วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2568

สถาบันสงฆ์และการเมืองไทย การเลือกตั้งทั่วไปปี 2569


รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: พลวัตเชิงโครงสร้างและขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันสงฆ์กับภูมิทัศน์การเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569


บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)

รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและเปราะบางระหว่างสถาบันสงฆ์ (Sangha) กับสถาบันการเมือง (State/Politics) ในบริบทของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2569 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 1 การศึกษานี้ครอบคลุมมิติทางกฎหมาย รัฐศาสตร์ และสังคมวิทยาศาสนา โดยชี้ให้เห็นว่าการเลือกตั้งปี 2569 มิใช่เพียงกระบวนการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางบริหารเท่านั้น แต่เป็นจุดปะทะสำคัญระหว่างกระแสโลกวิสัย (Secularism) ที่นำโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ กับกระแสอนุรักษนิยมทางศาสนา (Religious Conservatism) ที่ผนึกกำลังกับรัฐราชการ

ผลการศึกษาพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างวัดและคณะสงฆ์กับการเมืองไทยในปี 2569 ถูกกำหนดโดยปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1) การบังคับใช้กฎหมายและระเบียบมหาเถรสมาคมที่เข้มงวดที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อ "กวาดลานวัด" และตัดท่อน้ำเลี้ยงทางการเมือง 3 2) ยุทธศาสตร์พรรคการเมืองที่แบ่งขั้วชัดเจนระหว่างพรรคที่ต้องการปฏิรูปงบประมาณศาสนากับพรรคที่ชูธงปกป้องศรัทธา 5 3) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยกลุ่ม Gen Z และ Gen Y มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 70 ซึ่งมีแนวโน้มแยกศาสนาออกจากการเมือง 7 และ 4) บทบาทของวัดในฐานะกลไกหัวคะแนนที่กำลังถูกท้าทายด้วยระบบดิจิทัลและการตรวจสอบทางการเงินที่เข้มข้น 8


บทที่ 1: บทนำและกรอบแนวคิดทฤษฎี (Introduction and Theoretical Framework)

1.1 บริบททางการเมืองและเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้ง 2569

การเลือกตั้งทั่วไปที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.5 ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษหากไม่นับช่วงวิกฤต 10 สภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองนี้ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของประชาชน ที่มักหันเข้าหา "ที่พึ่งทางใจ" หรือความหวังจากอำนาจเหนือธรรมชาติและสถาบันศาสนามากขึ้น ทำให้บทบาทของ "วัด" ในฐานะศูนย์กลางการเยียวยาทางสังคมและจิตวิญญาณกลับมามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด แม้ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้า

ในทางการเมือง การประกาศยุบสภาโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เมื่อปลายปี 2568 ได้เปิดฉากการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ 1 โดยมี "ศาสนา" เป็นหนึ่งในสมรภูมิรบทางความคิด (Ideological Battleground) พรรคการเมืองต่างตระหนักดีว่า แม้ฐานเสียงคนรุ่นใหม่จะเติบโตขึ้น แต่ "พลังศรัทธา" ในเครือข่ายวัดทั่วประเทศยังคงเป็นกลไกที่มองข้ามไม่ได้ในการเจาะฐานเสียงระดับรากหญ้า (Grassroots) และกลุ่มผู้สูงอายุ (Gen X และ Baby Boomers) ที่มีวินัยในการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งสูง 7

1.2 กรอบแนวคิด: บทบาทพระสงฆ์ในปริมณฑลทางการเมือง

งานวิจัยทางรัฐศาสตร์ศาสนาจำแนกบทบาทของพระสงฆ์ในทางการเมืองออกเป็นหลายมิติ ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจพลวัตในปี 2569 ดังนี้:

  1. บทบาทในฐานะวิศวกรสันติภาพ (Peace Engineer): ตามทฤษฎีแล้ว พระสงฆ์ควรทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งและสร้างความปรองดองโดยใช้พุทธสันติวิธี 9 บทบาทนี้ถูกคาดหวังจากสังคมชนชั้นกลางและรัฐบาลที่ต้องการความสงบเรียบร้อย แต่ในทางปฏิบัติ มักถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลาง

  2. บทบาทในฐานะพลเมือง (Civic Role): พระสงฆ์ในฐานะพลเมืองของรัฐที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสาธารณะ แต่ถูกจำกัดสิทธิในการแสดงออกทางการเมืองและการเลือกตั้ง 9 ความขัดแย้งระหว่าง "สิทธิพลเมือง" กับ "วินัยสงฆ์" เป็นประเด็นดีเบตที่แหลมคม โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการและพระสงฆ์รุ่นใหม่

  3. บทบาทในฐานะหัวคะแนนทางจิตวิญญาณ (Spiritual Canvasser): การใช้อิทธิพลทางศรัทธาในการชี้นำให้ฆราวาสเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งมักกระทำผ่านการเทศนา การเจิมป้ายหาเสียง หรือการรับกิจนิมนต์ในงานของนักการเมือง 9

1.3 สมมติฐานการวิจัย

รายงานฉบับนี้ตั้งสมมติฐานว่า ในการเลือกตั้งปี 2569 รัฐไทยได้พัฒนากลไกการควบคุมทางกฎหมายและการเงินที่ซับซ้อนขึ้นเพื่อจำกัดบทบาททางการเมืองของพระสงฆ์ฝ่ายตรงข้าม (Opposition Monks) ในขณะที่เปิดช่องว่างทางปฏิบัติให้พระสงฆ์ฝ่ายสนับสนุนรัฐ (Pro-establishment Monks) สามารถทำหน้าที่สร้างความชอบธรรมให้กับระบอบการปกครองได้ผ่านกิจกรรมทางศาสนาและประเพณี


บทที่ 2: นิติรัฐกับศาสนาจักร: โครงสร้างกฎหมายและมาตรการควบคุมในปี 2569

ความสัมพันธ์ระหว่างวัดและการเมืองในปี 2569 ไม่ได้ดำเนินไปอย่างอิสระ แต่ถูกกำกับด้วยโครงข่ายของกฎหมายและคำสั่งมหาเถรสมาคมที่ถูกยกระดับความเข้มงวดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2568 เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้ง

2.1 รัฐธรรมนูญและการตัดสิทธิทางการเมือง (Disenfranchisement)

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญยังคงยืนยันหลักการ "ตัดสิทธิเลือกตั้ง" ของพระภิกษุสามเณร 11 บทบัญญัตินี้สะท้อนแนวคิดที่ต้องการแยกอาณาจักรออกจากพุทธจักร (Separation of Realms) เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสมณเพศ แต่ในทางกลับกัน นักวิชาการด้านกฎหมายมองว่านี่คือการกีดกันพระสงฆ์ออกจากกระบวนการตัดสินใจทางนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อกิจการศาสนาโดยตรง เช่น การจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ในการพิจารณางบประมาณปี 2569 5

2.2 พัฒนาการของคำสั่งมหาเถรสมาคม: จากห้ามยุ่งเกี่ยวสู่การลงทัณฑ์

มหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ได้ออกคำสั่งและมติหลายฉบับเพื่อควบคุมพฤติกรรมพระสงฆ์ ซึ่งมีวิวัฒนาการความเข้มข้นดังนี้:

  • คำสั่ง มส. 2538: เป็นรากฐานเดิมที่ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ขาดสภาพบังคับจริงจัง 14

  • คำสั่ง มส. 2561: ห้ามใช้วัดเป็นสถานที่ชุมนุมทางการเมือง และห้ามเจ้าอาวาสยินยอมให้ใช้สถานที่ 15 นี่เป็นการปิดพื้นที่ทางกายภาพ (Physical Space) ของวัดจากการเคลื่อนไหวทางการเมือง

  • มติ มส. 2565: ขยายขอบเขตการห้ามครอบคลุมถึงการรับตำแหน่งกรรมาธิการหรือที่ปรึกษาทางการเมือง ซึ่งปิดช่องทางแทรกแซงเชิงนโยบาย 14

  • มติ มส. วาระพิเศษ 2568 (ล่าสุด): มติที่ 569/2568 เรื่อง "แนวทางดำเนินการกรณีพระภิกษุกระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ" 16 มตินี้ถือเป็น "จุดเปลี่ยนสำคัญ" (Game Changer) สำหรับการเลือกตั้ง 2569 เนื่องจากให้อำนาจในการดำเนินการ "สละสมณเพศ" (จับสึก) ได้รวดเร็วขึ้นสำหรับพระที่กระทำผิดร้ายแรง ซึ่งอาจถูกตีความครอบคลุมถึงการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ การมีมาตรการนี้ในช่วงก่อนเลือกตั้งสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว (Chilling Effect) ในหมู่พระสงฆ์ที่มีความคิดเห็นต่างทางการเมือง

