วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568

โซ่ข้อกลางรัฐ-สงฆ์ ยุทธศาสตร์พุทธจิตวิทยาของ ดร.นิยม เวชกามา


พลวัตความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและคณะสงฆ์: การวิเคราะห์เชิงลึกบทบาท เครือข่าย และยุทธศาสตร์พุทธจิตวิทยาของ ดร.นิยม เวชกามา


บทนำ: ภูมิทัศน์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและพุทธจักรในยุคเปลี่ยนผ่าน

ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันรัฐ (อาณาจักร) และสถาบันสงฆ์ (พุทธจักร) ดำรงอยู่ในลักษณะของการอิงอาศัยและเกื้อกูลกัน (Symbiotic Relationship) มาอย่างยาวนาน ภายใต้อุดมการณ์ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" รัฐมีหน้าที่ในการอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา ในขณะที่คณะสงฆ์มีบทบาทในการสร้างความชอบธรรมทางศีลธรรมให้แก่ผู้ปกครองและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและการปฏิรูปโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ ความสัมพันธ์นี้ได้เผชิญกับความตึงเครียดและความท้าทายในรูปแบบใหม่ กระแสธารของโลกสมัยใหม่ (Modernization) การเรียกร้องความโปร่งใสในระบบการบริหารจัดการวัด และการตรวจสอบที่เข้มข้นจากหน่วยงานภาครัฐ ได้ก่อให้เกิด "วิกฤตความไว้วางใจ" ระหว่างข้าราชการฝ่ายอาณาจักรและพระเถระฝ่ายพุทธจักร

ในบริบทของความผันผวนนี้ การปรากฏตัวของตัวแสดงทางการเมืองที่สามารถทำหน้าที่เป็น "โซ่ข้อกลาง" หรือ "กันชน" (Buffer) ระหว่างสองสถาบันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการศึกษาบทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นบุคคลสำคัญในการเชื่อมประสานรอยร้าวและขับเคลื่อนนโยบายด้านพระพุทธศาสนา ผ่านกลไกความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แนบแน่นกับมหาเถรสมาคม (มส.) และการใช้ยุทธศาสตร์ "พุทธจิตวิทยา" ในการบริหารจัดการความขัดแย้ง

การศึกษานี้จะเจาะลึกถึงรายละเอียดของปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม กับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ การขอคำแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อลดแรงเสียดทาน การปกป้องคณะสงฆ์ในวิกฤตการณ์ "เงินทอนวัด" ตลอดจนการวิเคราะห์เครือข่ายอุปถัมภ์ (Patronage Network) และนิติบัญญัติที่ท่านพยายามผลักดัน เพื่อให้เห็นภาพรวมของความพยายามในการรักษาสมดุลระหว่างอำนาจรัฐและศรัทธาทางศาสนาในสังคมไทยร่วมสมัย


บทที่ 1: ปูมหลังและอัตลักษณ์ทางการเมืองของ "ดร.มหานิยม"

1.1 รากฐานจากถิ่นภูพานสู่ทำเนียบรัฐบาล

ดร.นิยม เวชกามา หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในนาม "ดร.มหานิยม" มิใช่นักการเมืองหน้าใหม่ แต่เป็นบุคคลที่มีประสบการณ์สั่งสมมาอย่างยาวนานทั้งในระบบราชการและเวทีการเมืองระดับชาติ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ณ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องความศรัทธาในพระป่าสายกรรมฐาน เส้นทางชีวิตของท่านเริ่มต้นจากการเป็น "ข้าราชการ" ในตำแหน่งครูและนิติกร ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางเข้าสู่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าสำนักงานประกันภัยจังหวัดสกลนครและยโสธร ประสบการณ์กว่าทศวรรษในระบบราชการนี้เองที่หล่อหลอมให้ท่านมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ใน "ภาษาข้าราชการ" และ "ระเบียบวิธีปฏิบัติราชการ" ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นอาวุธสำคัญที่ท่านใช้ในการต่อกรและเจรจากับหน่วยงานรัฐเพื่อปกป้องคณะสงฆ์ 1

