วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ออกแบบสวัสดิการสังคมไทย: วิกฤตและทางออก 2568-2573

 


การวิเคราะห์เชิงลึก: การออกแบบนโยบายสวัสดิการสังคมของประเทศไทยในอนาคต (ระยะเปลี่ยนผ่าน 2568-2573)



เอกสารประกอบการพิจารณา: การเสวนาเชิงวิชาการ "วิเคราะห์การออกแบบนโยบายสวัสดิการสังคมของประเทศไทยในอนาคต"

จัดทำโดย: คณะทำงานวิจัยนโยบายสาธารณะและเศรษฐศาสตร์สังคม (Policy & Social Economics Research Working Group)

เสนอต่อ: วิทยาลัยการนิติบัญญัติ และคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม

วันที่: 7 ธันวาคม 2568




1. บทนำ: สภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤตและจุดเปลี่ยนของสัญญาประชาคมไทย

การเสวนาเชิงวิชาการในวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ณ วิทยาลัยการนิติบัญญัติ เกิดขึ้นท่ามกลางบริบททางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของประเทศไทย ซึ่งสามารถนิยามได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่ง "วิกฤตซ้อนวิกฤต" (Polycrisis) ที่โครงสร้างทางประชากร เศรษฐกิจ และสังคม กำลังปะทะกันอย่างรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์สถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นตลอดปีงบประมาณ 2567-2568 วิเคราะห์ข้อถกเถียงทางนโยบายที่แหลมคม และนำเสนอทิศทางใหม่ในการออกแบบสวัสดิการสังคมที่ก้าวข้ามกับดักความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึก

ในปี 2568 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สถานะ "สังคมสูงวัยระดับสุดยอด" (Super-Aged Society) อย่างสมบูรณ์และรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ สถิติจากสำนักงานสถิติแห่งชาติและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ชี้ให้เห็นว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ในขณะที่อัตราการเกิดลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย สะท้อนถึงภาระพึ่งพิง (Dependency Ratio) ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขทางสถิติ แต่คือนัยสัญญาณเตือนภัยถึงความยั่งยืนทางการคลังและการล่มสลายของระบบดูแลทางสังคมแบบดั้งเดิมที่พึ่งพาครอบครัวเป็นหลัก

ความท้าทายนี้ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อพิจารณาประกอบกับ "ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ" ที่เรื้อรัง ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนกันยายน 2568 เปิดเผยความจริงที่น่ากังวลว่า จำนวนคนจนในประเทศไทยไม่ได้ลดลงตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ แต่กลับดีดตัวสูงขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน  ตัวเลขนี้สะท้อนความล้มเหลวของมาตรการ "พุ่งเป้า" (Targeting) แบบเดิมที่ไม่สามารถสกัดกั้นการร่วงหล่นลงสู่ความยากจนของชนชั้นกลางระดับล่างและกลุ่มเปราะบางได้ ประกอบกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ซ้ำเติมภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของแรงงานไทยกว่า 45%

นอกจากมิติทางเศรษฐกิจและประชากรแล้ว ปี 2568 ยังเป็นปีแห่ง "ความขัดแย้งทางอุดมการณ์สวัสดิการ" ที่ชัดเจนที่สุดปีหนึ่ง การปะทะกันระหว่างแนวคิด "สวัสดิการสงเคราะห์แบบเจาะจง" (Targeted Welfare/Social Assistance) ที่เน้นวินัยการคลัง ซึ่งรัฐบาลและกระทรวงการคลังยึดถือ กับแนวคิด "รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า" (Universal Welfare State) ที่ภาคประชาสังคมและเครือข่าย We Fair เรียกร้อง กลายเป็นประเด็นสาธารณะที่ไม่อาจมองข้าม 5 เหตุการณ์สำคัญอย่างการที่นายกรัฐมนตรีไม่ลงนามรับรองร่างพระราชบัญญัติบำนาญพื้นฐานแห่งชาติรวม 4 ฉบับ ในเดือนเมษายน 2568 ได้จุดชนวนคำถามใหญ่ถึง "เจตจำนงทางการเมือง" ในการสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชน

รายงานฉบับนี้จะทำการวิเคราะห์เจาะลึกในทุกมิติ ตั้งแต่สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการปฏิบัติงานของนโยบายปัจจุบันอย่างบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ข้อเสนอการปฏิรูประบบบำนาญ ไปจนถึงนวัตกรรมนโยบายใหม่อย่าง ภาษีเงินได้แบบติดลบ (Negative Income Tax - NIT) ที่กำลังถูกผลักดันให้เป็นทางออกใหม่ของประเทศ เพื่อฉายภาพอนาคตที่เป็นไปได้และข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์สำหรับการออกแบบนโยบายในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านปี 2568-2573


2. การวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ: ภาพสะท้อนจากข้อมูลปี 2567-2568

การทำความเข้าใจพลวัตของความยากจนและความเหลื่อมล้ำเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการออกแบบนโยบายสวัสดิการ ข้อมูลในปี 2568 ชี้ให้เห็นว่าปัญหาความยากจนในไทยไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและทับถม

2.1 พลวัตของความยากจน: การเพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณและความรุนแรง

รายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 ที่เผยแพร่โดยสภาพัฒน์ในเดือนกันยายน 2568 ได้เปิดเผยตัวเลขที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการนโยบายสาธารณะ กล่าวคือ จำนวนคนจนในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 3.41

การเพิ่มขึ้นนี้มีนัยสำคัญในหลายมิติ:

  1. การขยายตัวของกลุ่ม "คนจนมาก" (Ultra-poor): ไม่เพียงแต่จำนวนคนจนรวมจะเพิ่มขึ้น แต่ความรุนแรงของความยากจนก็ทวีคูณ ข้อมูลระบุว่ามีประชากรกว่า 8.79 แสนคน ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "ยากจนมาก" หรือมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน (3,078 บาท/คน/เดือน) เกินกว่าร้อยละ 20  กลุ่มนี้คือผู้ที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤตของการดำรงชีพ มีรายได้เฉลี่ยเพียง 615 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอแม้แต่ค่าอาหารและปัจจัยสี่ขั้นพื้นฐาน

  2. กับดักความยากจนในภาคเกษตร: สถิติชี้ชัดว่าร้อยละ 45.49 ของคนจน หรือเกือบครึ่งหนึ่ง อยู่ในภาคเกษตรกรรม สิ่งนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของการผลิตทางการเกษตรไทยที่ยังคงมีความเสี่ยงสูงจากสภาพภูมิอากาศและราคาผลผลิต การที่นโยบายสวัสดิการในอดีตมุ่งเน้นการประกันราคาหรือจำนำสินค้าเกษตร อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและไม่สามารถดึงเกษตรกรให้พ้นจากวงจรหนี้สินและความยากจนได้อย่างยั่งยืน

  3. การกระจุกตัวในพื้นที่เฉพาะ (Geographical Trap): ความยากจนในไทยมีมิติเชิงพื้นที่ที่ชัดเจน จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี, นราธิวาส, ยะลา) และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยังคงติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความล้มเหลวของการกระจายอำนาจและการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคที่ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่เหล่านี้ได้อย่างแท้จริง

2.2 ความเหลื่อมล้ำที่หยั่งรากลึก: จากรายได้สู่ความมั่งคั่ง

นอกเหนือจากความยากจน "ความเหลื่อมล้ำ" (Inequality) ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาสังคมไทย ข้อมูลจาก World Inequality Database และการวิเคราะห์ของสภาพัฒน์ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) ด้านรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 0.626 ซึ่งสูงกว่าอินโดนีเซีย (0.553) และมาเลเซีย (0.495)

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบดัชนีความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

ประเทศสัดส่วนรายได้ Top 10% ต่อ Bottom 50%ค่าสัมประสิทธิ์ Gini (เฉลี่ย)สถานะความเหลื่อมล้ำ
ไทย4.41 เท่า0.626สูงมาก (Very High)
ฟิลิปปินส์3.04 เท่า0.560สูง (High)
อินโดนีเซีย2.95 เท่า0.553ปานกลางค่อนข้างสูง
มาเลเซีย2.14 เท่า0.495ปานกลาง

ที่มา: สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ข้อมูลประมวลผลช่วงปี 2554-2566) 

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าความเหลื่อมล้ำทางรายได้ คือ "ความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง" (Wealth Inequality) โดยเฉพาะการถือครองที่ดินและทรัพย์สินทางการเงิน ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ ได้ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มที่มีรายได้สูงสุด 10% แรกของประเทศ ครอบครองส่วนแบ่งรายได้ถึง 45% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีทรัพย์สินสะสม ความเหลื่อมล้ำนี้ส่งผลโดยตรงต่อ "โอกาสทางสังคม" (Social Opportunity) เด็กที่เกิดในครอบครัวยากจนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันว่าระบบสวัสดิการและการศึกษาของไทยล้มเหลวในการทำหน้าที่เป็น "กลไกเลื่อนสถานะทางสังคม" (Social Elevator)

2.3 ปัญหาข้อมูลและความคลาดเคลื่อนของการคัดกรอง (Exclusion Error)

แม้รัฐบาลจะพยายามใช้เทคโนโลยี TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) เพื่อระบุตัวตน "คนจนเป้าหมาย" โดยใช้ดัชนีความยากจนหลายมิติ (MPI) 5 ด้าน (สุขภาพ, ความเป็นอยู่, การศึกษา, รายได้, การเข้าถึงบริการรัฐ)  แต่ในทางปฏิบัติยังพบช่องว่างขนาดใหญ่

ปัญหาสำคัญคือ Exclusion Error หรือการตกหล่นของคนจนตัวจริงที่ไม่ถูกนับรวมในระบบ ข้อมูลปี 2568 แสดงให้เห็นว่าการบูรณาการข้อมูลระหว่าง จปฐ. และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังมีความไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในกลุ่มคนจนเมืองและแรงงานนอกระบบที่ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อลงทะเบียนได้การพึ่งพาระบบลงทะเบียน (Registration-based) แทนการสำรวจเชิงรุกอย่างทั่วถึง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "คนจนไม่จด (ทะเบียน) คนจดไม่จน" ซึ่งบิดเบือนภาพความเป็นจริงของการจัดสรรงบประมาณสวัสดิการ


3. พลวัตและปัญหาของนโยบายสวัสดิการปัจจุบัน: บทเรียนจากปี 2568

ในปี 2568 นโยบายสวัสดิการหลักของรัฐบาลยังคงพึ่งพา "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" เป็นเครื่องมือหลัก แต่สถานการณ์หน้างานได้เผยให้เห็นข้อจำกัดและปัญหาเชิงปฏิบัติการที่รุนแรงขึ้น

3.1 ความล่าช้าและการชะงักงันของโครงการลงทะเบียนรอบใหม่

โครงการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ประจำปี 2568 ซึ่งเดิมกำหนดไว้ว่าจะเริ่มในเดือนมีนาคม 2568 ได้ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด (คาดการณ์ว่าจะเลื่อนไปจนถึงปลายปีหรือข้ามปี) สาเหตุหลักมาจากความพยายามของกระทรวงการคลังในการ "ทบทวนหลักเกณฑ์" การวัดความยากจนใหม่ เพื่อให้การคัดกรองมีความแม่นยำมากขึ้น และปัญหาความไม่พร้อมของระบบการจัดซื้อจัดจ้าง 

ผลกระทบจากการเลื่อนนี้มีนัยสำคัญต่อกลุ่มเปราะบาง:

  1. กลุ่มตกหล่นเดิม: ประชาชนที่ตกหล่นจากการลงทะเบียนรอบปี 2565 จำนวนกว่า 8 แสนคน และเยาวชนที่เพิ่งอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ยังคงไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ 

  2. ความไม่แน่นอน: การไม่มีกำหนดการที่ชัดเจนสร้างความกังวลและความไม่มั่นคงในชีวิตให้กับผู้มีรายได้น้อยที่พึ่งพาเงินช่วยเหลือรายเดือน 300 บาทในการดำรงชีพ

3.2 ความล้มเหลวทางเทคโนโลยีกับกลุ่มเปราะบาง (Technology Gap)

ปัญหาที่สะท้อนความไม่เข้าใจบริบทของผู้ใช้งาน (User Experience) อย่างรุนแรงในปี 2568 คือกรณี "ผู้สูงอายุสแกนใบหน้าไม่ผ่าน" ภายใต้มาตรการยืนยันตัวตนแบบเข้มข้น (e-KYC) ร้านค้าธงฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะบังคับใช้การสแกนใบหน้าเพื่อป้องกันการทุจริต แต่กลับกลายเป็นการกีดกันผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ ใบหน้าเปลี่ยนแปลงตามวัย หรือไม่สามารถเดินทางไปยืนยันตัวตนที่ธนาคารได้ 

กรมบัญชีกลางได้พยายามแก้ปัญหาโดยแนะนำให้ "ถอดแว่น ถอดหมวก หาแสงสว่าง" หรือมอบอำนาจ แต่ในทางปฏิบัติสำหรับพื้นที่ห่างไกล สิ่งเหล่านี้คืออุปสรรคที่ทำให้ผู้มีสิทธิจำนวนมาก "ถอดใจ" และเสียสิทธิไปโดยปริยาย กรณีนี้เป็นบทเรียนสำคัญว่า การนำเทคโนโลยีมาใช้ในนโยบายสวัสดิการต้องคำนึงถึง "Human-Centric Design" และต้องมีช่องทางทางเลือก (Alternative Channels) เสมอ

3.3 ข้อเรียกร้องภาคประชาชน: รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า 2568

ท่ามกลางข้อจำกัดของสวัสดิการรัฐ เครือข่าย We Fair ได้ยื่นข้อเสนอ "รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า" ประจำปี 2568 ที่มีความก้าวหน้าและท้าทายกรอบคิดเดิมอย่างสิ้นเชิง:

  • เงินอุดหนุนเด็กถ้วนหน้า: เสนอให้เด็กทุกคน (0-6 ปี หรือถึง 18 ปี) ได้รับเงินอุดหนุน เพื่อแก้ปัญหาเด็กตกหล่นที่มีสูงถึง 30% ในระบบคัดกรองความยากจนปัจจุบัน

  • เบี้ยความพิการถ้วนหน้า: เสนอปรับเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน สำหรับคนพิการที่มีบัตรทุกคน (2.14 ล้านคน) ซึ่งจะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 25,680 ล้านบาท 

ข้อเสนอเหล่านี้ตั้งอยู่บนหลักการว่าสวัสดิการคือ "สิทธิ" ไม่ใช่ "การสงเคราะห์" และมุ่งเน้นการตัดขั้นตอนการพิสูจน์ความจนที่ไร้ประสิทธิภาพ


4. จุดแตกหักทางนโยบาย: กรณีศึกษา "บำนาญพื้นฐานแห่งชาติ" กับอำนาจฝ่ายบริหาร

ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดและถือเป็น "จุดแตกหัก" (Rupture) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชนในปี 2568 คือเรื่องระบบบำนาญผู้สูงอายุ

4.1 การปัดตกร่างกฎหมายฉบับประชาชน

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 นายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ (หมวดการเงิน) ปฏิเสธการลงนามรับรอง (Veto) ร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ รวม 4 ฉบับ ซึ่งเสนอโดยภาคประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้าน (ในขณะนั้น) เพื่อไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร 

เหตุผลหลักที่ฝ่ายบริหารใช้อ้างอิงคือ "วินัยการคลัง" โดยมองว่าข้อเสนอ บำนาญพื้นฐานถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน จะสร้างภาระงบประมาณผูกพันมหาศาล (ประมาณ 4-5 แสนล้านบาทต่อปี) ซึ่งรัฐบาลมองว่าเกินศักยภาพในการจัดเก็บรายได้ของประเทศ 

4.2 ผลกระทบและการวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง

การตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้ง:

  1. ดับฝันผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุกว่า 12 ล้านคน ยังคงต้องพึ่งพาเบี้ยยังชีพแบบขั้นบันได (600-1,000 บาท) ซึ่งต่ำกว่าเส้นความยากจน (3,078 บาท) ถึง 3-4 เท่า ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องตกอยู่ในภาวะพึ่งพิงและยากจนจนวาระสุดท้ายของชีวิต

  2. ความขัดแย้งเชิงค่านิยม: สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับ "เสถียรภาพทางการคลังระยะสั้น" มากกว่า "คุณภาพชีวิตระยะยาว" และมองผู้สูงอายุเป็น "ภาระ" มากกว่า "ทรัพยากร" ที่ควรได้รับการดูแลตอบแทน

  3. ข้อเสนอแนะจาก กมธ.: คณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ได้พยายามเสนอทางออกประนีประนอม เช่น การหาแหล่งรายได้ใหม่จาก "ภาษีบาป" (Sin Tax), ภาษีลาภลอย, หรือการลดงบประมาณที่ซ้ำซ้อน 4 หมื่นล้านบาท มาโปะในกองทุนบำนาญ  แต่ข้อเสนอเหล่านี้ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรมจากฝ่ายบริหาร


5. นวัตกรรมเปลี่ยนโลก? : การวิเคราะห์เชิงลึก "ภาษีเงินได้แบบติดลบ" (Negative Income Tax - NIT)

ท่ามกลางทางตันของระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและงบประมาณบำนาญ กระทรวงการคลังได้นำเสนอ "นวัตกรรมนโยบาย" ที่อาจพลิกโฉมหน้าสวัสดิการไทย นั่นคือ Negative Income Tax (NIT) โดยมีเป้าหมายจะนำมาใช้แทนระบบสวัสดิการเดิมภายในปี 2570 

5.1 แนวคิดและกลไกการทำงานในบริบทไทย

Negative Income Tax มีรากฐานมาจากแนวคิดของ Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล แต่ถูกนำมาปรับบริบทไทยโดยกระทรวงการคลัง (นำโดยนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง) หลักการสำคัญคือ:

  • การบังคับยื่นภาษีถ้วนหน้า: ประชาชนทุกคนที่มีรายได้ (หรือไม่มี) ต้องเข้าสู่ระบบการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

  • เส้นแบ่งรายได้ (Income Threshold): รัฐกำหนดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ หากใครมีรายได้ ต่ำกว่า เกณฑ์นี้ รัฐจะไม่เก็บภาษี แต่จะ "จ่ายเงินคืน" (Negative Tax) ให้ในอัตราส่วนที่กำหนด เพื่อเติมเต็มรายได้ให้ถึงระดับที่ดำรงชีพได้ 

  • โครงสร้างแรงจูงใจ (Work Incentive): ระบบจะถูกออกแบบเป็นระยะ (Phase-in/Phase-out) กล่าวคือ ในช่วงแรก หากผู้มีรายได้น้อยหารายได้เพิ่มขึ้น เงินอุดหนุนจากรัฐอาจจะยังไม่ลดลงทันที หรือลดลงในอัตราที่น้อยกว่ารายได้ที่เพิ่ม เพื่อจูงใจให้คนไม่หยุดทำงาน (ไม่เหมือนระบบสงเคราะห์เดิมที่ถ้ารายได้เกินเกณฑ์จะถูกตัดสิทธิทันที) 

ตารางที่ 2: เปรียบเทียบกลไกสวัสดิการแบบเดิม vs Negative Income Tax

คุณลักษณะสวัสดิการแบบเดิม (บัตรคนจน)Negative Income Tax (NIT)
การระบุตัวตนลงทะเบียนเฉพาะช่วงเวลา (Registration)ยื่นแบบภาษีประจำปี (Tax Filing)
เกณฑ์คัดกรองสินทรัพย์, รายได้, หนี้สิน (ตรวจสอบยาก)รายได้สุทธิที่ยื่นต่อสรรพากร
รูปแบบการจ่ายวงเงินในบัตร (จำกัดการใช้)เงินสดโอนเข้าบัญชี (Cash Transfer)
ผลต่อแรงงานอาจลดแรงจูงใจ (กลัวรายได้เกินเกณฑ์)จูงใจให้ทำงาน (Workfare)
กลุ่มเป้าหมายคนจนที่มาลงทะเบียนประชาชนทุกคนในฐานภาษี

5.2 บทวิเคราะห์จุดแข็งและโอกาส

ดร.สมชัย จิตสุชน จาก TDRI และนักวิชาการหลายท่านมองเห็นโอกาสในระบบนี้:

  1. การดึงแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบ (Formalization): ปัจจุบันไทยมีแรงงานนอกระบบกว่า 20 ล้านคน การใช้ NIT จะเป็นแรงจูงใจให้คนกลุ่มนี้ "เปิดเผยตัวตน" ทางเศรษฐกิจ แลกกับการได้รับเงินช่วยเหลือ ซึ่งจะทำให้รัฐมี Big Data ที่แม่นยำที่สุดในประวัติศาสตร์ 

  2. ประสิทธิภาพและความแม่นยำ: ลดความซ้ำซ้อนของการลงทะเบียนหลายโครงการ และลดต้นทุนการบริหารจัดการในระยะยาว

  3. ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์: การรับเงินผ่านระบบภาษี ลดการตีตรา (Stigma) ว่าเป็น "คนจน" หรือ "ผู้ด้อยโอกาส" แต่เป็นสิทธิหน้าที่ในฐานะผู้เสียภาษี (แม้จะเป็นภาษีทางลบ)

5.3 ความท้าทายระดับวิกฤต: กำแพงที่มองไม่เห็น

อย่างไรก็ตาม การนำ NIT มาใช้จริงในไทยเผชิญอุปสรรคใหญ่หลวงที่นักวิชาการกังวล:

  1. เศรษฐกิจเงินสดและการตรวจสอบรายได้ (Verification Nightmare): ในสังคมที่การค้ารายย่อยใช้เงินสดเป็นหลัก รัฐจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าแม่ค้าแผงลอยหรือวินมอเตอร์ไซค์แจ้งรายได้จริง? หากตรวจสอบไม่ได้ จะเกิดปัญหา Inclusion Error มหาศาล คือคนไม่จนจริงแจ้งรายได้ต่ำเพื่อรับเงินฟรี ซึ่งจะทำลายวินัยการคลัง

  2. Digital Literacy: การบังคับให้คนยากจนที่สุดยื่นภาษีออนไลน์ เป็นโจทย์ที่ยากยิ่งกว่าการสแกนหน้าบัตรคนจน หากไม่มีระบบพี่เลี้ยงหรือตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพ คนจนตัวจริงอาจตกหล่นจากระบบเพราะยื่นภาษีไม่เป็น

  3. ความเสี่ยงทางการคลัง: หากรัฐกำหนดเส้น Threshold สูงเกินไป หรือไม่สามารถตรวจสอบรายได้เท็จได้ ภาระงบประมาณอาจพุ่งสูงจนควบคุมไม่ได้ กลายเป็นประชานิยมที่ผูกพันงบประมาณระยะยาว 38


6. ยุทธศาสตร์การคลังและการปฏิรูปภาษีเพื่อสวัสดิการ

ไม่ว่าประเทศไทยจะเลือกเดินหน้าสู่รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า หรือ Negative Income Tax โจทย์ที่ใหญ่ที่สุดที่ต้องตอบให้ได้คือ "เงินมาจากไหน?" (Financing the Welfare) การเสวนาครั้งนี้ได้นำเสนอทางออกทางเศรษฐศาสตร์การเมืองที่สำคัญ

6.1 ข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างภาษี (Tax Reform)

ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล และ ดร.สมชัย จิตสุชน ได้เสนอแนวทางที่สอดคล้องกันในการหาแหล่งรายได้ใหม่:

  1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อสังคม: การขยับอัตรา VAT จาก 7% เป็น 10% เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะยาว แต่ต้องทำภายใต้เงื่อนไข Earmarked Tax คือการระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าเงินส่วนเพิ่ม 3% นี้ จะถูกนำไปใส่ใน "กองทุนสวัสดิการแห่งรัฐ" โดยเฉพาะ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่าการจ่ายเพิ่มคือการซื้อประกันชีวิตของตนเอง ไม่ใช่นำไปซื้ออาวุธหรือโครงการที่ไม่จำเป็น

  2. ภาษีความมั่งคั่ง (Wealth Tax): ประเทศไทยเก็บภาษีจากทรัพย์สินได้น้อยมาก ข้อเสนอคือการบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอย่างเข้มข้นในอัตราก้าวหน้า ลดข้อยกเว้นสำหรับที่ดินรกร้าง และพิจารณาภาษีลาภลอย (Windfall Tax) จากโครงการลงทุนรัฐ รวมถึงภาษีมรดกที่เก็บจากกองมรดกจริง ไม่ใช่เก็บแบบมีช่องโหว่

  3. ภาษีกำไรจากทุน (Capital Gains Tax): การพิจารณาเก็บภาษีจากการขายหุ้นหรือกำไรจากการลงทุนในตลาดทุน ซึ่งปัจจุบันยังได้รับการยกเว้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างรายได้จากแรงงานและรายได้จากทุน

6.2 การจัดลำดับความสำคัญงบประมาณใหม่ (Budget Re-prioritization)

นอกจากการหารายได้เพิ่ม การ "เกลี่ยงบ" เป็นสิ่งที่ทำได้ทันที ข้อเสนอจากภาควิชาการและ กมธ. คือการปรับลดงบประมาณกองทัพและการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่ไม่จำเป็น ลดงบกลางที่ตรวจสอบยาก และทบทวนสิทธิประโยชน์ทางภาษี (Tax Expenditure) ของ BOI ที่ให้กับทุนขนาดใหญ่ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาลต่อปี นำเงินเหล่านี้มาลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และระบบคุ้มครองทางสังคมแทน


7. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์: แผนที่นำทางสู่อนาคต (2568-2573)

จากการสังเคราะห์ข้อมูลและการวิเคราะห์รอบด้าน คณะผู้จัดทำรายงานขอเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์ต่อวิทยาลัยการนิติบัญญัติและคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบนโยบายระยะเปลี่ยนผ่าน ดังนี้:

7.1 ยุทธศาสตร์ระยะสั้น (2568-2569): การอุดรูรั่วและเยียวยาเร่งด่วน

  1. แก้ไขปัญหาบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทันที: รัฐบาลต้องเร่งประกาศไทม์ไลน์การลงทะเบียนรอบใหม่ให้ชัดเจน และ ยกเลิก เงื่อนไขการสแกนใบหน้าสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง โดยใช้กลไกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกำนันผู้ใหญ่บ้านในการรับรองตัวตนแทนเทคโนโลยี เพื่อลด Exclusion Error หน้างาน

  2. ขยายเพดานเบี้ยยังชีพ: แม้บำนาญ 3,000 บาทจะถูกปัดตก แต่รัฐควรพิจารณาปรับเบี้ยยังชีพขั้นต่ำเป็น 1,000 บาทถ้วนหน้าทันที เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพ โดยใช้งบประมาณจากการเกลี่ยงบรายจ่ายประจำปี

7.2 ยุทธศาสตร์ระยะกลาง (2570-2573): การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบฐานข้อมูลเดียว

  1. เตรียมความพร้อมสู่ NIT: หากจะเดินหน้า Negative Income Tax รัฐต้องเริ่มโครงการนำร่อง (Sandbox) ในบางพื้นที่ และพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่เอื้อต่อคนยากจน พร้อมทั้งออกกฎหมาย "นิรโทษกรรมทางภาษี" สำหรับคนตัวเล็กตัวน้อย เพื่อสร้างความเชื่อใจ (Trust) ให้พวกเขากล้าเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล

  2. ระบบสวัสดิการแบบ "ลูกผสม" (Hybrid Welfare System): ประเทศไทยไม่ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรใช้ระบบผสมผสาน:

    • สวัสดิการพื้นฐาน (Universal Services): การศึกษา, สาธารณสุข, และเงินอุดหนุนเด็กเล็ก ควรเป็นสวัสดิการถ้วนหน้า เพราะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดและคัดกรองยาก

    • สวัสดิการตัวเงิน (Targeted Cash Transfer): สำหรับวัยแรงงานและผู้สูงอายุ อาจใช้ระบบ NIT หรือ Targeting ที่แม่นยำขึ้น โดยใช้ฐานข้อมูล Big Data

7.3 ยุทธศาสตร์ระยะยาว: การสร้างสัญญาประชาคมใหม่

การสร้างรัฐสวัสดิการที่ยั่งยืนต้องอาศัย "สัญญาประชาคม" (Social Contract) ใหม่ รัฐบาลต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่า สวัสดิการที่ดีต้องแลกมาด้วยการเสียภาษีที่มากขึ้นในอัตราที่เป็นธรรม (Progressive Tax) การผลักดันการขึ้น VAT เพื่อสวัสดิการสังคม (Social VAT) ควบคู่ไปกับการปฏิรูปภาษีทรัพย์สิน จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางการคลังและลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว

บทส่งท้าย:

อนาคตของสวัสดิการสังคมไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถทางเทคนิคในการออกแบบระบบเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ "ความกล้าหาญทางการเมือง" (Political Courage) ที่จะรื้อโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจที่บิดเบี้ยว และเปลี่ยนมุมมองจาก "สวัสดิการคือภาระ" ให้เป็น "สวัสดิการคือรากฐานของความมั่นคงมนุษย์" หากเราไม่เริ่มวางรากฐานตั้งแต่วันนี้ วิกฤตสังคมสูงวัยและความเหลื่อมล้ำจะกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถมทำลายโครงสร้างสังคมไทยจนยากจะเยียวยาในทศวรรษหน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ออกแบบสวัสดิการสังคมไทย: วิกฤตและทางออก 2568-2573

  การวิเคราะห์เชิงลึก: การออกแบบนโยบายสวัสดิการสังคมของประเทศไทยในอนาคต (ระยะเปลี่ยนผ่าน 2568-2573) เอกสารประกอบการพิจารณา: การเสวนาเชิงวิชา...