วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

บทบาท ดร.นิยม เวชกามา กับกฎหมายคุ้มครองพุทธ


บทบาทการผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาของ ดร.นิยม เวชกามา: การวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง พลวัตทางการเมือง และนัยต่อรัฐธรรมนูญไทย

1. บทนำ: รอยร้าวในโครงสร้างรัฐกับศาสนาและกำเนิดขบวนการพิทักษ์พุทธฯ ใหม่

ภูมิทัศน์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ (State) และสถาบันสงฆ์ (Sangha) ในประเทศไทยตลอดทศวรรษที่ผ่านมาได้เผชิญกับแรงเสียดทานอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมและการเมือง การปะทะกันระหว่างกระแสโลกาภิวัตน์ที่มาพร้อมกับแนวคิดรัฐฆราวาส (Secular State) กับจารีตประเพณีที่ฝังรากลึกของพุทธศาสนาเถรวาทแบบไทย ได้ก่อให้เกิดสภาวะ "วิกฤตศรัทธาและการจัดการ" ที่ซับซ้อน ปรากฏการณ์ "คดีเงินทอนวัด" การกวาดล้างพระเถระชั้นผู้ใหญ่ และข้อถกเถียงเรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัด ได้กลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ปลุกเร้าความรู้สึกไม่มั่นคง (Insecurity) ในหมู่พุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์ฝ่ายอนุรักษนิยม ในบริบทแห่งความเปราะบางนี้ ดร.นิยม เวชกามา ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในฐานะ "ผู้ประกอบการทางนโยบาย" (Policy Entrepreneur) ที่พยายามสร้างนวัตกรรมทางกฎหมายเพื่อปกป้องสถานะของพุทธศาสนา มิใช่เพียงในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในเชิงโครงสร้างอำนาจและกลไกทางกฎหมายที่จับต้องได้

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกอย่างรอบด้านเกี่ยวกับบทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนวาระทางนิติบัญญัติเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา การศึกษานี้จะเจาะลึกไปถึงรากฐานทางความคิด ยุทธศาสตร์การผลักดันร่างพระราชบัญญัติฉบับต่างๆ ความขัดแย้งทางอุดมการณ์กับการเมืองฝ่ายก้าวหน้า และผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมในรูปแบบของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2568 โดยจะฉายภาพให้เห็นถึงความพยายามในการสร้าง "เกราะป้องกันทางนิติรัฐ" (Legal Shield) ให้กับสถาบันสงฆ์ ท่ามกลางกระแสธารของความเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกรากของสังคมไทยร่วมสมัย

1.1 บริบททางประวัติศาสตร์และปัญหาสถานะทางกฎหมาย

เพื่อที่จะเข้าใจข้อเสนอทางกฎหมายของ ดร.นิยม จำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาโครงสร้างทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้วางโครงสร้างการปกครองสงฆ์ในลักษณะรวมศูนย์อำนาจไว้ที่มหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นหน่วยงานสนองงาน อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ ดร.นิยม และเครือข่ายองค์กรพุทธ โครงสร้างนี้เริ่มมีปัญหาเมื่อ พศ. ซึ่งควรทำหน้าที่ "เลขาฯ" หรือ "ผู้ส่งเสริม" กลับกลายร่างเป็น "ผู้ตรวจสอบ" หรือ "ตำรวจพระ" ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายการเมืองและกระแสสังคมที่ต้องการความโปร่งใส  สภาพการณ์ที่พระสงฆ์ถูกจับกุมและบังคับให้ลาสิกขาก่อนที่คดีจะถึงที่สุดตามกฎหมายอาญา กลายเป็นจุดแตกหักที่นำมาสู่ข้อเรียกร้องให้มีการตรากฎหมายใหม่เพื่อ "คุ้มครอง" พระสงฆ์เป็นการเฉพาะ   

1.2 ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะตัวแทนของ "พุทธศาสนาเชิงการเมือง"