การก้าวเข้าสู่สนามการเมืองในปี พ.ศ. 2550 ภายใต้สังกัดพรรคพลังประชาชน และต่อเนื่องมายังพรรคเพื่อไทย ท่านได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ถึง 3 สมัย (และสมัยที่ 1 ในนามพรรคพลังประชาชน) ฐานเสียงของท่านไม่ได้มาจากนโยบายประชานิยมทั่วไปเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการวางตำแหน่งทางการเมือง (Political Positioning) ที่ชัดเจนในฐานะ "ผู้แทนสายพระ" หรือ "ผู้พิทักษ์พุทธศาสนา" ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของชาวบ้านในภาคอีสานที่วิถีชีวิตผูกพันกับวัดและศาสนาอย่างลึกซึ้ง 

1.2 สถานะทางวิชาการ: พุทธจิตวิทยาในฐานะเครื่องมือทางการเมือง

จุดเด่นที่ทำให้ ดร.นิยม มีความแตกต่างจากนักการเมืองทั่วไป คือภูมิหลังทางวิชาการที่สอดคล้องกับภารกิจ ท่านสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพุทธจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ความรู้ในระดับดุษฎีบัณฑิตนี้มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์สองประการ:

  1. ความชอบธรรมทางปัญญา (Intellectual Legitimacy): วุฒิการศึกษานี้ทำให้ท่านได้รับการยอมรับจากพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในฐานะ "ปัญญาชนชาวพุทธ" ที่มีความเข้าใจในหลักธรรมวินัยและโครงสร้างคณะสงฆ์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงนักการเมืองที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

  2. เครื่องมือในการสื่อสาร (Communication Tool): สาขา "พุทธจิตวิทยา" ช่วยให้ท่านมีความสามารถในการเข้าใจจิตใจ ความต้องการ และความกังวลของคณะสงฆ์ และสามารถสื่อสารด้วย "ภาษาธรรม" ที่เข้าถึงใจพระสงฆ์ พร้อมๆ กับการใช้ "ภาษากฎหมาย" เพื่อสื่อสารกับภาครัฐ แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้เป็นกรอบในการทำงานที่ท่านเรียกว่า "การเมืองเชิงพุทธจิตวิทยา" ซึ่งเน้นการพัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้าง 

1.3 เส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่พรรคพลังประชารัฐ

ในช่วงปลายปี 2568 ดร.นิยม ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการลาออกจากพรรคเพื่อไทยที่สังกัดมายาวนานกว่า 17 ปี เพื่อย้ายไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2569  การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์และการทำงานพื้นที่มากกว่าความผูกพันทางพรรคการเมือง สาเหตุหลักมาจากการที่พรรคเดิมมีมติให้ท่านลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ที่ต้องการเป็น สส. เขต เพื่อดูแลประชาชนและวัดในพื้นที่สกลนคร เขต 2 อย่างใกล้ชิด การย้ายพรรคครั้งนี้ยังได้รับการตีความว่าเป็นการแสวงหาพันธมิตรทางการเมืองใหม่ที่เปิดกว้างและสนับสนุนนโยบายด้านการปกป้องพระพุทธศาสนาที่ท่านผลักดันมาโดยตลอด ภายใต้สโลแกนประจำตัวที่ว่า “ประชาชนคือหัวใจ พระพุทธศาสนาอยู่ในจิตวิญญาณ” 

ช่วงเวลาสังกัดพรรคการเมืองตำแหน่งสำคัญ
พ.ศ. 2550 - 2551พรรคพลังประชาชนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.สกลนคร
พ.ศ. 2551 - 2568พรรคเพื่อไทยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.สกลนคร (สมัยที่ 2, 3)
พ.ศ. 2567 - 2568-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร)
พ.ศ. 2569 (อนาคต)พรรคพลังประชารัฐว่าที่ผู้สมัคร สส. จ.สกลนคร เขต 2

บทที่ 2: บทบาทผู้พิทักษ์ในวิกฤตการณ์ "เงินทอนวัด" และการปกป้องคณะสงฆ์

2.1 วิกฤตศรัทธาและคดีความ: มุมมองที่แตกต่าง

วิกฤตการณ์ "เงินทอนวัด" นับเป็นบาดแผลที่ลึกที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของคณะสงฆ์ไทย การดำเนินการตรวจสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) นำไปสู่การบุกจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับกรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดสำคัญหลายรูป สร้างความตื่นตระหนกและสะเทือนใจแก่พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

ในสถานการณ์ที่พระสงฆ์ตกเป็นจำเลยของสังคม ดร.นิยม เวชกามา ได้ก้าวออกมาทำหน้าที่เป็น "ทนายแก้ต่าง" ในเวทีรัฐสภาและหน้าสื่อมวลชนด้วยความกล้าหาญ โดยท่านได้นำเสนอชุดข้อมูลและข้อโต้แย้งทางกฎหมายที่แหลมคม เพื่อชี้ให้เห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐอาจเข้าข่ายการรังแกคณะสงฆ์และการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

2.2 ข้อต่อสู้ทางกฎหมายและงบประมาณ: "ผิดประเภท" ไม่ใช่ "ทุจริต"

แก่นกลางของข้อโต้แย้งที่ ดร.นิยม นำเสนอต่อสังคมและสภาผู้แทนราษฎร คือความคลาดเคลื่อนในการตีความเจตนาและการใช้งบประมาณของวัด โดยเฉพาะกรณีของ วัดสามพระยา และ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

  1. ประเด็นงบการศึกษาพระปริยัติธรรม: ดร.นิยม ชี้แจงว่า วัดได้รับงบอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แต่มีการนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้ในการก่อสร้างอาคาร ซึ่งท่านยืนยันว่าอาคารเหล่านั้นก็เพื่อใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนสงฆ์ หรือเป็นที่พักของพระเณรที่มาศึกษาเล่าเรียน การกระทำดังกล่าวในมุมมองของระบบราชการอาจถือเป็นการ "ใช้เงินผิดประเภท" (Misuse of Budget Category) ซึ่งควรเป็นความผิดทางวินัยงบประมาณหรือต้องคืนเงิน แต่เจ้าหน้าที่กลับตั้งข้อหาหนักถึงขั้น "ฟอกเงิน" และ "ทุจริต" ซึ่งนำไปสู่การจับสึกและคุมขัง

  2. ความบริสุทธิ์ใจของพระสงฆ์: ท่านเน้นย้ำว่า พระเถระที่ถูกดำเนินคดี เช่น อดีตพระพรหมดิลก (วัดสามพระยา) ไม่ได้นำเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัว หรือโอนไปให้บุคคลที่สามเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เงินถูกแปรสภาพเป็นถาวรวัตถุภายในวัดที่จับต้องได้และใช้ประโยชน์เพื่อศาสนาจริง

  3. การเลือกปฏิบัติ (Selective Justice): ดร.นิยม ตั้งข้อสังเกตในสภาฯ ว่า เหตุใดวัดที่มีการรับงบประมาณในลักษณะเดียวกันนับร้อยแห่งจึงไม่ถูกดำเนินคดี แต่กลับมีการเจาะจงดำเนินคดีเฉพาะวัดใหญ่บางแห่ง ซึ่งสร้างความกังขาถึงมูลเหตุจูงใจทางการเมืองหรือความพยายามในการจัดระเบียบขั้วอำนาจในคณะสงฆ์หรือไม่

2.3 การคืนความยุติธรรมและศักดิ์ศรี

เมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเริ่มมีคำพิพากษายกฟ้องในหลายคดี โดยเฉพาะคดีของอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ (เจ้าคุณสังคม และ เจ้าคุณเทอด) ที่ศาลชี้ว่าคำฟ้องของอัยการไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือขาดเจตนาทุจริต ดร.นิยม ได้เร่งเครื่องเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทันที

  • การตั้งกระทู้ถามสด: ท่านใช้กลไกรัฐสภาในการตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรี เพื่อทวงถามถึงมาตรการเยียวยาและการคืนสมณเพศให้แก่พระเถระที่ถูกจับสึกและขังคุกฟรีเป็นเวลากว่า 450 วัน 

  • การเรียกร้องสิทธิของอดีตพระพรหมเมธี: ในกรณีของอดีตพระพรหมเมธี (จำนงค์ เอี่ยมอินทรา) วัดสัมพันธวงศ์ ที่ลี้ภัยไปยังเยอรมนี ดร.นิยม ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาอภิปรายเพื่อชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ ที่สร้างความหวาดกลัวจนพระเถระชั้นผู้ใหญ่ต้องขอลี้ภัย และเมื่อศาลยกฟ้องคดีที่เกี่ยวข้อง ยิ่งตอกย้ำว่าข้อกล่าวหาเรื่องเงินทอนวัดในหลายกรณีอาจขาดน้ำหนัก

