บทบาทการผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาของ ดร.นิยม เวชกามา: การวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง พลวัตทางการเมือง และนัยต่อรัฐธรรมนูญไทย
1. บทนำ: รอยร้าวในโครงสร้างรัฐกับศาสนาและกำเนิดขบวนการพิทักษ์พุทธฯ ใหม่
ภูมิทัศน์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ (State) และสถาบันสงฆ์ (Sangha) ในประเทศไทยตลอดทศวรรษที่ผ่านมาได้เผชิญกับแรงเสียดทานอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมและการเมือง การปะทะกันระหว่างกระแสโลกาภิวัตน์ที่มาพร้อมกับแนวคิดรัฐฆราวาส (Secular State) กับจารีตประเพณีที่ฝังรากลึกของพุทธศาสนาเถรวาทแบบไทย ได้ก่อให้เกิดสภาวะ "วิกฤตศรัทธาและการจัดการ" ที่ซับซ้อน ปรากฏการณ์ "คดีเงินทอนวัด" การกวาดล้างพระเถระชั้นผู้ใหญ่ และข้อถกเถียงเรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัด ได้กลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ปลุกเร้าความรู้สึกไม่มั่นคง (Insecurity) ในหมู่พุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์ฝ่ายอนุรักษนิยม ในบริบทแห่งความเปราะบางนี้ ดร.นิยม เวชกามา ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในฐานะ "ผู้ประกอบการทางนโยบาย" (Policy Entrepreneur) ที่พยายามสร้างนวัตกรรมทางกฎหมายเพื่อปกป้องสถานะของพุทธศาสนา มิใช่เพียงในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในเชิงโครงสร้างอำนาจและกลไกทางกฎหมายที่จับต้องได้
รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกอย่างรอบด้านเกี่ยวกับบทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะตัวแสดงทางการเมืองที่มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนวาระทางนิติบัญญัติเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา การศึกษานี้จะเจาะลึกไปถึงรากฐานทางความคิด ยุทธศาสตร์การผลักดันร่างพระราชบัญญัติฉบับต่างๆ ความขัดแย้งทางอุดมการณ์กับการเมืองฝ่ายก้าวหน้า และผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมในรูปแบบของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2568 โดยจะฉายภาพให้เห็นถึงความพยายามในการสร้าง "เกราะป้องกันทางนิติรัฐ" (Legal Shield) ให้กับสถาบันสงฆ์ ท่ามกลางกระแสธารของความเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกรากของสังคมไทยร่วมสมัย
1.1 บริบททางประวัติศาสตร์และปัญหาสถานะทางกฎหมาย
เพื่อที่จะเข้าใจข้อเสนอทางกฎหมายของ ดร.นิยม จำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาโครงสร้างทางกฎหมายที่มีอยู่เดิม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้วางโครงสร้างการปกครองสงฆ์ในลักษณะรวมศูนย์อำนาจไว้ที่มหาเถรสมาคม (มส.) โดยมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นหน่วยงานสนองงาน อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ ดร.นิยม และเครือข่ายองค์กรพุทธ โครงสร้างนี้เริ่มมีปัญหาเมื่อ พศ. ซึ่งควรทำหน้าที่ "เลขาฯ" หรือ "ผู้ส่งเสริม" กลับกลายร่างเป็น "ผู้ตรวจสอบ" หรือ "ตำรวจพระ" ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายการเมืองและกระแสสังคมที่ต้องการความโปร่งใส สภาพการณ์ที่พระสงฆ์ถูกจับกุมและบังคับให้ลาสิกขาก่อนที่คดีจะถึงที่สุดตามกฎหมายอาญา กลายเป็นจุดแตกหักที่นำมาสู่ข้อเรียกร้องให้มีการตรากฎหมายใหม่เพื่อ "คุ้มครอง" พระสงฆ์เป็นการเฉพาะ
1.2 ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะตัวแทนของ "พุทธศาสนาเชิงการเมือง"
