วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ส่องกลยุทธ์เลือกตั้งปี 2569 ของยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ผ่านหนังสือ 5 เล่มที่แนะ

 


วิเคราะห์กลยุทธ์จากหนังสือ สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569: การบูรณาการแนวคิดสตาร์ทอัพและการออกแบบชีวิตสู่นโยบายสาธารณะ


1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยปี 2569 และพลวัตใหม่แห่งการนำ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 นับเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของประเทศไทย ท่ามกลางบริบทของความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก (Global Economic Volatility) และความท้าทายภายในประเทศที่สะสมมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นกับดักรายได้ปานกลาง สังคมผู้สูงอายุ และความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล การแข่งขันครั้งนี้จึงมิใช่เพียงการต่อสู้เพื่อแย่งชิงเก้าอี้ในสภาฯ แต่เป็นการปะทะสังสรรค์กันของ "กระบวนทัศน์" (Paradigm) ในการบริหารจัดการรัฐ

พรรคเพื่อไทย ในฐานะสถาบันทางการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศมากว่าสองทศวรรษ ได้ประกาศยุทธศาสตร์ "ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้" เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 โดยมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 ท่าน ได้แก่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ 1 การปรากฏรายชื่อของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน หรือ "เชน" บุตรชายคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรีสมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และเป็นหลานของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นเพียงการส่งไม้ต่อทางสายเลือดตามธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองแบบดั้งเดิม (Dynastic Politics) แต่เป็นการนำเสนอ "อัตลักษณ์ใหม่" ของผู้นำที่มีพื้นฐานทางวิชาการและเทคโนโลยีขั้นสูง

ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน มีพื้นฐานความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) โดยเฉพาะงานวิจัยด้านการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface: BCI) และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ทางการแพทย์ 3 ประวัติการทำงานที่คลุกคลีกับวงการวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมระดับโลก รวมถึงบทบาทในการบริหารจัดการงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยมหิดล สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดที่เป็นระบบ (Systematic Thinking) และการมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม (Outcome-based Approach) ซึ่งแตกต่างจากนักการเมืองอาชีพทั่วไป

จุดที่น่าสนใจและเป็นแกนกลางของการวิเคราะห์ในรายงานฉบับนี้ คือการที่ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน ได้แนะนำหนังสือ 5 เล่ม ซึ่งเปรียบเสมือน "พิมพ์เขียวทางความคิด" (Intellectual Blueprint) ที่เขาจะนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน หนังสือเหล่านี้ประกอบด้วย The Startup Mindset, Leaders’ Wisdom, The Launch Pad: Inside Y Combinator, Designing Your Life, และ ให้ความสุขตามหาเรา การเลือกสรรหนังสือกลุ่มนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจาก "รัฐราชการ" (Bureaucratic Polity) ไปสู่ "รัฐนวัตกรรม" (Innovative State) ที่มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแม่นยำ

รายงานฉบับนี้จะทำการวิเคราะห์เจาะลึกเนื้อหาและปรัชญาจากหนังสือทั้ง 5 เล่ม เพื่อถอดรหัสออกมาเป็นกลยุทธ์การเมืองและแนวทางการบริหารประเทศ โดยจะเชื่อมโยงกับนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยในการขับเคลื่อน "3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ" (ภาคเกษตร, ภาคอุตสาหกรรมการผลิต, และภาคบริการ) 1 และบริบททางการเมืองในปี 2569 อย่างละเอียด เพื่อให้เห็นภาพรวมของทิศทางประเทศไทยภายใต้การนำของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีผู้นี้

2. การปฏิรูปรัฐราชการด้วยกระบวนทัศน์ "The Startup Mindset"

หนังสือ The Startup Mindset โดย ธนกฤษณ์ เสริมสุขสัน (Casper) นำเสนอหลักคิดสำคัญ 6 ประการ ได้แก่ คิดใหญ่ (Think Big), เริ่มไว (Start Fast), ใส่ใจ (Empathize), ทำไว (Act Fast), เล่นใหญ่ (Play Big), และ โตไว (Grow Fast) 6 การนำหลักการเหล่านี้มาประยุกต์ใช้กับกลไกของรัฐถือเป็นการท้าทายระบบราชการแบบเดิมอย่างถึงรากฐาน