2.3 ปฏิบัติการ "กวาดลานวัด" และกฎเหล็กทางการเงิน

นอกเหนือจากกฎหมายปกครองสงฆ์ รัฐบาลชุดปัจจุบันยังได้นำมาตรการตรวจสอบทางการเงินมาใช้เป็นเครื่องมือควบคุมทางการเมือง ภายใต้นโยบาย "กวาดลานวัด" 3 ซึ่งมีผลบังคับใช้กฎกระทรวงเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 4 สาระสำคัญคือ:

  1. ห้ามวัดถือเงินสดเกิน 100,000 บาท: ส่วนที่เกินต้องนำฝากธนาคารในนามวัด 3

  2. การรายงานบัญชี: วัดต้องส่งรายงานรายรับ-รายจ่ายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตรวจสอบทุกเดือน 4

นัยสำคัญทางการเมือง: มาตรการนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบ "หัวคะแนน" และ "เงินบริจาคทางการเมือง" (Political Donation) ในอดีต วัดมักเป็นจุดพักเงิน (Safe Haven) หรือจุดกระจายทรัพยากรในช่วงเลือกตั้งผ่านรูปแบบของการทำบุญ แต่เมื่อวัดต้องเข้าสู่ระบบบัญชีที่ตรวจสอบได้ การโยกย้ายเงินทุนสีเทาผ่านวัดจึงทำได้ยากขึ้น หรือทิ้งร่องรอยทางธุรกรรมที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคหรือตัดสิทธิทางการเมืองได้ตามกฎหมายฟอกเงินและกฎหมายเลือกตั้ง 8

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบมาตรการควบคุมพระสงฆ์และการเมืองในแต่ละยุคสมัย

ยุคสมัย / ปี พ.ศ.มาตรการหลัก (Key Measures)สภาพบังคับ (Enforcement)ผลกระทบต่อการเมือง
2538คำสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวการเมืองต่ำ (เน้นขอความร่วมมือ)พระสงฆ์ยังคงร่วมชุมนุมและแสดงความเห็นได้บ้าง
2561-2565ห้ามใช้วัดชุมนุม, ห้ามเป็นกรรมาธิการปานกลาง (เน้นลงโทษเจ้าอาวาส)พื้นที่วัดถูกปิดกั้นจากการเมืองภาคประชาชน
2568-2569มติ 569/2568 (จับสึกรวดเร็ว), กฎการเงิน (ห้ามถือเงินสด)สูงมาก (Strict & Immediate)พระสงฆ์ระมัดระวังตัวสูง, ท่อน้ำเลี้ยงผ่านวัดถูกตัด, การเมืองย้ายไปสู่โลกออนไลน์

บทที่ 3: ภูมิทัศน์การเลือกตั้ง 2569 และพลวัตประชากร (Election Landscape and Demographics)

การเลือกตั้ง 2569 ไม่ได้เป็นการต่อสู้บนพื้นที่ว่างเปล่า แต่เป็นการปะทะกันของโครงสร้างประชากรที่มีมุมมองต่อศาสนาและการเมืองแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

3.1 สงครามระหว่างวัย: Gen Z/Y vs Gen X/Boomer

ข้อมูลสถิติและการวิเคราะห์โครงสร้างผู้มีสิทธิเลือกตั้งชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z และ Gen Y) มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 70 ของฐานเสียงทั้งหมด 7 กลุ่มประชากรนี้มีลักษณะเด่นคือมีความคาดหวังทางการเมืองสูง (High Political Expectation) และมีแนวโน้มที่จะมองศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคล (Privatization of Religion) มากกว่าเป็นสถาบันหลักของชาติที่ต้องได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐแบบดั้งเดิม

ในทางตรงกันข้าม กลุ่ม Gen X และ Baby Boomers แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่มีอัตราการออกมาใช้สิทธิ (Voter Turnout) ที่สูงและสม่ำเสมอ 7 กลุ่มนี้มักยึดถือค่านิยม "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" เป็นแกนกลาง และมีความอ่อนไหวต่อวาทกรรมที่ว่า "ศาสนากำลังถูกคุกคาม" ดังนั้น พรรคการเมืองจึงต้องเลือกระหว่างการเอานใจคนรุ่นใหม่ด้วยนโยบายฆราวาสนิยม หรือการรักษาฐานเสียงเดิมด้วยนโยบายพิทักษ์ศาสนา

