รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: พลวัตเชิงโครงสร้างและขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันสงฆ์กับภูมิทัศน์การเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2569
บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary)
รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและเปราะบางระหว่างสถาบันสงฆ์ (Sangha) กับสถาบันการเมือง (State/Politics) ในบริบทของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2569 ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการยุบสภาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568
ผลการศึกษาพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างวัดและคณะสงฆ์กับการเมืองไทยในปี 2569 ถูกกำหนดโดยปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1) การบังคับใช้กฎหมายและระเบียบมหาเถรสมาคมที่เข้มงวดที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อ "กวาดลานวัด" และตัดท่อน้ำเลี้ยงทางการเมือง
บทที่ 1: บทนำและกรอบแนวคิดทฤษฎี (Introduction and Theoretical Framework)
1.1 บริบททางการเมืองและเศรษฐกิจก่อนการเลือกตั้ง 2569
การเลือกตั้งทั่วไปที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.5 ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษหากไม่นับช่วงวิกฤต
ในทางการเมือง การประกาศยุบสภาโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เมื่อปลายปี 2568 ได้เปิดฉากการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่
1.2 กรอบแนวคิด: บทบาทพระสงฆ์ในปริมณฑลทางการเมือง
งานวิจัยทางรัฐศาสตร์ศาสนาจำแนกบทบาทของพระสงฆ์ในทางการเมืองออกเป็นหลายมิติ ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจพลวัตในปี 2569 ดังนี้:
บทบาทในฐานะวิศวกรสันติภาพ (Peace Engineer): ตามทฤษฎีแล้ว พระสงฆ์ควรทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งและสร้างความปรองดองโดยใช้พุทธสันติวิธี
9 บทบาทนี้ถูกคาดหวังจากสังคมชนชั้นกลางและรัฐบาลที่ต้องการความสงบเรียบร้อย แต่ในทางปฏิบัติ มักถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลางบทบาทในฐานะพลเมือง (Civic Role): พระสงฆ์ในฐานะพลเมืองของรัฐที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสาธารณะ แต่ถูกจำกัดสิทธิในการแสดงออกทางการเมืองและการเลือกตั้ง
9 ความขัดแย้งระหว่าง "สิทธิพลเมือง" กับ "วินัยสงฆ์" เป็นประเด็นดีเบตที่แหลมคม โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการและพระสงฆ์รุ่นใหม่บทบาทในฐานะหัวคะแนนทางจิตวิญญาณ (Spiritual Canvasser): การใช้อิทธิพลทางศรัทธาในการชี้นำให้ฆราวาสเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งมักกระทำผ่านการเทศนา การเจิมป้ายหาเสียง หรือการรับกิจนิมนต์ในงานของนักการเมือง
9
1.3 สมมติฐานการวิจัย
รายงานฉบับนี้ตั้งสมมติฐานว่า ในการเลือกตั้งปี 2569 รัฐไทยได้พัฒนากลไกการควบคุมทางกฎหมายและการเงินที่ซับซ้อนขึ้นเพื่อจำกัดบทบาททางการเมืองของพระสงฆ์ฝ่ายตรงข้าม (Opposition Monks) ในขณะที่เปิดช่องว่างทางปฏิบัติให้พระสงฆ์ฝ่ายสนับสนุนรัฐ (Pro-establishment Monks) สามารถทำหน้าที่สร้างความชอบธรรมให้กับระบอบการปกครองได้ผ่านกิจกรรมทางศาสนาและประเพณี
บทที่ 2: นิติรัฐกับศาสนาจักร: โครงสร้างกฎหมายและมาตรการควบคุมในปี 2569
ความสัมพันธ์ระหว่างวัดและการเมืองในปี 2569 ไม่ได้ดำเนินไปอย่างอิสระ แต่ถูกกำกับด้วยโครงข่ายของกฎหมายและคำสั่งมหาเถรสมาคมที่ถูกยกระดับความเข้มงวดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2568 เพื่อเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้ง
2.1 รัฐธรรมนูญและการตัดสิทธิทางการเมือง (Disenfranchisement)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญยังคงยืนยันหลักการ "ตัดสิทธิเลือกตั้ง" ของพระภิกษุสามเณร
2.2 พัฒนาการของคำสั่งมหาเถรสมาคม: จากห้ามยุ่งเกี่ยวสู่การลงทัณฑ์
มหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ได้ออกคำสั่งและมติหลายฉบับเพื่อควบคุมพฤติกรรมพระสงฆ์ ซึ่งมีวิวัฒนาการความเข้มข้นดังนี้:
คำสั่ง มส. 2538: เป็นรากฐานเดิมที่ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ขาดสภาพบังคับจริงจัง
14 คำสั่ง มส. 2561: ห้ามใช้วัดเป็นสถานที่ชุมนุมทางการเมือง และห้ามเจ้าอาวาสยินยอมให้ใช้สถานที่
15 นี่เป็นการปิดพื้นที่ทางกายภาพ (Physical Space) ของวัดจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองมติ มส. 2565: ขยายขอบเขตการห้ามครอบคลุมถึงการรับตำแหน่งกรรมาธิการหรือที่ปรึกษาทางการเมือง ซึ่งปิดช่องทางแทรกแซงเชิงนโยบาย
14 มติ มส. วาระพิเศษ 2568 (ล่าสุด): มติที่ 569/2568 เรื่อง "แนวทางดำเนินการกรณีพระภิกษุกระทำผิดพระธรรมวินัยประเภทครุกาบัติ"
16 มตินี้ถือเป็น "จุดเปลี่ยนสำคัญ" (Game Changer) สำหรับการเลือกตั้ง 2569 เนื่องจากให้อำนาจในการดำเนินการ "สละสมณเพศ" (จับสึก) ได้รวดเร็วขึ้นสำหรับพระที่กระทำผิดร้ายแรง ซึ่งอาจถูกตีความครอบคลุมถึงการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ การมีมาตรการนี้ในช่วงก่อนเลือกตั้งสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว (Chilling Effect) ในหมู่พระสงฆ์ที่มีความคิดเห็นต่างทางการเมือง
2.3 ปฏิบัติการ "กวาดลานวัด" และกฎเหล็กทางการเงิน
นอกเหนือจากกฎหมายปกครองสงฆ์ รัฐบาลชุดปัจจุบันยังได้นำมาตรการตรวจสอบทางการเงินมาใช้เป็นเครื่องมือควบคุมทางการเมือง ภายใต้นโยบาย "กวาดลานวัด"
ห้ามวัดถือเงินสดเกิน 100,000 บาท: ส่วนที่เกินต้องนำฝากธนาคารในนามวัด
3 การรายงานบัญชี: วัดต้องส่งรายงานรายรับ-รายจ่ายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ตรวจสอบทุกเดือน
4
นัยสำคัญทางการเมือง: มาตรการนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบ "หัวคะแนน" และ "เงินบริจาคทางการเมือง" (Political Donation) ในอดีต วัดมักเป็นจุดพักเงิน (Safe Haven) หรือจุดกระจายทรัพยากรในช่วงเลือกตั้งผ่านรูปแบบของการทำบุญ แต่เมื่อวัดต้องเข้าสู่ระบบบัญชีที่ตรวจสอบได้ การโยกย้ายเงินทุนสีเทาผ่านวัดจึงทำได้ยากขึ้น หรือทิ้งร่องรอยทางธุรกรรมที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคหรือตัดสิทธิทางการเมืองได้ตามกฎหมายฟอกเงินและกฎหมายเลือกตั้ง
ตารางที่ 1: เปรียบเทียบมาตรการควบคุมพระสงฆ์และการเมืองในแต่ละยุคสมัย
| ยุคสมัย / ปี พ.ศ. | มาตรการหลัก (Key Measures) | สภาพบังคับ (Enforcement) | ผลกระทบต่อการเมือง |
| 2538 | คำสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวการเมือง | ต่ำ (เน้นขอความร่วมมือ) | พระสงฆ์ยังคงร่วมชุมนุมและแสดงความเห็นได้บ้าง |
| 2561-2565 | ห้ามใช้วัดชุมนุม, ห้ามเป็นกรรมาธิการ | ปานกลาง (เน้นลงโทษเจ้าอาวาส) | พื้นที่วัดถูกปิดกั้นจากการเมืองภาคประชาชน |
| 2568-2569 | มติ 569/2568 (จับสึกรวดเร็ว), กฎการเงิน (ห้ามถือเงินสด) | สูงมาก (Strict & Immediate) | พระสงฆ์ระมัดระวังตัวสูง, ท่อน้ำเลี้ยงผ่านวัดถูกตัด, การเมืองย้ายไปสู่โลกออนไลน์ |
บทที่ 3: ภูมิทัศน์การเลือกตั้ง 2569 และพลวัตประชากร (Election Landscape and Demographics)
การเลือกตั้ง 2569 ไม่ได้เป็นการต่อสู้บนพื้นที่ว่างเปล่า แต่เป็นการปะทะกันของโครงสร้างประชากรที่มีมุมมองต่อศาสนาและการเมืองแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
3.1 สงครามระหว่างวัย: Gen Z/Y vs Gen X/Boomer
ข้อมูลสถิติและการวิเคราะห์โครงสร้างผู้มีสิทธิเลือกตั้งชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z และ Gen Y) มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 70 ของฐานเสียงทั้งหมด
ในทางตรงกันข้าม กลุ่ม Gen X และ Baby Boomers แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่มีอัตราการออกมาใช้สิทธิ (Voter Turnout) ที่สูงและสม่ำเสมอ
3.2 ปัจจัยทางเศรษฐกิจและจิตวิทยามวลชน
การที่เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ถูกคาดการณ์ว่าจะโตเพียง 1.5%
บทที่ 4: ยุทธศาสตร์พรรคการเมืองและนโยบายด้านศาสนา (Party Strategies and Religious Policies)
การเลือกตั้ง 2569 แสดงให้เห็นถึงการแบ่งขั้ว (Polarization) ของนโยบายศาสนาที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่ง โดยสามารถจำแนกกลุ่มพรรคการเมืองตามจุดยืนได้ดังนี้
4.1 พรรคประชาชน: การเมืองแบบฆราวาสวิสัยและการตรวจสอบงบประมาณ
พรรคประชาชน (สืบทอดอุดมการณ์พรรคก้าวไกล) ดำเนินนโยบายที่ท้าทายโครงสร้างเดิม โดยเน้นความทันสมัย (Modernization) ผ่านแคมเปญ "2569 เปิด เปลี่ยน กรุงฯ Hackable Bangkok"
การกระทำนี้แม้จะได้รับเสียงเชียร์จากฐานเสียงคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นความโปร่งใสและการแยกศาสนาจากรัฐ (Secular State) แต่กลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกโจมตีอย่างหนักจากฝ่ายตรงข้าม และนำไปสู่การยื่นหนังสือร้องเรียนจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งอาจส่งผลทางกฎหมายต่อสถานะของ ส.ส. เหล่านั้น
4.2 พรรครวมไทยสร้างชาติ: ผู้พิทักษ์ศรัทธาและสถาบัน
พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค วางตำแหน่งเป็นพรรคฝ่ายขวาอนุรักษนิยมอย่างชัดเจน โดยใช้นโยบาย "ปกป้องสถาบันหลักของชาติ" เป็นจุดขายหลัก
ยุทธศาสตร์ของ รทสช. คือการเปลี่ยนการเลือกตั้งให้เป็นเรื่องของ "ศีลธรรมและความมั่นคงทางจิตวิญญาณ" เพื่อดึงดูดฐานเสียง Gen X และผู้สูงอายุที่กังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปของสังคม
4.3 พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย: ประชานิยมและอุปถัมภ์ศาสนา
พรรคภูมิใจไทย (นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีรักษาการ) และพรรคเพื่อไทย เลือกใช้แนวทางสายกลางที่เน้น "ประโยชน์นิยม" (Pragmatism) ทั้งสองพรรคหลีกเลี่ยงการแตะต้องโครงสร้างอำนาจสงฆ์ แต่เน้นการสนับสนุนงบประมาณพัฒนาวัดและกิจกรรมทางศาสนาในระดับท้องถิ่น
พรรคภูมิใจไทย: เน้นนโยบายปากท้อง เช่น พักหนี้ กองทุนประกันชีวิตผู้สูงอายุ และสวัสดิการ อสม. ซึ่งเครือข่ายเหล่านี้มักทับซ้อนกับเครือข่ายวัดในชุมชน
21 การประกาศตัวแคนดิเดตนายกฯ ของนายอนุทินที่ชัดเจน24 ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้นำท้องถิ่นและเจ้าอาวาสว่าการสนับสนุนพรรคนี้จะนำมาซึ่งงบประมาณพัฒนาพื้นที่พรรคเพื่อไทย: เน้นการดูแลเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก พร้อมประกาศสนับสนุนพุทธศาสนาในฐานะ Soft Power ทางวัฒนธรรม
