้ปรับวาทกรรมมุ่งเน้นไปที่ "การใช้ทางการแพทย์และสุขภาพ" อย่างเคร่งครัด โดยผลักดัน พ.ร.บ. กัญชา กัญชง เพื่อจัดระเบียบแทนการนำกลับไปเป็นยาเสพติด
20 นี่คือการปรับตัวตามหลัก "ความมีเหตุผล" ใน SEP เพื่อรักษาฐานเสียงทางเศรษฐกิจไว้พร้อมกับลดเงื่อนไขความขัดแย้ง
3.3 ชาตินิยมเชิงนิเวศ (Eco-Nationalism) และความมั่นคง
ในสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา พรรคภูมิใจไทยใช้นโยบายความมั่นคงควบคู่กับการพัฒนา โดยชูประเด็น "ปกป้องผืนป่าและดินแดน" เพื่อปลุกกระแสชาตินิยม
4. พรรคเพื่อไทย: วิกฤตศรัทธาและการแสวงหาทางรอดผ่าน "เศรษฐกิจเขียว"
4.1 จากประชานิยมรากหญ้าสู่เสรีนิยมใหม่สีเขียว
ความพ่ายแพ้ในสมรภูมิศาลรัฐธรรมนูญและความล้มเหลวในการผลักดันนโยบาย "ดิจิทัลวอลเล็ต" อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้พรรคเพื่อไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งปี 2569 พรรคพยายามรีแบรนด์ตนเองจากพรรคประชานิยมดั้งเดิม มาเป็นพรรคที่ทันสมัยและตอบโจทย์เทรนด์โลกด้วยนโยบาย "เศรษฐกิจเขียว" (Green Economy) และ "ซอฟต์พาวเวอร์" (Soft Power)
พรรคเพื่อไทยตีความ SEP ในมิติของการสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" ระดับมหภาค (Macro-economic Immunity) ด้วยการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยเข้ากับห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่เน้นความยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ Soft Power: นโยบาย "1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์" (OFOS) และการจัดตั้ง THACCA (Thailand Creative Content Agency) ถูกนำเสนอในฐานะเครื่องมือยกระดับรายได้ของประชาชนให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
23 โดยพยายามเชื่อมโยง "ทุนทางวัฒนธรรม" เข้ากับ "เศรษฐกิจสร้างสรรค์"Land Bridge และการลงทุนสีเขียว: พรรคยังคงมุ่งมั่นผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) โดยอ้างถึงประโยชน์ในการลดระยะเวลาการขนส่งและการลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว แม้จะถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน
22
4.2 ข้อวิจารณ์เรื่อง "การฟอกเขียว" (Greenwashing)
จุดอ่อนสำคัญของพรรคเพื่อไทยคือนโยบายสิ่งแวดล้อมที่มักผูกติดกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ นักวิชาการและภาคประชาสังคมวิจารณ์ว่าการผลักดัน BCG Model ของพรรคเพื่อไทย เป็นเพียงการ "ฟอกเขียว" ให้กับกลุ่มทุนพลังงานและเกษตรยักษ์ใหญ่ เพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดคาร์บอนเครดิตและสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยไม่ได้แก้ปัญหาโครงสร้างความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน
5. พรรคประชาชน: การรื้อสร้างโครงสร้างและ "ความยุติธรรมทางนิเวศ"
5.1 การเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์: จาก "การสงเคราะห์" สู่ "ความยุติธรรม"
พรรคประชาชน (อดีตพรรคก้าวไกล) นำเสนอชุดนโยบายที่ท้าทายกรอบความคิดเดิมของ SEP อย่างถึงรากถึงโคน โดยปฏิเสธแนวทางการกุศลหรือการสงเคราะห์แบบบนลงล่าง (Top-down) แต่เน้นไปที่ "ความยุติธรรมทางนิเวศ" (Environmental Justice) และการกระจายอำนาจ
5.2 พ.ร.บ. พื้นที่ชุ่มน้ำ: กรณีศึกษาการปะทะกันของชุดความคิด
ตัวอย่างรูปธรรมที่สุดของนโยบายพรรคประชาชนคือการผลักดัน "ร่าง พ.ร.บ. พื้นที่ชุ่มน้ำ" (Wetlands Act) เข้าสู่สภา
เป้าหมาย: เพื่ออนุรักษ์พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ (แก้มลิง) ป้องกันน้ำท่วม และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ตามอนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention)
ความขัดแย้ง: กฎหมายฉบับนี้ท้าทายผลประโยชน์ของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์และนิคมอุตสาหกรรมที่มักถมที่พื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อการพัฒนา การผลักดันกฎหมายนี้แสดงให้เห็นจุดยืนของพรรคที่ให้ความสำคัญกับ "นิเวศบริการ" (Ecosystem Services) มากกว่า GDP ระยะสั้น
การกระจายอำนาจ: พรรคเสนอให้มี "คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำจังหวัด" และ "องค์กรชุมชน" เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ซึ่งเป็นการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่นตามหลักการกระจายอำนาจ (Decentralization)
10
5.3 ความเสี่ยงของ "การประนีประนอมครั้งใหญ่" (Grand Compromise)
การตัดสินใจของพรรคประชาชนในการสนับสนุนนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงวิกฤตปี 2568 เพื่อแลกกับการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นดาบสองคม
6. บทวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงลึกและข้อมูลสถิติ
6.1 ตารางเปรียบเทียบทิศทางนโยบายความยั่งยืน 3 พรรคหลัก
| มิติการวิเคราะห์ | พรรคภูมิใจไทย (BJT) | พรรคเพื่อไทย (PT) | พรรคประชาชน (PP) |
| อุดมการณ์หลัก | อนุรักษนิยมท้องถิ่นนิยม (Local Conservatism) | เสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) | สังคมประชาธิปไตยก้าวหน้า (Progressive Social Democracy) |
| การตีความ SEP | ความพอประมาณ = การมีกินมีใช้, พึ่งพาตนเองได้ | ภูมิคุ้มกัน = การเชื่อมโยงตลาดโลก, เทคโนโลยี | ความมีเหตุผล = ความยุติธรรม, การกระจายทรัพยากร |
| นโยบายเรือธง | กัญชาทางการแพทย์, OTOP ทันสมัย, อสม. | 1 ครอบครัว 1 Soft Power, Land Bridge | พ.ร.บ. พื้นที่ชุ่มน้ำ, กระจายอำนาจงบประมาณ |
| จุดยืนต่อ BCG | สนับสนุน (เน้นเกษตรมูลค่าสูง) | สนับสนุนเต็มที่ (เน้นภาคอุตสาหกรรม/ส่งออก) | คัดค้าน/วิพากษ์ (เน้นสิทธิชุมชน/Anti-Greenwashing) |
| ฐานเสียงเป้าหมาย | เกษตรกร, ผู้นำท้องถิ่น, กลุ่มอนุรักษนิยม | คนชั้นกลางระดับล่าง, แรงงาน, ภาคธุรกิจ | คนรุ่นใหม่, ชนชั้นกลางในเมือง, NGO |
| จุดอ่อน/ความเสี่ยง | ความขัดแย้งเรื่องกัญชา, ภาพลักษณ์ผู้มีอิทธิพล | ความไม่ชัดเจนทางจุดยืน, ข้อครหาเอื้อกลุ่มทุน | นโยบายดูเป็นนามธรรม, ความขัดแย้งกับระบบราชการ |
6.2 ข้อมูลเชิงประจักษ์: เศรษฐกิจ vs อุดมการณ์
ผลสำรวจจากสถาบันพระปกเกล้า (KPI Poll) ช่วงปลายปี 2568 สะท้อนภาพความเป็นจริงที่ท้าทายพรรคฝ่ายก้าวหน้า โดยระบุว่า:
36.2% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญกับ "ผู้นำที่แก้ปัญหาปากท้องได้ทันที" เป็นอันดับแรก
30 17.8% ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์สุจริต
8.5% ให้ความสำคัญกับการยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย
ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและหนี้ครัวเรือนสูง นโยบายที่เป็นรูปธรรมและ "กินได้" ของพรรคภูมิใจไทยและเพื่อไทย (เช่น พักหนี้, แจกเงิน, ราคากัญชา) มีแนวโน้มที่จะดึงดูดคะแนนเสียงได้มากกว่านโยบายปฏิรูปโครงสร้างของพรรคประชาชน เว้นแต่พรรคประชาชนจะสามารถเชื่อมโยง "ปัญหาสิ่งแวดล้อม" (เช่น น้ำท่วมซ้ำซาก) เข้ากับ "ความเสียหายทางเศรษฐกิจในกระเป๋าตังค์" ของประชาชนได้อย่างแนบเนียน
7. บทสรุปและแนวโน้มสู่อนาคต
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่กำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไทยในทศวรรษหน้า จากการวิเคราะห์ข้อมูลและแนวโน้มนโยบาย สรุปได้ดังนี้:
ความยั่งยืนที่แตกแยก (Fragmented Sustainability): ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 เวอร์ชั่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่การเลือกว่าจะใช้ SEP หรือไม่ แต่เป็นการเลือกว่าจะใช้ SEP เวอร์ชั่นใด ในการบริหารประเทศ
ภูมิใจไทยในฐานะแกนหลัก: ด้วยความได้เปรียบของการเป็นรัฐบาลรักษาการและเครือข่ายบ้านใหญ่ พรรคภูมิใจไทยมีโอกาสสูงที่จะกลับมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หรือเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีอำนาจต่อรองสูงที่สุด ซึ่งหมายความว่าแนวทาง "ความยั่งยืนแบบประนีประนอม" และนโยบายกัญชา (ในรูปแบบควบคุม) จะยังคงอยู่ต่อไป
18 ความท้าทายของพรรคประชาชน: แม้จะมีนโยบายที่ก้าวหน้าและตอบโจทย์ปัญหาระยะยาวได้ดีที่สุด (เช่น พ.ร.บ. พื้นที่ชุ่มน้ำ) แต่พรรคประชาชนเผชิญกับกำแพงความต้องการระยะสั้นของประชาชน การจะชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ พรรคต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า "ความยุติธรรมทางนิเวศ" คือรากฐานที่จำเป็นของ "ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ" ไม่ใช่สิ่งที่ต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก
ปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้: ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลใหม่จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอก เช่น มาตรการกีดกันทางการค้าที่อ้างอิงมาตรฐานสิ่งแวดล้อม (EU CBAM, US Tariffs) ซึ่งจะบีบบังคับให้ประเทศไทยต้องยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
8
โดยสรุป การเลือกตั้งปี 2569 คือจุดปะทะระหว่าง "ความอยู่รอดระยะสั้น" กับ "ความยั่งยืนระยะยาว" ภายใต้ร่มธงของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ถูกตีความต่างกันไปตามผลประโยชน์ทางการเมือง ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งจะบอกเราว่า สังคมไทยพร้อมที่จะก้าวข้าม "วาทกรรม" ไปสู่ "การปฏิบัติ" เพื่อความยั่งยืนที่แท้จริงแล้วหรือยัง
หมายเหตุ: บทความนี้เรียบเรียงขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์ทางการเมือง เอกสารนโยบายพรรค และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจนถึงเดือนธันวาคม 2568

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น