3.2 ปัจจัยทางเศรษฐกิจและจิตวิทยามวลชน

การที่เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ถูกคาดการณ์ว่าจะโตเพียง 1.5% 10 สร้างสภาวะความไม่มั่นคงในชีวิต (Insecurity) งานวิจัยทางสังคมวิทยาชี้ว่า ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ประชาชนมีแนวโน้มที่จะหันเข้าหาศาสนาและความเชื่อเรื่องโชคลาภ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการทำบุญเพื่อหวังผลดลบันดาล (Supernaturalism) มากขึ้น สิ่งนี้ทำให้ "วัด" ยังคงมีอำนาจต่อรองสูงในฐานะผู้ให้ความหวัง นักการเมืองจึงไม่สามารถละทิ้งวัดได้ เพราะวัดคือสถานที่ที่คนทุกข์ยากมารวมตัวกัน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของนโยบายประชานิยม


บทที่ 4: ยุทธศาสตร์พรรคการเมืองและนโยบายด้านศาสนา (Party Strategies and Religious Policies)

การเลือกตั้ง 2569 แสดงให้เห็นถึงการแบ่งขั้ว (Polarization) ของนโยบายศาสนาที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่ง โดยสามารถจำแนกกลุ่มพรรคการเมืองตามจุดยืนได้ดังนี้

4.1 พรรคประชาชน: การเมืองแบบฆราวาสวิสัยและการตรวจสอบงบประมาณ

พรรคประชาชน (สืบทอดอุดมการณ์พรรคก้าวไกล) ดำเนินนโยบายที่ท้าทายโครงสร้างเดิม โดยเน้นความทันสมัย (Modernization) ผ่านแคมเปญ "2569 เปิด เปลี่ยน กรุงฯ Hackable Bangkok" 18 อย่างไรก็ตาม จุดยืนที่แข็งกร้าวในการตรวจสอบงบประมาณแผ่นดินได้นำมาซึ่งความขัดแย้งรุนแรง ในช่วงการพิจารณางบประมาณปี 2569 ส.ส. ของพรรคประชาชนได้เสนอตัดงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยอภิปรายด้วยถ้อยคำที่ถูกมองว่า "ด้อยค่า" พุทธศาสนาในสายตากลุ่มอนุรักษนิยม 5

การกระทำนี้แม้จะได้รับเสียงเชียร์จากฐานเสียงคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นความโปร่งใสและการแยกศาสนาจากรัฐ (Secular State) แต่กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกโจมตีอย่างหนักจากฝ่ายตรงข้าม และนำไปสู่การยื่นหนังสือร้องเรียนจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งอาจส่งผลทางกฎหมายต่อสถานะของ ส.ส. เหล่านั้น 5

4.2 พรรครวมไทยสร้างชาติ: ผู้พิทักษ์ศรัทธาและสถาบัน

พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค วางตำแหน่งเป็นพรรคฝ่ายขวาอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน โดยใช้นโยบาย "ปกป้องสถาบันหลักของชาติ" เป็นจุดขายหลัก 6 รทสช. ใช้ประโยชน์จากดราม่าการอภิปรายงบประมาณของพรรคประชาชน มาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองในฐานะ "ผู้ปกป้องศาสนา" โดยระดมมวลชนสวมเสื้อเหลืองและกลุ่มพลังเงียบให้ออกมาแสดงพลัง 20

ยุทธศาสตร์ของ รทสช. คือการเปลี่ยนการเลือกตั้งให้เป็นเรื่องของ "ศีลธรรมและความมั่นคงทางจิตวิญญาณ" เพื่อดึงดูดฐานเสียง Gen X และผู้สูงอายุที่กังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปของสังคม

4.3 พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย: ประชานิยมและอุปถัมภ์ศาสนา

พรรคภูมิใจไทย (นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีรักษาการ) และพรรคเพื่อไทย เลือกใช้แนวทางสายกลางที่เน้น "ประโยชน์นิยม" (Pragmatism) ทั้งสองพรรคหลีกเลี่ยงการแตะต้องโครงสร้างอำนาจสงฆ์ แต่เน้นการสนับสนุนงบประมาณพัฒนาวัดและกิจกรรมทางศาสนาในระดับท้องถิ่น 21

  • พรรคภูมิใจไทย: เน้นนโยบายปากท้อง เช่น พักหนี้ กองทุนประกันชีวิตผู้สูงอายุ และสวัสดิการ อสม. ซึ่งเครือข่ายเหล่านี้มักทับซ้อนกับเครือข่ายวัดในชุมชน 21 การประกาศตัวแคนดิเดตนายกฯ ของนายอนุทินที่ชัดเจน 24 ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้นำท้องถิ่นและเจ้าอาวาสว่าการสนับสนุนพรรคนี้จะนำมาซึ่งงบประมาณพัฒนาพื้นที่

  • พรรคเพื่อไทย: เน้นการดูแลเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก พร้อมประกาศสนับสนุนพุทธศาสนาในฐานะ Soft Power ทางวัฒนธรรม 22 พยายามรักษาฐานเสียงคนเสื้อแดงในภาคอีสานและเหนือ ซึ่งมีความผูกพันกับวัดป่าและวัดบ้านอย่างแน่นแฟ้น

ตารางที่ 2: การวิเคราะห์จุดยืนพรรคการเมืองต่อนโยบายศาสนาในการเลือกตั้ง 2569

พรรคการเมืองอุดมการณ์หลัก (Ideology)นโยบาย/ท่าทีต่อศาสนาและคณะสงฆ์กลุ่มเป้าหมายทางศาสนา
พรรคประชาชนเสรีนิยมก้าวหน้า, ฆราวาสวิสัย (Secularism)ตรวจสอบงบประมาณ พศ., ลดบทบาทรัฐในศาสนา, เสนอตัดงบอุดหนุนองค์กรศาสนาGen Z, Gen Y, ปัญญาชน, กลุ่มที่ต้องการปฏิรูปสถาบัน
รวมไทยสร้างชาติอนุรักษนิยม, ราชาชาตินิยม (Royalist)ปกป้อง 3 สถาบันหลัก, สนับสนุนงบประมาณศาสนาเพื่อความมั่นคง, ต่อต้านผู้จาบจ้วงGen X, Baby Boomers, กลุ่มรอยัลลิสต์, ข้าราชการ
ภูมิใจไทยท้องถิ่นนิยม, ปฏิบัตินิยม (Pragmatism)สนับสนุนวัดในฐานะศูนย์กลางชุมชน, ไม่แตะต้องโครงสร้างสงฆ์, ใช้เครือข่ายวัดช่วยสวัสดิการผู้นำชุมชน, อสม., ชาวบ้านในพื้นที่ชนบท
เพื่อไทยประชานิยม, อนุรักษนิยมใหม่อุปถัมภ์ศาสนาควบคู่เศรษฐกิจ, ใช้ศาสนาส่งเสริมการท่องเที่ยว (Soft Power)คนเสื้อแดง, เกษตรกร, ชนชั้นกลางระดับล่าง

บทที่ 5: กลไกอิทธิพล: วัดในฐานะศูนย์กลางหัวคะแนนและพื้นที่หาเสียง (Mechanisms of Influence)

แม้กฎหมายจะห้าม แต่ในทางสังคมวิทยาการเมือง "วัด" ยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายหัวคะแนน (Vote Canvassing Hubs) ด้วยเหตุผลเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม

5.1 ระบบหัวคะแนนและ "การทำบุญหวังผล"

งานวิจัยชี้ว่า ประชาชนจำนวนมาก (ร้อยละ 53.53) มองว่าผู้ให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองหวังผลประโยชน์ตอบแทน และร้อยละ 35.60 ให้ความสำคัญกับปากท้องมากกว่าที่มาของเงิน 25 ทัศนคตินี้เอื้อให้เกิดปรากฏการณ์ "การทำบุญการเมือง" (Political Merit-Making) 26 คือการที่นักการเมืองบริจาคเงินให้วัดหรือเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ผ้าป่า เพื่อแลกกับ "บุญคุณ" และ "คะแนนเสียง"

แม้กฎเหล็ก 180 วันของ กกต. จะห้ามให้ทรัพย์สินแก่วัด 8 แต่นักการเมืองมักเลี่ยงบาลีด้วยการ:

  1. ใช้ตัวแทน (Nominees): ให้ญาติ หรือทีมงานเป็นคนบริจาคแทนในนามส่วนตัว

  2. สัญญาล่วงหน้า: สัญญาปากเปล่าว่าจะนำงบประมาณพัฒนามาลงพื้นที่หากได้รับเลือกตั้ง (Pork Barrel Politics) ซึ่งพิสูจน์ความผิดได้ยาก

  3. การเข้าร่วมพิธีกรรม: เพียงแค่การไปปรากฏตัวในงานศพหรือนั่งแถวหน้าในงานพิธี ก็เป็นการส่งสัญญาณบารมี (Charisma) โดยไม่ต้องจ่ายเงินโดยตรง

5.2 บทบาทของเจ้าอาวาสและพระสังฆาธิการ

เจ้าอาวาสมีอิทธิพลในการ "เปิด" หรือ "ปิด" พื้นที่วัดให้กับนักการเมือง 15 แม้จะมีคำสั่งห้ามใช้สถานที่ชุมนุม แต่การอนุญาตให้ใช้ศาลาวัดจัด "การประชุมประชาคมหมู่บ้าน" หรือ "งานเลี้ยงผู้สูงอายุ" ที่มีนักการเมืองมาร่วมงาน เป็นเทคนิคที่ใช้กันแพร่หลาย นอกจากนี้ พระสงฆ์ยังทำหน้าที่เป็น "Opinion Leader" ผ่านการเทศนาธรรมที่สอดแทรกคติสอนใจเกี่ยวกับการเลือก "คนดี" ซึ่งมักถูกตีความเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามบริบทพื้นที่

5.3 โซเชียลมีเดียของพระสงฆ์: พื้นที่สีเทาใหม่

ในยุคดิจิทัล การหาเสียงย้ายจากลานวัดสู่หน้าจอโทรศัพท์ พระสงฆ์จำนวนมากใช้ Facebook, TikTok และ YouTube ในการสื่อสารธรรมะ 28 ซึ่งมักมียอดผู้ติดตามสูง ช่องทางเหล่านี้กลายเป็นพื้นที่ที่รัฐควบคุมได้ยาก

  • Case Study: การใช้ "ธรรมะคลายทุกข์" หรือรายการวิทยุออนไลน์ของพระสงฆ์ 29 ในการพูดถึงปัญหาสังคม (เช่น ยาเสพติด ความยากจน) ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วคือการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลหรือสนับสนุนฝ่ายค้านทางอ้อม

  • Line Group วัด: เป็นช่องทางกระจายข่าวสาร (และข่าวลวง) ที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุ 31 ข้อมูลโจมตีพรรคการเมืองเรื่องการตัดงบศาสนา หรือการแก้กฎหมายสงฆ์ มักถูกส่งต่อในกลุ่มไลน์เหล่านี้อย่างรวดเร็วและไร้การตรวจสอบ


บทที่ 6: บทสังเคราะห์และแนวโน้มในอนาคต (Synthesis and Future Outlook)

จากการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้าน สรุปได้ว่าการเลือกตั้ง 2569 เป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสงฆ์ โดยมีแนวโน้มและนัยสำคัญดังนี้:

6.1 รัฐกระชับอำนาจเบ็ดเสร็จ (State Consolidation)

แนวโน้มที่เด่นชัดที่สุดคือความพยายามของรัฐในการควบคุมคณะสงฆ์อย่างเบ็ดเสร็จผ่านเครื่องมือทางกฎหมายและการเงิน (Bureaucratization of Buddhism) 32 กฎหมายห้ามถือเงินสดและมติจับสึกพระที่ทำผิดวินัยร้ายแรง สะท้อนว่ารัฐต้องการลดทอนความเป็นอิสระของวัด และทำให้วัดกลายเป็นเพียงหน่วยงานหนึ่งภายใต้กำกับของรัฐ (State Apparatus) เพื่อป้องกันไม่ให้วัดกลายเป็นฐานที่มั่นของการต่อต้านทางการเมือง

6.2 ความเสี่ยงของความขัดแย้งร้าวลึก (Deepening Polarization)

สังคมไทยกำลังเดินหน้าสู่ความขัดแย้งระหว่าง "ขั้วศรัทธา" (Faith-based) กับ "ขั้วเหตุผลนิยม" (Rational/Secular) การที่พรรคการเมืองเลือกเล่นเกม Identity Politics เรื่องศาสนา อาจทำให้เกิดบาดแผลทางสังคมที่ยากจะเยียวยา การดึงสถาบันสงฆ์ลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง (ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่) จะส่งผลเสียต่อความศรัทธาในระยะยาว และเร่งกระบวนการ Secularization ในหมู่คนรุ่นใหม่ให้เร็วยิ่งขึ้น

6.3 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Recommendations)

  1. สำหรับคณะสงฆ์: ควรถือโอกาสนี้ในการปฏิรูปตนเองให้โปร่งใสตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อลดข้ออ้างของรัฐในการเข้าแทรกแซง และต้องวางตัวเป็นกลางอย่างแท้จริงในทางการเมืองเพื่อรักษาศรัทธาจากทุกฝ่าย

  2. สำหรับพรรคการเมือง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และหันมาแข่งขันกันด้วยนโยบายแก้ปัญหาปากท้องและโครงสร้างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ 25

  3. สำหรับ กกต. และหน่วยงานตรวจสอบ: ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะกับพรรคฝ่ายตรงข้าม และต้องทำความเข้าใจบริบททางวัฒนธรรมของการ "ทำบุญ" เพื่อแยกแยะระหว่างศรัทธาบริสุทธิ์กับการซื้อเสียงแอบแฝง

โดยสรุป การเลือกตั้ง 2569 จะเป็นบทพิสูจน์ว่า สังคมไทยจะสามารถก้าวข้ามกับดักความขัดแย้งทางศาสนาและการเมือง เพื่อมุ่งสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้หรือไม่ หรือจะยังคงติดอยู่ในวังวนของการใช้อำนาจรัฐและอำนาจศีลธรรมในการห้ำหั่นกันต่อไป


ภาคผนวก: ข้อมูลประกอบการวิจัย

ตารางที่ 3: ปฏิทินเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อการเลือกตั้ง 2569 (Timeline)

ช่วงเวลาเหตุการณ์ (Event)นัยต่อความสัมพันธ์วัด-การเมือง
ก.ค. 2568

มติ มส. 569/2568 (มาตรการจับสึก) 16

สร้างความหวาดกลัวและควบคุมพฤติกรรมพระสงฆ์ก่อนเลือกตั้ง
ส.ค. 2568

การอภิปรายงบประมาณปี 69 และการตัดงบ พศ. 5

จุดชนวนความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาชนกับกลุ่มชาวพุทธอนุรักษนิยม
1 ต.ค. 2568

บังคับใช้กฎกระทรวงห้ามวัดถือเงินสด 4

ตัดท่อน้ำเลี้ยงการเมือง, เปลี่ยนระบบการบริจาคสู่ระบบบัญชี
12 ธ.ค. 2568

ยุบสภาผู้แทนราษฎร 1

เข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว เริ่มนับ 180 วันอันตรายย้อนหลัง (หากมีผลทางกฎหมาย)
ม.ค. 2569เทศกาลปีใหม่และเตรียมงานบุญประเพณีช่วงเวลาที่นักการเมืองลงพื้นที่วัดมากที่สุด เสี่ยงต่อการผิดกฎ กกต.
8 ก.พ. 2569

วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1

วันชี้ชะตาประเทศและทิศทางนโยบายศาสนา

(รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการสังเคราะห์ข้อมูลเอกสาร งานวิจัย และข่าวสารเหตุการณ์จริงในช่วงปี 2568-2569 เพื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์การวิจัยอย่างครอบคลุมและเจาะลึก)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เพื่อไทยชลบุรีเดินหน้าเต็มกำลัง “ษรกฤต ผลลูกอินทร์” ชูวิสัยทัศน์พัฒนาศรีราชา–เกาะสีชัง สู่ศูนย์กลางท่าเรือและท่องเที่ยวยอร์ชนานาชาติ

เพื่อไทยชลบุรีเดินหน้าเต็มกำลัง เปิดไพรมารีโหวต 10 เขต ด้าน “ษรกฤต ผลลูกอินทร์” ชูวิสัยทัศน์พัฒนาศรีราชา–เกาะสีชัง สู่ศูนย์กลางท่าเรือและท่อ...