ดร.นิยม มิใช่นักการเมืองท้องถิ่นทั่วไป แต่เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ "พุทธศาสนาเชิงการเมือง" (Political Buddhism) ที่ชัดเจนที่สุดคนหนึ่งในรัฐสภาไทย การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการหาเสียงกับฐานคะแนนเสียงชาวพุทธ แต่เป็นการพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนิติวิธี (Jurisprudence) ที่รัฐไทยปฏิบัติต่อศาสนาพุทธ จากเดิมที่เป็นการ "กำกับดูแล" (Regulation) ไปสู่การ "อุปถัมภ์และคุ้มครองเชิงรุก" (Active Patronage and Protection) ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีพุทธชาตินิยมที่มองว่าความมั่นคงของศาสนาคือความมั่นคงของชาติ
2. รากฐานทางภูมิปัญญาและเส้นทางการเมือง: จากครูบ้านนอกสู่ "ดร.มหานิยม"
การวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม จำเป็นต้องทำความเข้าใจปูมหลังที่หล่อหลอมโลกทัศน์ (Worldview) ของเขา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการไขรหัสวิธีคิดเบื้องหลังร่างกฎหมายต่างๆ ที่เขาเสนอ
2.1 ปูมหลังทางวิชาการ: การสังเคราะห์พุทธจิตวิทยากับรัฐศาสตร์
ดร.นิยม มีพื้นฐานการศึกษาที่ผสมผสานระหว่างโลกทางโลกและทางธรรมอย่างลึกซึ้ง เริ่มต้นจากการเป็นครูประชาบาล ซึ่งทำให้เขาเข้าใจรากฐานชุมชนอีสานที่ผูกพันกับ "บวร" (บ้าน-วัด-โรงเรียน) อย่างแนบแน่น การสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านครุศาสตร์และนิติศาสตร์ ปริญญาโทรัฐศาสตร์ และจุดสูงสุดทางวิชาการคือปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพุทธจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง
การศึกษาในสาย "พุทธจิตวิทยา" ที่ มจร ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์หลักของประเทศ ทำให้ ดร.นิยม ไม่ได้มองปัญหาคณะสงฆ์จากมุมมองของคนนอก (Outsider) แต่มองผ่านเลนส์ของ "คนใน" (Insider) ที่เข้าใจระบบคิด จารีต และความเปราะบางทางจิตวิทยาของพระสงฆ์เมื่อต้องเผชิญกับโลกสมัยใหม่ งานวิชาการและดุษฎีนิพนธ์ของเขาน่าจะมีอิทธิพลต่อแนวคิดที่ว่า "จิตวิญญาณของความเป็นพุทธ" จำเป็นต้องได้รับการปกป้องด้วยกลไกทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ความรู้ทางนิติศาสตร์ของเขาถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือ (Tool) ในการแปลงหลักศรัทธาให้กลายเป็นมาตรากฎหมาย
2.2 เส้นทางการเมืองและยุทธศาสตร์ "ข้ามขั้ว" เพื่อศาสนา
เส้นทางการเมืองของ ดร.นิยม สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและการจัดลำดับความสำคัญโดยยึด "วาระทางศาสนา" เป็นตัวตั้ง (Issue-based Politics) มากกว่าการยึดติดกับอุดมการณ์พรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว
ยุคพรรคพลังประชาชนและเพื่อไทย (2550–2566): ดร.นิยม เริ่มต้นชีวิตการเมืองระดับชาติกับขั้วการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย/คนเสื้อแดง ซึ่งมีฐานเสียงหนาแน่นในภาคอีสาน ในช่วงเวลานี้ บทบาทของเขาเน้นไปที่การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลทหารและรัฐบาลสืบทอดอำนาจที่เขามองว่าใช้อำนาจรัฐรังแกพระสงฆ์ (เช่น กรณีเงินทอนวัด) การอภิปรายในสภาของเขาเต็มไปด้วยความดุเดือดในการปกป้องคณะสงฆ์จากสิ่งที่เขาเรียกว่า "ใบสั่งทางการเมือง"
จุดเปลี่ยนสู่พรรคร่วมรัฐบาล (2567–2568): เมื่อบริบททางการเมืองเปลี่ยนไป และพรรคเพื่อไทยก้าวขึ้นเป็นแกนนำรัฐบาล ดร.นิยม ได้รับบทบาทฝ่ายบริหารเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาผลักดันนโยบายจาก "วงใน" ของฝ่ายบริหาร อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2568 มีสัญญาณของการย้ายสังกัดไปสู่พรรคพลังประชารัฐและพรรคกล้าธรรม ซึ่งเป็นพรรคที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจอนุรักษนิยม การย้ายขั้วนี้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ "Pragmatism" หรือปฏิบัตินิยม เพื่อให้ร่างกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เขาผลักดันได้รับการตอบสนองจากศูนย์กลางอำนาจรัฐที่มีแนวโน้มเอื้อต่อแนวคิดพุทธชาตินิยมมากกว่าฝ่ายก้าวหน้า
2.3 บทบาทในกรรมาธิการศาสนาฯ: เวทีแห่งการต่อสู้
ในฐานะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม และที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการด้านพระพุทธศาสนา ดร.นิยม ใช้กลไกรัฐสภานี้อย่างมีประสิทธิภาพในการ:
เรียกหน่วยงานมาชี้แจง: ตรวจสอบการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์
รับเรื่องร้องเรียน: เป็นช่องทางหลักที่พระสงฆ์ทั่วประเทศใช้สะท้อนปัญหามายังฝ่ายนิติบัญญัติ
สร้างความชอบธรรม: ใช้เวทีกรรมาธิการในการสร้างฉันทามติ (Consensus) ร่วมกับองค์กรพุทธต่างๆ เพื่อร่างกฎหมาย
3. วิเคราะห์นวัตกรรมทางกฎหมาย: ชุดร่างพระราชบัญญัติเพื่อความมั่นคงของพุทธศาสนา
หัวใจสำคัญของการศึกษานี้คือการวิเคราะห์เนื้อหาและนัยยะของร่างกฎหมายชุดต่างๆ ที่ ดร.นิยม เป็นผู้เสนอและผลักดัน ซึ่งเปรียบเสมือน "สถาปัตยกรรมความมั่นคง" (Security Architecture) ที่เขาวางแผนสร้างขึ้นเพื่อโอบอุ้มสถาบันสงฆ์
3.1 ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ.....
นี่คือร่างกฎหมาย "เรือธง" (Flagship Bill) ที่มีความสำคัญที่สุดและก่อให้เกิดข้อถกเถียงมากที่สุด โดยมีสาระสำคัญที่สะท้อนปรัชญา "Legal Protectionism" ดังนี้:
3.1.1 การนิยามภัยคุกคามและการคุ้มครอง (มาตรา 25 และ 26)
จุดที่แหลมคมที่สุดของร่าง พ.ร.บ. นี้อยู่ที่บทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองพระภิกษุในคดีอาญา:
หลักการ: ร่างกฎหมายพยายามสร้างกระบวนการกลั่นกรอง (Screening Mechanism) ก่อนที่พระสงฆ์จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาปกติ โดยกำหนดให้รัฐต้องให้ความช่วยเหลือทางคดีและคุ้มครองพระภิกษุสามเณรที่ถูกกล่าวหา
นัยยะทางกฎหมาย: นี่คือปฏิกิริยาโดยตรงต่อปัญหาการ "จับสึกก่อนตัดสิน" (Pre-trial Defrocking) ซึ่ง ดร.นิยม มองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายศรัทธา ร่างนี้มุ่งหวังให้พระสงฆ์มีสิทธิในการต่อสู้คดีในขณะที่ยังครองสมณเพศอยู่ได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลสงฆ์จะมีมติให้สละสมณเพศ
ข้อวิพากษ์: ในทางทฤษฎีกฎหมาย สิ่งนี้อาจถูกมองว่าเป็นการสร้าง "สิทธิพิเศษ" (Privilege) ที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคเบื้องหน้ากฎหมาย (Equality before the Law) หรือไม่? และอาจซ้ำซ้อนกับกระบวนการยุติธรรมปกติ อย่างไรก็ตาม ดร.นิยม โต้แย้งว่าพระสงฆ์มีสถานะพิเศษทางวินัยที่กฎหมายอาญาปกติไม่ครอบคลุม จึงจำเป็นต้องมีการคุ้มครองเฉพาะ
3.1.2 คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ร่างกฎหมายเสนอให้มีโครงสร้างองค์กรใหม่ระดับชาติ ที่มีอำนาจหน้าที่:
กำหนดนโยบายระดับชาติในการคุ้มครองพุทธศาสนา
เสนอมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี
ประกาศจัดตั้ง "สมัชชาอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาประจำจังหวัด"
บทวิเคราะห์: การเสนอโครงสร้างนี้คือความพยายาม "กระจายอำนาจ" (Decentralization) จากระบบราชการส่วนกลาง (พศ.) ไปสู่ภาคประชาสังคมชาวพุทธ (สมัชชา) เพื่อให้การคุ้มครองศาสนาเป็นเรื่องของพุทธบริษัท 4 อย่างแท้จริง มิใช่เพียงภารกิจของรัฐบาล
3.1.3 กองทุนเพื่อการอุปถัมภ์และคุ้มครอง (Funding Mechanism)
มาตรา 24 ของร่าง พ.ร.บ. กำหนดให้มีกองทุนที่ผู้บริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ กลไกนี้มีความสำคัญในแง่เศรษฐศาสตร์การเมือง คือการสร้าง "ท่อน้ำเลี้ยง" (Financial Pipeline) ที่ถูกกฎหมายและได้รับการสนับสนุนจากรัฐ เพื่อให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนกิจการความมั่นคงของศาสนาโดยตรง ลดการพึ่งพางบประมาณแผ่นดินที่ผันผวนตามเสถียรภาพทางการเมือง
3.2 ร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
แนวคิดเรื่อง "ธนาคารพุทธ" เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ ดร.นิยม พยายามผลักดันมายาวนาน โดยมีแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
วัตถุประสงค์: เพื่อเป็นสถาบันการเงินที่บริหารจัดการทรัพย์สินของวัดและองค์กรพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ให้สินเชื่อเพื่อการพัฒนาวัด หรือสงเคราะห์พุทธศาสนิกชนตามหลักธรรม
นัยยะทางยุทธศาสตร์: การมีธนาคารเฉพาะทางคือการสร้าง "เอกราชทางการเงิน" (Financial Independence) ให้กับศาสนจักร ช่วยให้เงินบริจาคหมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจชาวพุทธ (Buddhist Economy) และลดข้อครหาเรื่องการบริหารเงินวัดที่ไม่โปร่งใสโดยการนำเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินที่มีมาตรฐาน
อุปสรรค: ข้อเสนอนี้เผชิญกับความท้าทายเรื่องความเป็นไปได้ทางธุรกิจ การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย และข้อกังวลเรื่องการนำเงินศรัทธาไปลงทุนที่มีความเสี่ยง
3.3 ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการเดินทางไปพุทธสังเวชนียสถาน
ร่างกฎหมายนี้ มุ่งเน้นมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการศึกษา:
สาระสำคัญ: รัฐสนับสนุนงบประมาณหรืออำนวยความสะดวกให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางไปจาริกแสวงบุญ ณ ประเทศอินเดียและเนปาล
เป้าหมายแฝง: นอกเหนือจากการปฏิบัติธรรม นี่คือการสร้าง "Soft Power" ของพุทธศาสนาไทยในเวทีโลก และเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายชาวพุทธข้ามชาติ
3.4 ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา
ร่างนี้ เป็นส่วนต่อขยายของการสร้างเครือข่ายองค์กรเอกชน (NGOs) ทางศาสนา เพื่อให้มีสถานะทางกฎหมายรองรับในการทำงานร่วมกับรัฐ เป็นการดึงพลังของภาคฆราวาสเข้ามาเป็นเกราะป้องกันศาสนาอย่างเป็นทางการ
4. เศรษฐศาสตร์การเมืองและมานุษยวิทยากฎหมาย: มุมมองวิเคราะห์เชิงลึก
การวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม ไม่สามารถละเลยมิติทางเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) และมานุษยวิทยากฎหมาย (Legal Anthropology) ได้
4.1 การต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากร (Resource Competition)
ในมุมมองเศรษฐศาสตร์การเมือง การผลักดันร่างกฎหมายเหล่านี้คือการต่อสู้เพื่อจัดสรรทรัพยากร (งบประมาณ, สิทธิลดหย่อนภาษี, อำนาจในการจัดการที่ดินวัด) ท่ามกลางทรัพยากรที่มีจำกัด ดร.นิยม พยายามสร้าง "สถาบัน" (Institutions) เช่น กองทุน หรือ ธนาคาร เพื่อประกันว่าพุทธศาสนาจะได้รับส่วนแบ่งทรัพยากรอย่างยั่งยืน ไม่ถูกตัดทอนง่ายๆ ในกระบวนการงบประมาณรายปี ดังที่เห็นได้จากการต่อสู้เรื่องงบประมาณกับพรรคประชาชน
