วิเคราะห์กลยุทธ์จากหนังสือ สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569: การบูรณาการแนวคิดสตาร์ทอัพและการออกแบบชีวิตสู่นโยบายสาธารณะ
1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยปี 2569 และพลวัตใหม่แห่งการนำ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 นับเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของประเทศไทย ท่ามกลางบริบทของความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก (Global Economic Volatility) และความท้าทายภายในประเทศที่สะสมมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นกับดักรายได้ปานกลาง สังคมผู้สูงอายุ และความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล การแข่งขันครั้งนี้จึงมิใช่เพียงการต่อสู้เพื่อแย่งชิงเก้าอี้ในสภาฯ แต่เป็นการปะทะสังสรรค์กันของ "กระบวนทัศน์" (Paradigm) ในการบริหารจัดการรัฐ
พรรคเพื่อไทย ในฐานะสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศมากว่าสองทศวรรษ ได้ประกาศยุทธศาสตร์ "ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้" เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 โดยมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 ท่าน ได้แก่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์
ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน มีพื้นฐานความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) โดยเฉพาะงานวิจัยด้านการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface: BCI) และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ทางการแพทย์
จุดที่น่าสนใจและเป็นแกนกลางของการวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้ คือการที่ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน ได้แนะนำหนังสือ 5 เล่ม ซึ่งเปรียบเสมือน "พิมพ์เขียวทางความคิด" (Intellectual Blueprint) ที่เขาจะนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน หนังสือเหล่านี้ประกอบด้วย The Startup Mindset, Leaders’ Wisdom, The Launch Pad: Inside Y Combinator, Designing Your Life, และ ให้ความสุขตามหาเรา การเลือกสรรหนังสือกลุ่มนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจาก "รัฐราชการ" (Bureaucratic Polity) ไปสู่ "รัฐนวัตกรรม" (Innovative State) ที่มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแม่นยำ
รายงานฉบับนี้จะทำการวิเคราะห์เจาะลึกเนื้อหาและปรัชญาจากหนังสือทั้ง 5 เล่ม เพื่อถอดรหัสออกมาเป็นกลยุทธ์การเมืองและแนวทางการบริหารประเทศ โดยจะเชื่อมโยงกับนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยในการขับเคลื่อน "3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ" (ภาคเกษตร, ภาคอุตสาหกรรมการผลิต, และภาคบริการ)
2. การปฏิรูปรัฐราชการด้วยกระบวนทัศน์ "The Startup Mindset"
หนังสือ The Startup Mindset โดย ธนกฤษณ์ เสริมสุขสัน (Casper) นำเสนอหลักคิดสำคัญ 6 ประการ ได้แก่ คิดใหญ่ (Think Big), เริ่มไว (Start Fast), ใส่ใจ (Empathize), ทำไว (Act Fast), เล่นใหญ่ (Play Big), และ โตไว (Grow Fast)
2.1 "Think Big": การกำหนดวิสัยทัศน์ระดับ Moonshot
ในบริบทของสตาร์ทอัพ "การคิดใหญ่" หมายถึงการมองเห็นปัญหาและโอกาสในระดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกหรือพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างสิ้นเชิง (Disruption) มิใช่เพียงการปรับปรุงสินค้าเดิมเพียงเล็กน้อย
การ "คิดใหญ่" ในทางการเมืองภายใต้กรอบคิดนี้ มีความหมายเชิงนัยยะที่ลึกซึ้ง:
การเปลี่ยนบทบาทของประเทศ: จากการเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตหรือผู้บริโภคเทคโนโลยี (Technology Consumer) ไปสู่การเป็นผู้สร้างและเจ้าของเทคโนโลยี (Technology Creator)
8 ซึ่งสอดคล้องกับพื้นฐานด้าน BCI และ Deep Tech ของตัวแคนดิเดตเองการกำหนดนโยบายเชิงโครงสร้าง: ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบปะผุ แต่เป็นการวางรากฐานใหม่ เช่น การประกาศให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวการแพทย์แห่งเอเชีย (Biomedical Hub) ซึ่งเชื่อมโยงกับ SDG 3 (Good Health and Well-being) และ SDG 9 (Industry, Innovation, and Infrastructure) ที่ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน มีความเชี่ยวชาญ
3
2.2 "Start Fast & Act Fast": การทำลายกำแพง Red Tape ด้วย MVP
หัวใจสำคัญของความสำเร็จในโลกสตาร์ทอัพคือความเร็ว (Speed) หนังสือระบุชัดเจนว่า "การแก้ปัญหาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ต้องใช้วิธีแก้ปัญหาที่สามารถเริ่มได้เร็วที่สุด" และ "ไม่จำเป็นต้องเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้วค่อยนำเอา Feedback ลูกค้าไปปรับปรุง"
กลยุทธ์ที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้เพื่อเอาชนะอุปสรรคนี้ คือการนำแนวคิด Minimum Viable Product (MVP) มาใช้กับนโยบายสาธารณะ:
นโยบายต้นแบบ (Policy Prototyping): แทนที่จะรอการตรากฎหมายหรือแก้ไขระเบียบทั้งระบบซึ่งใช้เวลานาน รัฐบาลใหม่อาจใช้อำนาจบริหารในการกำหนดพื้นที่ทดลอง (Sandbox) ในจังหวัดนำร่อง เพื่อทดสอบนโยบายเศรษฐกิจใหม่ๆ เช่น การเปิดเสรีทางการเงิน หรือการทดลองระบบสวัสดิการรูปแบบใหม่
Regulatory Guillotine: การใช้ความเร็วในการ "ตัด" กฎระเบียบที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารที่เด็ดขาด เพื่อให้ภาคเอกชนและประชาชนสามารถ "เริ่มไว" ในการสร้างรายได้
2.3 "Empathize": จากประชานิยมสู่ Customer-Centric Policy
ในวงการสตาร์ทอัพ ความใส่ใจ (Empathize) ไม่ใช่ความสงสาร แต่คือความเข้าใจใน Pain Point ของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์
การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่สัญชาตญาณทางการเมืองแบบเดิม:
Data-Driven Empathy: การใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนแต่ละกลุ่ม (Segmentation) แทนการหว่านงบประมาณแบบเหมารวม (Universal Handout) ที่อาจไม่มีประสิทธิภาพ
Feedback Loops: การสร้างช่องทางที่ประชาชนสามารถส่งเสียงสะท้อนกลับมายังผู้ออกนโยบายได้โดยตรงและรวดเร็ว เพื่อให้นโยบายถูกปรับปรุง (Iterate) ได้ทันท่วงที สอดคล้องกับแนวคิดในหนังสือที่เน้นการฟังเสียงลูกค้า
9
ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบระหว่างกระบวนทัศน์ราชการเดิมกับแนวคิด The Startup Mindset
| มิติการบริหาร | ระบบราชการเดิม (Traditional Bureaucracy) | แนวคิด The Startup Mindset (ในบริบทการเมือง) |
| เป้าหมาย | ความมั่นคง, การทำตามระเบียบ | การเติบโตแบบก้าวกระโดด (Scale), Impact |
| กระบวนการ | วางแผนยาวนาน, เน้นความสมบูรณ์แบบ | ทำต้นแบบ (MVP), ทดลอง, ปรับปรุง (Iterate) |
| ความเสี่ยง | หลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk Averse) | บริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เพื่อเรียนรู้ |
| การวัดผล | งบประมาณที่ใช้ไป, จำนวนกิจกรรม | ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ, ความพึงพอใจประชาชน |
| ความสัมพันธ์กับประชาชน | ผู้ปกครอง - ผู้ถูกปกครอง | ผู้ให้บริการ - ผู้ใช้งาน (User/Customer) |
3. การสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่ด้วยโมเดล "The Launch Pad: Inside Y Combinator"
หนังสือ The Launch Pad: Inside Y Combinator โดย Randall Stross ซึ่งบอกเล่าเบื้องลึกของ Y Combinator (YC) โรงเรียนบ่มเพาะสตาร์ทอัพอันดับหนึ่งของโลก
3.1 รัฐบาลในฐานะ "Accelerator" ไม่ใช่แค่ "Regulator"
YC ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะการให้เงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่เพราะบทบาทในการเป็น "Accelerator" หรือผู้เร่งการเติบโต ที่ให้คำปรึกษาที่เข้มข้น การเชื่อมโยงเครือข่าย และการสร้างสภาพแวดล้อมที่กดดันให้เกิดความก้าวหน้า
Incubation Model สำหรับ SMEs: เปลี่ยนหน่วยงานส่งเสริมวิสาหกิจจากการเป็นเพียงผู้ให้ทุนหรือจัดอบรมทั่วไป มาเป็น Mentor ที่เข้มข้น รัฐอาจจัดตั้งโปรแกรมบ่มเพาะธุรกิจเกษตร (AgTech) และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่มีมาตรฐานระดับโลก โดยดึงผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนมาเป็น Mentor แทนข้าราชการ
Demo Day ภาครัฐ: YC มีวัน Demo Day ที่สตาร์ทอัพนำเสนอผลงานต่อนักลงทุน
10 ภาครัฐอาจจัดเวทีลักษณะนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยในต่างจังหวัดได้นำเสนอสินค้าหรือนวัตกรรมต่อนักลงทุนต่างชาติโดยตรง โดยรัฐทำหน้าที่เป็น Platform อำนวยความสะดวก
3.2 ปรัชญา "Make Something People Want"
คติพจน์ของ YC คือ "Make something people want" (จงทำสิ่งที่ผู้คนต้องการ)
Demand-Driven Policy: นโยบาย 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ (เกษตร, อุตสาหกรรม, บริการ) ต้องถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการของตลาดโลก (Global Demand) ไม่ใช่การผลิตนำ (Supply-Driven) เช่น ในภาคเกษตร รัฐจะไม่สนับสนุนให้ปลูกพืชที่ล้นตลาด แต่จะใช้ข้อมูลชี้เป้าความต้องการสินค้าเกษตรมูลค่าสูง (High Value Crop) และสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อการแปรรูป
การวัดผลที่ Adoption: ความสำเร็จของนโยบายจะไม่วัดที่จำนวนกฎหมายที่ออกมา แต่วัดที่จำนวนประชาชนที่ "ใช้งาน" นโยบายนั้นจริง และได้รับประโยชน์จริง หากนโยบายใดที่ประชาชนไม่ตอบรับ รัฐบาลต้องกล้าที่จะ "Pivot" หรือเปลี่ยนทิศทางทันที เหมือนกับสตาร์ทอัพ
15
3.3 วัฒนธรรม "Code and Talk to Users"
ผู้ก่อตั้ง YC อย่าง Paul Graham มักแนะนำให้สตาร์ทอัพโฟกัสแค่สองอย่าง: เขียนโค้ด (สร้างผลิตภัณฑ์) และคุยกับผู้ใช้
การลดพิธีกรรมทางการเมือง: ยุทธศาสตร์นี้บ่งชี้ว่า ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน อาจพยายามลดภารกิจเชิงพิธีกรรมของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีลง เพื่อให้มีเวลาโฟกัสกับการ "สร้างผลงาน" (Code) และ "ลงพื้นที่ฟังปัญหา" (Talk to Users) มากขึ้น
Direct Engagement: การตัดตัวกลาง (Middleman) ในการสื่อสาร การใช้เทคโนโลยีเพื่อสื่อสารกับประชาชนโดยตรง ลดการพึ่งพารายงานจากระบบราชการที่อาจมีการบิดเบือนหรือล่าช้า
3.4 การคัดเลือกทีมงานแบบ YC: ทีมสำคัญกว่าไอเดีย
YC มักเลือกลงทุนใน "ทีม" มากกว่า "ไอเดีย" เพราะไอเดียเปลี่ยนได้แต่ทีมที่ดีจะหาทางรอดได้เสมอ
Cabinet Selection: ในการจัดตั้งรัฐบาล นัยยะนี้คือการเลือกคณะรัฐมนตรีที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem Solvers) และทำงานร่วมกันได้ดี (Cohesion) มากกว่าการเลือกตามโควตาทางการเมืองแบบดั้งเดิม ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน อาจมองหา Technocrat หรือคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะเฉพาะด้านเข้ามาร่วมทีมบริหาร
4. ภูมิปัญญาผู้นำและการบริหารคนในยุค Disruption จาก "Leaders’ Wisdom"
หนังสือ Leaders’ Wisdom โดย กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ซึ่งรวบรวมบทสัมภาษณ์และข้อคิดจากผู้นำชั้นแนวหน้าของไทย
4.1 "ทำงานสำเร็จ" vs "ทำงานเสร็จ"
หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดจากหนังสือคือความแตกต่างระหว่าง "การทำงานเสร็จ" (Task Completion) กับ "การทำงานสำเร็จ" (Achievement of Goals)
KPI ปฏิรูป: ระบบราชการไทยมักติดกับดักของการ "ทำงานเสร็จ" คือการทำตามระเบียบครบถ้วน แต่ผลลัพธ์อาจไม่เกิด ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ การประเมินผลงานของหน่วยงานรัฐจะถูกรื้อระบบใหม่ ให้มุ่งเน้นที่ Outcome และ Impact ตัวอย่างเช่น กรมส่งเสริมการเกษตรจะไม่ถูกวัดผลด้วยจำนวนครั้งที่จัดอบรม (เสร็จ) แต่วัดด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจริงของเกษตรกรที่ผ่านการอบรม (สำเร็จ)
4.2 การบริหารจัดการ "Middle Management"
หนังสือให้ความสำคัญกับ "ผู้บริหารระดับกลาง" (Middle Management) ว่าเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของวัฒนธรรมองค์กร
Empowerment: ยุทธศาสตร์ของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน จะไม่สามารถขับเคลื่อนได้หากขาดการร่วมมือจากกลุ่มนี้ การบริหารงานจึงต้องเน้นการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) และการให้เครื่องมือ/เทคโนโลยีที่ช่วยให้ข้าราชการทำงานง่ายขึ้น ไม่ใช่การสั่งการแบบ Top-Down เพียงอย่างเดียว
Culture Transformation: การสร้างวัฒนธรรมที่อนุญาตให้ล้มเหลวได้ (ในขอบเขตที่ควบคุม) เพื่อกระตุ้นให้ข้าราชการกล้าคิดกล้าทำนวัตกรรมใหม่ๆ
20
4.3 Resilience: ตุ๊กตาล้มลุกทางการเมือง
หนังสือพูดถึงการเป็น "ตุ๊กตาล้มลุก" และแนวคิดที่ว่า "ความล้มเหลวทำให้แข็งแกร่งขึ้น"
บริบททางการเมือง: ตระกูลวงศ์สวัสดิ์และชินวัตรเผชิญมรสุมทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ทั้งการรัฐประหารและการยุบพรรค
1 ข้อคิดนี้สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางจิตใจ (Mental Resilience) ที่จำเป็นสำหรับผู้นำในการนำพาประเทศฝ่าวิกฤตความขัดแย้ง การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทางกฎหมายหรือเกมการเมือง แต่เรียนรู้และปรับตัวเพื่อหาช่องทางใหม่ในการขับเคลื่อนนโยบาย
5. การออกแบบอนาคตประเทศด้วย "Designing Your Life"
หนังสือ Designing Your Life โดย Bill Burnett และ Dave Evans จาก Stanford d.school นำเสนอกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เพื่อแก้ปัญหาชีวิตที่ซับซ้อน
5.1 Odyssey Plans: ยุทธศาสตร์ชาติที่ยืดหยุ่น
หนังสือแนะนำให้เขียน "Odyssey Plans" หรือแผนชีวิต 3 รูปแบบสำหรับ 5 ปีข้างหน้า
แผน 1 (Expected Path): สิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบัน
แผน 2 (Alternative Path): สิ่งที่จะทำถ้าแผน 1 ทำไม่ได้
แผน 3 (Wild Card Path): สิ่งที่จะทำถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินหรือภาพลักษณ์
การประยุกต์ใช้ระดับชาติ: แทนที่จะยึดติดกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่แข็งตัวและล้าสมัย ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน อาจนำเสนอแผนพัฒนาประเทศแบบ Scenario Planning:
Scenario A: การเติบโตตามเป้าหมายด้วย 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลัก
Scenario B: แผนรองรับกรณีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกหรือสงครามการค้า (Trade War) โดยเน้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
Scenario C: แผนการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่ (Moonshot) หากสามารถแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคได้สำเร็จ
5.2 Reframing: การมองปัญหาในมุมใหม่
Design Thinking เน้นการ "Reframe" หรือปรับมุมมองต่อปัญหา
ตัวอย่างนโยบาย:
Dysfunctional Belief: "เกษตรกรยากจนเพราะราคาพืชผลตกต่ำ" -> Reframe: "เกษตรกรยากจนเพราะขายแต่วัตถุดิบ ไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์แปรรูป"
Dysfunctional Belief: "เด็กไทยโง่เพราะการศึกษาไม่ดี" -> Reframe: "ระบบการศึกษาไม่สอดคล้องกับความถนัดที่หลากหลายของเด็ก"
การ Reframe จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและสร้างสรรค์กว่าเดิม เช่น แทนที่จะประกันราคาพืชผล (แก้ปลายเหตุ) รัฐอาจทุ่มงบวิจัยและเครื่องจักรแปรรูปให้ชุมชน (แก้ต้นเหตุแบบ YC Style)
5.3 Prototyping: การทดลองเพื่อเรียนรู้
เชื่อมโยงกับแนวคิด Startup การออกแบบชีวิตเน้นการทำ "Prototyping" หรือการทดลองประสบการณ์
Policy Labs: การตั้งหน่วยงาน "ห้องปฏิบัติการนโยบาย" ที่ทำหน้าที่ออกแบบและทดสอบโมเดลการแก้ปัญหาสังคมในสเกลเล็กๆ ก่อนจะขยายผล (Scale Up) ทั่วประเทศ วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงของความล้มเหลวระดับมหภาค และประหยัดงบประมาณแผ่นดิน
6. มิติแห่งความสุขและการสื่อสารเชิงบวกจาก "ให้ความสุขตามหาเรา"
หนังสือ ให้ความสุขตามหาเรา โดย หนุ่มเมืองจันท์ เติมเต็มมิติของ "Human Touch" หรือความเป็นมนุษย์ให้กับยุทธศาสตร์ที่ดูจะเน้นเทคโนโลยีและประสิทธิภาพ
6.1 Gross National Happiness (GNH) ควบคู่ GDP
แม้เป้าหมายหลักคือการเพิ่ม GDP และรายได้
Well-being Economy: นโยบายสาธารณสุขและการบริการ (Service Sector) จะไม่ถูกมองเป็นเพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่จะถูกออกแบบโดยคำนึงถึงสุขภาพจิต (Mental Health) และคุณภาพชีวิตของประชาชน การพัฒนาระบบ BCI หรือเทคโนโลยีทางการแพทย์
3 จะมุ่งเน้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ให้พวกเขามีความสุขและพึ่งพาตนเองได้
6.2 การสื่อสารทางการเมืองเชิงบวก (Positive Campaigning)
สไตล์การเขียนของหนุ่มเมืองจันท์คือการเล่าเรื่องที่ให้กำลังใจ มองโลกในแง่ดี และสร้างแรงบันดาลใจ
Tone of Voice: ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจยังคุกรุ่น กลยุทธ์การสื่อสารของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน จะมุ่งเน้นการสร้าง "ความหวัง" (Hope) และ "ความเป็นไปได้" (Possibility) มากกว่าการโจมตีคู่แข่ง หรือการสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) การใช้เรื่องเล่า (Storytelling) ที่สัมผัสใจคน จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดกลุ่มพลังเงียบ (Swing Voters)
6.3 "อย่าตัดสินคนด้วยเรื่องเล่าเรื่องเดียว"
ข้อคิดจากหนังสือที่ว่า "อย่าตัดสินคนด้วยเรื่องเล่าเพียงเรื่องเดียว"
7. บทสังเคราะห์: โมเดล "Yodchanan 2026" และนัยยะต่ออนาคตประเทศไทย
จากการวิเคราะห์หนังสือทั้ง 5 เล่มอย่างละเอียด สามารถสังเคราะห์ออกมาเป็น "โมเดลการบริหารรัฐกิจแบบผสมผสาน" (The Hybrid Governance Model) ที่ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ จะใช้เป็นอาวุธหลักในการสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 ดังแสดงในตารางที่ 2
ตารางที่ 2: การบูรณาการหนังสือ 5 เล่มสู่นโยบาย 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ
| หนังสือ (The Book) | หลักการ (Key Concept) | การประยุกต์ใช้กับ 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ (Agriculture, Industry, Services) |
| The Startup Mindset | Think Big, Act Fast, Empathize | เกษตร: คิดใหญ่ด้วยการแปรรูปสู่ตลาดโลก, ทำไวด้วย Smart Farming, เข้าใจ Pain Point เกษตรกร |
| The Launch Pad (YC) | Accelerator, Make Something People Want | อุตสาหกรรม: รัฐเป็น Accelerator ดึงดูด Tech Investment, สร้าง Supply Chain ที่โลกต้องการ |
| Designing Your Life | Design Thinking, Prototyping | บริการ: ออกแบบ Experience Tourism ใหม่, ทดลอง Sandbox การท่องเที่ยวเมืองรอง |
| Leaders’ Wisdom | Work Successful, People Management | กลไกขับเคลื่อน: ปฏิรูประบบราชการให้ทำงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ปลดล็อค Middle Management |
| ให้ความสุขตามหาเรา | Happiness, Positive Thinking | เป้าหมายสูงสุด: เศรษฐกิจโตควบคู่ความสุข, การกระจายรายได้, การสื่อสารที่สร้างความหวัง |
ความเชื่อมโยงกับบริบทการเมืองปี 2569
การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง "ความเก่า" กับ "ความใหม่" แต่ความใหม่ของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน ไม่ใช่ความใหม่แบบไร้รากฐาน (Disruptive without Roots) แต่เป็นความใหม่ที่ผสมผสานระหว่าง:
Technocracy: ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม (สะท้อนผ่านประวัติส่วนตัวและหนังสือแนว Tech/Startup)
Legacy: ฐานเสียงและประสบการณ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยและครอบครัว
Modern Management: แนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่จากหนังสือทั้ง 5 เล่ม
ความท้าทายและข้อควรระวัง
แม้โมเดลนี้จะดูสมบูรณ์ในเชิงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติมีความท้าทายสำคัญที่ต้องระวัง:
Culture Shock: การนำวัฒนธรรม Startup และ YC ที่รวดเร็วและดุดัน มาใช้กับระบบราชการไทยที่มีความเฉื่อยสูง อาจเกิดแรงต้านทาน (Resistance to Change) ที่รุนแรง
Inclusivity: การมุ่งเน้น High-Tech และ Growth Mindset อาจทำให้กลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน (Digital Divide) รู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จำเป็นต้องใช้นโยบาย "Empathize" จาก The Startup Mindset และแนวคิดความสุขจาก ให้ความสุขตามหาเรา มาเยียวยาและประคับประคอง
โดยสรุป ยุทธศาสตร์จากหนังสือทั้ง 5 เล่ม ชี้ให้เห็นว่า ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ กำลังวางตำแหน่งตัวเองเป็น "CEO ของประเทศไทย" ที่พร้อมจะ De-bug (แก้ไขจุดบกพร่อง) ระบบเก่า และ Install (ติดตั้ง) ระบบปฏิบัติการใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถประมวลผลและตอบสนองต่อโลกอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การเลือกตั้งปี 2569 จึงไม่ใช่แค่การเลือกนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการเลือกว่าประเทศไทยจะกล้าพอที่จะ "Reboot" ตัวเองด้วยวิธีคิดแบบใหม่นี้หรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น