2.1 "Think Big": การกำหนดวิสัยทัศน์ระดับ Moonshot

ในบริบทของสตาร์ทอัพ "การคิดใหญ่" หมายถึงการมองเห็นปัญหาและโอกาสในระดับที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกหรือพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างสิ้นเชิง (Disruption) มิใช่เพียงการปรับปรุงสินค้าเดิมเพียงเล็กน้อย 7 สำหรับยุทธศาสตร์ชาติในปี 2569 แนวคิดนี้สะท้อนผ่านเป้าหมายของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน ที่ต้องการพาประเทศไทยก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางไปสู่การเป็น "ประเทศรายได้สูง" (High-Income Nation) อย่างแท้จริง 1

การ "คิดใหญ่" ในทางการเมืองภายใต้กรอบคิดนี้ มีความหมายเชิงนัยยะที่ลึกซึ้ง:

  • การเปลี่ยนบทบาทของประเทศ: จากการเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตหรือผู้บริโภคเทคโนโลยี (Technology Consumer) ไปสู่การเป็นผู้สร้างและเจ้าของเทคโนโลยี (Technology Creator) 8 ซึ่งสอดคล้องกับพื้นฐานด้าน BCI และ Deep Tech ของตัวแคนดิเดตเอง

  • การกำหนดนโยบายเชิงโครงสร้าง: ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบปะผุ แต่เป็นการวางรากฐานใหม่ เช่น การประกาศให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมชีวการแพทย์แห่งเอเชีย (Biomedical Hub) ซึ่งเชื่อมโยงกับ SDG 3 (Good Health and Well-being) และ SDG 9 (Industry, Innovation, and Infrastructure) ที่ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน มีความเชี่ยวชาญ 3

2.2 "Start Fast & Act Fast": การทำลายกำแพง Red Tape ด้วย MVP

หัวใจสำคัญของความสำเร็จในโลกสตาร์ทอัพคือความเร็ว (Speed) หนังสือระบุชัดเจนว่า "การแก้ปัญหาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ต้องใช้วิธีแก้ปัญหาที่สามารถเริ่มได้เร็วที่สุด" และ "ไม่จำเป็นต้องเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้วค่อยนำเอา Feedback ลูกค้าไปปรับปรุง" 6 นี่คือจุดที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมองค์กรภาครัฐของไทยอย่างรุนแรงที่สุด ซึ่งมักเน้นความถูกต้องของระเบียบ (Compliance) และความสมบูรณ์แบบของเอกสารก่อนการลงมือทำ

กลยุทธ์ที่คาดว่าจะถูกนำมาใช้เพื่อเอาชนะอุปสรรคนี้ คือการนำแนวคิด Minimum Viable Product (MVP) มาใช้กับนโยบายสาธารณะ:

  • นโยบายต้นแบบ (Policy Prototyping): แทนที่จะรอการตรากฎหมายหรือแก้ไขระเบียบทั้งระบบซึ่งใช้เวลานาน รัฐบาลใหม่อาจใช้อำนาจบริหารในการกำหนดพื้นที่ทดลอง (Sandbox) ในจังหวัดนำร่อง เพื่อทดสอบนโยบายเศรษฐกิจใหม่ๆ เช่น การเปิดเสรีทางการเงิน หรือการทดลองระบบสวัสดิการรูปแบบใหม่

  • Regulatory Guillotine: การใช้ความเร็วในการ "ตัด" กฎระเบียบที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) โดยอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารที่เด็ดขาด เพื่อให้ภาคเอกชนและประชาชนสามารถ "เริ่มไว" ในการสร้างรายได้

2.3 "Empathize": จากประชานิยมสู่ Customer-Centric Policy

ในวงการสตาร์ทอัพ ความใส่ใจ (Empathize) ไม่ใช่ความสงสาร แต่คือความเข้าใจใน Pain Point ของลูกค้าอย่างลึกซึ้งเพื่อสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ 7 ในทางการเมือง แนวคิดนี้จะถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับนโยบายประชานิยม (Populism) ไปสู่ "นโยบายที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง" (Customer-Centric Public Policy)

การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญแทนที่สัญชาตญาณทางการเมืองแบบเดิม:

  • Data-Driven Empathy: การใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนแต่ละกลุ่ม (Segmentation) แทนการหว่านงบประมาณแบบเหมารวม (Universal Handout) ที่อาจไม่มีประสิทธิภาพ

  • Feedback Loops: การสร้างช่องทางที่ประชาชนสามารถส่งเสียงสะท้อนกลับมายังผู้ออกนโยบายได้โดยตรงและรวดเร็ว เพื่อให้นโยบายถูกปรับปรุง (Iterate) ได้ทันท่วงที สอดคล้องกับแนวคิดในหนังสือที่เน้นการฟังเสียงลูกค้า 9

ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบระหว่างกระบวนทัศน์ราชการเดิมกับแนวคิด The Startup Mindset

มิติการบริหารระบบราชการเดิม (Traditional Bureaucracy)แนวคิด The Startup Mindset (ในบริบทการเมือง)
เป้าหมายความมั่นคง, การทำตามระเบียบการเติบโตแบบก้าวกระโดด (Scale), Impact
กระบวนการวางแผนยาวนาน, เน้นความสมบูรณ์แบบทำต้นแบบ (MVP), ทดลอง, ปรับปรุง (Iterate)
ความเสี่ยงหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk Averse)บริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เพื่อเรียนรู้
การวัดผลงบประมาณที่ใช้ไป, จำนวนกิจกรรมผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ, ความพึงพอใจประชาชน
ความสัมพันธ์กับประชาชนผู้ปกครอง - ผู้ถูกปกครองผู้ให้บริการ - ผู้ใช้งาน (User/Customer)

3. การสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจใหม่ด้วยโมเดล "The Launch Pad: Inside Y Combinator"

หนังสือ The Launch Pad: Inside Y Combinator โดย Randall Stross ซึ่งบอกเล่าเบื้องลึกของ Y Combinator (YC) โรงเรียนบ่มเพาะสตาร์ทอัพอันดับหนึ่งของโลก 10 เป็นกุญแจสำคัญในการไขรหัสยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน โดยเฉพาะในนโยบายการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 3 เครื่องยนต์

3.1 รัฐบาลในฐานะ "Accelerator" ไม่ใช่แค่ "Regulator"

YC ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะการให้เงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่เพราะบทบาทในการเป็น "Accelerator" หรือผู้เร่งการเติบโต ที่ให้คำปรึกษาที่เข้มข้น การเชื่อมโยงเครือข่าย และการสร้างสภาพแวดล้อมที่กดดันให้เกิดความก้าวหน้า 12 ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน น่าจะนำโมเดลนี้มาปรับใช้กับบทบาทของภาครัฐ:

  • Incubation Model สำหรับ SMEs: เปลี่ยนหน่วยงานส่งเสริมวิสาหกิจจากการเป็นเพียงผู้ให้ทุนหรือจัดอบรมทั่วไป มาเป็น Mentor ที่เข้มข้น รัฐอาจจัดตั้งโปรแกรมบ่มเพาะธุรกิจเกษตร (AgTech) และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่มีมาตรฐานระดับโลก โดยดึงผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนมาเป็น Mentor แทนข้าราชการ

  • Demo Day ภาครัฐ: YC มีวัน Demo Day ที่สตาร์ทอัพนำเสนอผลงานต่อนักลงทุน 10 ภาครัฐอาจจัดเวทีลักษณะนี้เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยในต่างจังหวัดได้นำเสนอสินค้าหรือนวัตกรรมต่อนักลงทุนต่างชาติโดยตรง โดยรัฐทำหน้าที่เป็น Platform อำนวยความสะดวก

3.2 ปรัชญา "Make Something People Want"

คติพจน์ของ YC คือ "Make something people want" (จงทำสิ่งที่ผู้คนต้องการ) 10 ปรัชญานี้เรียบง่ายแต่ทรงพลังเมื่อนำมาใช้กับการเมืองและนโยบายสาธารณะ

  • Demand-Driven Policy: นโยบาย 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ (เกษตร, อุตสาหกรรม, บริการ) ต้องถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการของตลาดโลก (Global Demand) ไม่ใช่การผลิตนำ (Supply-Driven) เช่น ในภาคเกษตร รัฐจะไม่สนับสนุนให้ปลูกพืชที่ล้นตลาด แต่จะใช้ข้อมูลชี้เป้าความต้องการสินค้าเกษตรมูลค่าสูง (High Value Crop) และสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อการแปรรูป

  • การวัดผลที่ Adoption: ความสำเร็จของนโยบายจะไม่วัดที่จำนวนกฎหมายที่ออกมา แต่วัดที่จำนวนประชาชนที่ "ใช้งาน" นโยบายนั้นจริง และได้รับประโยชน์จริง หากนโยบายใดที่ประชาชนไม่ตอบรับ รัฐบาลต้องกล้าที่จะ "Pivot" หรือเปลี่ยนทิศทางทันที เหมือนกับสตาร์ทอัพ 15

3.3 วัฒนธรรม "Code and Talk to Users"

ผู้ก่อตั้ง YC อย่าง Paul Graham มักแนะนำให้สตาร์ทอัพโฟกัสแค่สองอย่าง: เขียนโค้ด (สร้างผลิตภัณฑ์) และคุยกับผู้ใช้ 15 สิ่งอื่นคือกิจกรรมที่เสียเวลา (Distractions)

  • การลดพิธีกรรมทางการเมือง: ยุทธศาสตร์นี้บ่งชี้ว่า ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน อาจพยายามลดภารกิจเชิงพิธีกรรมของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีลง เพื่อให้มีเวลาโฟกัสกับการ "สร้างผลงาน" (Code) และ "ลงพื้นที่ฟังปัญหา" (Talk to Users) มากขึ้น

  • Direct Engagement: การตัดตัวกลาง (Middleman) ในการสื่อสาร การใช้เทคโนโลยีเพื่อสื่อสารกับประชาชนโดยตรง ลดการพึ่งพารายงานจากระบบราชการที่อาจมีการบิดเบือนหรือล่าช้า

3.4 การคัดเลือกทีมงานแบบ YC: ทีมสำคัญกว่าไอเดีย

YC มักเลือกลงทุนใน "ทีม" มากกว่า "ไอเดีย" เพราะไอเดียเปลี่ยนได้แต่ทีมที่ดีจะหาทางรอดได้เสมอ 12

  • Cabinet Selection: ในการจัดตั้งรัฐบาล นัยยะนี้คือการเลือกคณะรัฐมนตรีที่มีความสามารถในการแก้ปัญหา (Problem Solvers) และทำงานร่วมกันได้ดี (Cohesion) มากกว่าการเลือกตามโควตาทางการเมืองแบบดั้งเดิม ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน อาจมองหา Technocrat หรือคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะเฉพาะด้านเข้ามาร่วมทีมบริหาร

4. ภูมิปัญญาผู้นำและการบริหารคนในยุค Disruption จาก "Leaders’ Wisdom"

หนังสือ Leaders’ Wisdom โดย กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ซึ่งรวบรวมบทสัมภาษณ์และข้อคิดจากผู้นำชั้นแนวหน้าของไทย 17 ทำหน้าที่เป็นคู่มือด้าน Soft Skills และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM) ในระดับมหภาค

4.1 "ทำงานสำเร็จ" vs "ทำงานเสร็จ"

หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดจากหนังสือคือความแตกต่างระหว่าง "การทำงานเสร็จ" (Task Completion) กับ "การทำงานสำเร็จ" (Achievement of Goals) 19

  • KPI ปฏิรูป: ระบบราชการไทยมักติดกับดักของการ "ทำงานเสร็จ" คือการทำตามระเบียบครบถ้วน แต่ผลลัพธ์อาจไม่เกิด ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ การประเมินผลงานของหน่วยงานรัฐจะถูกรื้อระบบใหม่ ให้มุ่งเน้นที่ Outcome และ Impact ตัวอย่างเช่น กรมส่งเสริมการเกษตรจะไม่ถูกวัดผลด้วยจำนวนครั้งที่จัดอบรม (เสร็จ) แต่วัดด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจริงของเกษตรกรที่ผ่านการอบรม (สำเร็จ)

4.2 การบริหารจัดการ "Middle Management"

หนังสือให้ความสำคัญกับ "ผู้บริหารระดับกลาง" (Middle Management) ว่าเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของวัฒนธรรมองค์กร 20 ในบริบทของรัฐบาล ผู้บริหารระดับกลางคือ ข้าราชการระดับผู้อำนวยการกอง หรือซี 8-9 ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ

  • Empowerment: ยุทธศาสตร์ของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน จะไม่สามารถขับเคลื่อนได้หากขาดการร่วมมือจากกลุ่มนี้ การบริหารงานจึงต้องเน้นการสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration) และการให้เครื่องมือ/เทคโนโลยีที่ช่วยให้ข้าราชการทำงานง่ายขึ้น ไม่ใช่การสั่งการแบบ Top-Down เพียงอย่างเดียว

  • Culture Transformation: การสร้างวัฒนธรรมที่อนุญาตให้ล้มเหลวได้ (ในขอบเขตที่ควบคุม) เพื่อกระตุ้นให้ข้าราชการกล้าคิดกล้าทำนวัตกรรมใหม่ๆ 20

4.3 Resilience: ตุ๊กตาล้มลุกทางการเมือง

หนังสือพูดถึงการเป็น "ตุ๊กตาล้มลุก" และแนวคิดที่ว่า "ความล้มเหลวทำให้แข็งแกร่งขึ้น" 19

  • บริบททางการเมือง: ตระกูลวงศ์สวัสดิ์และชินวัตรเผชิญมรสุมทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ทั้งการรัฐประหารและการยุบพรรค 1 ข้อคิดนี้สะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางจิตใจ (Mental Resilience) ที่จำเป็นสำหรับผู้นำในการนำพาประเทศฝ่าวิกฤตความขัดแย้ง การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทางกฎหมายหรือเกมการเมือง แต่เรียนรู้และปรับตัวเพื่อหาช่องทางใหม่ในการขับเคลื่อนนโยบาย

5. การออกแบบอนาคตประเทศด้วย "Designing Your Life"

หนังสือ Designing Your Life โดย Bill Burnett และ Dave Evans จาก Stanford d.school นำเสนอกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เพื่อแก้ปัญหาชีวิตที่ซับซ้อน 22 เมื่อนำมาประยุกต์ใช้ในระดับชาติ นี่คือเครื่องมือในการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ทรงพลัง

5.1 Odyssey Plans: ยุทธศาสตร์ชาติที่ยืดหยุ่น

หนังสือแนะนำให้เขียน "Odyssey Plans" หรือแผนชีวิต 3 รูปแบบสำหรับ 5 ปีข้างหน้า 24:

  1. แผน 1 (Expected Path): สิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบัน

  2. แผน 2 (Alternative Path): สิ่งที่จะทำถ้าแผน 1 ทำไม่ได้

  3. แผน 3 (Wild Card Path): สิ่งที่จะทำถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องเงินหรือภาพลักษณ์

การประยุกต์ใช้ระดับชาติ: แทนที่จะยึดติดกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่แข็งตัวและล้าสมัย ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน อาจนำเสนอแผนพัฒนาประเทศแบบ Scenario Planning:

  • Scenario A: การเติบโตตามเป้าหมายด้วย 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลัก

  • Scenario B: แผนรองรับกรณีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกหรือสงครามการค้า (Trade War) โดยเน้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

  • Scenario C: แผนการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่ (Moonshot) หากสามารถแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคได้สำเร็จ

5.2 Reframing: การมองปัญหาในมุมใหม่

Design Thinking เน้นการ "Reframe" หรือปรับมุมมองต่อปัญหา 26

  • ตัวอย่างนโยบาย:

    • Dysfunctional Belief: "เกษตรกรยากจนเพราะราคาพืชผลตกต่ำ" -> Reframe: "เกษตรกรยากจนเพราะขายแต่วัตถุดิบ ไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์แปรรูป"

    • Dysfunctional Belief: "เด็กไทยโง่เพราะการศึกษาไม่ดี" -> Reframe: "ระบบการศึกษาไม่สอดคล้องกับความถนัดที่หลากหลายของเด็ก"

  • การ Reframe จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและสร้างสรรค์กว่าเดิม เช่น แทนที่จะประกันราคาพืชผล (แก้ปลายเหตุ) รัฐอาจทุ่มงบวิจัยและเครื่องจักรแปรรูปให้ชุมชน (แก้ต้นเหตุแบบ YC Style)

5.3 Prototyping: การทดลองเพื่อเรียนรู้

เชื่อมโยงกับแนวคิด Startup การออกแบบชีวิตเน้นการทำ "Prototyping" หรือการทดลองประสบการณ์ 22

  • Policy Labs: การตั้งหน่วยงาน "ห้องปฏิบัติการนโยบาย" ที่ทำหน้าที่ออกแบบและทดสอบโมเดลการแก้ปัญหาสังคมในสเกลเล็กๆ ก่อนจะขยายผล (Scale Up) ทั่วประเทศ วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงของความล้มเหลวระดับมหภาค และประหยัดงบประมาณแผ่นดิน

6. มิติแห่งความสุขและการสื่อสารเชิงบวกจาก "ให้ความสุขตามหาเรา"

หนังสือ ให้ความสุขตามหาเรา โดย หนุ่มเมืองจันท์ เติมเต็มมิติของ "Human Touch" หรือความเป็นมนุษย์ให้กับยุทธศาสตร์ที่ดูจะเน้นเทคโนโลยีและประสิทธิภาพ 27

6.1 Gross National Happiness (GNH) ควบคู่ GDP

แม้เป้าหมายหลักคือการเพิ่ม GDP และรายได้ 1 แต่หนังสือเล่มนี้เตือนสติเรื่อง "ความสุข" และ "สมดุลชีวิต" 28

  • Well-being Economy: นโยบายสาธารณสุขและการบริการ (Service Sector) จะไม่ถูกมองเป็นเพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่จะถูกออกแบบโดยคำนึงถึงสุขภาพจิต (Mental Health) และคุณภาพชีวิตของประชาชน การพัฒนาระบบ BCI หรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ 3 จะมุ่งเน้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ให้พวกเขามีความสุขและพึ่งพาตนเองได้

6.2 การสื่อสารทางการเมืองเชิงบวก (Positive Campaigning)

สไตล์การเขียนของหนุ่มเมืองจันท์คือการเล่าเรื่องที่ให้กำลังใจ มองโลกในแง่ดี และสร้างแรงบันดาลใจ 27

  • Tone of Voice: ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจยังคุกรุ่น กลยุทธ์การสื่อสารของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน จะมุ่งเน้นการสร้าง "ความหวัง" (Hope) และ "ความเป็นไปได้" (Possibility) มากกว่าการโจมตีคู่แข่ง หรือการสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) การใช้เรื่องเล่า (Storytelling) ที่สัมผัสใจคน จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดกลุ่มพลังเงียบ (Swing Voters)

6.3 "อย่าตัดสินคนด้วยเรื่องเล่าเรื่องเดียว"

ข้อคิดจากหนังสือที่ว่า "อย่าตัดสินคนด้วยเรื่องเล่าเพียงเรื่องเดียว" 28 อาจถูกนำมาใช้เพื่อลดทอนอคติทางการเมืองที่มีต่อตระกูลชินวัตรและวงศ์สวัสดิ์ โดยขอโอกาสให้ประชาชนมองที่ "ความสามารถ" และ "วิสัยทัศน์" ของตัวบุคคล มากกว่าตัดสินจากนามสกุลหรืออดีต

7. บทสังเคราะห์: โมเดล "Yodchanan 2026" และนัยยะต่ออนาคตประเทศไทย

จากการวิเคราะห์หนังสือทั้ง 5 เล่มอย่างละเอียด สามารถสังเคราะห์ออกมาเป็น "โมเดลการบริหารรัฐกิจแบบผสมผสาน" (The Hybrid Governance Model) ที่ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ จะใช้เป็นอาวุธหลักในการสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 ดังแสดงในตารางที่ 2

ตารางที่ 2: การบูรณาการหนังสือ 5 เล่มสู่นโยบาย 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ

หนังสือ (The Book)หลักการ (Key Concept)การประยุกต์ใช้กับ 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ (Agriculture, Industry, Services)
The Startup MindsetThink Big, Act Fast, Empathizeเกษตร: คิดใหญ่ด้วยการแปรรูปสู่ตลาดโลก, ทำไวด้วย Smart Farming, เข้าใจ Pain Point เกษตรกร
The Launch Pad (YC)Accelerator, Make Something People Wantอุตสาหกรรม: รัฐเป็น Accelerator ดึงดูด Tech Investment, สร้าง Supply Chain ที่โลกต้องการ
Designing Your LifeDesign Thinking, Prototypingบริการ: ออกแบบ Experience Tourism ใหม่, ทดลอง Sandbox การท่องเที่ยวเมืองรอง
Leaders’ WisdomWork Successful, People Managementกลไกขับเคลื่อน: ปฏิรูประบบราชการให้ทำงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ ปลดล็อค Middle Management
ให้ความสุขตามหาเราHappiness, Positive Thinkingเป้าหมายสูงสุด: เศรษฐกิจโตควบคู่ความสุข, การกระจายรายได้, การสื่อสารที่สร้างความหวัง

ความเชื่อมโยงกับบริบทการเมืองปี 2569

การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง "ความเก่า" กับ "ความใหม่" แต่ความใหม่ของ ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน ไม่ใช่ความใหม่แบบไร้รากฐาน (Disruptive without Roots) แต่เป็นความใหม่ที่ผสมผสานระหว่าง:

  1. Technocracy: ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม (สะท้อนผ่านประวัติส่วนตัวและหนังสือแนว Tech/Startup)

  2. Legacy: ฐานเสียงและประสบการณ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยและครอบครัว

  3. Modern Management: แนวคิดการบริหารจัดการสมัยใหม่จากหนังสือทั้ง 5 เล่ม

ความท้าทายและข้อควรระวัง

แม้โมเดลนี้จะดูสมบูรณ์ในเชิงทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติมีความท้าทายสำคัญที่ต้องระวัง:

  • Culture Shock: การนำวัฒนธรรม Startup และ YC ที่รวดเร็วและดุดัน มาใช้กับระบบราชการไทยที่มีความเฉื่อยสูง อาจเกิดแรงต้านทาน (Resistance to Change) ที่รุนแรง

  • Inclusivity: การมุ่งเน้น High-Tech และ Growth Mindset อาจทำให้กลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน (Digital Divide) รู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จำเป็นต้องใช้นโยบาย "Empathize" จาก The Startup Mindset และแนวคิดความสุขจาก ให้ความสุขตามหาเรา มาเยียวยาและประคับประคอง

โดยสรุป ยุทธศาสตร์จากหนังสือทั้ง 5 เล่ม ชี้ให้เห็นว่า ศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ กำลังวางตำแหน่งตัวเองเป็น "CEO ของประเทศไทย" ที่พร้อมจะ De-bug (แก้ไขจุดบกพร่อง) ระบบเก่า และ Install (ติดตั้ง) ระบบปฏิบัติการใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถประมวลผลและตอบสนองต่อโลกอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การเลือกตั้งปี 2569 จึงไม่ใช่แค่การเลือกนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการเลือกว่าประเทศไทยจะกล้าพอที่จะ "Reboot" ตัวเองด้วยวิธีคิดแบบใหม่นี้หรือไม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขอให้ชนะมารทั้งปวง ดร.นิยม เวชกามารับพรจาก สมเด็จพระมหาธีราจารย์

วิเคราะห์พลวัตความสัมพันธ์เชิงอำนาจและสัญญะทางการเมืองระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา กับสมเด็จพระมหาธีราจารย์: นัยยะต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนร...