วิเคราะห์สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ผู้ร่วมสร้างขอนแก่นโมเดล บนถนนเลือกตั้งปี 2569: จากนวัตกรรมท้องถิ่นสู่ยุทธศาสตร์ Restart Thailand
บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยในรอยต่อแห่งยุคสมัยและวิกฤตโครงสร้าง
ท่ามกลางกระแสธารแห่งความเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกรากของโลกในศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจ การเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 มิได้เป็นเพียงกระบวนการทางนิติบัญญัติเพื่อสรรหาตัวแทนเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรตามวาระปกติ หากแต่เป็นสมรภูมิทางอุดมการณ์ที่แหลมคมระหว่าง "จารีตแห่งการรวมศูนย์อำนาจ" (Centralized Bureaucracy) ที่ครอบงำโครงสร้างรัฐไทยมายาวนาน กับ "พลังแห่งการกระจายอำนาจและนวัตกรรมท้องถิ่น" (Decentralized Innovation) ที่กำลังก่อตัวขึ้นจากฐานราก ในบริบทนี้ การปรากฏตัวของ นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย (Suradech Taweesaengsakulthai) นักธุรกิจผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ "ขอนแก่นโมเดล" (Khon Kaen Model) ในฐานะแกนนำทีมเศรษฐกิจของพรรคไทยสร้างไทย จึงมิใช่เหตุการณ์ปกติ หากแต่เป็น "สัญญาณ" (Signal) ที่บ่งบอกถึงการเคลื่อนตัวของกลุ่มเทคโนแครตและนักธุรกิจท้องถิ่น (Local Entrepreneurs) เข้าสู่พื้นที่การเมืองระดับชาติ เพื่อท้าทายและรื้อถอนโครงสร้างอุปสรรคที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ
รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึก (In-depth Analysis) ถึงพลวัต บทบาท และนัยสำคัญทางการเมืองของนายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย โดยจะถอดรหัสกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากความสำเร็จในระดับจังหวัดสู่การกำหนดนโยบายระดับชาติ ภายใต้กรอบคิด "Restart Thailand" การศึกษาจะครอบคลุมถึงรากฐานทางความคิดจากภาคธุรกิจ การต่อสู้เพื่อสิทธิในการจัดการตนเองของท้องถิ่นผ่านกลไกบริษัทพัฒนาเมือง (City Development Company) และการนำเสนอนโยบายแก้ปัญหาปากท้องที่มุ่งเน้นการ "ปลดล็อก" และ "สร้างพลัง" ให้กับคนตัวเล็ก การวิเคราะห์นี้จะวางอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเชิงประจักษ์ ทฤษฎีรัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์การเมือง เพื่อฉายภาพให้เห็นว่า ในการเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง โมเดลการพัฒนาแบบ "ขอนแก่น" จะสามารถขยายผล (Scale Up) เพื่อเป็นทางออกให้กับวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยได้หรือไม่ และนายสุรเดชจะมีบทบาทอย่างไรในการกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศ ท่ามกลางความท้าทายจากโครงสร้างอำนาจเก่าและพลวัตของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่
1.1 วิกฤตการณ์ซ้อนทับและกับดักการพัฒนาของไทย
ก่อนที่จะเจาะลึกถึงบทบาทของปัจเจกบุคคล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจบริบทมหภาคที่รายล้อมการเลือกตั้งปี 2569 ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะ "กับดักรายได้ปานกลาง" (Middle-Income Trap) มานานกว่าสองทศวรรษ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นแตะระดับวิกฤต ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก
1.2 การอุบัติขึ้นของ 'รัฐประศาสนโนบายแบบผู้ประกอบการ' (Entrepreneurial Governance)
ในสภาวะที่รัฐราชการไม่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในท้องถิ่นจึงเริ่มแสวงหาทางออกด้วยตนเอง ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับแนวคิด "Entrepreneurial Urbanism" หรือความเป็นเมืองแบบผู้ประกอบการ ที่เมืองต่างๆ พยายามสร้างความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุนด้วยตนเอง กรณีศึกษาของ "ขอนแก่นโมเดล" คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของแนวคิดนี้ นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย และกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจในขอนแก่น ได้ลุกขึ้นมาปฏิเสธการรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลาง และริเริ่มสร้างกลไกการพัฒนาเมืองด้วยทรัพยากรและการระดมทุนของตนเอง
2. รากฐานทางภูมิปัญญาและการกระทำ: ถอดรหัส 'ขอนแก่นโมเดล' (Khon Kaen Model)
เพื่อที่จะเข้าใจวิสัยทัศน์ทางการเมืองของนายสุรเดช จำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณา "ผลงานเอก" ที่เป็นรากฐานของความน่าเชื่อถือทางการเมืองของเขา นั่นคือ "ขอนแก่นโมเดล" ซึ่งไม่ใช่เพียงโครงการก่อสร้าง แต่เป็นนวัตกรรมทางสถาบัน (Institutional Innovation) ที่สั่นสะเทือนโครงสร้างอำนาจรัฐรวมศูนย์
2.1 กำเนิดจากวิกฤต: การรวมตัวของกลุ่มทุนท้องถิ่นและประชาสังคม
จุดเริ่มต้นของขอนแก่นโมเดลเกิดจากความตระหนักรู้ร่วมกันของภาคเอกชนในจังหวัดขอนแก่นว่า การรอคอยงบประมาณจากส่วนกลางเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากและล่าช้าเกินกว่าจะรองรับการเติบโตของเมืองได้ นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ร่วมกับแกนนำนักธุรกิจท้องถิ่นอีก 19 ราย หรือที่รู้จักในนาม "20 ตระกูลแซ่" ได้ร่วมกันก่อตั้ง "บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง (เคเคทีที) จำกัด" (Khon Kaen City Development - KKTT) ขึ้นในปี 2558 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 200 ล้านบาท
การจัดตั้ง KKTT ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการรวมตัวของกลุ่มทุนท้องถิ่นในรูปแบบนิติบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาสาธารณูปโภค ไม่ใช่เพื่อแสวงหากำไรสูงสุดส่วนตน แต่เพื่อสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการเติบโตของเมืองในระยะยาว การกระทำนี้สะท้อนถึงแนวคิด "ท้องถิ่นนิยมเชิงรุก" (Proactive Localism) ที่มองว่าเมืองที่แข็งแรงจะนำมาซึ่งธุรกิจที่ยั่งยืน
ตารางที่ 1: โครงสร้างผู้ถือหุ้นและการขับเคลื่อนของ KKTT (Khon Kaen Think Tank)
| กลุ่มผู้ก่อตั้ง (Founder) | บทบาทและสถานะทางสังคม | เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ |
| นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย | ผู้บริหาร บมจ. ช ทวี (CHO) และแกนนำทางความคิด | นำความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและตลาดทุนมาใช้ในการออกแบบโครงการและระดมทุน |
| กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ | เจ้าของโรงแรมและศูนย์การค้าในท้องถิ่น | สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดิน (Land Value Capture) ผ่านการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่ง (TOD) |
| กลุ่มธุรกิจค้าปลีกและบริการ | ผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีรากฐานยาวนาน | ต้องการระบบขนส่งมวลชนเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของผู้คนและเศรษฐกิจเมือง |
| นักวิชาการและมหาวิทยาลัยขอนแก่น | คณาจารย์และนักวิจัย (เช่น รศ.ดร.รวี หาญเผชิญ) | สนับสนุนข้อมูลวิชาการ งานวิจัย และสร้างความชอบธรรม (Legitimacy) ให้กับโครงการ |
2.2 นวัตกรรมทางการเงินและกฎหมาย: หัวใจของโมเดล
ความโดดเด่นที่สุดของขอนแก่นโมเดลไม่ใช่เทคโนโลยีรถไฟฟ้า แต่คือ "วิศวกรรมทางการเงิน" (Financial Engineering) และ "วิศวกรรมทางกฎหมาย" ที่นายสุรเดชและคณะได้บุกเบิกไว้
บริษัท ขอนแก่น ทรานซิท ซิสเต็ม จำกัด (KKTS): เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการสาธารณะได้ตามกฎหมาย KKTT ได้ผลักดันให้ 5 เทศบาลในจังหวัดขอนแก่น รวมตัวกันจัดตั้งบริษัทวิสาหกิจของเทศบาล ชื่อว่า KKTS ซึ่งได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยให้เป็นผู้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้ารางเบา (LRT)
5 นี่คือนวัตกรรมทางกฎหมายที่ทำให้ท้องถิ่นมี "นิติบุคคล" ของตนเองในการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องรอ กทม. หรือ รฟม.การระดมทุนผ่านตลาดทุน (Capital Market): นายสุรเดชมีวิสัยทัศน์ที่จะไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่จะระดมทุนผ่าน "กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน" (Infrastructure Fund) และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนชาวขอนแก่นได้ร่วมเป็นเจ้าของ แนวคิดนี้เป็นการกระจายความมั่งคั่งและสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Sense of Ownership) ที่แท้จริง
2
2.3 จาก LRT สู่ Smart City และ MICE City
ภายใต้วิสัยทัศน์ของนายสุรเดช ขอนแก่นโมเดลได้ขยายขอบเขตจากการแก้ปัญหาจราจร (Smart Mobility) ไปสู่การเป็น "Smart City" เต็มรูปแบบ ซึ่งได้รับการรับรองเป็นเมืองอัจฉริยะนำร่องของประเทศ
Smart Mobility: โครงการรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายสีแดง ซึ่งเป็นโครงการ Flagship ที่ใช้เทคโนโลยีที่ผลิตและประกอบในประเทศ (Local Content) เพื่อลดการนำเข้าและสร้างงานในพื้นที่
10 MICE City: การส่งเสริมให้ขอนแก่นเป็นศูนย์กลางการประชุมและสัมมนา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ
Medical Hub: การยกระดับบริการทางการแพทย์ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุและผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้าน
การขับเคลื่อนเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างรัฐ (เทศบาล) เอกชน (KKTT) และวิชาการ (มข.) หรือที่เรียกว่า "Triple Helix Model" ซึ่งเป็นปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้นายสุรเดชได้รับการยอมรับในฐานะนักบริหารการพัฒนา (Development Administrator) ที่มีฝีมือ
3. สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย: จาก CEO วิสัยทัศน์ไกลสู่ 'Technocrat' ทางการเมือง
การวิเคราะห์ตัวตนและภูมิหลังของนายสุรเดชมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจสไตล์การทำงานและนโยบายที่เขานำเสนอ นายสุรเดชไม่ได้เติบโตมาในสายตระกูลนักการเมืองดั้งเดิม แต่เติบโตมาในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและต้องปรับตัวต่อนวัตกรรมตลอดเวลา
3.1 ภูมิหลังทางธุรกิจและดีเอ็นเอของนวัตกร (Innovator DNA)
นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) (CHO)
วิสัยทัศน์ระดับโลก (Global Mindset): การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และความพยายามในการเชื่อมโยงกับตลาดทุนโลกผ่านการลงทุนในบริษัท Arogo Capital Acquisition Corp. (AROGO) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ของสหรัฐอเมริกา ในรูปแบบ SPAC (Special Purpose Acquisition Company)
13 แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความเข้าใจในกลไกการเงินระดับสูง ซึ่งหาได้ยากในหมู่นักการเมืองไทยความสนใจในเทคโนโลยีอนาคต (Deep Tech): นายสุรเดชให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (EV), ยานยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicles), และเทคโนโลยีหุ่นยนต์
15 สิ่งนี้สะท้อนว่าเขามองเห็น "Technology Disruption" เป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาสธรรมาภิบาลและการต่อต้านคอร์รัปชัน: ในฐานะผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน นายสุรเดชประกาศนโยบายต่อต้านการคอร์รัปชันอย่างชัดเจน ภายใต้สโลแกน "คนพันธุ์ ช. เชิดชูคนซื่อสัตย์ ขจัดคนโกงกิน"
17 ซึ่งกลายเป็นฐานคิดสำคัญเมื่อเขาก้าวเข้าสู่การเมือง โดยมองว่าการคอร์รัปชันคือต้นทุนแฝงที่ทำลายความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
3.2 จุดเปลี่ยนสู่สนามการเมือง: ความคับข้องใจต่อระบบราชการ
แม้จะประสบความสำเร็จในภาคธุรกิจ แต่การผลักดัน "ขอนแก่นโมเดล" ทำให้นายสุรเดชต้องเผชิญหน้ากับกำแพงมหึมาของ "รัฐราชการรวมศูนย์" โครงการ LRT ที่ควรจะเกิดขึ้นได้เร็ว กลับต้องล่าช้าออกไปหลายปีเนื่องจากขั้นตอนการอนุมัติที่ซับซ้อน การตีความกฎหมายที่ขัดแย้งกันของหน่วยงานรัฐ และการขาดอำนาจตัดสินใจที่เบ็ดเสร็จของท้องถิ่น 18
บทเรียนราคาแพงนี้ทำให้นายสุรเดชตระหนักว่า การพัฒนาเมืองหรือประเทศให้สำเร็จ ไม่สามารถทำได้เพียงแค่มีเงินหรือเทคโนโลยี แต่ต้องมีการ "แก้ไขกฎหมาย" และ "รื้อโครงสร้างอำนาจ" ที่เป็นอุปสรรค เขาเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าข้างบนได้เห็นโมเดลขอนแก่น เขาจะเริ่มคิดแล้วว่า ถ้ามันทำสำเร็จ นักการเมืองแทบจะไม่มีที่ยืนเลยนะ" 4 คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในพลวัตอำนาจ และเป็นแรงผลักดันให้เขาตัดสินใจเข้าสู่การเมืองระดับชาติเพื่อไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
4. ยานพาหนะทางการเมือง: พรรคไทยสร้างไทยและการเปิดตัว
การเลือกสังกัดพรรคการเมืองเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญ สำหรับนายสุรเดช การเข้าร่วมงานกับ พรรคไทยสร้างไทย (Thai Sang Thai Party) ภายใต้การนำของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ถือเป็นการจับคู่ที่น่าสนใจและมีนัยสำคัญทางยุทธศาสตร์
4.1 การเปิดตัวและบทบาทแม่ทัพเศรษฐกิจ
นายสุรเดชเปิดตัวกับพรรคไทยสร้างไทยในฐานะ "ผู้บริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจ" และได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญในการกำกับดูแล นโยบายเศรษฐกิจและความยั่งยืนของประเทศ
4.2 ทำไมต้องไทยสร้างไทย? : ทางเลือกที่สาม (The Third Way)
ในภูมิทัศน์การเมืองที่แบ่งขั้วอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม พรรคไทยสร้างไทยพยายามวางตำแหน่งตัวเองเป็น "ทางเลือกที่สาม" หรือ "SME-Centric Liberalism" ที่เน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องด้วยแนวทางเสรีนิยมที่ใส่ใจคนตัวเล็ก
ความสอดคล้องทางอุดมการณ์: แนวคิดของนายสุรเดชเรื่อง "การสร้างรายได้" และ "การปลดปล่อยพันธนาการจากรัฐ" สอดคล้องกับนโยบายหลักของพรรคที่ต้องการ "Liberate" และ "Empower" ประชาชน
21 พื้นที่สำหรับการทำงาน: พรรคไทยสร้างไทยให้พื้นที่นายสุรเดชในการนำเสนอโมเดลการพัฒนาแบบใหม่ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมพรรคการเมืองเก่าที่เน้นระบบอุปถัมภ์ ทำให้เขาสามารถผลักดันแนวคิด Restart Thailand ได้อย่างเต็มที่
5. นโยบายแก้ปากท้องและวิสัยทัศน์ Restart Thailand: จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ
หัวใจสำคัญของการหาเสียงและการเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งปี 2569 คือชุดนโยบายที่นายสุรเดชและทีมงานพรรคไทยสร้างไทยได้พัฒนาขึ้น ซึ่งมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่าการแจกเงินแบบประชานิยมระยะสั้น
5.1 ยุทธศาสตร์ Restart Thailand: สร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่
"Restart Thailand" ในมุมมองของนายสุรเดช คือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศจากการพึ่งพาเครื่องยนต์เก่าที่กำลังมอดดับ (เช่น การส่งออกสินค้ามูลค่าต่ำ, การเกษตรแบบดั้งเดิม) ไปสู่เครื่องยนต์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี
การขยายผลขอนแก่นโมเดล (Scaling Up): นายสุรเดชมีแผนที่จะนำบทเรียนความสำเร็จ (และบทเรียนจากความล้มเหลว) ของขอนแก่นโมเดล ไปประยุกต์ใช้กับจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้าง "เมืองเศรษฐกิจใหม่" (New Economic Cities) ที่มีอำนาจในการบริหารจัดการตนเอง ลดการพึ่งพากรุงเทพฯ และสร้างงานในพื้นที่
2 การเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain): การใช้ประสบการณ์ด้านโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ ผลักดันให้ผู้ประกอบการไทย (SMEs) สามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้ โดยการยกระดับมาตรฐานสินค้าและการใช้ Digital Platform
5.2 นโยบายดูแลคนตัวเล็ก: Liberate & Empower
นี่คือนโยบายเรือธง (Flagship Policy) ที่นายสุรเดชใช้ในการสื่อสารกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และประชาชนฐานราก
Liberate (ปลดล็อก): การทำสงครามกับกฎระเบียบที่ล้าหลัง (Regulatory Guillotine) นายสุรเดชและพรรคไทยสร้างไทยประกาศที่จะ "แขวน" หรือระงับการบังคับใช้กฎหมายกว่า 1,000 ฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน ทั้งขั้นตอนการขอใบอนุญาตที่ซับซ้อนและการตรวจสอบที่ซ้ำซ้อน
22 นี่คือการนำแนวคิด "Ease of Doing Business" มาใช้อย่างเข้มข้น เพื่อให้คนตัวเล็กสามารถลืมตาอ้าปากได้โดยไม่ถูกรัฐรังแกEmpower (เติมพลัง): การเติมทุนและทักษะให้กับประชาชน มาตรการสำคัญได้แก่:
กองทุนเครดิตประชาชน (People's Credit Fund): หรือ "กองทุนคนตัวเล็ก" เพื่อให้ประชาชนที่เข้าไม่ถึงระบบธนาคารสามารถกู้ยืมเงินไปประกอบอาชีพได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่กัดกินสังคมไทย
22 กองทุนสร้างไทย (Build Thailand Fund): สนับสนุน SMEs และ Startups ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) เพื่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
5.3 ยุทธศาสตร์รับมือ 5 คลื่นยักษ์ (5 Tsunamis Strategy)
นายสุรเดชและทีมยุทธศาสตร์ได้วิเคราะห์ความท้าทายของโลกอนาคตผ่านกรอบคิด "5 คลื่นยักษ์" ที่กำลังถาโถมเข้าใส่ประเทศไทย และเตรียมมาตรการรับมือไว้ดังนี้
คลื่น Disruption ทางเทคโนโลยี: ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และสนับสนุนการใช้ AI/Automation ในภาคอุตสาหกรรม
คลื่นวิกฤตสิ่งแวดล้อม (Climate Change): ผลักดันเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และ BCG Model อย่างจริงจัง โดยใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
คลื่นสังคมผู้สูงวัย (Aging Society): นโยบาย "บำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท" เพื่อรองรับผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
26 คลื่นความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์: วางตำแหน่งประเทศไทยเป็น "Food Bank" หรือแหล่งความมั่นคงทางอาหารของโลก โดยใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และการเกษตร
23 คลื่นวิกฤตสุขภาพและโรคระบาด: ยกระดับระบบสาธารณสุขและการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึง
5.4 นโยบายแก้หนี้ สร้างรายได้ (Debt Resolution & Income Creation)
ท่ามกลางวิกฤตหนี้ครัวเรือน นายสุรเดชเสนอแนวทาง "แก้หนี้ด้วยการสร้างรายได้"
กองทุนฟื้นฟูหนี้เสีย: ช่วยเหลือลูกหนี้รหัส 21 (ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19) ให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ โดยพักชำระหนี้และดอกเบี้ย
การสร้างรายได้ใหม่: สนับสนุนเกษตรกรให้แปรรูปสินค้าเกษตรและขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้ที่ยั่งยืน
28
6. วิเคราะห์สมรภูมิเลือกตั้ง 2569: โอกาส ความท้าทาย และบทบาทของ Kingmaker
การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับนายสุรเดชและโมเดลการเมืองใหม่ที่เขานำเสนอ ภูมิทัศน์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อน
6.1 พลวัตของประชากร: พลังของ Gen Z และ Gen Y
ข้อมูลสถิติชี้ให้เห็นว่า ในปี 2569 กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุต่ำกว่า 45 ปี (Gen Z และ Gen Y) จะมีสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 70 ของฐานเสียงทั้งหมด
Pragmatism over Ideology: พวกเขาต้องการเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและนโยบายที่จับต้องได้ มากกว่าการต่อสู้ทางอุดมการณ์ที่จับต้องไม่ได้
Digital Natives: พวกเขาเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดีย และมีความคาดหวังสูงต่อความโปร่งใสและการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร
Economic Anxiety: ความกังวลเรื่องหนี้สิน การจ้างงาน และโอกาสทางเศรษฐกิจ ทำให้พวกเขามองหาพรรคการเมืองที่มี "ทีมเศรษฐกิจ" ที่น่าเชื่อถือ
นายสุรเดช ในฐานะ "Tech CEO" และ "City Maker" มีภาพลักษณ์ที่สอดคล้องกับความคาดหวังของคนกลุ่มนี้ ความสำเร็จของ Smart City ขอนแก่น และการผลักดันเทคโนโลยี Blockchain/EV เป็นจุดขายที่สามารถดึงดูด New Voters ได้ หากสามารถสื่อสารให้เห็นว่า "ขอนแก่นโมเดล" สามารถขยายผลไประดับประเทศได้อย่างไร
6.2 การวางตำแหน่งทางการเมือง (Political Positioning)
นายสุรเดชและพรรคไทยสร้างไทย ต้องวางตำแหน่งตัวเองอย่างระมัดระวังในสมการการเมืองปี 2569
จุดแข็ง (Strengths): มีผลงานเชิงประจักษ์ (Track Record) ที่จับต้องได้, มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี, ภาพลักษณ์มือสะอาด
จุดอ่อน (Weaknesses): ฐานเสียงหลักยังกระจุกตัวในภาคอีสานและเขตเมืองบางส่วน, พรรคยังเป็นขนาดกลางที่ต้องแข่งขันกับพรรคใหญ่ที่มีทรัพยากรมากกว่า
โอกาส (Opportunities): ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายความขัดแย้งเดิมๆ และมองหา "ทางเลือกที่สาม" ที่เน้นการลงมือทำ, กระแสการกระจายอำนาจที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น
อุปสรรค (Threats): กติกาการเลือกตั้งที่อาจเอื้อต่อพรรคใหญ่, การโจมตีทางการเมืองเรื่องความล่าช้าของโครงการ LRT ขอนแก่น
18
ตารางที่ 2: เปรียบเทียบโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจ
| มิติการเปรียบเทียบ | โมเดลเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (Old Economy) | โมเดล Restart Thailand (Suradech's Vision) |
| ศูนย์กลางการขับเคลื่อน | รัฐบาลกลาง (Top-down) | ท้องถิ่นและภาคเอกชน (Bottom-up) |
| แหล่งเงินทุน | งบประมาณแผ่นดิน / ภาษี | ตลาดทุน / กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน / Crowdfunding |
| โครงสร้างพื้นฐาน | เน้นถนนและการก่อสร้างทางกายภาพ | เน้นระบบราง (LRT), ดิจิทัล (Smart City), และข้อมูล (Data) |
| เป้าหมายหลัก | การเติบโตของ GDP ภาพรวม | การลดความเหลื่อมล้ำ, การกระจายรายได้, ความยั่งยืน |
| บทบาทของประชาชน | ผู้รับความช่วยเหลือ (Passive Receiver) | ผู้ร่วมสร้างและผู้ถือหุ้น (Active Partner/Shareholder) |
7. บทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์: ข้อจำกัดและความท้าทายที่รออยู่
แม้แนวคิดของนายสุรเดชจะดูสวยหรูและมีความเป็นไปได้ทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม
7.1 กับดักของ Elite Capture และความเหลื่อมล้ำใหม่
งานวิจัยทางวิชาการบางชิ้นตั้งข้อสังเกตว่า ขอนแก่นโมเดลอาจนำไปสู่ปรากฏการณ์ "Elite Capture" หรือการที่ผลประโยชน์จากการพัฒนาตกอยู่กับกลุ่มทุนชั้นนำในพื้นที่เพียงหยิบมือ
7.2 กำแพงนิติบัญญัติและระบบราชการ
นโยบาย "Liberate" หรือการแก้กฎหมาย เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยากที่สุดในบริบทการเมืองไทย การรื้อถอนอำนาจของกระทรวงมหาดไทยหรือหน่วยงานส่วนกลาง จะต้องเผชิญกับแรงต้านมหาศาลจากข้าราชการประจำและกลุ่มอำนาจเก่า นายสุรเดชจะต้องใช้ทักษะทางการเมือง (Political Maneuvering) ที่เหนือชั้นกว่าทักษะทางธุรกิจ เพื่อฝ่าด่านนี้ไปให้ได้
7.3 ความยั่งยืนทางการเงินของโครงการ
โมเดลการระดมทุนผ่านตลาดทุนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะมีความเสี่ยงในตัวมันเอง หากโครงการไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ตามเป้าหมาย (เช่น ผู้โดยสาร LRT น้อยกว่าคาด) ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สิน? นี่คือคำถามที่นักลงทุนและประชาชนต้องการคำตอบที่ชัดเจน
บทสรุป
การก้าวเข้าสู่ถนนเลือกตั้งปี 2569 ของ นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย เขาไม่ได้มาในฐานะนักการเมืองอาชีพที่ขายฝันด้วยวาทกรรม แต่มาในฐานะ "Technocrat Politician" ที่พกพาพิมพ์เขียวความสำเร็จจาก "ขอนแก่นโมเดล" และวิสัยทัศน์ "Restart Thailand" มานำเสนอเป็นทางออกให้กับประเทศ
ชัยชนะของนายสุรเดชและพรรคไทยสร้างไทย (หากเกิดขึ้น) จะมีความหมายมากกว่าแค่จำนวนเก้าอี้ในสภา แต่มันจะหมายถึงชัยชนะของแนวคิด "การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น" (Decentralization) และ "รัฐผู้ประกอบการ" (Entrepreneurial State) ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยและภาคเอกชนในการกำหนดอนาคตตนเอง
อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความท้าทายจากโครงสร้างอำนาจเก่า ข้อวิพากษ์เรื่องความเหลื่อมล้ำ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นบททดสอบที่รออยู่ แต่ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นเช่นไร บทบาทของนายสุรเดชได้จุดประกายให้สังคมไทยเห็นแล้วว่า "ทางเลือกที่สาม" นั้นมีอยู่จริง และการเมืองที่สร้างสรรค์ด้วย "นวัตกรรม" และ "การลงมือทำ" คือความหวังใหม่ที่ไม่อาจมองข้ามได้ในสนามเลือกตั้ง 2569 และอนาคตของประเทศไทย
(รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เอกสารวิชาการ และบทสัมภาษณ์ที่ปรากฏในสื่อสาธารณะ เพื่อวัตถุประสงค์ในการนำเสนอภาพรวมและวิเคราะห์แนวโน้มทางการเมืองและเศรษฐกิจ)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น