วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ถอดรหัสคำว่า ทำ ในสโลแกนพรรคการเมืองไทย สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569


วิเคราะห์คำว่า "ทำ" ในสโลแกนพรรคการเมืองไทยสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569: พลวัตทางวาทกรรม สัญวิทยา และยุทธศาสตร์การสื่อสารทางการเมืองในบริบทประชาธิปไตยเชิงปฏิบัติ


1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยกับการปะทะสังสรรค์แห่งความหมาย

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 1 มิได้เป็นเพียงกระบวนการทางนิติบัญญัติเพื่อคัดสรรผู้แทนเข้าสู่รัฐสภาเท่านั้น หากแต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองที่มีนัยสำคัญยิ่งต่อทิศทางของราชอาณาจักรไทย ในฐานะที่เป็นหมุดหมายของการเปลี่ยนผ่าน (Transition) ครั้งสำคัญ ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทางการเมือง ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของขั้วอำนาจมาอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี พ.ศ. 2569 มีความซับซ้อนและเปราะบางอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568 2 ซึ่งนำไปสู่การเปิดฉากสมรภูมิการเลือกตั้งที่เข้มข้นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

ในท่ามกลางฝุ่นตลบของการหาเสียงและการช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง สิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดในยุทธศาสตร์การสื่อสารของพรรคการเมืองหลัก คือการให้ความสำคัญกับคำกริยาพื้นฐานที่สุดคำหนึ่งในภาษาไทย นั่นคือคำว่า "ทำ" (Tham - To Do/Act) คำคำนี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นแกนกลาง (Core Pillar) ในการประกอบสร้างวาทกรรมทางการเมือง (Political Discourse) เพื่อตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึก (Sentiment) ของมวลชนที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่อาจเคยให้คุณค่ากับอุดมการณ์ที่เป็นนามธรรม หรือวาทศิลป์ที่สวยหรู มาสู่ความโหยหาใน "ผลสัมฤทธิ์" (Outcome) และ "ประสิทธิภาพ" (Efficiency) ที่จับต้องได้

รายงานวิจัยฉบับนี้ มุ่งเน้นที่จะทำการวิเคราะห์เจาะลึกถึงพลวัต ความหมาย และนัยยะทางการเมืองของคำว่า "ทำ" ที่ปรากฏอยู่ในสโลแกน แคมเปญ และชุดความคิดของพรรคการเมืองสำคัญในการเลือกตั้งปี 2569 โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ผ่านกรอบทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ ภาษาศาสตร์สังคม และสื่อสารการเมือง เพื่อชี้ให้เห็นว่า การเลือกใช้คำว่า "ทำ" มิใช่เรื่องบังเอิญทางภาษา แต่เป็นผลลัพธ์ของ "ยุทธศาสตร์การสร้างความชอบธรรม" (Legitimation Strategy) ในยุคสมัยที่ความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐสภากำลังถูกท้าทาย

1.1 บริบททางการเมือง: จาก "วิกฤตศรัทธา" สู่ "ลัทธิปฏิบัติยม" (Pragmatism)

บริบทของการเลือกตั้งปี 2569 มีความแตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ สังคมไทยได้ก้าวผ่านช่วงเวลาของความขัดแย้งเชิงสีเสื้อ (เหลือง-แดง) มาสู่การต่อสู้ทางความคิดแบบใหม่ ระหว่าง "อนุรักษนิยมใหม่" (New Conservatism) ที่เน้นการรักษาเสถียรภาพควบคู่ไปกับการประนีประนอมทางอำนาจ กับ "เสรีนิยมก้าวหน้า" (Progressive Liberalism) ที่มุ่งเน้นการปฏิรูปโครงสร้าง 4 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทับซ้อนอยู่บนความขัดแย้งทางอุดมการณ์นี้ คือความเหนื่อยล้าของประชาชน (Voter Fatigue) ต่อปัญหาเศรษฐกิจปากท้องที่เรื้อรัง หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง และความเหลื่อมล้ำทางสังคม

ในสภาวะเช่นนี้ "ลัทธิปฏิบัติยม" หรือ Pragmatism ได้กลายมาเป็นกระแสหลักของสังคม ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถในการ "ส่งมอบ" (Delivery) นโยบายมากกว่าความสวยหรูของหลักการ พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารจากการขาย "ความฝัน" (Dreams) มาสู่การขาย "การกระทำ" (Action) คำว่า "ทำ" จึงถูกสถาปนาให้เป็น "สัญญะแห่งความหวัง" (Signifier of Hope) ที่ทรงพลังที่สุด การวิเคราะห์วาทกรรมคำว่า "ทำ" จึงเท่ากับการวิเคราะห์จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย (Zeitgeist) ของการเมืองไทยในปี 2569

1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:

  1. ถอดรหัส (Decode) ความหมายเชิงสัญวิทยาและวาทกรรมของคำว่า "ทำ" ในสโลแกนหาเสียงของพรรคการเมืองหลัก

  2. วิเคราะห์ (Analyze) ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ภาษา (Language Use) กับบริบททางการเมืองและเศรษฐกิจ (Socio-political Context)

  3. ประเมิน (Evaluate) ประสิทธิผลและผลกระทบของยุทธศาสตร์การสื่อสารที่เน้นการปฏิบัติ (Action-oriented Communication) ต่อพฤติกรรมการเลือกตั้ง

ขอบเขตของการศึกษาจะครอบคลุมพรรคการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งปี 2569 โดยเน้นหนักที่:

  • พรรคภูมิใจไทย: กับสโลแกน "พูดแล้วทำ Plus"

  • พรรคเพื่อไทย: กับสโลแกน "2568 โอกาสไทย ทำได้จริง"

  • พรรคประชาชน: กับสโลแกน "มีเรา ไม่มีเทา" ซึ่งสะท้อนมิติของการ "ทำ" ผ่านการ "ขจัด"


2. กรอบแนวคิดทฤษฎี: สัญวิทยาและวาทกรรมของการ "กระทำ" ในการเมืองไทย

เพื่อให้การวิเคราะห์มีความลุ่มลึกและครอบคลุมมิติที่ซับซ้อนของภาษาการเมือง จำเป็นต้องวางรากฐานทางทฤษฎีที่แข็งแกร่ง โดยรายงานฉบับนี้จะประยุกต์ใช้ 3 กรอบแนวคิดหลัก ได้แก่ ทฤษฎีวัจนปฏิบัติศาสตร์ (Speech Act Theory), วาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (Critical Discourse Analysis - CDA), และสัญวิทยาการเมือง (Political Semiotics)

2.1 ทฤษฎีวัจนปฏิบัติศาสตร์: เมื่อ "คำพูด" คือ "การกระทำ"

ทฤษฎีวัจนปฏิบัติศาสตร์ ซึ่งบุกเบิกโดย J.L. Austin และพัฒนาต่อโดย John Searle เสนอว่า ภาษาไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่บรรยายความจริง (Constative) แต่ภาษาคือเครื่องมือในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (Performative) 6 ในบริบททางการเมือง การที่พรรคการเมืองประกาศสโลแกนว่า "ทำ" จัดอยู่ในประเภทของ "Commissive Speech Act" หรือ วัจนกรรมการผูกมัดสัญญา

  • Illocutionary Force (พลังแห่งถ้อยคำ): เมื่อพรรคภูมิใจไทยกล่าวว่า "พูดแล้วทำ" ถ้อยคำนี้ไม่ได้ทำหน้าที่บอกเล่าข้อเท็จจริงในอดีตเพียงอย่างเดียว แต่มีเจตนา (Intention) ที่จะสร้างพันธะสัญญา (Commitment) ว่าผู้พูดจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูด และมีอำนาจที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง พลังของถ้อยคำนี้ขึ้นอยู่กับ "เงื่อนไขความเหมาะสม" (Felicity Conditions) เช่น ผู้พูดต้องมีอำนาจจริง (Authority) และมีความจริงใจ (Sincerity) 7

  • Perlocutionary Effect (ผลสัมฤทธิ์ต่อผู้ฟัง): เป้าหมายของการใช้คำว่า "ทำ" คือการโน้มน้าวใจ (Persuasion) ให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อมั่น (Trust) และลดทอนความคลุมเครือ (Ambiguity) ของอนาคต ในทางการเมืองไทยที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การใช้คำกริยาที่แสดงความหนักแน่นอย่าง "ทำ" จึงเป็นกลไกทางจิตวิทยาที่ช่วยลดความวิตกกังวลของผู้เลือกตั้ง

2.2 วาทกรรมวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (CDA): อำนาจผ่านภาษา

ตามแนวคิดของ Michel Foucault และ Norman Fairclough วาทกรรม (Discourse) ไม่ใช่เพียงแค่ชุดของถ้อยคำ แต่เป็นระบบของการสร้างความหมายที่สัมพันธ์กับอำนาจ (Power) 9 คำว่า "ทำ" ในการเลือกตั้ง 2569 คือ "วาทกรรมหลัก" (Dominant Discourse) ที่ถูกผลิตซ้ำเพื่อกำหนดนิยามของ "นักการเมืองที่ดี"

  • การสร้างคู่ตรงข้าม (Binary Opposition): วาทกรรม "นักทำ" (Doer) ถูกสร้างขึ้นเพื่อกดทับและลดทอนคุณค่าของ "นักพูด" (Talker) หรือ "นักคิด" (Thinker) พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลพยายามสร้างชุดความจริงที่ว่า "การกระทำสำคัญกว่าคำพูด" เพื่อลดทอนน้ำหนักของการวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้าน โดยตีตราการตรวจสอบของฝ่ายค้านว่าเป็นเพียง "วาทกรรม" ที่จับต้องไม่ได้ ในขณะที่การแจกเงินหรือการสร้างถนนของรัฐบาลคือ "ความจริง" 11

  • ปฏิบัติการทางวาทกรรม (Discursive Practice): การเลือกใช้คำว่า "ทำ" เป็นการตอกย้ำอุดมการณ์แบบ "รัฐราชการ" และ "ระบบอุปถัมภ์" ที่มองว่าประชาชนเป็นผู้รับความช่วยเหลือ (Passive Receiver) และนักการเมืองเป็นผู้ให้ (Active Provider) ผู้ที่มีศักยภาพในการ "ทำ" คือผู้ที่มีบารมีและทรัพยากร 13

2.3 สัญวิทยาการเมือง: "ทำ" ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความชอบธรรม

ในมุมมองทางสัญวิทยา (Semiotics) คำว่า "ทำ" ทำหน้าที่เป็น "สัญญะ" (Sign) ที่สื่อถึง "ความชอบธรรมทางผลงาน" (Performance Legitimacy)

  • รูปสัญญะ (Signifier): คำว่า "ทำ", "ทำได้จริง", "พูดแล้วทำ"

  • ความหมายสัญญะ (Signified): ความเป็นมืออาชีพ, ความสำเร็จ, ความมั่นคง, การพึ่งพาได้

  • มายาคติ (Myth): Roland Barthes เสนอว่าสังคมสมัยใหม่สร้างมายาคติเพื่อทำให้สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมดูเหมือนเป็นธรรมชาติ มายาคติของคำว่า "ทำ" ในการเมืองไทย คือการสร้างความเชื่อที่ว่า ปัญหาทุกอย่างของประเทศสามารถแก้ไขได้ด้วย "การลงมือทำ" เชิงเทคนิค (Technical Fixes) โดยไม่ต้องแตะต้องโครงสร้างอำนาจที่บิดเบี้ยว 15


3. พรรคภูมิใจไทย: ยุทธศาสตร์ "พูดแล้วทำ Plus" กับการตอกย้ำลัทธิปฏิบัติยมแบบบ้านใหญ่

พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงรอยต่อการเลือกตั้ง 17 ได้ใช้ความได้เปรียบของการเป็นผู้กุมอำนาจรัฐในการกำหนดวาระการเลือกตั้ง สโลแกน "พูดแล้วทำ Plus" (Poot Laew Tham Plus) 19 ถือเป็นกรณีศึกษาที่สมบูรณ์แบบของการใช้วาทกรรม "ทำ" เพื่อสร้างความต่อเนื่องและขยายฐานอำนาจ

3.1 พัฒนาการของวาทกรรม: จาก "ลดอำนาจรัฐ" สู่ "พูดแล้วทำ" และ "พูดแล้วทำ Plus"

หากย้อนดูประวัติศาสตร์วาทกรรมของพรรคภูมิใจไทย จะเห็นวิวัฒนาการที่น่าสนใจ:

  1. ปี 2562 "ลดอำนาจรัฐ เพื่อปากท้องประชาชน": เน้นการแก้กฎหมายและกระจายอำนาจ (เช่น กัญชาเสรี, Grab ถูกกฎหมาย) ซึ่งเป็นการ "ทำ" ในเชิงนโยบาย 21

  2. ปี 2566 "พูดแล้วทำ": เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เน้นย้ำ "ความสำเร็จ" (Execution) จากนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ เพื่อตอบโต้ข้อครหาว่าเป็นพรรคประชานิยมขายฝัน การใช้คำว่า "แล้ว" (Laew - Already) เป็นการยืนยันอดีตสมบูรณ์ (Perfect Tense) ว่างานได้ถูกทำเสร็จสิ้นแล้ว 21

  3. ปี 2569 "พูดแล้วทำ Plus": เป็นการยกระดับวาทกรรมขึ้นไปอีกขั้น 20

3.2 ถอดรหัส "Plus": สัญวิทยาของส่วนขยาย

การเติมคำว่า "Plus" (พลัส) ต่อท้ายวาทกรรมเดิม มีนัยยะทางสัญวิทยาและการตลาดการเมืองที่ลึกซึ้ง:

  • นัยยะแห่งความต่อเนื่อง (Continuity): "Plus" สื่อถึงการสานต่อ (Extension) ไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ ซึ่งสอดรับกับสถานะของนายอนุทินที่เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เป็นการส่งสารว่า "เลือกภูมิใจไทย งานเดินต่อทันที ไม่ต้องรอเรียนรู้งาน"

  • นัยยะแห่งความพิเศษ (Premium/Bonus): ในภาษาการตลาด คำว่า Plus มักใช้กับสินค้าเกรดพรีเมียมหรือรุ่นอัปเกรด (เช่น iPhone Plus) พรรคภูมิใจไทยต้องการสื่อสารว่า นโยบายรอบนี้จะ "ดีกว่าเดิม" "มากกว่าเดิม" และ "ครอบคลุมกว่าเดิม" 20

  • การขยายขอบเขตนโยบาย: โฆษกพรรคระบุว่า Plus หมายถึงการขยายผลงานที่นายอนุทินได้ทำไว้ในช่วง 2 เดือนที่เป็นนายกฯ และขยายครอบคลุมทุกมิติ ไม่ใช่แค่สาธารณสุขหรือคมนาคม แต่รวมถึงเศรษฐกิจมหภาค 22

3.3 "ทำ" ในนิยามภูมิใจไทย: ปฏิบัติการของ "บ้านใหญ่"

ความหมายของคำว่า "ทำ" ในบริบทของพรรคภูมิใจไทย มีลักษณะเฉพาะตัวที่สัมพันธ์กับโครงสร้างพรรคที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น หรือ "บ้านใหญ่"

  • Micro-Management: การ "ทำ" ของภูมิใจไทยมักปรากฏในรูปของโครงการที่จับต้องได้ในระดับพื้นที่ (Local Projects) เช่น การสร้างถนน, สะพาน, โรงพยาบาล, หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การ "ทำ" แบบนี้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่ผู้แทนต้อง "ดูแล" ทุกข์สุขของชาวบ้านอย่างใกล้ชิด 17

  • Speed & Execution: ความเร็วคือหัวใจของการ "ทำ" แบบภูมิใจไทย วาทกรรม "พูดแล้วทำ" สื่อถึงความรวดเร็วในการผลักดันนโยบายให้ผ่านกลไกรัฐ โดยไม่ติดขัดกับขั้นตอนทางราชการที่เยิ่นเย้อ ซึ่งเป็นจุดขายที่ดึงดูดใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เบื่อหน่ายระบบราชการ 19

ตารางที่ 1: การวิเคราะห์องค์ประกอบสโลแกน "พูดแล้วทำ Plus"

องค์ประกอบทางภาษาหน้าที่ทางวัจนปฏิบัติศาสตร์ (Speech Act Function)ความหมายแฝงทางสังคมการเมือง (Sociopolitical Connotation)กลุ่มเป้าหมายทางการเมือง
พูดแล้ว (Poot Laew)Assertive: ยืนยันข้อเท็จจริงในอดีตความศักดิ์สิทธิ์ของคำพูด, ความซื่อสัตย์ต่อสัญญา (Integrity)ฐานเสียงอนุรักษนิยมที่ให้ค่ากับ "สัจจะ"
ทำ (Tham)Commissive: ผูกมัดการกระทำอำนาจ, อิทธิพล, ความสามารถในการจัดการ (Resource Mobilization)ประชาชนรากหญ้าที่ต้องการความช่วยเหลือรูปธรรม
พลัส (Plus)Expressive: แสดงความมุ่งมั่นที่มากขึ้นความทันสมัย (Modernity), โบนัสทางเศรษฐกิจ, ความเหนือกว่า (Superiority)คนรุ่นใหม่, ชนชั้นกลาง, ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจ (Swing Voters)

4. พรรคเพื่อไทย: การกอบกู้แบรนด์ "นักบริหาร" ผ่านวาทกรรม "ทำได้จริง"

พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีรากเหง้ามาจากพรรคไทยรักไทยและตระกูลชินวัตร เคยครองความเป็นเจ้าแห่งวาทกรรม "ทำ" มาอย่างยาวนานด้วยสโลแกนในตำนาน "คิดใหม่ ทำใหม่" (Think New, Act New) 23 อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้ง 2569 พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจากวิกฤตศรัทธาและการถูกตั้งคำถามเรื่อง "ตระบัดสัตย์" 10 นำมาสู่การปรับเปลี่ยนวาทกรรมเป็น "2568 โอกาสไทย ทำได้จริง" (2025 Empowering Thais: A Real Possibility) 24

4.1 จาก "ทำใหม่" สู่ "ทำได้จริง": การเปลี่ยนผ่านแห่งความกังวล

หากเปรียบเทียบสโลแกนในอดีตกับปัจจุบัน จะพบความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ:

  • อดีต ("คิดใหม่ ทำใหม่"): เน้น "ความแปลกใหม่" (Novelty) และ "วิสัยทัศน์" (Vision) สะท้อนความมั่นใจของผู้บุกเบิก

  • ปัจจุบัน ("ทำได้จริง"): เน้น "ความเป็นไปได้" (Feasibility) และ "ความจริง" (Reality) สะท้อนความกังวล (Anxiety) ว่าประชาชนจะไม่เชื่อ

คำว่า "จริง" (Jing - Real/True) ที่ถูกผนวกเข้ามาขยายคำว่า "ทำ" (ทำได้-จริง) ทำหน้าที่เป็น "Modal Qualifier" เพื่อยืนยันน้ำหนักของคำสัญญา เป็นการตอบโต้ต่อกระแสสังคมที่มองว่านโยบายเรือธงอย่าง Digital Wallet ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ประสบความล่าช้าและเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข 26 พรรคเพื่อไทยจึงต้องตอกย้ำว่า "ครั้งนี้จะทำได้จริง"

4.2 "ทำ" ในนิยามเพื่อไทย: การบริหารจัดการเชิงเทคนิค (Technocratic Management)

ความหมายของคำว่า "ทำ" ของพรรคเพื่อไทย มีความซับซ้อนและเน้นมิติเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจมากกว่าพรรคภูมิใจไทย

  • Macro-Economic Solution: การ "ทำ" ของเพื่อไทยมักหมายถึงการใช้นโยบายการคลังและการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการพักหนี้, การลดค่าครองชีพ (รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย), และการสร้างรายได้ใหม่ (Soft Power) 24

  • Recycling Success: เพื่อไทยพยายามเชื่อมโยงการ "ทำ" ในปัจจุบันเข้ากับความสำเร็จในอดีต (Nostalgia Politics) โดยการปัดฝุ่นโครงการเก่าอย่าง "หนึ่งอำเภอ หนึ่งทุน" (ODOS), กองทุนหมู่บ้าน (SML), และบ้านเอื้ออาทร (รีแบรนด์เป็น "บ้านเพื่อคนไทย") 25 การนำโครงการเหล่านี้กลับมาภายใต้แบรนด์ "ทำได้จริง" คือการใช้ "ทุนทางชื่อเสียง" (Reputation Capital) ในอดีตมาค้ำประกันอนาคต

4.3 วาทกรรม "โอกาส" (Opportunity) ในฐานะผลลัพธ์ของการ "ทำ"

แคมเปญ "2568 โอกาสไทย" สะท้อนว่า เป้าหมายของการ "ทำ" ของเพื่อไทย คือการสร้าง "โอกาส" 29 นี่เป็นการพยายามดึงดูดชนชั้นกลางระดับล่างและ SME ที่กำลังดิ้นรนทางเศรษฐกิจ โดยเสนอว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะทำหน้าที่เป็น "Facilitator" หรือผู้อำนวยความสะดวกในการเปิดประตูโอกาส ผ่านการแก้กฎหมายผูกขาดและการเติมทุน 24


5. พรรคประชาชน: วาทกรรม "มีเรา ไม่มีเทา" กับนัยยะของการ "ทำ" ผ่านการ "รื้อ"

พรรคประชาชน (People's Party) ซึ่งสืบทอดอุดมการณ์มาจากพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล เลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะไม่มีคำว่า "ทำ" ปรากฏเด่นชัดในสโลแกนหลัก "มีเรา ไม่มีเทา" (With Us, No Grey) 30 แต่วาทกรรมนี้กลับซ่อนนัยยะของการ "ปฏิบัติการ" (Action) ที่รุนแรงและท้าทายที่สุด

5.1 "ทำ" ผ่านการปฏิเสธ (Action through Negation)

ในทางตรรกศาสตร์ภาษา วาทกรรม "ไม่มี..." (No...) คือการแสดงเจตจำนงที่จะ "ขจัด" หรือ "กำจัด" (Elimination)

  • Deconstructive Action: การ "ทำ" ของพรรคประชาชน ไม่ใช่การ ก่อสร้าง (Constructing) วัตถุทางกายภาพเหมือนพรรคภูมิใจไทย แต่คือการ รื้อถอน (Deconstructing) โครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม

  • Purification Ritual: สโลแกน "มีเรา ไม่มีเทา" เปรียบเสมือนพิธีกรรมทางภาษาที่มุ่งชำระล้างความสกปรกทางการเมือง (ธุรกิจสีเทา, คอร์รัปชัน, ระบบอุปถัมภ์) การ "ทำ" ของพรรคประชาชนคือการทำให้สังคม "ขาวสะอาด" 11

5.2 สัญวิทยาของสี "เทา" (Grey)

คำว่า "เทา" ในบริบทการเมืองไทยปี 2569 ได้กลายเป็น "Master Signifier" หรือสัญญะหลักที่รวมเอาความชั่วร้ายทางสังคมเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งทุนจีนสีเทา, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, บ่อนพนันออนไลน์, และการฮั้วประมูล 11

  • การสร้างศัตรูร่วม (Common Enemy): พรรคประชาชนใช้ "ความเทา" เป็นศัตรูร่วม เพื่อระดมความรู้สึกเกลียดชังความอยุติธรรม การประกาศว่า "มีเรา ไม่มีเทา" คือการประกาศสงครามกับกลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ ซึ่งเป็นการ "กระทำ" ที่ต้องใช้ความกล้าหาญทางจริยธรรม (Moral Courage)

  • การโจมตีทางอ้อม: วาทกรรมนี้ยังทำหน้าที่โจมตีพรรครัฐบาล (ภูมิใจไทย/เพื่อไทย) ทางอ้อม โดยสร้างความเชื่อมโยงในใจผู้ฟังว่า หากไม่มีพรรคประชาชน ก็จะยังมี "สีเทา" ดำรงอยู่ ซึ่งอนุมานได้ว่าพรรคอื่นๆ อาจพัวพันหรือเพิกเฉยต่อสีเทานั้น 11

5.3 ความท้าทาย: เมื่อ "การรื้อ" อาจไม่เท่ากับ "การสร้าง"

จุดอ่อนของวาทกรรมนี้คือ การถูกมองว่าเน้นแต่การตรวจสอบจับผิด (Check and Balance) แต่ขาดมิติของการพัฒนาเศรษฐกิจปากท้อง (Bread and Butter Issues) 34 ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนส่วนหนึ่งอาจต้องการ "คนสร้างบ้าน" มากกว่า "คนจับโจร" พรรคประชาชนจึงพยายามเสริมด้วยนโยบายเชิงโครงสร้าง เช่น "น้ำประปาดื่มได้", "ขนส่งมวลชนทั่วถึง" เพื่อแสดงให้เห็นว่าการขจัดสีเทาจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างไร 35


6. บทวิเคราะห์เปรียบเทียบและสังเคราะห์: พลวัตของคำว่า "ทำ" ในสมรภูมิเลือกตั้ง 2569

จากการวิเคราะห์เจาะลึกทั้ง 3 พรรคหลัก สามารถสังเคราะห์ข้อมูลออกมาเป็นตารางเปรียบเทียบเชิงยุทธศาสตร์ได้ดังนี้

ตารางที่ 2: เปรียบเทียบอภิปรัชญาของการ "ทำ" (Ontology of Action) ในการเมืองไทย 2569

มิติการวิเคราะห์พรรคภูมิใจไทย (BJT)พรรคเพื่อไทย (PT)พรรคประชาชน (PP)
สโลแกนหลักพูดแล้วทำ Plus2568 โอกาสไทย ทำได้จริงมีเรา ไม่มีเทา
รูปแบบของการ "ทำ" (Mode of Action)Transactional Action: การแลกเปลี่ยน, การส่งมอบของตอบแทนManagerial Action: การบริหารจัดการ, การแก้ไขระบบเศรษฐกิจMoral/Structural Action: การตรวจสอบ, การปฏิรูป, การชำระล้าง
วัตถุกรรม (Object)โครงการ (Projects), สาธารณูปโภค, สุขภาพตัวเลข GDP, หนี้ครัวเรือน, โอกาสทางธุรกิจความยุติธรรม, ความเท่าเทียม, กฎหมาย
มิติเวลา (Temporality)อดีต-ปัจจุบันต่อเนื่อง: เน้นผลงานที่ทำเสร็จแล้วและทำต่ออนาคตที่จับต้องได้: เน้นปี 2568-2569 และความเป็นไปได้อนาคตระยะยาว: เน้นการสร้างสังคมใหม่ที่ยั่งยืน
ฐานความชอบธรรม (Legitimacy Base)ผลงาน (Performance): "ดูสิ่งที่ฉันสร้าง"ความสามารถ (Competence): "เชื่อมือฉัน"ความซื่อตรง (Integrity): "ไว้ใจฉัน"
จุดแข็งทางวาทกรรมเข้าใจง่าย, เห็นผลเร็ว, ตอบโจทย์คนรากหญ้าดูมีความหวัง, เชื่อมโยงกับความสำเร็จในอดีตปลุกเร้าอารมณ์, ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และชนชั้นกลาง
จุดอ่อนทางวาทกรรมอาจถูกมองว่าขาดหลักการ, เน้นแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเสี่ยงต่อความไม่เชื่อถือหากทำไม่ได้จริงตามสัญญา (Overpromising)อาจถูกมองว่าสุดโต่ง, ขาดประสบการณ์บริหารจริง

6.1 ปรากฏการณ์ "Hyper-Pragmatism" (ลัทธิเอาจริงเอาจังขั้นสุด)

ภาพรวมของการสื่อสารทางการเมืองในปี 2569 ชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยได้เคลื่อนเข้าสู่ภาวะ Hyper-Pragmatism กล่าวคือ ประชาชนมีความอดทนต่ำต่อวาทกรรมนามธรรม และมีความคาดหวังสูงต่อผลลัพธ์ที่รวดเร็ว (Instant Gratification)

  • การสิ้นมนต์ขลังของอุดมการณ์: วาทกรรม "ประชาธิปไตย vs เผด็จการ" เริ่มมีพลังน้อยลงเมื่อเทียบกับ "ทำได้ vs ทำไม่ได้" หรือ "แก้หนี้ได้ vs แก้ไม่ได้" พรรคการเมืองจึงต้องแข่งขันกันที่ "How" (ทำอย่างไร) มากกว่า "Why" (ทำไม)

  • การแข่งขันด้านความเร็ว (Politics of Speed): คำว่า "ทำทันที", "ทำเร็ว", "พูดปุ๊บทำปั๊บ" กลายเป็นคุณสมบัติที่พึงประสงค์ การที่ภูมิใจไทยชูจุดขายเรื่องความรวดเร็วในการอนุมัติโครงการ เป็นการตอบสนองต่อพลวัตนี้โดยตรง

6.2 บทบาทของ "นายกรัฐมนตรีรักษาการ" กับความได้เปรียบทางวาทกรรม

การที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงรอยต่อนี้ (และอาจมีอำนาจเต็มหากเป็นการยุบสภาภายใต้เงื่อนไขพิเศษบางประการ หรือใช้อำนาจรักษาการอย่างเต็มที่) 18 ทำให้วาทกรรม "พูดแล้วทำ" ของภูมิใจไทยมีน้ำหนักของ "อำนาจรัฐ" (State Power) รองรับอย่างเต็มที่ การอนุมัติงบประมาณหรือโครงการในช่วงโค้งสุดท้ายจะถูกนำเสนอว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของการ "ทำ" ซึ่งพรรคฝ่ายค้านไม่สามารถเลียนแบบได้


7. บทสรุปและนัยยะสู่อนาคต

การวิเคราะห์วาทกรรมคำว่า "ทำ" ในสโลแกนพรรคการเมืองสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกในวัฒนธรรมการเมืองไทย คำว่า "ทำ" มิได้เป็นเพียงคำกริยาทางภาษาศาสตร์ แต่เป็น "สมรภูมิหลัก" (Main Battleground) ของการช่วงชิงความหมายและความชอบธรรม

  1. พรรคภูมิใจไทย ได้ยึดครองพื้นที่ของ "นักปฏิบัติ" (The Doer) ที่เน้นความรวดเร็วและผลสัมฤทธิ์ระดับโครงการ โดยใช้สโลแกน "พูดแล้วทำ Plus" เพื่อต่อยอดอำนาจ

  2. พรรคเพื่อไทย พยายามทวงคืนตำแหน่ง "นักบริหารมืออาชีพ" (The Manager) ผ่านสโลแกน "ทำได้จริง" เพื่อกอบกู้วิกฤตศรัทธาและเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

  3. พรรคประชาชน นิยามการ "ทำ" ใหม่ในฐานะ "นักปฏิรูป" (The Reformer) ผ่านสโลแกน "มีเรา ไม่มีเทา" ที่มุ่งขจัดสิ่งกีดขวางความเจริญ

ผลแพ้ชนะในการเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 จะขึ้นอยู่กับว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไทยจะให้น้ำหนักกับ "การทำ" ในความหมายใดมากกว่ากัน ระหว่าง "การทำเพื่อปากท้องเฉพาะหน้า" (ภูมิใจไทย), "การทำเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภาพรวม" (เพื่อไทย), หรือ "การทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระยะยาว" (พรรคประชาชน)

ในท้ายที่สุด วาทกรรม "ทำ" สะท้อนให้เห็นว่า ประชาธิปไตยไทยกำลังวิวัฒนาการไปสู่รูปแบบที่เรียกร้อง "ความรับผิดชอบทางผลงาน" (Accountability of Performance) อย่างเข้มข้น พรรคการเมืองที่ไม่สามารถแปลง "คำพูด" ให้เป็น "การกระทำ" ที่จับต้องได้ จะถูกลงโทษโดยฉันทามติของมหาชนอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตความสัมพันธ์ ดร.นิยม เวชกามา กับม.สงฆ์ มจร

พลวัตความสัมพันธ์เชิงอำนาจและปัญญา: การวิเคราะห์เชิงสถาบันระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) บทนำ: ภูมิทัศ...