การเคลื่อนไหวของ ดร.นิยม ในประเด็นนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยกู้คืนศักดิ์ศรีให้กับพระสงฆ์ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐให้มีความระมัดระวังในการใช้อำนาจกับสถาบันสงฆ์มากขึ้น


บทที่ 3: ความสัมพันธ์เชิงลึกกับมหาเถรสมาคม: ยุทธศาสตร์การ "ขอคำแนะนำ"

3.1 จาก "ผู้กำกับดูแล" สู่ "ผู้รับใช้": การปรับเปลี่ยนบทบาทผู้ช่วยรัฐมนตรี

ในทางนิตินัย ตำแหน่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินและสนองนโยบายรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ดร.นิยม ตระหนักดีว่า "อำนาจรัฐ" (State Power) ไม่อาจนำมาใช้บังคับบัญชา "อำนาจธรรม" (Ecclesiastical Authority) ได้โดยตรง การใช้อำนาจที่แข็งกร้าวรังแต่จะสร้างความขัดแย้ง ท่านจึงเลือกใช้ยุทธศาสตร์ "การเข้าหาเพื่อขอคำแนะนำ" (Consultative Approach) ซึ่งเป็นการให้เกียรติและเคารพในลำดับชั้นสมณศักดิ์ตามธรรมเนียมปฏิบัติของคณะสงฆ์

การทำงานของท่านจึงมิใช่การสั่งการจากทำเนียบรัฐบาลลงไป แต่มักจะเริ่มต้นด้วยการเดินทางไปยังวัดสำคัญๆ เพื่อกราบนมัสการหารือกับสมเด็จพระราชาคณะและกรรมการมหาเถรสมาคม ก่อนที่จะนำข้อคิดเห็นเหล่านั้นมาแปลงเป็นนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติ วิธีการนี้ช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก "ผู้ควบคุม" มาเป็น "ผู้ประสานงาน" ที่คณะสงฆ์ไว้วางใจ

3.2 เครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนตัวและบารมีธรรม

ดร.นิยม มีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับศูนย์กลางอำนาจในมหาเถรสมาคม ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ซึ่งสะท้อนผ่านการเข้าพบและขอคำปรึกษาในวาระสำคัญต่างๆ ดังนี้:

3.2.1 สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (เจ้าคุณธงชัย): พันธมิตรทางยุทธศาสตร์

ความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม กับ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ถือเป็นหัวใจสำคัญของเครือข่ายนี้ "เจ้าคุณธงชัย" เป็นพระเถระที่มีบารมีสูง เป็นที่เคารพนับถือของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และนักการเมือง รวมถึงมีชื่อเสียงในระดับสากล (ดังเช่นกรณีผ้ายันต์เลสเตอร์ซิตี้)

  • การมอบความชอบธรรม: ในการเข้าพบเพื่อขอพรสู้ศึกเลือกตั้ง เจ้าคุณธงชัยได้กล่าววาทะสำคัญที่เปรียบเสมือนการมอบ "ตราตั้งทางใจ" ให้แก่ ดร.นิยม โดยระบุว่า "มหานิยม คือแม่ทัพในการช่วยเหลือพระพุทธศาสนา เป็นเสาหลักของพระสงฆ์"  คำกล่าวนี้นับเป็นการรับรองสถานะ (Endorsement) ที่ทรงพลังที่สุด ทำให้ ดร.นิยม มีความชอบธรรมเต็มที่ในการเคลื่อนไหวปกป้องกิจการพระพุทธศาสนา

  • ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณ: ดร.นิยม มักเข้ากราบขอคำแนะนำและขวัญกำลังใจจากเจ้าคุณธงชัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองหรือการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม 

3.2.2 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ชิน ชินวโร)

ในฝั่งธรรมยุติกนิกาย ดร.นิยม มีความสัมพันธ์อันดีกับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม การเข้าพบสมเด็จพระมหาวีรวงศ์มีความสำคัญในเชิงบริหารจัดการ เพราะท่านเปรียบเสมือน "พ่อบ้าน" ของมหาเถรสมาคมและสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช การหารือข้อราชการผ่านช่องทางนี้ช่วยให้ ดร.นิยม สามารถนำเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขถวายแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้อย่างถูกต้องตามระเบียบแบบแผนและรวดเร็ว 

3.2.3 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (สนิท ชวนปญฺโญ): สายสัมพันธ์มหานิกาย

ดร.นิยม ยังรักษาความสัมพันธ์กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก และเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม (มหานิกาย) โดยการเข้าร่วมงานบุญและถวายมุทิตาสักการะในวาระสำคัญอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการรักษาฐานความสัมพันธ์กับคณะสงฆ์ในสายปกครองหนตะวันออก ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ภาคอีสานที่เป็นฐานเสียงหลักของท่าน

3.2.4 หลวงปู่ศิลา สิริจนฺโท: พลังศรัทธาสายอีสาน

นอกเหนือจากพระผู้ใหญ่ในส่วนกลาง ดร.นิยม ยังให้ความสำคัญกับพระเกจิอาจารย์ที่มีอิทธิพลต่อศรัทธามหาชนในระดับภูมิภาค เช่น พระราชวัชรธรรมโสภณ (หลวงปู่ศิลา สิริจนฺโท) แห่งวัดพระธาตุหมื่นหิน จ.กาฬสินธุ์ การเข้ากราบหลวงปู่ศิลา ซึ่งได้รับการยกย่องว่ามี "วาจาสิทธิ์" สะท้อนถึงกลยุทธ์พุทธจิตวิทยาที่เชื่อมโยงกับความเชื่อพื้นถิ่น (Local Beliefs) และเป็นการยืนยันตัวตนในฐานะลูกหลานชาวอีสานที่มีความเคารพในครูบาอาจารย์ 


บทที่ 4: การปฏิบัติหน้าที่และข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อ "ปลดล็อก" ปัญหาคณะสงฆ์

จากการ "ขอคำแนะนำ" และการรับฟังปัญหาจากพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ดร.นิยม ได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาสังเคราะห์เป็นแนวทางปฏิบัติและข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง ดังนี้:

4.1 วาระ "บัญชีวัด": จากภาระสู่ระบบพี่เลี้ยง

หนึ่งในปัญหาเรื้อรังที่นำไปสู่คดีความมากมายคือ "ระบบบัญชีวัด" มติมหาเถรสมาคม (ที่อ้างถึงในเอกสารว่าเป็นมติครั้งที่ 19/2568) พยายามผลักดันให้วัดทั่วประเทศจัดทำบัญชีทรัพย์สินที่ได้มาตรฐานและแต่งตั้งไวยาวัจกรที่โปร่งใส อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ วัดจำนวนกว่า 40,000 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นวัดขนาดเล็ก เจ้าอาวาสขาดความรู้ความเข้าใจในระบบบัญชีราชการ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดพลาดโดยไม่เจตนา

ดร.นิยม ได้ทำหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช (ผ่านสมเด็จพระมหาวีรวงศ์) เพื่อสะท้อนความเป็นจริงนี้ โดยชี้ว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส ขาดความรอบรู้ด้านบัญชีการเงินที่จะสามารถจัดทำให้เข้าเกณฑ์ตามข้อกำหนดของทางราชการได้" 

ข้อเสนอทางออก:

ท่านไม่ได้เสนอให้ยกเลิกการตรวจสอบ แต่เสนอทางออกที่สร้างสรรค์ คือ การขอให้รัฐบาลอนุมัติอัตรากำลัง "ข้าราชการตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีการเงิน" ประจำสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ทุกจังหวัด เพื่อทำหน้าที่เป็น "พี่เลี้ยง" คอยแนะนำและจัดทำบัญชีให้วัด โดยให้ข้าราชการผู้นั้นลงนามรับรองความถูกต้องร่วมกับเจ้าอาวาส 12 แนวคิดนี้เป็นการนำกลไกรัฐเข้ามาสนับสนุน (Support) แทนที่จะโยนภาระให้พระสงฆ์แบกรับความเสี่ยงเพียงฝ่ายเดียว

4.2 การยืดหยุ่นระเบียบไวยาวัจกร

จากการเข้ากราบขอคำปรึกษาจาก สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (วัดพระเชตุพนฯ) และ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เกี่ยวกับความกังวลของวัดในการเร่งรัดแต่งตั้งไวยาวัจกรและคณะกรรมการวัด ดร.นิยม ได้รับคำแนะนำอันเป็นมติที่ผ่อนปรนว่า "ไม่จำเป็นต้องเร่งรัด... ให้พิจารณาตามเหตุปัจจัย ความพร้อมของวัด ชุมชน" และหากยังหาคนเหมาะสมไม่ได้ ก็ไม่ถือเป็นความผิดของเจ้าอาวาส ดร.นิยม ได้นำคำแนะนำนี้มาสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเร่งประชาสัมพันธ์ เพื่อลดความตื่นตระหนกของคณะสงฆ์ทั่วประเทศ แสดงให้เห็นบทบาท "ตัวกลาง" ที่ช่วยแปลงนโยบายแข็งกร้าวให้มีความยืดหยุ่น (Flexibility) ตามบริบทจริง

4.3 การปกป้องสิทธิส่วนบุคคลและข้อมูลสงฆ์

ในประเด็นความมั่นคง ดร.นิยม ได้แสดงบทบาทปกป้องสิทธิมนุษยชนของพระสงฆ์ กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในบางจังหวัดพยายามเก็บข้อมูลส่วนบุคคลเชิงลึก (เช่น หมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก, DNA, บัญชีธนาคารส่วนตัว) หรือการบุกเข้าตรวจค้นวัดในยามวิกาล ดร.นิยม ประสานงานกับมหาเถรสมาคมเพื่อออกประกาศแนวปฏิบัติที่ชัดเจน:

  • การขอข้อมูลต้องทำผ่าน พศ. หรือ พศจ. เพื่อกลั่นกรอง

  • ห้ามเจ้าหน้าที่คุกคามหรือเข้าวัดในยามวิกาลโดยไม่มีเหตุจำเป็น

  • ต้องปฏิบัติต่อพระสงฆ์ด้วยความเคารพตามจารีตประเพณี 15

    มาตรการนี้ช่วยสร้างความอุ่นใจ (Psychological Security) ให้กับพระสงฆ์ และลดความรู้สึกหวาดระแวงต่ออำนาจรัฐ

4.4 คณะที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรี (Think Tank)

เพื่อให้การทำงานขับเคลื่อนนโยบายมีความรอบคอบและครอบคลุมทุกมิติ ดร.นิยม ได้ลงนามแต่งตั้ง คณะที่ปรึกษาของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 17 ท่าน ประกอบด้วยนักวิชาการ นักกฎหมาย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนา 16

รายชื่อคณะที่ปรึกษาบางส่วน:

ลำดับรายชื่อบทบาท/ความเชี่ยวชาญ
1นางสาวนิภาภรณ์ เวชกามาเลขานุการและการประสานงาน
2นายณพลเดช มณีลังกานักวิชาการ/กฎหมาย
3นายอุทัย มณีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา
6ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เสถียร วิพรมหานักวิชาการด้านศาสนาและวัฒนธรรม
9นายรัชพล สุวรรณโชติคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์

การจัดตั้งทีมที่ปรึกษานี้เปรียบเสมือนการสร้าง "สมองก้อนโต" (Think Tank) ที่ช่วยกลั่นกรองข้อกฎหมายและนโยบาย ก่อนที่จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีหรือมหาเถรสมาคม


บทที่ 5: นิติบัญญัติเพื่อความมั่นคงถาวร: ร่าง พ.ร.บ. อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

ภารกิจสำคัญที่สุดที่ ดร.นิยม มุ่งหวังให้เป็นมรดกทางการเมือง (Political Legacy) คือการผลักดันกฎหมายที่จะสร้างความมั่นคงถาวรให้กับพระพุทธศาสนา เพื่อไม่ให้ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลชุดใดชุดหนึ่ง ท่านได้ร่วมกับคณะ สส. เสนอร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับ โดยมีฉบับที่เป็นเรือธงคือ "ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" 

5.1 สาระสำคัญของร่างกฎหมาย

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มีโครงสร้างที่มุ่งเน้นการสร้างกลไกการคุ้มครองและการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนี้:

  1. นิยามการคุ้มครองและมาตรการทางกฎหมาย: ร่างกฎหมายกำหนดให้มีมาตรการป้องกันการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาในทุกรูปแบบ และที่สำคัญคือ การให้ความช่วยเหลือทางคดี แก่พระภิกษุสามเณรที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา  มาตรานี้ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาโดยตรงจากบทเรียนคดีเงินทอนวัด ที่พระสงฆ์มักขาดที่ปรึกษากฎหมายและเสียเปรียบในกระบวนการยุติธรรม

  2. กองทุนอุปถัมภ์และแรงจูงใจทางภาษี: เสนอให้จัดตั้ง "กองทุนเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา" โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริจาคสามารถนำยอดเงินบริจาคไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามประมวลรัษฎากร กลไกนี้มุ่งสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้แก่องค์กรศาสนาโดยลดการพึ่งพางบประมาณแผ่นดินเพียงอย่างเดียว

  3. การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น: กำหนดให้มี "สมัชชาอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด" เพื่อให้ประชาชนและคณะสงฆ์ในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการดูแลพระพุทธศาสนาให้สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น

  4. สวัสดิการสงฆ์: ส่งเสริมระบบบริการสาธารณสุขและการดูแลสุขภาพพระภิกษุสามเณรให้มีมาตรฐานทั่วถึง

5.2 นวัตกรรมเชิงนโยบายอื่นๆ

นอกจาก พ.ร.บ. คุ้มครองฯ แล้ว ดร.นิยม ยังมีวิสัยทัศน์ในการผลักดันกฎหมายลูกและนโยบายอื่นๆ ที่น่าสนใจ:

  • ธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย: แนวคิดในการจัดตั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ซึ่งจะเป็นทางออกระยะยาวในการแก้ปัญหาความไม่โปร่งใสและการบริหารเงินนอกระบบ

  • พ.ร.บ. ส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน: เพื่อสนับสนุนให้ชาวพุทธไทยได้เดินทางไปแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดียและเนปาล ได้สะดวกและได้รับการดูแลจากรัฐ

5.3 ความท้าทายและการต่อต้าน

ความพยายามในการผลักดันกฎหมายเหล่านี้ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ทั้งในประเด็นเรื่องความเหมาะสมที่รัฐจะเข้าไปอุ้มชูศาสนาใดศาสนาหนึ่งมากเกินไป (ขัดกับหลักความเป็นกลางทางศาสนา) และข้อกังวลเรื่องการให้อำนาจแก่คณะบุคคลบางกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ดร.นิยม ยืนยันว่ากฎหมายเหล่านี้จำเป็นเพื่อสร้าง "เกราะป้องกัน" ให้กับสถาบันหลักของชาติท่ามกลางภัยคุกคามรูปแบบใหม่


บทที่ 6: บทวิเคราะห์ความท้าทายและทิศทางในอนาคต

6.1 การปะทะสังสรรค์ทางความคิด: ฝ่ายอนุรักษ์ vs ฝ่ายปฏิรูป

ดร.นิยม ปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางกระแสธารความคิดที่เชี่ยวกรากของสังคมไทย ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่ม "ปฏิรูปศาสนา" (เช่น พรรคก้าวไกล/พรรคประชาชน) ที่เรียกร้องให้ตัดงบประมาณศาสนา แยกศาสนาจากรัฐ (Secularism) และตรวจสอบวัดอย่างเข้มข้น ดร.นิยม ได้วางตัวเป็นคู่ขัดแย้งทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน โดยท่านได้อภิปรายตอบโต้ฝ่ายที่เสนอตัดงบ "นิตยภัต" และงบสำนักพุทธฯ โดยชี้ว่าเป็นการ "เหยียบย่ำศาสนาพุทธ" และขาดความเข้าใจในบทบาททางสังคมของวัด

จุดยืนของ ดร.นิยม คือ "การปฏิรูปจากภายใน" (Internal Reform) โดยอาศัยความร่วมมือและฉันทามติของคณะสงฆ์ มากกว่าการใช้อำนาจภายนอกเข้าไปหักหาญ ท่านเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงต้องไม่ทำลายศรัทธาและโครงสร้างการปกครองที่มีอยู่

6.2 การเปลี่ยนพรรค: ยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดของนโยบาย

การย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐสำหรับการเลือกตั้งปี 2569 ของ ดร.นิยม เป็นหมากเกมการเมืองที่น่าจับตามอง การออกจากพรรคเพื่อไทยที่กำลังเน้นนโยบายสมัยใหม่ ไปสู่พรรคพลังประชารัฐที่มีฐานคิดแบบอนุรักษ์นิยม อาจช่วยให้ท่านขับเคลื่อนนโยบายพุทธศาสนาได้สะดวกขึ้น เนื่องจากสอดคล้องกับอุดมการณ์ของพรรคใหม่ที่เน้นความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ การได้รับการสนับสนุนทางจิตวิญญาณจาก "เจ้าคุณธงชัย" ยังเป็นปัจจัยเสริมความมั่นใจในชัยชนะ

6.3 อนาคตของความสัมพันธ์รัฐ-สงฆ์

บทบาทของ ดร.นิยม ในอนาคต จะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในสมการอำนาจรัฐ-สงฆ์ หากท่านได้รับเลือกตั้งกลับมาและได้ดำรงตำแหน่งบริหาร ท่านจะสานต่อนโยบาย "ธนาคารพุทธ" และ "กฎหมายคุ้มครองพุทธ" ให้เป็นรูปธรรมได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง แต่สิ่งที่ชัดเจนในขณะนี้คือ ดร.นิยม ได้สร้างมาตรฐานใหม่ (New Standard) ของ "นักการเมืองสายศาสนา" ที่ต้องมีความรู้ลึกซึ้ง (Expertise) มีเครือข่ายระดับสูง (Network) และมีผลงานเชิงประจักษ์ในการปกป้องคณะสงฆ์ (Track Record)


บทสรุป

ดร.นิยม เวชกามา หรือ "ดร.มหานิยม" มิใช่เพียงนักการเมืองท้องถิ่นจากสกลนคร แต่คือ "รัฐบุรุษแห่งวงการสงฆ์" ในบริบทการเมืองไทยร่วมสมัย ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นถึงบทบาทอันทรงพลังในการเป็น "โซ่ข้อกลาง" เชื่อมรอยต่อระหว่างอาณาจักรและพุทธจักรที่กำลังสั่นคลอน

ความสำเร็จของท่านไม่ได้เกิดจากอำนาจทางการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการผสมผสาน "ศาสตร์แห่งกฎหมาย" เข้ากับ "ศิลป์แห่งพุทธจิตวิทยา" ท่านเข้าใจดีว่าการจะบริหารจัดการกิจการคณะสงฆ์นั้น ไม่อาจใช้การสั่งการด้วยอำนาจรัฐ (Hard Power) ได้ แต่ต้องอาศัยความนอบน้อม การเข้าหาเพื่อขอคำแนะนำ และการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ (Soft Power) กับพระเถระชั้นผู้ใหญ่

ผ่านวิกฤตการณ์เงินทอนวัด ปัญหาบัญชีวัด และการคุกคามสิทธิพระสงฆ์ ดร.นิยม ได้ยืนหยัดเป็นกำแพงพิงหลังให้แก่คณะสงฆ์ พร้อมทั้งผลักดันนิติบัญญัติเพื่อวางรากฐานความมั่นคงในระยะยาว แม้เส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความท้าทายจากกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลง แต่ตราบใดที่สังคมไทยยังคงมีวัดเป็นศูนย์กลางจิตวิญญาณ บทบาทของ "ผู้อุปถัมภ์และคุ้มครอง" ในแบบฉบับของ ดร.นิยม เวชกามา จะยังคงเป็นที่ต้องการและมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการประคับประคองนาวาบุญลำนี้ให้แล่นฝ่าคลื่นลมแห่งยุคสมัยไปได้อย่างมั่นคง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ดาวสภาสายพระ VS ดาวพระสายเกจิ ดร.นิยม เวชกามา - หลวงปู่ศิลา

การเมืองแห่งบุญญาบารมีและเศรษฐศาสตร์ศรัทธา: บทวิเคราะห์เชิงโครงสร้างว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา กับสถาบันเกจิอาจารย์ กรณีศึกษ...