4.2 กฎหมายในฐานะเครื่องมือทางวัฒนธรรม (Law as Cultural Artifact)
ในทางมานุษยวิทยากฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. เหล่านี้สะท้อนความพยายามที่จะประมวล (Codify) บรรทัดฐานทางศีลธรรม (Moral Norms) ให้เป็นกฎหมายรัฐ (State Law) ดร.นิยม พยายามนำหลัก "พระธรรมวินัย" เข้ามามีพื้นที่ในระบบกฎหมายบ้านเมืองมากขึ้น เช่น การกำหนดให้การตีความความผิดของพระต้องอิงกับวินัยสงฆ์เป็นหลัก นี่คือการต่อสู้ระหว่าง "ระบบกฎหมายสมัยใหม่" (Modern Legal System) ที่เน้นลายลักษณ์อักษรและกระบวนการสากล กับ "ระบบกฎหมายจารีต" (Customary Law) ของสงฆ์ที่เน้นดุลยพินิจของพระอุปัชฌาย์และคณะสงฆ์ปกครอง
5. สมรภูมิรัฐสภา: การปะทะสังสรรค์กับฝ่ายก้าวหน้าและวาทกรรม "เหยียบย่ำศาสนา"
หนึ่งในบทบาทที่โดดเด่นที่สุดของ ดร.นิยม คือการทำหน้าที่เป็น "องครักษ์พิทักษ์ศาสนา" ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนำไปสู่การปะทะทางความคิดที่รุนแรงกับพรรคการเมืองฝ่ายก้าวหน้า (พรรคก้าวไกล/พรรคประชาชน)
5.1 การปะทะเรื่องงบประมาณ: ความคุ้มค่า vs. ความศรัทธา
ประเด็นความขัดแย้งหลักเกิดขึ้นในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชนได้อภิปรายเสนอตัดลดงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเฉพาะงบ "นิตยภัต" (เงินเดือนพระ) และงบอุดหนุนการเผยแผ่ศาสนา โดยให้เหตุผลเรื่องความโปร่งใส ความไม่คุ้มค่า และปัญหาทุจริตในวงการสงฆ์
มุมมองฝ่ายก้าวหน้า: มองว่ารัฐควรเป็นกลางทางศาสนา (Secular) ภาษีของประชาชนไม่ควรถูกใช้เพื่ออุ้มชูศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะหากไม่มีการตรวจสอบที่เข้มข้น และงบประมาณควรถูกนำไปใช้ในสวัสดิการสังคมด้านอื่นที่จำเป็นกว่า
การตอบโต้ของ ดร.นิยม: ดร.นิยม ตีความการอภิปรายนี้ว่าเป็น "การเหยียบย่ำศาสนา" และ "ด้อยค่า" สถาบันหลักของชาติ เขาโต้แย้งว่า:
มรดกทางวัฒนธรรม: ศาสนาพุทธเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทย การตัดงบคือการทำลายรากเหง้า
ความไม่เป็นธรรม: การนำความผิดของพระบางรูปมาเป็นเหตุผลในการตัดงบทั้งระบบเป็นการเหมารวม (Generalization) ที่ไม่ยุติธรรม
ความเสมอภาค: รัฐอุดหนุนศาสนาอื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเพ่งเล็งตัดงบพุทธศาสนาจึงมีวาระซ่อนเร้น
5.2 สงครามวาทกรรม (Discursive War)
ดร.นิยม และเครือข่าย ใช้คำว่า "ปกป้อง" (Protect) และ "คุ้มครอง" (Safeguard) เป็นวาทกรรมหลักในการสร้างความชอบธรรม ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้คำว่า "ตรวจสอบ" (Audit) และ "ปฏิรูป" (Reform) การปะทะกันนี้สะท้อนความขัดแย้งระดับรากฐานของสังคมไทยว่าด้วยเรื่อง "พื้นที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ว่าควรอยู่เหนือการตรวจสอบทางโลกหรือไม่
5.3 กรณีศึกษา: การต่อสู้เพื่อ "2 พส." และพระผู้ถูกกดขี่
กรณีที่น่าสนใจคือท่าทีของ ดร.นิยม ต่อกรณี "2 พส." (พระมหาสมปอง และ พระมหาไพรวัลย์) ในช่วงปี 2564 ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการไลฟ์สด ดร.นิยม กลับมีท่าทีปกป้องและชี้ว่า "ไม่ผิดพระธรรมวินัย" ตราบใดที่ยังรักษาศีล สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ดร.นิยม ไม่ได้อนุรักษนิยมแบบหัวชนฝา (Ultra-conservative) ในแง่รูปแบบการเผยแผ่ แต่เขาอนุรักษนิยมในแง่ "โครงสร้างอำนาจและการคุ้มครองสิทธิพระ" เขาพร้อมจะปกป้องพระทุกเฉดสีหากถูกอำนาจรัฐคุกคามโดยไม่ชอบธรรม
6. บทบาทฝ่ายบริหารและชัยชนะทางยุทธศาสตร์: ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี 2568
เมื่อ ดร.นิยม เข้าสู่ฝ่ายบริหารในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์การต่อสู้ได้เปลี่ยนจาก "การนิติบัญญัติในสภา" (ซึ่งล่าช้าและควบคุมยาก) มาสู่ "การใช้อำนาจบริหาร" (Executive Power)
6.1 กำเนิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2568
ผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดของการขับเคลื่อนในระยะหลังคือการประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับนี้ ซึ่งแม้ ดร.นิยม จะไม่ใช่ผู้ลงนาม (นายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ บวรศักดิ์ เป็นผู้ดำเนินการหลัก) แต่เนื้อหาของระเบียบสะท้อนเจตนารมณ์ที่ ดร.นิยม เรียกร้องมาตลอด
6.2 บทบาทของ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" และการเชื่อมต่อนโยบาย
การที่ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เข้ามาขับเคลื่อนระเบียบนี้ ถือเป็นการยกระดับวาระของ ดร.นิยม ขึ้นสู่ระดับเนติบริกรชั้นนำของประเทศ ดร.นิยม ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีที่กำกับดูแล พศ. ทำหน้าที่เป็น "คนดูต้นทาง" และ "ผู้ประสานงาน" ระหว่างความต้องการของคณะสงฆ์กับเทคนิคทางกฎหมายของฝ่ายบริหาร เพื่อให้มั่นใจว่าระเบียบนี้จะออกมาบังคับใช้ได้จริงและตอบโจทย์การคุ้มครอง
6.3 นัยยะของระเบียบฯ: รัฐซ้อนรัฐ หรือ การจัดระเบียบที่จำเป็น?
ระเบียบนี้ให้อำนาจ คพช. และคณะวินัยธร ในการตรวจสอบและวินิจฉัยข้อขัดแย้ง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการสร้าง "รัฐซ้อนรัฐ" (State within a State) ย่อมๆ ในวงการสงฆ์ ที่มีอำนาจกึ่งตุลาการ (Quasi-judicial) ในการตัดสินความผิดพระ นี่คือชัยชนะของแนวคิดที่ว่า "พระต้องปกครองพระ" โดยมีรัฐหนุนหลัง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการดึงรัฐเข้ามาผูกพันกับศาสนาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ขัดแย้งกับแนวโน้ม Secularization ของโลกสมัยใหม่
ตารางเปรียบเทียบ: ข้อเรียกร้องของ ดร.นิยม กับ ระเบียบสำนักนายกฯ 2568
| ประเด็นยุทธศาสตร์ | แนวคิดในร่าง พ.ร.บ. ของ ดร.นิยม | สิ่งที่ปรากฏในระเบียบสำนักนายกฯ 2568 | การวิเคราะห์ความสำเร็จ |
| โครงสร้างองค์กร | คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองฯ ระดับชาติ | คณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (คพช.) | สำเร็จ: มีบอร์ดระดับชาติที่มีอำนาจบริหารจัดการจริง |
| การเชื่อมโยงอำนาจ | เชื่อมโยงรัฐกับองค์กรพุทธ | ประธานแต่งตั้งโดยนายกฯ + ความเห็นชอบ มส. | สำเร็จ: สร้างจุดเกาะเกี่ยวระหว่างอาณาจักรและศาสนจักร |
| การกระจายอำนาจ | สมัชชาพุทธระดับจังหวัด | คณะอนุกรรมการคุ้มครองฯ จังหวัด (อพคช.) | สำเร็จ: ดึงผู้ว่าฯ และ ผบ.ตร. จังหวัด เข้ามาเป็นกลไกคุ้มครอง |
| กระบวนการยุติธรรม | ให้ความช่วยเหลือทางคดี, กองทุนทนาย | ฟื้นฟู "คณะวินัยธร" และ "คณะธรรมธร" | สำเร็จบางส่วน: เน้นการใช้กลไกสงฆ์ตัดสินกันเองก่อน (วินัยธร) เพื่อลดการแทรกแซงจากภายนอก |
| การจัดการภัยคุกคาม | ป้องกันการบ่อนทำลาย | จัดการกับผู้บิดเบือนคำสอน, ลัทธิเทียม | สำเร็จ: มีมาตรการเชิงรุกจัดการกับภัยคุกคามทางความเชื่อ |

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น