22 พยายามรักษาฐานเสียงคนเสื้อแดงในภาคอีสานและเหนือ ซึ่งมีความผูกพันกับวัดป่าและวัดบ้านอย่างแน่นแฟ้น
ตารางที่ 2: การวิเคราะห์จุดยืนพรรคการเมืองต่อนโยบายศาสนาในการเลือกตั้ง 2569
| พรรคการเมือง | อุดมการณ์หลัก (Ideology) | นโยบาย/ท่าทีต่อศาสนาและคณะสงฆ์ | กลุ่มเป้าหมายทางศาสนา |
| พรรคประชาชน | เสรีนิยมก้าวหน้า, ฆราวาสวิสัย (Secularism) | ตรวจสอบงบประมาณ พศ., ลดบทบาทรัฐในศาสนา, เสนอตัดงบอุดหนุนองค์กรศาสนา | Gen Z, Gen Y, ปัญญาชน, กลุ่มที่ต้องการปฏิรูปสถาบัน |
| รวมไทยสร้างชาติ | อนุรักษนิยม, ราชาชาตินิยม (Royalist) | ปกป้อง 3 สถาบันหลัก, สนับสนุนงบประมาณศาสนาเพื่อความมั่นคง, ต่อต้านผู้จาบจ้วง | Gen X, Baby Boomers, กลุ่มรอยัลลิสต์, ข้าราชการ |
| ภูมิใจไทย | ท้องถิ่นนิยม, ปฏิบัตินิยม (Pragmatism) | สนับสนุนวัดในฐานะศูนย์กลางชุมชน, ไม่แตะต้องโครงสร้างสงฆ์, ใช้เครือข่ายวัดช่วยสวัสดิการ | ผู้นำชุมชน, อสม., ชาวบ้านในพื้นที่ชนบท |
| เพื่อไทย | ประชานิยม, อนุรักษนิยมใหม่ | อุปถัมภ์ศาสนาควบคู่เศรษฐกิจ, ใช้ศาสนาส่งเสริมการท่องเที่ยว (Soft Power) | คนเสื้อแดง, เกษตรกร, ชนชั้นกลางระดับล่าง |
บทที่ 5: กลไกอิทธิพล: วัดในฐานะศูนย์กลางหัวคะแนนและพื้นที่หาเสียง (Mechanisms of Influence)
แม้กฎหมายจะห้าม แต่ในทางสังคมวิทยาการเมือง "วัด" ยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายหัวคะแนน (Vote Canvassing Hubs) ด้วยเหตุผลเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม
5.1 ระบบหัวคะแนนและ "การทำบุญหวังผล"
งานวิจัยชี้ว่า ประชาชนจำนวนมาก (ร้อยละ 53.53) มองว่าผู้ให้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองหวังผลประโยชน์ตอบแทน และร้อยละ 35.60 ให้ความสำคัญกับปากท้องมากกว่าที่มาของเงิน
แม้กฎเหล็ก 180 วันของ กกต. จะห้ามให้ทรัพย์สินแก่วัด
ใช้ตัวแทน (Nominees): ให้ญาติ หรือทีมงานเป็นคนบริจาคแทนในนามส่วนตัว
สัญญาล่วงหน้า: สัญญาปากเปล่าว่าจะนำงบประมาณพัฒนามาลงพื้นที่หากได้รับเลือกตั้ง (Pork Barrel Politics) ซึ่งพิสูจน์ความผิดได้ยาก
การเข้าร่วมพิธีกรรม: เพียงแค่การไปปรากฏตัวในงานศพหรือนั่งแถวหน้าในงานพิธี ก็เป็นการส่งสัญญาณบารมี (Charisma) โดยไม่ต้องจ่ายเงินโดยตรง
5.2 บทบาทของเจ้าอาวาสและพระสังฆาธิการ
เจ้าอาวาสมีอิทธิพลในการ "เปิด" หรือ "ปิด" พื้นที่วัดให้กับนักการเมือง
5.3 โซเชียลมีเดียของพระสงฆ์: พื้นที่สีเทาใหม่
ในยุคดิจิทัล การหาเสียงย้ายจากลานวัดสู่หน้าจอโทรศัพท์ พระสงฆ์จำนวนมากใช้ Facebook, TikTok และ YouTube ในการสื่อสารธรรมะ
Case Study: การใช้ "ธรรมะคลายทุกข์" หรือรายการวิทยุออนไลน์ของพระสงฆ์
29 ในการพูดถึงปัญหาสังคม (เช่น ยาเสพติด ความยากจน) ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วคือการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลหรือสนับสนุนฝ่ายค้านทางอ้อมLine Group วัด: เป็นช่องทางกระจายข่าวสาร (และข่าวลวง) ที่ทรงพลังที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุ
31 ข้อมูลโจมตีพรรคการเมืองเรื่องการตัดงบศาสนา หรือการแก้กฎหมายสงฆ์ มักถูกส่งต่อในกลุ่มไลน์เหล่านี้อย่างรวดเร็วและไร้การตรวจสอบ
บทที่ 6: บทสังเคราะห์และแนวโน้มในอนาคต (Synthesis and Future Outlook)
จากการวิเคราะห์ข้อมูลรอบด้าน สรุปได้ว่าการเลือกตั้ง 2569 เป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสงฆ์ โดยมีแนวโน้มและนัยสำคัญดังนี้:
6.1 รัฐกระชับอำนาจเบ็ดเสร็จ (State Consolidation)
แนวโน้มที่เด่นชัดที่สุดคือความพยายามของรัฐในการควบคุมคณะสงฆ์อย่างเบ็ดเสร็จผ่านเครื่องมือทางกฎหมายและการเงิน (Bureaucratization of Buddhism)
6.2 ความเสี่ยงของความขัดแย้งร้าวลึก (Deepening Polarization)
สังคมไทยกำลังเดินหน้าสู่ความขัดแย้งระหว่าง "ขั้วศรัทธา" (Faith-based) กับ "ขั้วเหตุผลนิยม" (Rational/Secular) การที่พรรคการเมืองเลือกเล่นเกม Identity Politics เรื่องศาสนา อาจทำให้เกิดบาดแผลทางสังคมที่ยากจะเยียวยา การดึงสถาบันสงฆ์ลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง (ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่) จะส่งผลเสียต่อความศรัทธาในระยะยาว และเร่งกระบวนการ Secularization ในหมู่คนรุ่นใหม่ให้เร็วยิ่งขึ้น
6.3 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Recommendations)
สำหรับคณะสงฆ์: ควรถือโอกาสนี้ในการปฏิรูปตนเองให้โปร่งใสตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อลดข้ออ้างของรัฐในการเข้าแทรกแซง และต้องวางตัวเป็นกลางอย่างแท้จริงในทางการเมืองเพื่อรักษาศรัทธาจากทุกฝ่าย
สำหรับพรรคการเมือง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และหันมาแข่งขันกันด้วยนโยบายแก้ปัญหาปากท้องและโครงสร้างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ
25 สำหรับ กกต. และหน่วยงานตรวจสอบ: ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะกับพรรคฝ่ายตรงข้าม และต้องทำความเข้าใจบริบททางวัฒนธรรมของการ "ทำบุญ" เพื่อแยกแยะระหว่างศรัทธาบริสุทธิ์กับการซื้อเสียงแอบแฝง
โดยสรุป การเลือกตั้ง 2569 จะเป็นบทพิสูจน์ว่า สังคมไทยจะสามารถก้าวข้ามกับดักความขัดแย้งทางศาสนาและการเมือง เพื่อมุ่งสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้หรือไม่ หรือจะยังคงติดอยู่ในวังวนของการใช้อำนาจรัฐและอำนาจศีลธรรมในการห้ำหั่นกันต่อไป
ภาคผนวก: ข้อมูลประกอบการวิจัย
ตารางที่ 3: ปฏิทินเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อการเลือกตั้ง 2569 (Timeline)
| ช่วงเวลา | เหตุการณ์ (Event) | นัยต่อความสัมพันธ์วัด-การเมือง |
| ก.ค. 2568 | มติ มส. 569/2568 (มาตรการจับสึก) | สร้างความหวาดกลัวและควบคุมพฤติกรรมพระสงฆ์ก่อนเลือกตั้ง |
| ส.ค. 2568 | การอภิปรายงบประมาณปี 69 และการตัดงบ พศ. | จุดชนวนความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาชนกับกลุ่มชาวพุทธอนุรักษนิยม |
| 1 ต.ค. 2568 | บังคับใช้กฎกระทรวงห้ามวัดถือเงินสด | ตัดท่อน้ำเลี้ยงการเมือง, เปลี่ยนระบบการบริจาคสู่ระบบบัญชี |
| 12 ธ.ค. 2568 | ยุบสภาผู้แทนราษฎร | เข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว เริ่มนับ 180 วันอันตรายย้อนหลัง (หากมีผลทางกฎหมาย) |
| ม.ค. 2569 | เทศกาลปีใหม่และเตรียมงานบุญประเพณี | ช่วงเวลาที่นักการเมืองลงพื้นที่วัดมากที่สุด เสี่ยงต่อการผิดกฎ กกต. |
| 8 ก.พ. 2569 | วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร | วันชี้ชะตาประเทศและทิศทางนโยบายศาสนา |
(รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการสังเคราะห์ข้อมูลเอกสาร งานวิจัย และข่าวสารเหตุการณ์จริงในช่วงปี 2568-2569 เพื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์การวิจัยอย่างครอบคลุมและเจาะลึก)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น