วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568

"ดร.นิยม เวชกามา" ยกพระสงฆ์ไทยเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง ให้สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้


วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์: การให้สิทธิพระสงฆ์เข้าชื่อเสนอกฎหมายตามข้อเสนอของดร.นิยม เวชกามา ภายใต้มิติสิทธิมนุษยชนและบทเรียนจากคดีเงินทอนวัด


บทคัดย่อ

รายงานวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกถึงความเป็นไปได้ทางกฎหมาย การเมือง และสังคม ในการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อมอบสิทธิให้พระภิกษุสงฆ์สามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ ตามข้อเสนอของ ดร.นิยม เวชกามา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยพิจารณาผ่านกรอบแนวคิดสิทธิมนุษยชนและบทเรียนอันเจ็บปวดจาก "คดีเงินทอนวัด" ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของสถานภาพพระสงฆ์ภายใต้กระบวนการยุติธรรมไทย การศึกษานี้พบว่าแม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 96 จะตัดสิทธิการเลือกตั้งของพระภิกษุ แต่สิทธิในการ "ริเริ่มเสนอกฎหมาย" (Right of Initiative) เป็นสิทธิทางการเมืองที่แยกขาดจากการเลือกตั้งได้ในทางทฤษฎี อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564 ได้สร้างอุปสรรคสำคัญโดยผูกคุณสมบัติผู้เข้าชื่อไว้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นอกจากนี้ บทวิเคราะห์คดีเงินทอนวัดยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปมาตรา 29 และ 30 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ที่ให้อำนาจรัฐบังคับพระภิกษุสละสมณเพศ (สึก) เพียงเพราะถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งขัดต่อหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) อย่างรุนแรง รายงานฉบับนี้เสนอแนวทางแก้ไขกฎหมายเพื่อคืนความยุติธรรมและสร้างดุลยภาพระหว่างอาณาจักรและศาสนจักร


บทนำ: สถานะทวิลักษณ์ของพระสงฆ์ไทยภายใต้รัฐธรรมนูญและพระธรรมวินัย

1.1 ปรัญชา "แยกอาณาจักรออกจากศาสนจักร" ในบริบทไทย

ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและคณะสงฆ์ในประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากระบอบฆราวาสนิยม (Secularism) ในตะวันตก ในขณะที่ชาติตะวันตกมุ่งเน้นการแยกศาสนาออกจากรัฐอย่างเด็ดขาดเพื่อความเป็นกลาง ประเทศไทยกลับยึดถือคติที่รัฐมีหน้าที่เป็น "ศาสนูปถัมภก" ผู้ให้ความคุ้มครองและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา 1 ความสัมพันธ์นี้สร้างสถานะทวิลักษณ์ (Dual Status) ให้แก่พระภิกษุสงฆ์ กล่าวคือ ในทางหนึ่ง พระสงฆ์คือ "ปูชนียบุคคล" ที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในทางศีลธรรมและวัฒนธรรม แต่ในอีกทางหนึ่ง พระสงฆ์กลับมีสถานะเป็น "พลเมืองชั้นสอง" ในทางการเมือง โดยถูกริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานหลายประการด้วยข้ออ้างเรื่องความบริสุทธิ์ของสมณเพศ

การตัดสิทธิทางการเมืองของพระสงฆ์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากวิวัฒนาการทางกฎหมายและการเมืองที่ต้องการกันพระสงฆ์ออกจากความขัดแย้งทางโลก (Ana Chak) เพื่อรักษาศรัทธาในทางธรรม (Satsana Chak) 2 อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐสมัยใหม่ขยายอำนาจการควบคุมผ่านกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ประมวลกฎหมายอาญา และกฎระเบียบมหาเถรสมาคม พระสงฆ์จึงตกอยู่ในสถานะ "ผู้ถูกปกครอง" โดยกฎหมายที่ตนเองไม่มีสิทธิร่วมร่าง หรือแม้แต่จะเสนอความเห็นเพื่อแก้ไข

1.2 รัฐธรรมนูญมาตรา 96: กรงขังทางสิทธิการเมือง

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 96 ได้บัญญัติห้ามบุคคลที่มีลักษณะบางประการใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยอนุมาตรา (1) ระบุชัดเจนว่า "เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช" 3 บทบัญญัตินี้จัดกลุ่มพระสงฆ์ไว้ในระนาบเดียวกับบุคคลวิกลจริต หรือผู้ต้องขังโดยหมายของศาล ซึ่งสะท้อนทัศนคติของรัฐที่มองว่าสถานะนักบวชคือสถานะที่ต้อง "ตายจากทางโลก" (Civil Death) ในมิติของการเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมทางการเมือง

ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นคือ การตีความคำว่า "สิทธิเลือกตั้ง" ให้ครอบคลุมไปถึง "สิทธิทางการเมือง" อื่นๆ ทั้งหมด รวมถึงสิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งเป็นการแสดงออกทางความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมในการปกครอง (Participatory Democracy) มากกว่าจะเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองแบบพรรคการเมือง การตีความเช่นนี้ทำให้พระสงฆ์กว่า 250,000 - 300,000 รูปทั่วประเทศ ไร้ซึ่งช่องทางตามกฎหมายในการปกป้องสิทธิและพระธรรมวินัยของตนเองเมื่อถูกกระทบโดยอำนาจรัฐ

1.3 วิกฤตศรัทธาและความยุติธรรม: บทเรียนจากคดีเงินทอนวัด

ความเปราะบางของสถานะทางกฎหมายของพระสงฆ์ถูกเปิดเผยอย่างรุนแรงที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 2560-2561 ผ่านปฏิบัติการกวาดล้างการทุจริต "เงินทอนวัด" ซึ่งนำไปสู่การจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าอาวาสวัดสำคัญ 6 สิ่งที่ตามมาไม่ใช่เพียงการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมปกติ แต่คือการใช้อำนาจตามมาตรา 29 และ 30 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ บังคับให้พระเถระเหล่านั้น "สละสมณเพศ" (สึก) ทันทีที่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่ต้องรอคำพิพากษา

ปรากฏการณ์ "พระชุดขาว" ที่พระเถระต้องนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในเรือนจำทั้งที่ใจยังยึดมั่นในพรหมจรรย์และปฏิเสธการเปล่งวาจาลาสิกขา ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการพุทธศาสนาและนักสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง 8 กรณีนี้กลายเป็นรูปธรรมสำคัญที่ ดร.นิยม เวชกามา ใช้เป็นฐานในการเรียกร้องสิทธิให้พระสงฆ์สามารถเสนอกฎหมายได้ เพื่อที่พระสงฆ์จะได้มีเครื่องมือในการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้ด้วยตนเอง


บทที่ 2: ข้อเสนอของ ดร.นิยม เวชกามา และพลวัตของ พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

2.1 สาระสำคัญของข้อเสนอ

ดร.นิยม เวชกามา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้นำเสนอแนวคิดในการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์มีสิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย โดยไม่ได้เรียกร้องไปถึงขั้นสิทธิในการเลือกตั้ง (Voting Rights) หรือสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่จำกัดขอบเขตอยู่ที่ "สิทธิริเริ่ม" (Right of Initiative) 8 ข้อเสนอนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า:

  1. พระสงฆ์คือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกฎหมาย: พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎหมายที่ดินวัด และกฎหมายภาษีที่ดิน ล้วนส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของศาสนา การที่ผู้ร่างกฎหมายเป็นฆราวาสฝ่ายเดียวอาจทำให้เกิดความไม่เข้าใจในวิถีสมณะและพระธรรมวินัย

  2. ศักยภาพทางปัญญา: พระสงฆ์ในปัจจุบันมีการศึกษาสูง หลายรูปจบเปรียญธรรม 9 ประโยค หรือระดับปริญญาเอก มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะกลั่นกรองและนำเสนอกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและศาสนาได้ 8

  3. ความจำเป็นในการป้องกันตัว: บทเรียนจากคดีเงินทอนวัดชี้ให้เห็นว่า หากพระสงฆ์ไม่มีปากเสียงในสภา กฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างล้นเกิน (เช่น มาตรา 29 พ.ร.บ.คณะสงฆ์) ก็จะไม่ได้รับการแก้ไข

2.2 อุปสรรคทางกฎหมาย: พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564

ความพยายามของ ดร.นิยม ต้องเผชิญกับกำแพงกฎหมายที่สำคัญคือ พระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564 ซึ่งตราขึ้นเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการที่ประชาชนจะเข้าชื่อกันเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ปัญหาอยู่ที่ มาตรา 11 (หรือมาตราที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติ) ซึ่งกำหนดนิยามของ "ผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมาย" ว่าต้องเป็น "ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง" 11

การผูกโยงสิทธิในการเข้าชื่อ (Petition) เข้ากับสิทธิเลือกตั้ง (Election) ทำให้บทบัญญัติห้ามพระสงฆ์เลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ มาตรา 96 ส่งผลโดยอัตโนมัติมายังสิทธิในการเสนอกฎหมายด้วย ในชั้นการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ ดร.นิยม ได้สงวนคำแปรญัตติเพื่อขอตัดข้อความที่ห้ามบุคคลตามมาตรา 96 (คือ พระภิกษุ) ออก เพื่อเปิดช่องให้พระภิกษุมีสิทธิเข้าชื่อได้ แม้จะไม่มีสิทธิเลือกตั้งก็ตาม แต่ข้อเสนอนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากเสียงข้างมากในรัฐสภา 8

2.3 ตารางเปรียบเทียบสิทธิของพระสงฆ์และประชาชนทั่วไป

สิทธิทางการเมืองประชาชนทั่วไปพระภิกษุสงฆ์ (ปัจจุบัน)ข้อเสนอของ ดร.นิยม
สิทธิเลือกตั้ง (Voting)มี (ถ้าอายุ 18 ปีขึ้นไป)ไม่มี (ต้องห้ามตาม รธน. ม.96)ไม่มี (คงเดิมตาม รธน.)
สิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งมีไม่มีไม่มี
สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายมี (ต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง)ไม่มี (เนื่องจากอิงสิทธิเลือกตั้ง)มี (แก้ไข พ.ร.บ.เข้าชื่อฯ)
สิทธิชุมนุมทางการเมืองมี (โดยสงบและปราศจากอาวุธ)ถูกจำกัดโดยกฎมหาเถรสมาคม(ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่เน้นช่องทางกฎหมาย)

บทที่ 3: วิกฤตศรัทธาและความอยุติธรรม: เจาะลึกคดีเงินทอนวัด

เพื่อให้เห็นภาพความจำเป็นของข้อเรียกร้องนี้ จำเป็นต้องพิจารณา "บาดแผล" ของวงการสงฆ์จากคดีเงินทอนวัด ซึ่งเผยให้เห็นการใช้อำนาจรัฐที่กระทบต่อสถานภาพพระสงฆ์อย่างรุนแรง

3.1 ความเป็นมาและปฏิบัติการกวาดล้าง

ในช่วงปี 2560-2561 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติในการเบิกจ่ายงบประมาณอุดหนุนวัด ทั้งงบโรงเรียนพระปริยัติธรรม งบบูรณปฏิสังขรณ์ และงบเผยแผ่ศาสนา โดยมีการกล่าวหาว่าวัดได้รับเงินไปแล้ว "ทอน" คืนให้กับข้าราชการระดับสูง หรือนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ 6

เป้าหมายสำคัญของการกวาดล้างคือวัดชั้นนำในกรุงเทพมหานครที่มีเจ้าอาวาสเป็นถึงกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ซึ่งเปรียบเสมือน "คณะรัฐมนตรีสงฆ์" ปฏิบัติการนี้นำไปสู่การบุกจับกุมที่สะเทือนใจพุทธศาสนิกชนที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

3.2 กรณีศึกษา: พระพรหมดิลก (เจ้าคุณเอื้อน) วัดสามพระยา

พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา และกรรมการ มส. ถูกกล่าวหาในคดีทุจริตงบโรงเรียนพระปริยัติธรรมและข้อหาฟอกเงิน จำนวน 5 ล้านบาท โดยระบุว่าวัดไม่มีโรงเรียนปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาจึงไม่มีสิทธิรับงบ แต่ทางวัดแย้งว่าเงินดังกล่าวถูกนำไปสร้างอาคารร่มธรรมเพื่อใช้ในการเรียนการสอนบาลีสนามหลวง 6

  • การจับกุมและการบังคับสึก: เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามระเบียบโดยบังคับให้ท่านเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากจีวรเป็นชุดขาวทันที ก่อนนำตัวเข้าเรือนจำ แม้ท่านจะไม่ได้เปล่งวาจาลาสิกขาก็ตาม 16

  • คำพิพากษา: ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษา ยกฟ้อง ในข้อหาฟอกเงิน โดยเห็นว่าท่านไม่มีเจตนาทุจริตและเงินถูกนำไปใช้ก่อสร้างอาคารจริง ส่วนข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ (ม.157) ศาลลงโทษจำคุก 8 เดือน แต่ให้รอลงอาญา 1 ปี เนื่องจากเป็นพระผู้ใหญ่ที่ทำคุณประโยชน์ต่อศาสนา 6

3.3 กรณีศึกษา: พระพรหมสิทธิ (เจ้าคุณธงชัย) วัดสระเกศ

พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ถูกกล่าวหาในลักษณะเดียวกันเกี่ยวกับการใช้งบประมาณเผยแผ่ศาสนา ท่านถูกจับกุมและต้องเข้าเรือนจำโดยถูกบังคับให้สละสมณเพศเช่นกัน

  • บทสรุปคดี: ภายหลังศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ยกฟ้อง ในหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับเงินทอนวัด โดยเฉพาะกรณีของผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ (เจ้าคุณสังคมและเจ้าคุณเทอด) ที่ศาลฎีกายืนยกฟ้อง แสดงให้เห็นว่าการบริหารจัดการเงินภายในวัดเป็นไปตามกระบวนการและไม่มีเจตนาทุจริต 18

3.4 ผลกระทบที่ไม่อาจเรียกคืน (Irreparable Harm)

แม้ศาลจะยกฟ้องหรือรอลงอาญาในภายหลัง แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้วอย่างสมบูรณ์:

  1. สถานะทางธรรม: การถูกบังคับให้ถอดจีวรและใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์ในเรือนจำ สร้างข้อถกเถียงทางพระวินัยว่าขาดจากความเป็นพระหรือไม่ แม้ต่อมาจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้คืนสมณศักดิ์แก่พระพรหมดิลก โดยระบุว่า "ถือเสมือนว่าไม่เคยถูกถอดถอนสมณศักดิ์และราชทินนามมาก่อน" 19 ซึ่งเป็นการยืนยันในทางนิตินัยว่าท่านยังคงเป็นพระ แต่ช่วงเวลาที่สูญเสียไปในเรือนจำไม่อาจเรียกคืนได้

  2. สถานะทางสังคม: ชื่อเสียงของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ถูกทำลายจากการถูกตีตราว่าเป็น "พระโกง" ผ่านสื่อมวลชนในช่วงที่มีการจับกุม ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กระบวนการยุติธรรมลงโทษ (ด้วยการขังและจับสึก) ก่อนการพิพากษา


บทที่ 4: การวิเคราะห์ปัญหากฎหมาย: มาตรา 29 และ 30 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ กับการละเมิดสิทธิมนุษยชน

แก่นกลางของปัญหาในคดีเงินทอนวัดอยู่ที่บทบัญญัติใน พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535) ซึ่ง ดร.นิยม และนักวิชาการระบุว่าเป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน

4.1 มาตรา 29: อำนาจ "สึก" ในมือพนักงานสอบสวน

มาตรา 29: "พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว... ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้" 20

การวิเคราะห์ปัญหา:

มาตรานี้ให้อำนาจ "ดุลยพินิจ" แก่พนักงานสอบสวนและอัยการในการพรากสถานะพระภิกษุได้ทันที หากไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยไม่ต้องรอคำตัดสินของศาล ซึ่งขัดแย้งอย่างรุนแรงกับ หลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (Presumption of Innocence) ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคสอง 22 การบังคับสึกในชั้นนี้มีผลเท่ากับการลงโทษประหารชีวิตในทางธรรม ก่อนที่จะมีการพิสูจน์ความผิดจริง

4.2 มาตรา 30: การขัง = การสึก

มาตรา 30: "เมื่อจะต้องจำคุก กักขัง หรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่... มีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียได้" 24

การวิเคราะห์ปัญหา:

มาตรานี้สร้างสมการว่า "การถูกขัง = การพ้นจากความเป็นพระ" เนื่องจากระเบียบเรือนจำไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติสมณกิจ (เช่น การฉันเพล การครองจีวร การปลงอาบัติ) รัฐจึงเลือกวิธีแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนสถานะของนักโทษ (ให้เป็นคนธรรมดา) แทนที่จะปรับปรุงสถานที่คุมขังให้รองรับสถานะของนักบวช 20

4.3 ข้อโต้แย้งทางพระวินัยเรื่องการ "สึก"

ในทางพระธรรมวินัย การจะขาดจากความเป็นพระเกิดขึ้นได้ 2 กรณีหลัก:

  1. การลาสิกขา (Lāsikkhā): ต้องเกิดจากเจตนาความสมัครใจของผู้บวช เปล่งวาจาขอสึกต่อหน้าพยาน หากถูกบังคับ ข่มขู่ หรือจับถอดผ้าเหลืองโดยไม่เต็มใจ (ดังเช่นกรณีพระพรหมดิลก) ในทางธรรมถือว่าความเป็นพระยังคงอยู่ 16

  2. การต้องอาบัติปาราชิก: เช่น การเสพเมถุน ลักทรัพย์ ฆ่ามนุษย์ หรืออวดอุตริมนุสธรรม ซึ่งทำให้ขาดจากความเป็นพระทันทีโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเปล่งวาจาหรือไม่

ประเด็นขัดแย้งคือ ในคดีเงินทอนวัด รัฐใช้อำนาจตามกฎหมาย (พ.ร.บ.คณะสงฆ์) บังคับให้สึก ทั้งที่พระเถระยังไม่ได้ต้องปาราชิก (เพราะคดียังไม่ตัดสินว่าผิดจริง) และไม่ได้สมัครใจลาสิกขา เกิดเป็นสภาวะ "ลักลั่น" ระหว่างกฎหมายบ้านเมืองและกฎหมายพระ 16 การที่พระพรหมดิลกกลับมาครองจีวรได้ในภายหลัง และได้รับคืนสมณศักดิ์ เป็นเครื่องยืนยันว่าการบังคับสึกตามมาตรา 29 นั้นล้มเหลวในการทำลายสถานะทางธรรมที่แท้จริง แต่สำเร็จในการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


บทที่ 5: การวิเคราะห์เปรียบเทียบ: สิทธิของนักบวชในบริบทต่างประเทศและกลุ่มเปรียบเทียบ

5.1 ศรีลังกา: โมเดล "พระการเมือง"

ประเทศศรีลังกา ซึ่งนับถือพุทธเถรวาทเช่นเดียวกับไทย ไม่มีข้อห้ามในรัฐธรรมนูญไม่ให้พระสงฆ์ใช้สิทธิเลือกตั้ง พระสงฆ์ศรีลังกาสามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ และถึงขั้นสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ (เช่น พรรค Jathika Hela Urumaya - JHU) 27

  • ข้อดี: พระสงฆ์มีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูง สามารถผลักดันนโยบายคุ้มครองพุทธศาสนาได้โดยตรง

  • ข้อเสีย: นำไปสู่การที่พระสงฆ์เข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางการเมือง ความรุนแรง และการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ชัดเจน ซึ่งฝ่ายอนุรักษนิยมในไทยมักยกมาเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อคัดค้านสิทธิทางการเมืองของพระสงฆ์ 27

5.2 เมียนมา: พลังเงียบและการต่อสู้

แม้พระสงฆ์ในเมียนมาจะไม่มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมาย (คล้ายไทย) แต่บทบาททางการเมืองของพระสงฆ์มีความเข้มข้นสูงในฐานะผู้นำการเคลื่อนไหวภาคประชาชน (เช่น การปฏิวัติชายจีวร - Saffron Revolution) ซึ่งสะท้อนว่าการตัดสิทธิทางกฎหมายไม่สามารถตัดความสัมพันธ์ระหว่างสงฆ์กับการเมืองได้จริง แต่กลับทำให้การแสดงออกต้องลงสู่ท้องถนนแทนที่จะผ่านระบบรัฐสภา 28

5.3 กรณีศึกษาเปรียบเทียบในไทย: "แม่ชี"

แม่ชีในประเทศไทยประสบปัญหาสถานะทางกฎหมายที่ก้ำกึ่ง ("Grey Area") ยิ่งกว่าพระสงฆ์

  • มิติการเลือกตั้ง: กกต. และคำวินิจฉัยกฤษฎีกา เคยตีความว่าแม่ชีเข้าข่ายเป็น "นักพรต" ตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีสิทธิเลือกตั้ง 29

  • มิติการคุ้มครอง: แม้จะถูกตัดสิทธิเลือกตั้งเหมือนพระ แต่แม่ชีกลับไม่ได้รับสิทธิประโยชน์หรือการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (เช่น สิทธิในการนั่งรถเมล์ฟรี หรือการรักษาพยาบาลในฐานะนักบวช) ทำให้แม่ชีเป็นกลุ่มที่ "เสียสิทธิ" ทั้งในฐานะฆราวาสและในฐานะนักบวช การแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สิทธิเสนอกฎหมายแก่พระสงฆ์ จึงควรพิจารณารวมถึงแม่ชีด้วย เพื่อความเป็นธรรมตามหลักความเสมอภาค 32


บทที่ 6: บทวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมาย (Feasibility Study)

จากการประมวลข้อมูลข้างต้น สามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของข้อเสนอ ดร.นิยม ใน 3 มิติหลัก:

6.1 ความเป็นไปได้ทางกฎหมาย (Legal Feasibility)

  • การแก้ไข พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย: เป็นไปได้และทำได้ง่ายที่สุดในทางเทคนิค เพียงแค่แก้ไขมาตรา 11 เพื่อปลดล็อกเงื่อนไขที่ผูกกับ "สิทธิเลือกตั้ง" ให้เป็น "ผู้มีสัญชาติไทย" หรือสร้างนิยามใหม่สำหรับ "นักบวชผู้มีสิทธิเข้าชื่อ" การทำเช่นนี้ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 96 โดยตรง เพราะมาตรา 96 ห้ามเฉพาะ "การเลือกตั้ง" (Voting) ไม่ได้ห้าม "การเข้าชื่อ" (Petitioning) ซึ่งเป็นเสรีภาพในการแสดงออกตามมาตรา 34 33

  • การแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 29/30: เป็นสิ่งจำเป็นทางกฎหมาย (Legal Necessity) เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญเรื่องการสันนิษฐานความบริสุทธิ์ การแก้ไขสามารถทำได้โดยการบัญญัติให้มี "สถานที่คุมขังสำหรับภิกษุ" (Monastic Detention) หรือให้ศาลสั่งขังไว้ที่วัดแทนเรือนจำในระหว่างพิจารณาคดี เพื่อไม่ต้องสึก 21

6.2 ความเป็นไปได้ทางการเมือง (Political Feasibility)

  • อุปสรรค: ฝ่ายอนุรักษนิยมและชนชั้นนำไทยมีความกังวลอย่างมากต่อ "พระการเมือง" (Political Monks) โดยเฉพาะบทบาทของพระสงฆ์ในการสนับสนุนกลุ่มการเมืองต่างๆ (เช่น พระเสื้อแดง หรือ พระ กปปส.) ในอดีต ความกลัวว่าการให้สิทธิเสนอกฎหมายจะเป็น "ประตูบานแรก" สู่การให้สิทธิเลือกตั้ง ทำให้เกิดแรงต้านสูงในวุฒิสภาและองค์กรอิสระ 27

  • โอกาส: คดีเงินทอนวัดได้สร้างความตระหนักรู้ในหมู่พระสงฆ์และประชาชนถึงความไม่เป็นธรรมของกฎหมายปัจจุบัน การผลักดันในประเด็น "สิทธิในการปกป้องตนเอง" (Self-Defense) และ "สิทธิมนุษยชน" อาจได้รับการยอมรับมากกว่าการเรียกร้องสิทธิทางการเมืองแบบกว้างๆ

6.3 ความเป็นไปได้ทางสังคมและศาสนา (Socio-Religious Feasibility)

  • สังคมไทยยังคงมีภาพจำว่า "พระไม่ควรยุ่งการเมือง" (Monks should stay aloof from politics) ซึ่งเป็นบรรทัดฐานทางสังคมที่แข็งแกร่ง 37 อย่างไรก็ตาม การเสนอกฎหมายเพื่อแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับกิจการศาสนาโดยตรง อาจได้รับการยอมรับว่าเป็น "กิจของสงฆ์" ในการรักษาพระศาสนา มากกว่าการไปเดินขบวนประท้วง


บทที่ 7: บทสรุปและข้อเสนอแนะ

7.1 บทสรุป

ข้อเสนอของ ดร.นิยม เวชกามา ในการให้สิทธิพระสงฆ์เข้าชื่อเสนอกฎหมาย เป็นข้อเสนอที่มีน้ำหนักในทางสิทธิมนุษยชนและหลักการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากบทเรียนอันขมขื่นของคดีเงินทอนวัด ที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ต้องสูญเสียสมณเพศทั้งที่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะข้อกฎหมายที่ล้าหลังและให้อำนาจรัฐเหนือพระธรรมวินัย

การตัดสิทธิพระสงฆ์อย่างสิ้นเชิงทำให้คณะสงฆ์กลายเป็น "เป้านิ่ง" ทางกฎหมาย ที่ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่ตนเองไม่มีส่วนร่วมในการกำหนด การคืนสิทธิในการ "ริเริ่ม" กฎหมาย (ไม่ใช่การเลือกตั้ง) จะเป็นทางออกที่ช่วยดุลอำนาจระหว่างรัฐและสงฆ์อย่างสร้างสรรค์

7.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ผู้เขียนขอเสนอแนวทางดังนี้:

  1. การแก้ไขเร่งด่วน (Immediate Reform): แก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 29 และ 30 ทันที เพื่อยกเลิกอำนาจพนักงานสอบสวนในการบังคับสึกพระภิกษุในชั้นฝากขัง โดยให้ใช้มาตรการทางเลือก เช่น:

    • กำหนดให้มี "สถานที่ควบคุมพิเศษสำหรับสมณะ" (Monastic Detention Center) ที่แยกจากนักโทษทั่วไป เพื่อให้พระภิกษุสามารถรักษาศีลและครองจีวรได้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

    • ให้ถือว่าสถานะความเป็นพระสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำผิด หรือเมื่อคณะสงฆ์พิจารณาลงนิคหกรรมให้สึกตามพระวินัยเท่านั้น 25

  2. การแก้ไขระยะกลาง (Intermediate Reform): แก้ไข พ.ร.บ.การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564

    • ปลดล็อกเงื่อนไขที่ผูกกับสิทธิเลือกตั้ง โดยบัญญัติให้ "พระภิกษุ สามเณร และนักบวช" มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ เฉพาะในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการศาสนา การคุ้มครองพุทธศาสนา หรือสิทธิมนุษยชนของนักบวช เพื่อลดความกังวลของสังคมเรื่องการเมือง

  3. การส่งเสริมความรู้ (Education): รัฐและมหาเถรสมาคมต้องให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่พระสังฆาธิการ เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายบ้านเมือง และสามารถใช้สิทธิทางศาลในการปกป้องตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการคืนความยุติธรรมให้แก่คณะสงฆ์ แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมไทยให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยไม่กระทบต่อศรัทธาและความศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนาแต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถอดรหัสคำว่า ทำ ในสโลแกนพรรคการเมืองไทย สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569

วิเคราะห์คำว่า "ทำ" ในสโลแกนพรรคการเมืองไทยสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569: พลวัตทางวาทกรรม สัญวิทยา และยุทธศาสตร์การสื่อสารทางการเมืองในบร...