ดร.นิยม มิใช่นักการเมืองท้องถิ่นทั่วไป แต่เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ "พุทธศาสนาเชิงการเมือง" (Political Buddhism) ที่ชัดเจนที่สุดคนหนึ่งในรัฐสภาไทย การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการหาเสียงกับฐานคะแนนเสียงชาวพุทธ แต่เป็นการพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนิติวิธี (Jurisprudence) ที่รัฐไทยปฏิบัติต่อศาสนาพุทธ จากเดิมที่เป็นการ "กำกับดูแล" (Regulation) ไปสู่การ "อุปถัมภ์และคุ้มครองเชิงรุก" (Active Patronage and Protection) ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีพุทธชาตินิยมที่มองว่าความมั่นคงของศาสนาคือความมั่นคงของชาติ    

2. รากฐานทางภูมิปัญญาและเส้นทางการเมือง: จากครูบ้านนอกสู่ "ดร.มหานิยม"

การวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม จำเป็นต้องทำความเข้าใจปูมหลังที่หล่อหลอมโลกทัศน์ (Worldview) ของเขา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการไขรหัสวิธีคิดเบื้องหลังร่างกฎหมายต่างๆ ที่เขาเสนอ

2.1 ปูมหลังทางวิชาการ: การสังเคราะห์พุทธจิตวิทยากับรัฐศาสตร์

ดร.นิยม มีพื้นฐานการศึกษาที่ผสมผสานระหว่างโลกทางโลกและทางธรรมอย่างลึกซึ้ง เริ่มต้นจากการเป็นครูประชาบาล ซึ่งทำให้เขาเข้าใจรากฐานชุมชนอีสานที่ผูกพันกับ "บวร" (บ้าน-วัด-โรงเรียน) อย่างแนบแน่น การสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านครุศาสตร์และนิติศาสตร์ ปริญญาโทรัฐศาสตร์ และจุดสูงสุดทางวิชาการคือปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพุทธจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)  มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง   

การศึกษาในสาย "พุทธจิตวิทยา" ที่ มจร ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์หลักของประเทศ ทำให้ ดร.นิยม ไม่ได้มองปัญหาคณะสงฆ์จากมุมมองของคนนอก (Outsider) แต่มองผ่านเลนส์ของ "คนใน" (Insider) ที่เข้าใจระบบคิด จารีต และความเปราะบางทางจิตวิทยาของพระสงฆ์เมื่อต้องเผชิญกับโลกสมัยใหม่ งานวิชาการและดุษฎีนิพนธ์ของเขาน่าจะมีอิทธิพลต่อแนวคิดที่ว่า "จิตวิญญาณของความเป็นพุทธ" จำเป็นต้องได้รับการปกป้องด้วยกลไกทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ความรู้ทางนิติศาสตร์ของเขาถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือ (Tool) ในการแปลงหลักศรัทธาให้กลายเป็นมาตรากฎหมาย    

2.2 เส้นทางการเมืองและยุทธศาสตร์ "ข้ามขั้ว" เพื่อศาสนา

เส้นทางการเมืองของ ดร.นิยม สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการจัดลำดับความสำคัญโดยยึด "วาระทางศาสนา" เป็นตัวตั้ง (Issue-based Politics) มากกว่าการยึดติดกับอุดมการณ์พรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว

ยุคพรรคพลังประชาชนและเพื่อไทย (2550–2566): ดร.นิยม เริ่มต้นชีวิตการเมืองระดับชาติกับขั้วการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย/คนเสื้อแดง ซึ่งมีฐานเสียงหนาแน่นในภาคอีสาน ในช่วงเวลานี้ บทบาทของเขาเน้นไปที่การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทหารและรัฐบาลสืบทอดอำนาจที่เขามองว่าใช้อำนาจรัฐรังแกพระสงฆ์ (เช่น กรณีเงินทอนวัด)  การอภิปรายในสภาของเขาเต็มไปด้วยความดุเดือดในการปกป้องคณะสงฆ์จากสิ่งที่เขาเรียกว่า "ใบสั่งทางการเมือง"    

จุดเปลี่ยนสู่พรรคร่วมรัฐบาล (2567–2568): เมื่อบริบททางการเมืองเปลี่ยนไป และพรรคเพื่อไทยก้าวขึ้นเป็นแกนนำรัฐบาล ดร.นิยม ได้รับบทบาทฝ่ายบริหารเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาผลักดันนโยบายจาก "วงใน" ของฝ่ายบริหาร อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2568 มีสัญญาณของการย้ายสังกัดไปสู่พรรคพลังประชารัฐและพรรคกล้าธรรม  ซึ่งเป็นพรรคที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจอนุรักษนิยม การย้ายขั้วนี้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ "Pragmatism" หรือปฏิบัตินิยม เพื่อให้ร่างกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เขาผลักดันได้รับการตอบสนองจากศูนย์กลางอำนาจรัฐที่มีแนวโน้มเอื้อต่อแนวคิดพุทธชาตินิยมมากกว่าฝ่ายก้าวหน้า   

2.3 บทบาทในกรรมาธิการศาสนาฯ: เวทีแห่งการต่อสู้

ในฐานะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการด้านพระพุทธศาสนา  ดร.นิยม ใช้กลไกรัฐสภานี้อย่างมีประสิทธิภาพในการ:   

เรียกหน่วยงานมาชี้แจง: ตรวจสอบการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์

รับเรื่องร้องเรียน: เป็นช่องทางหลักที่พระสงฆ์ทั่วประเทศใช้สะท้อนปัญหามายังฝ่ายนิติบัญญัติ

สร้างความชอบธรรม: ใช้เวทีกรรมาธิการในการสร้างฉันทามติ (Consensus) ร่วมกับองค์กรพุทธต่างๆ เพื่อร่างกฎหมาย

3. วิเคราะห์นวัตกรรมทางกฎหมาย: ชุดร่างพระราชบัญญัติเพื่อความมั่นคงของพุทธศาสนา

หัวใจสำคัญของการศึกษานี้คือการวิเคราะห์เนื้อหาและนัยยะของร่างกฎหมายชุดต่างๆ ที่ ดร.นิยม เป็นผู้เสนอและผลักดัน ซึ่งเปรียบเสมือน "สถาปัตยกรรมความมั่นคง" (Security Architecture) ที่เขาวางแผนสร้างขึ้นเพื่อโอบอุ้มสถาบันสงฆ์

3.1 ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ.....

นี่คือร่างกฎหมาย "เรือธง" (Flagship Bill) ที่มีความสำคัญที่สุดและก่อให้เกิดข้อถกเถียงมากที่สุด  โดยมีสาระสำคัญที่สะท้อนปรัชญา "Legal Protectionism" ดังนี้:   

3.1.1 การนิยามภัยคุกคามและการคุ้มครอง (มาตรา 25 และ 26)

จุดที่แหลมคมที่สุดของร่าง พ.ร.บ. นี้อยู่ที่บทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองพระภิกษุในคดีอาญา:

หลักการ: ร่างกฎหมายพยายามสร้างกระบวนการกลั่นกรอง (Screening Mechanism) ก่อนที่พระสงฆ์จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติ โดยกำหนดให้รัฐต้องให้ความช่วยเหลือทางคดีและคุ้มครองพระภิกษุสามเณรที่ถูกกล่าวหา    

นัยยะทางกฎหมาย: นี่คือปฏิกิริยาโดยตรงต่อปัญหาการ "จับสึกก่อนตัดสิน" (Pre-trial Defrocking) ซึ่ง ดร.นิยม มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายศรัทธา ร่างนี้มุ่งหวังให้พระสงฆ์มีสิทธิในการต่อสู้คดีในขณะที่ยังครองสมณเพศอยู่ได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลสงฆ์จะมีมติให้สละสมณเพศ

ข้อวิพากษ์: ในทางทฤษฎีกฎหมาย สิ่งนี้อาจถูกมองว่าเป็นการสร้าง "สิทธิพิเศษ" (Privilege) ที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคเบื้องหน้ากฎหมาย (Equality before the Law) หรือไม่? และอาจซ้ำซ้อนกับกระบวนการยุติธรรมปกติ อย่างไรก็ตาม ดร.นิยม โต้แย้งว่าพระสงฆ์มีสถานะพิเศษทางวินัยที่กฎหมายอาญาปกติไม่ครอบคลุม จึงจำเป็นต้องมีการคุ้มครองเฉพาะ

3.1.2 คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา

ร่างกฎหมายเสนอให้มีโครงสร้างองค์กรใหม่ระดับชาติ  ที่มีอำนาจหน้าที่:   

กำหนดนโยบายระดับชาติในการคุ้มครองพุทธศาสนา

เสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี

ประกาศจัดตั้ง "สมัชชาอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด"

บทวิเคราะห์: การเสนอโครงสร้างนี้คือความพยายาม "กระจายอำนาจ" (Decentralization) จากระบบราชการส่วนกลาง (พศ.) ไปสู่ภาคประชาสังคมชาวพุทธ (สมัชชา) เพื่อให้การคุ้มครองศาสนาเป็นเรื่องของพุทธบริษัท 4 อย่างแท้จริง มิใช่เพียงภารกิจของรัฐบาล

3.1.3 กองทุนเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครอง (Funding Mechanism)

มาตรา 24 ของร่าง พ.ร.บ. กำหนดให้มีกองทุนที่ผู้บริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้  กลไกนี้มีความสำคัญในแง่เศรษฐศาสตร์การเมือง คือการสร้าง "ท่อน้ำเลี้ยง" (Financial Pipeline) ที่ถูกกฎหมายและได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เพื่อให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนกิจการความมั่นคงของศาสนาโดยตรง ลดการพึ่งพางบประมาณแผ่นดินที่ผันผวนตามเสถียรภาพทางการเมือง   

3.2 ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย

แนวคิดเรื่อง "ธนาคารพุทธ"  เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ ดร.นิยม พยายามผลักดันมายาวนาน โดยมีแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย   

วัตถุประสงค์: เพื่อเป็นสถาบันการเงินที่บริหารจัดการทรัพย์สินของวัดและองค์กรพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ให้สินเชื่อเพื่อการพัฒนาวัด หรือสงเคราะห์พุทธศาสนิกชนตามหลักธรรม

นัยยะทางยุทธศาสตร์: การมีธนาคารเฉพาะทางคือการสร้าง "เอกราชทางการเงิน" (Financial Independence) ให้กับศาสนจักร ช่วยให้เงินบริจาคหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจชาวพุทธ (Buddhist Economy) และลดข้อครหาเรื่องการบริหารเงินวัดที่ไม่โปร่งใสโดยการนำเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินที่มีมาตรฐาน

อุปสรรค: ข้อเสนอนี้เผชิญกับความท้าทายเรื่องความเป็นไปได้ทางธุรกิจ การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย และข้อกังวลเรื่องการนำเงินศรัทธาไปลงทุนที่มีความเสี่ยง    

3.3 ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน

ร่างกฎหมายนี้  มุ่งเน้นมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการศึกษา:   

สาระสำคัญ: รัฐสนับสนุนงบประมาณหรืออำนวยความสะดวกให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางไปจาริกแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดียและเนปาล

เป้าหมายแฝง: นอกเหนือจากการปฏิบัติธรรม นี่คือการสร้าง "Soft Power" ของพุทธศาสนาไทยในเวทีโลก และเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายชาวพุทธข้ามชาติ

3.4 ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา

ร่างนี้  เป็นส่วนต่อขยายของการสร้างเครือข่ายองค์กรเอกชน (NGOs) ทางศาสนา เพื่อให้มีสถานะทางกฎหมายรองรับในการทำงานร่วมกับรัฐ เป็นการดึงพลังของภาคฆราวาสเข้ามาเป็นเกราะป้องกันศาสนาอย่างเป็นทางการ   

4. เศรษฐศาสตร์การเมืองและมานุษยวิทยากฎหมาย: มุมมองวิเคราะห์เชิงลึก

การวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม ไม่สามารถละเลยมิติทางเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) และมานุษยวิทยากฎหมาย (Legal Anthropology) ได้

4.1 การต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากร (Resource Competition)

ในมุมมองเศรษฐศาสตร์การเมือง การผลักดันร่างกฎหมายเหล่านี้คือการต่อสู้เพื่อจัดสรรทรัพยากร (งบประมาณ, สิทธิลดหย่อนภาษี, อำนาจในการจัดการที่ดินวัด) ท่ามกลางทรัพยากรที่มีจำกัด ดร.นิยม พยายามสร้าง "สถาบัน" (Institutions) เช่น กองทุน หรือ ธนาคาร เพื่อประกันว่าพุทธศาสนาจะได้รับส่วนแบ่งทรัพยากรอย่างยั่งยืน ไม่ถูกตัดทอนง่ายๆ ในกระบวนการงบประมาณรายปี ดังที่เห็นได้จากการต่อสู้เรื่องงบประมาณกับพรรคประชาชน    

4.2 กฎหมายในฐานะเครื่องมือทางวัฒนธรรม (Law as Cultural Artifact)

ในทางมานุษยวิทยากฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. เหล่านี้สะท้อนความพยายามที่จะประมวล (Codify) บรรทัดฐานทางศีลธรรม (Moral Norms) ให้เป็นกฎหมายรัฐ (State Law) ดร.นิยม พยายามนำหลัก "พระธรรมวินัย" เข้ามามีพื้นที่ในระบบกฎหมายบ้านเมืองมากขึ้น เช่น การกำหนดให้การตีความความผิดของพระต้องอิงกับวินัยสงฆ์เป็นหลัก  นี่คือการต่อสู้ระหว่าง "ระบบกฎหมายสมัยใหม่" (Modern Legal System) ที่เน้นลายลักษณ์อักษรและกระบวนการสากล กับ "ระบบกฎหมายจารีต" (Customary Law) ของสงฆ์ที่เน้นดุลยพินิจของพระอุปัชฌาย์และคณะสงฆ์ปกครอง   

5. สมรภูมิรัฐสภา: การปะทะสังสรรค์กับฝ่ายก้าวหน้าและวาทกรรม "เหยียบย่ำศาสนา"

หนึ่งในบทบาทที่โดดเด่นที่สุดของ ดร.นิยม คือการทำหน้าที่เป็น "องครักษ์พิทักษ์ศาสนา" ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนำไปสู่การปะทะทางความคิดที่รุนแรงกับพรรคการเมืองฝ่ายก้าวหน้า (พรรคก้าวไกล/พรรคประชาชน)

5.1 การปะทะเรื่องงบประมาณ: ความคุ้มค่า vs. ความศรัทธา

ประเด็นความขัดแย้งหลักเกิดขึ้นในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชนได้อภิปรายเสนอตัดลดงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเฉพาะงบ "นิตยภัต" (เงินเดือนพระ) และงบอุดหนุนการเผยแผ่ศาสนา โดยให้เหตุผลเรื่องความโปร่งใส ความไม่คุ้มค่า และปัญหาทุจริตในวงการสงฆ์    

มุมมองฝ่ายก้าวหน้า: มองว่ารัฐควรเป็นกลางทางศาสนา (Secular) ภาษีของประชาชนไม่ควรถูกใช้เพื่ออุ้มชูศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะหากไม่มีการตรวจสอบที่เข้มข้น และงบประมาณควรถูกนำไปใช้ในสวัสดิการสังคมด้านอื่นที่จำเป็นกว่า

การตอบโต้ของ ดร.นิยม: ดร.นิยม ตีความการอภิปรายนี้ว่าเป็น "การเหยียบย่ำศาสนา" และ "ด้อยค่า" สถาบันหลักของชาติ  เขาโต้แย้งว่า:   

มรดกทางวัฒนธรรม: ศาสนาพุทธเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทย การตัดงบคือการทำลายรากเหง้า

ความไม่เป็นธรรม: การนำความผิดของพระบางรูปมาเป็นเหตุผลในการตัดงบทั้งระบบเป็นการเหมารวม (Generalization) ที่ไม่ยุติธรรม

ความเสมอภาค: รัฐอุดหนุนศาสนาอื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเพ่งเล็งตัดงบพุทธศาสนาจึงมีวาระซ่อนเร้น    

5.2 สงครามวาทกรรม (Discursive War)

ดร.นิยม และเครือข่าย ใช้คำว่า "ปกป้อง" (Protect) และ "คุ้มครอง" (Safeguard) เป็นวาทกรรมหลักในการสร้างความชอบธรรม ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้คำว่า "ตรวจสอบ" (Audit) และ "ปฏิรูป" (Reform) การปะทะกันนี้สะท้อนความขัดแย้งระดับรากฐานของสังคมไทยว่าด้วยเรื่อง "พื้นที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ว่าควรอยู่เหนือการตรวจสอบทางโลกหรือไม่

5.3 กรณีศึกษา: การต่อสู้เพื่อ "2 พส." และพระผู้ถูกกดขี่

กรณีที่น่าสนใจคือท่าทีของ ดร.นิยม ต่อกรณี "2 พส." (พระมหาสมปอง และ พระมหาไพรวัลย์) ในช่วงปี 2564 ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการไลฟ์สด ดร.นิยม กลับมีท่าทีปกป้องและชี้ว่า "ไม่ผิดพระธรรมวินัย" ตราบใดที่ยังรักษาศีล  สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ดร.นิยม ไม่ได้อนุรักษนิยมแบบหัวชนฝา (Ultra-conservative) ในแง่รูปแบบการเผยแผ่ แต่เขาอนุรักษนิยมในแง่ "โครงสร้างอำนาจและการคุ้มครองสิทธิพระ" เขาพร้อมจะปกป้องพระทุกเฉดสีหากถูกอำนาจรัฐคุกคามโดยไม่ชอบธรรม   

6. บทบาทฝ่ายบริหารและชัยชนะทางยุทธศาสตร์: ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี 2568

เมื่อ ดร.นิยม เข้าสู่ฝ่ายบริหารในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์การต่อสู้ได้เปลี่ยนจาก "การนิติบัญญัติในสภา" (ซึ่งล่าช้าและควบคุมยาก) มาสู่ "การใช้อำนาจบริหาร" (Executive Power)

6.1 กำเนิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2568

ผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดของการขับเคลื่อนในระยะหลังคือการประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้  ซึ่งแม้ ดร.นิยม จะไม่ใช่ผู้ลงนาม (นายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ บวรศักดิ์ เป็นผู้ดำเนินการหลัก) แต่เนื้อหาของระเบียบสะท้อนเจตนารมณ์ที่ ดร.นิยม เรียกร้องมาตลอด

 6.2 บทบาทของ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" และการเชื่อมต่อนโยบาย

การที่ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เข้ามาขับเคลื่อนระเบียบนี้  ถือเป็นการยกระดับวาระของ ดร.นิยม ขึ้นสู่ระดับเนติบริกรชั้นนำของประเทศ ดร.นิยม ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีที่กำกับดูแล พศ. ทำหน้าที่เป็น "คนดูต้นทาง" และ "ผู้ประสานงาน" ระหว่างความต้องการของคณะสงฆ์กับเทคนิคทางกฎหมายของฝ่ายบริหาร เพื่อให้มั่นใจว่าระเบียบนี้จะออกมาบังคับใช้ได้จริงและตอบโจทย์การคุ้มครอง   

6.3 นัยยะของระเบียบฯ: รัฐซ้อนรัฐ หรือ การจัดระเบียบที่จำเป็น?

ระเบียบนี้ให้อำนาจ คพช. และคณะวินัยธร ในการตรวจสอบและวินิจฉัยข้อขัดแย้ง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการสร้าง "รัฐซ้อนรัฐ" (State within a State) ย่อมๆ ในวงการสงฆ์ ที่มีอำนาจกึ่งตุลาการ (Quasi-judicial) ในการตัดสินความผิดพระ นี่คือชัยชนะของแนวคิดที่ว่า "พระต้องปกครองพระ" โดยมีรัฐหนุนหลัง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการดึงรัฐเข้ามาผูกพันกับศาสนาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ขัดแย้งกับแนวโน้ม Secularization ของโลกสมัยใหม่

ตารางเปรียบเทียบ: ข้อเรียกร้องของ ดร.นิยม กับ ระเบียบสำนักนายกฯ 2568

ประเด็นยุทธศาสตร์แนวคิดในร่าง พ.ร.บ. ของ ดร.นิยม สิ่งที่ปรากฏในระเบียบสำนักนายกฯ 2568 การวิเคราะห์ความสำเร็จ
โครงสร้างองค์กรคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองฯ ระดับชาติคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (คพช.)สำเร็จ: มีบอร์ดระดับชาติที่มีอำนาจบริหารจัดการจริง
การเชื่อมโยงอำนาจเชื่อมโยงรัฐกับองค์กรพุทธประธานแต่งตั้งโดยนายกฯ + ความเห็นชอบ มส.สำเร็จ: สร้างจุดเกาะเกี่ยวระหว่างอาณาจักรและศาสนจักร
การกระจายอำนาจสมัชชาพุทธระดับจังหวัดคณะอนุกรรมการคุ้มครองฯ จังหวัด (อพคช.)สำเร็จ: ดึงผู้ว่าฯ และ ผบ.ตร. จังหวัด เข้ามาเป็นกลไกคุ้มครอง
กระบวนการยุติธรรมให้ความช่วยเหลือทางคดี, กองทุนทนายฟื้นฟู "คณะวินัยธร" และ "คณะธรรมธร"สำเร็จบางส่วน: เน้นการใช้กลไกสงฆ์ตัดสินกันเองก่อน (วินัยธร) เพื่อลดการแทรกแซงจากภายนอก
การจัดการภัยคุกคามป้องกันการบ่อนทำลายจัดการกับผู้บิดเบือนคำสอน, ลัทธิเทียมสำเร็จ: มีมาตรการเชิงรุกจัดการกับภัยคุกคามทางความเชื่อ
7. บทวิเคราะห์เชิงทฤษฎี: พุทธชาตินิยมและอนาคตของนิติรัฐไทย
การเคลื่อนไหวของ ดร.นิยม และความสำเร็จของระเบียบฯ 2568 ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสธารประวัติศาสตร์ที่กว้างกว่า

7.1 การกลับมาของพุทธชาตินิยม (Resurgence of Buddhist Nationalism)
ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับงานวิจัยของ Khemthong Tonsakulrungruang และนักวิชาการด้านพุทธศาสนา  ที่ชี้ว่าเมื่อพุทธศาสนาไทยรู้สึกไม่มั่นคงจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม จะมีปฏิกิริยาโต้กลับด้วยการหันไปพึ่งพาอำนาจรัฐ (State Power) มากขึ้น ดร.นิยม คือ "ตัวแทน" (Agent) ของกระแสนี้ที่พยายามแปลงความกลัว (Fear of Decline) ให้เป็นกฎหมาย (Legislation) การผลักดันกฎหมายของเขาคือความพยายามที่จะ "แช่แข็ง" สถานะของพุทธศาสนาไว้ในโครงสร้างรัฐ เพื่อให้ปลอดภัยจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต   

7.2 ความตึงเครียดของพหุนิยมทางกฎหมาย (Legal Pluralism Tension)
การพยายามสร้างระบบกฎหมายเฉพาะสำหรับพระสงฆ์ (เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองฯ, คณะวินัยธร) ก่อให้เกิดสภาวะ "พหุนิยมทางกฎหมาย" ที่ซับซ้อนและอาจขัดแย้งกันเอง:

กฎหมายอาญา vs. พระธรรมวินัย: ดร.นิยม พยายามผลักดันให้พระธรรมวินัยมีสถานะเหนือกว่าหรืออย่างน้อยก็ต้องได้รับการพิจารณาก่อนกฎหมายอาญาในคดีที่เกี่ยวกับพระ    

ปัญหาสองมาตรฐาน: สังคมตั้งคำถามว่า เหตุใดนักบวชจึงควรได้รับสิทธิพิเศษในการคุ้มครองทางคดีหรือมีกระบวนการยุติธรรมที่แตกต่างจากพลเมืองทั่วไป? นี่คือโจทย์ใหญ่เรื่องความเสมอภาค (Equality) ที่ร่างกฎหมายของ ดร.นิยม ยังตอบสังคมได้ไม่ชัดเจนนัก

7.3 อนาคต: ความยั่งยืนหรือระเบิดเวลา?
ความสำเร็จในการออกระเบียบสำนักนายกฯ อาจเป็นเพียงชัยชนะระยะสั้น (Tactical Victory) การใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อบังคับศรัทธาหรือปกป้องสถาบันสงฆ์จากการตรวจสอบ อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามในระยะยาว คือการทำให้สถาบันสงฆ์เหินห่างจากสังคมสมัยใหม่มากขึ้น และกลายเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองโดยตรง ยิ่ง ดร.นิยม ผลักดันกฎหมายที่ผูกพุทธศาสนาเข้ากับรัฐมากเท่าไหร่ ความเป็นอิสระของสงฆ์ (Sangha Autonomy) ก็จะลดน้อยลงเท่านั้น และสงฆ์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการอย่างสมบูรณ์

8. บทสรุป
ดร.นิยม เวชกามา มิได้เป็นเพียงนักการเมืองท้องถิ่น แต่เป็น "สถาปนิกทางนโยบาย" (Policy Architect) คนสำคัญในยุคเปลี่ยนผ่านของพุทธศาสนาไทย บทบาทของเขาในการผลักดันกฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทั้งในรูปแบบของร่าง พ.ร.บ. และ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี สะท้อนความพยายามอย่างเป็นระบบที่จะสร้าง "ความมั่นคงทางโครงสร้าง" ให้กับสถาบันสงฆ์

จากจุดเริ่มต้นทางวิชาการด้านพุทธจิตวิทยา สู่เวทีสภาผู้แทนราษฎร และเก้าอี้ผู้ช่วยรัฐมนตรี ดร.นิยม ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและยุทธศาสตร์ที่ยืดหยุ่นในการบรรลุเป้าหมาย แม้ว่าจะต้องเผชิญกับแรงต้านจากฝ่ายก้าวหน้าและข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหลักการรัฐฆราวาส การผลักดันของเขาได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางกฎหมายของพุทธศาสนาไทยไปแล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการทำให้ "การคุ้มครองพุทธศาสนา" กลายเป็นภารกิจหน้าที่อย่างเป็นทางการของรัฐบาล (Official State Function) ผ่านกลไกคณะกรรมการระดับชาติ

อย่างไรก็ตาม มรดกทางกฎหมายที่ ดร.นิยม ทิ้งไว้ ยังคงท้าทายสังคมไทยในประเด็นเรื่องความเสมอภาค เสรีภาพในการนับถือศาสนา และความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างรัฐกับศาสนาในระบอบประชาธิปไตย การเดินทางของร่างกฎหมายเหล่านี้ยังไม่สิ้นสุด และจะเป็นบททดสอบสำคัญของสังคมไทยว่าจะหาจุดสมดุลระหว่างการรักษาจารีตประเพณีกับการก้าวไปสู่สังคมสมัยใหม่ที่เคารพความหลากหลายได้อย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รสชาติแห่งอำนาจ: อาหารการเมืองไทยและซอฟต์พาวเวอร์

  รสชาติแห่งอำนาจ: การวิเคราะห์ภูมิทัศน์การเมืองไทยผ่านสัญญะทางโภชนาการและยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ บทคัดย่อ รายงานวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการสำรว...