วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ปฏิรูปที่ดินวัด: กลไกและบทบาท ดร.นิยม เวชกามา


บทวิเคราะห์เชิงลึก: พลวัตและบทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในกระบวนการนโยบายสาธารณะเพื่อการแก้ไขปัญหาที่ดินวัดและที่พักสงฆ์ในประเทศไทย ภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและกฎหมาย ปี 2568

1. บทนำ: สภาวะยกเว้นและวิกฤตการณ์ความชอบธรรมของศาสนสถานในพื้นที่รัฐ

1.1 ภูมิทัศน์ปัญหา: เมื่อ "พุทธจักร" ทับซ้อน "อาณาจักร"

ประเทศไทยซึ่งมีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ประสบกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกและเรื้อรังมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ นั่นคือสถานะทางกฎหมายของวัดและที่พักสงฆ์ (Samnak Song) ที่ตั้งอยู่ในเขตที่ดินของรัฐ จากการสำรวจข้อมูลเชิงประจักษ์และการรวบรวมสถิติจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่วมกับกรมป่าไม้ พบว่ามีศาสนสถานมากกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศที่ตกอยู่ในสภาวะ "กึ่งถูกกฎหมาย กึ่งผิดกฎหมาย" (Quasi-legal Status) สถานะอันคลุมเครือนี้มิได้เกิดขึ้นจากการเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายของพระสงฆ์โดยตรง แต่เป็นผลผลิตของความไม่สอดคล้อง (Incongruence) ระหว่างพัฒนาการของการตั้งถิ่นฐานชุมชนกับพัฒนาการของกฎหมายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ปัญหาใจกลาง (Core Problem) ของเรื่องนี้คือความขัดแย้งระหว่าง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งกำหนดเงื่อนไขการตั้งวัดว่าต้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กับ กฎหมายป่าไม้ฉบับต่างๆ อาทิ พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484, พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 กฎหมายกลุ่มหลังนี้มีบทบัญญัติที่เข้มงวดในการห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือ ครอบครอง หรือทำประโยชน์ในพื้นที่ป่า ส่งผลให้วัดป่า (Forest Monasteries) ซึ่งมีวิถีปฏิบัติที่แนบแน่นกับธรรมชาติและมักตั้งอยู่ในพื้นที่สงบสงัดห่างไกลชุมชน กลายเป็น "ผู้บุกรุก" ในสายตาของกฎหมายรัฐสมัยใหม่

สถานการณ์ทวีความซับซ้อนขึ้นเมื่อพิจารณาถึงมิติทางประวัติศาสตร์ วัดหลายแห่งก่อตั้งขึ้นก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ด้วยข้อจำกัดทางความรู้ด้านกฎหมายของพระสงฆ์ในอดีต และระบบราชการที่ยังไม่ทั่วถึง ทำให้ไม่ได้มีการแจ้งการครอบครอง (ส.ค. 1) หรือดำเนินกระบวนการออกเอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดินในช่วงเวลาที่กำหนด เมื่อรัฐขยายอำนาจการจัดการพื้นที่ผ่านการประกาศเขตป่าทับซ้อนพื้นที่วัด จึงเกิดภาวะ "วัดร้างในทะเบียน แต่มีพระจำพรรษาจริง" หรือ "ที่พักสงฆ์ที่ไม่สามารถยกฐานะเป็นวัดได้" นำมาซึ่งอุปสรรคในการพัฒนาสาธารณูปโภค การขอรับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ และที่สำคัญที่สุดคือ ความไม่มั่นคงในการปฏิบัติศาสนกิจเนื่องจากเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องขับไล่

1.2 วิกฤตการณ์การพิสูจน์สิทธิและสุญญากาศทางพยานหลักฐาน

ก่อนปี พ.ศ. 2568 กระบวนการแก้ไขปัญหาที่ดินวัดดำเนินไปอย่างล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ กลไกการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐ (State Land Rights Verification) ตามมติคณะรัฐมนตรีในอดีต มักยึดถือระเบียบปฏิบัติที่แข็งตัว โดยใช้มาตรฐานเดียวกับการพิสูจน์สิทธิที่ดินทำกินของราษฎร คือการตรวจสอบ "ร่องรอยการทำประโยชน์" (Traces of Utilization) ผ่านการแปลภาพถ่ายทางอากาศ (Aerial Photo Interpretation)

ระเบียบวิธีปฏิบัติดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคเชิงเทคนิคที่สำคัญที่สุด (Technical Bottleneck) สำหรับวัดในสายธรรมยุตินิกายหรือวัดป่าสายวิปัสสนา เนื่องจากวัตรปฏิบัติของพระป่าคือการอนุรักษ์ธรรมชาติ การอาศัยอยู่ตามถ้ำ เพิงผา หรือการปลูกสร้างกุฏิขนาดเล็กที่กลมกลืนกับสภาพป่า ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำเกษตรกรรมเชิงรุก เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐนำภาพถ่ายทางอากาศในอดีต (เช่น ปี พ.ศ. 2495, 2510 หรือ 2545) มาตรวจสอบ จึงมักพบเพียงสภาพป่าที่สมบูรณ์ ไม่ปรากฏร่องรอยการ "ทำประโยชน์" ในนิยามของฝ่ายปกครองหรือกรมที่ดิน ซึ่งมักหมายถึงการเปิดหน้าดิน การทำไร่เลื่อนลอย หรือสิ่งปลูกสร้างถาวรขนาดใหญ่

ผลลัพธ์คือ วัดที่มีคุณูปการในการช่วยรักษาป่ากลับถูกปฏิเสธสิทธิการครอบครอง ในขณะที่พื้นที่ที่มีการบุกรุกแผ้วถางจนเตียนโล่งกลับสามารถพิสูจน์สิทธิได้ง่ายกว่า ความย้อนแย้งเชิงนโยบาย (Policy Paradox) นี้ สร้างความคับข้องใจให้กับพุทธศาสนิกชนและคณะสงฆ์มายาวนาน และกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายความสามารถของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในการหาทางออกที่สมดุลระหว่าง "การรักษาป่า" และ "การรักษาธรรม"


2. ชีวประวัติและบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของ ดร.นิยม เวชกามา

2.1 ปูมหลังทางวิชาการและสถานะทวิลักษณ์ (Dual Status)

ในการวิเคราะห์พลวัตการแก้ปัญหาที่ดินวัด บทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา หรือที่สาธารณชนรู้จักในนาม "ดร.มหานิยม" ถือเป็นตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ดร.นิยม มิใช่นักการเมืองทั่วไป แต่เป็นบุคลากรที่มีคุณลักษณะพิเศษแบบ "ทวิลักษณ์" คือการผสมผสานระหว่างความเป็น "พุทธศาสนิกชนผู้ทรงภูมิรู้" (Scholar-Practitioner) กับ "นักการเมืองผู้เชี่ยวชาญกลไกรัฐสภา" (Parliamentarian)

ดร.นิยม สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (สาขาพุทธจิตวิทยา) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมีพื้นฐานเปรียญธรรม การมีพื้นฐานทางธรรมที่แน่นแฟ้นทำให้ท่านมีความเข้าใจลึกซึ้งถึงพระธรรมวินัย จารีตประเพณีของสงฆ์ และข้อจำกัดในการปฏิบัติตนของพระภิกษุเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ ในขณะเดียวกัน ประสบการณ์ทางการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร พรรคเพื่อไทย หลายสมัย และการดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ภายใต้การกำกับของ นายสุชาติ ตันเจริญ และ รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล) ทำให้ท่านมีความเข้าใจกลไกของระบบราชการ การตรากฎหมาย และกระบวนการงบประมาณ

2.2 บทบาทในฝ่ายนิติบัญญัติ: การใช้กลไกสภาเพื่อเปิดพื้นที่ทางนโยบาย

ก่อนที่จะมีการขับเคลื่อนในระดับฝ่ายบริหาร ดร.นิยม ได้ใช้เวทีรัฐสภาเป็นฐานปฏิบัติการ (Platform) ในการนำปัญหาที่ดินวัดขึ้นสู่การรับรู้ของสาธารณะและผู้กำหนดนโยบายระดับสูง ผ่านกลไกต่างๆ ดังนี้:

  1. การยื่นญัตติและกระทู้ถาม: ดร.นิยม เป็นผู้ริเริ่มยื่นญัตติด่วนเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินวัดและที่พักสงฆ์ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติ การอภิปรายของท่านมักเน้นย้ำถึง "ความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้าง" ที่วัดถูกปฏิบัติเสมือนผู้บุกรุก ทั้งที่เป็นศูนย์กลางจิตใจของชุมชน

  2. บทบาทในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม: ในฐานะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาวัดและที่พักสงฆ์ ดร.นิยม ได้ใช้อำนาจของคณะกรรมาธิการ (Committee Power) ในการเรียกเอกสารและเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมที่ดิน และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาชี้แจงข้อเท็จจริงและปัญหาอุปสรรค การประชุมเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น "เวทีเจรจา" (Negotiation Table) ที่ช่วยลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างหน่วยงานอนุรักษ์กับหน่วยงานศาสนา

  3. การเสนอแก้ไขกฎหมาย: ดร.นิยม มีส่วนร่วมในการผลักดันร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งรวมถึงประเด็นสิทธิในที่ดินศาสนสมบัติ โดยพยายามเสนอให้มีการนิรโทษกรรมหรือผ่อนปรนเงื่อนไขสำหรับวัดที่ตั้งอยู่ก่อนการประกาศเขตที่ดินของรัฐ

2.3 ยุทธศาสตร์ "รุกถึงที่" (On-the-Ground Strategy): กรณีศึกษาเชิงประจักษ์

สิ่งที่ทำให้บทบาทของ ดร.นิยม โดดเด่นกว่านักการเมืองทั่วไป คือการนำนโยบายลงสู่การปฏิบัติในพื้นที่จริง (Implementation on the Ground) ท่านใช้ยุทธศาสตร์การลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-finding Mission) ร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง เพื่อกดดันและเร่งรัดกระบวนการพิจารณาเป็นรายกรณี (Case-by-case Basis)

กรณีศึกษาที่ 1: การปลดล็อกปม 43 ปี ณ วัดโพนม่วง (ที่พักสงฆ์) จังหวัดสกลนคร

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 ดร.นิยม พร้อมด้วย นายอำพร กุดแถลง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสกลนคร และนายศิริพงศ์ ปารุงธีรสิทธิ์ เจ้าพนักงานที่ดินสาขาอำเภอกุสุมาลย์ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบวัดโพนม่วง (ที่พักสงฆ์) ในตำบลโพธิไพศาล อำเภอกุสุมาลย์ กรณีนี้เป็นตัวอย่างคลาสสิกของปัญหาที่ดินวัด:

  • บริบทปัญหา: ที่พักสงฆ์แห่งนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 (รวมระยะเวลา 43 ปี) มีเสนาสนะมั่นคง ถาวรวัตถุ และมีพระภิกษุจำพรรษาต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถขออนุญาตตั้งวัดได้เนื่องจากขาดเอกสารสิทธิ์ที่ดิน แม้ชาวบ้านจะระดมทุนซื้อที่ดินถวายเพิ่มเติม แต่ก็ติดขัดเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์

  • การแทรกแซงของ ดร.นิยม: การลงพื้นที่ของ ดร.นิยม ไม่ใช่เพียงพิธีกรรม แต่เป็นการนำ "อำนาจบริหาร" (ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรี) ไปบูรณาการร่วมกับ "อำนาจปฏิบัติ" (เจ้าพนักงานที่ดินและ พศ.จ.) ท่านได้สั่งการให้มีการตรวจสอบแนวเขตและรวบรวมหลักฐานพยานบุคคลทันที

  • ผลสัมฤทธิ์: การลงพื้นที่ดังกล่าวนำไปสู่การ "เปิดทางออก" ทางกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ที่ดินรับลูกในการดำเนินการรังวัดและตรวจสอบสิทธิ เพื่อนำไปสู่การออกโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญดอกแรกที่จะไขไปสู่การยกฐานะเป็นวัดถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นการยุติการรอคอยกว่า 4 ทศวรรษของชาวบ้านโพนม่วง

กรณีศึกษาที่ 2: ข้อพิพาทเขตอุทยานฯ ณ วัดดอยธรรมเจดีย์

วัดดอยธรรมเจดีย์ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร เป็นวัดป่าสายปฏิบัติธรรมที่มีชื่อเสียง แต่ประสบปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับเขตอุทยานแห่งชาติภูผายล ปัญหานี้มีความซับซ้อนสูงเนื่องจากเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ที่มีบทลงโทษรุนแรง

  • การดำเนินการ: ดร.นิยม ได้ลงพื้นที่ติดตามปัญหาและใช้กรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่าง (Pilot Case) ในการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เพื่อชี้ให้เห็นว่า การใช้เกณฑ์ภาพถ่ายทางอากาศแบบเดิมไม่สามารถพิสูจน์สิทธิของวัดป่าได้ เนื่องจากสภาพพื้นที่วัดดอยธรรมเจดีย์เป็นป่าสมบูรณ์ (ซึ่งเป็นผลจากการดูแลของวัด) การผลักดันของท่านนำไปสู่การยอมรับ "เกณฑ์ใหม่" ในการพิสูจน์สิทธิที่ให้ความสำคัญกับบริบททางศาสนา


3. จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์: มติคณะรัฐมนตรี 5 สิงหาคม 2568 และมาตรการพิสูจน์สิทธิแนวใหม่

3.1 สาระสำคัญและนัยทางกฎหมายของมติ ครม.

วันที่ 5 สิงหาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การจัดการที่ดินศาสนาของไทย เมื่อคณะรัฐมนตรี (ภายใต้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ) มีมติเห็นชอบ "(ร่าง) มาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ" ตามที่ สคทช. เสนอ โดยมี ดร.นิยม เป็นหนึ่งในผู้ผลักดันเบื้องหลังคนสำคัญ

มาตรการนี้มิใช่เพียงคำสั่งทางปกครองธรรมดา แต่เป็นการ "รื้อสร้าง" (Deconstruct) วิธีคิดเดิมของรัฐที่มีต่อการพิสูจน์สิทธิที่ดิน โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบเกณฑ์การพิสูจน์สิทธิที่ดินเดิม vs. มาตรการใหม่ตามมติ ครม. 5 ส.ค. 2568

มิติการเปรียบเทียบเกณฑ์การพิสูจน์สิทธิเดิม (Traditional Criteria)มาตรการใหม่ (New Measures 2025)
ปรัชญาพื้นฐานเน้นการจับผิดการบุกรุก (Enforcement-based)เน้นการคุ้มครองสิทธิผู้ทำคุณประโยชน์ (Rights-based)
นิยาม "การทำประโยชน์"การเปิดหน้าดิน, เกษตรกรรม, สิ่งปลูกสร้างถาวรที่เห็นชัดจากภาพถ่ายทางอากาศครอบคลุมถึง "กิจกรรมทางศาสนา" เช่น ทางเดินจงกรม, ลานหินปฏิบัติธรรม, ถ้ำ, ป่าปลูก, และการดูแลรักษาป่า
พยานหลักฐานหลักภาพถ่ายทางอากาศ (Orthophoto) ในปีฐาน (เช่น 2495, 2545) เป็นตัวชี้ขาดใช้หลักฐานแบบผสมผสาน (Hybrid Evidence): ภาพถ่ายทางอากาศ + พยานบุคคล + ทะเบียนวัด + เอกสารประวัติวัด + ร่องรอยทางวัฒนธรรม
บทบาทเจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายป่าไม้มีหน้าที่ "อำนวยความสะดวก" และรับรองข้อมูลเพื่อสนับสนุนการออกเอกสารสิทธิ์
ผลลัพธ์ที่คาดหวังการดำเนินคดี หรือ ให้เช่าพื้นที่การออก "โฉนดที่ดิน" หรือหนังสืออนุญาตให้ใช้พื้นที่ระยะยาว (ธรณีสงฆ์)

3.2 กลไกการดำเนินงาน: คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร.จังหวัด)

มาตรการนี้ได้กำหนดกลไกการปฏิบัติงานที่ชัดเจนผ่าน คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร.จังหวัด) ซึ่งเป็นกลไกที่มีอยู่เดิมแต่ถูกปรับบทบาทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • โครงสร้าง: มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อัยการจังหวัด, ธนารักษ์พื้นที่, ปฏิรูปที่ดินจังหวัด, และ ผอ.ทสจ.

  • อำนาจหน้าที่ใหม่: คพร.จังหวัด ได้รับอำนาจในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง "จบในพื้นที่" มากขึ้น หากมีมติเชื่อได้ว่าวัดครอบครองทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ ให้แจ้งผลแก่วัดภายใน 30 วัน เพื่อดำเนินการออกโฉนดหรือหนังสือสำคัญ

  • การแก้ไขปัญหาทางเทคนิค: กรณีภาพถ่ายทางอากาศไม่ชัดเจน (ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของวัดป่า) ให้ส่งเรื่องไปยังคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศส่วนกลาง เพื่อทำการแปลตีความด้วยเทคโนโลยีที่ละเอียดขึ้น หรือใช้พยานหลักฐานอื่นประกอบการพิจารณาแทนการปฏิเสธคำขอทันที

3.3 บทบาทของ ดร.นิยม ในการขับเคลื่อนมติ ครม.

ดร.นิยม ไม่ได้หยุดเพียงแค่การผ่านมติ ครม. แต่ท่านได้ทำหน้าที่ติดตามผล (Monitoring) อย่างใกล้ชิด โดยระบุว่ามาตรการนี้จะครอบคลุมวัดและที่พักสงฆ์กว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ และย้ำให้หน่วยงานรัฐต้องจัดทำ "คู่มือปฏิบัติงาน" (Standard Operating Procedure - SOP) ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในพื้นที่มีแนวทางที่ชัดเจน ไม่เกิดความลังเลในการใช้ดุลพินิจ


4. การบูรณาการข้ามหน่วยงาน: บทบาทของ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี และเหตุการณ์ 8 ธันวาคม 2568

4.1 การขยายมิติการแก้ปัญหา: จาก "นิติศาสตร์" สู่ "วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี"

แม้จะมีมติ ครม. รองรับ แต่การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติยังต้องการเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ในวันที่ 8 ธันวาคม 2568 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน "โครงการขับเคลื่อนมาตรการพิสูจน์สิทธิที่ดินของวัด"

การเข้ามาของกระทรวง อว. ภายใต้การนำของนางสาวศุภมาส มีนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ที่มิอาจมองข้าม กล่าวคือ เป็นการนำ "องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม" เข้ามาสนับสนุนกระบวนการพิสูจน์สิทธิที่เดิมพึ่งพาเพียงเอกสารราชการและคำบอกเล่า

4.2 นวัตกรรมในการพิสูจน์สิทธิ (Innovation in Rights Verification)

ภายใต้โครงการที่ขับเคลื่อนเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 มีการบูรณาการเครื่องมือทางเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อปิดช่องว่างของปัญหาภาพถ่ายทางอากาศแบบเดิม:

  1. เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geo-Informatics): กระทรวง อว. กำกับดูแลหน่วยงานอย่างสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งมีศักยภาพในการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง (High-Resolution Satellite Imagery) และเทคโนโลยี LiDAR ที่สามารถสแกนทะลุเรือนยอดไม้ (Canopy) เพื่อตรวจหาร่องรอยสิ่งปลูกสร้างหรือการปรับพื้นที่ใต้ร่มไม้ได้ เทคโนโลยีนี้คือกุญแจสำคัญในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของ "วัดป่า" ที่ภาพถ่ายทางอากาศปกติมองไม่เห็น

  2. การใช้อาจารย์และนักวิจัยมหาวิทยาลัยเป็นคนกลาง: เครือข่ายมหาวิทยาลัยในภูมิภาค (Regional Universities) ภายใต้สังกัด อว. สามารถทำหน้าที่เป็น "คนกลางทางวิชาการ" (Academic Intermediary) ในการลงพื้นที่เก็บข้อมูล รังวัด และสอบทานประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งมีความเป็นกลางและน่าเชื่อถือมากกว่าคู่ขัดแย้งโดยตรง

  3. การสร้างการรับรู้และการประเมินคุณธรรม (Integrity & Awareness): ข่าวระบุถึงการ "ตอบแบบวัดการรับรู้" ซึ่งอาจหมายถึงการประเมินความโปร่งใส (ITA) หรือการสำรวจความเข้าใจของวัดและชุมชนต่อมาตรการใหม่ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลข่าวสารส่งตรงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างถูกต้อง

4.3 การสอดประสานทางการเมือง (Political Synergy)

แม้ ดร.นิยม (พรรคเพื่อไทย) และนางสาวศุภมาส (พรรคภูมิใจไทย) จะสังกัดต่างพรรคการเมือง แต่ภายใต้โครงสร้างรัฐบาลผสมและการนำของนายกรัฐมนตรี (ในช่วงปลายปี 2568 คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ตามบริบทข่าวสมมติ/อนาคต) การทำงานร่วมกันในประเด็นนี้สะท้อนถึง "ฉันทามติร่วมกันของรัฐบาล" (Government Coalition Consensus) ในการเร่งสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรมต่อฐานเสียงชาวพุทธและประชาชนในต่างจังหวัด การที่นางสาวศุภมาสลงมาขับเคลื่อนด้วยตนเอง เป็นการส่งสัญญาณว่ามาตรการนี้ได้รับการสนับสนุนจากระดับนโยบายสูงสุดและมีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์รองรับ


5. การวิเคราะห์บริบททางการเมืองและพลวัตปี 2568

5.1 การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและการรักษาฐานเสียง

ปี 2568 เป็นปีที่มีความผันผวนทางการเมืองสูง จากข้อมูลบริบทข่าวระบุถึงการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล (จากการพ้นตำแหน่งของนายกฯ แพทองธาร สู่การขึ้นสู่ตำแหน่งของนายกฯ อนุทิน) ในสถานการณ์เช่นนี้ "นโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้าง" (Structural Populism) ที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและศาสนา กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความชอบธรรม (Legitimacy) และเสถียรภาพให้กับรัฐบาลชุดใหม่

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาที่ดินวัดหนาแน่นที่สุด (เช่น สกลนคร, นครพนม) เป็นฐานเสียงสำคัญของทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย การที่ ดร.นิยม (ส.ส.สกลนคร) ขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างหนัก จึงมีผลโดยตรงต่อคะแนนนิยมในพื้นที่ ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยซึ่งคุมกระทรวงมหาดไทย (ผู้ว่าราชการจังหวัด/ที่ดิน) และกระทรวง อว. ก็ต้องการแสดงบทบาทนำในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเช่นกัน

5.2 การเมืองเรื่อง "นิรโทษกรรมที่ดิน" (Land Amnesty Politics)

การผลักดันมาตรการพิสูจน์สิทธิที่ดินวัด อาจมองได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของ "การนิรโทษกรรมทางอ้อม" (De facto Amnesty) ให้กับศาสนสถาน รัฐบาลเลือกที่จะใช้วิธีการทางบริหาร (มติ ครม.) แทนการแก้ไขกฎหมาย (พ.ร.บ.) ซึ่งทำได้ยากและใช้เวลานาน วิธีการนี้ช่วยลดแรงเสียดทานจากกลุ่มอนุรักษ์สุดโต่ง ในขณะเดียวกันก็สามารถปลดล็อกปัญหาให้วัดได้จริงและรวดเร็วกว่า


6. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

6.1 บทสรุป: จาก "วิกฤต" สู่ "โอกาส"

การวิเคราะห์บทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา และการบูรณาการงานของนางสาวศุภมาส อิศรภักดี ชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาที่ดินวัดและที่พักสงฆ์ในปี 2568 ได้ก้าวข้ามจาก "การร้องเรียนรายกรณี" มาสู่ "การปฏิรูปเชิงระบบ" (Systemic Reform) ที่มีความสมบูรณ์ที่สุดครั้งหนึ่ง

ความสำเร็จนี้เกิดจากองค์ประกอบ 3 ประการ (Trinity of Success):

  1. The Architect (ผู้วางระบบ): ดร.นิยม เวชกามา ผู้เข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้และสร้างกลไกทางนโยบายผ่าน สคทช. และ ครม.

  2. The Enabler (ผู้สนับสนุน): นางสาวศุภมาส อิศรภักดี และกระทรวง อว. ที่นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสนับสนุนความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์สิทธิ

  3. The Mechanism (กลไก): มติ ครม. 5 ส.ค. 2568 ที่ปลดล็อกเงื่อนไขทางกฎหมายและเปลี่ยนนิยามการทำประโยชน์

6.2 ข้อเสนอแนะเพื่อความยั่งยืน

เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายนี้บรรลุผลสัมฤทธิ์ในระยะยาวและครอบคลุมวัดทั้ง 10,000 แห่ง ขอเสนอแนะแนวทางดังนี้:

  • จัดตั้ง "War Room" ที่ดินวัดระดับชาติ: ควรมีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่มีอำนาจสั่งการข้ามกระทรวง เพื่อติดตามความคืบหน้าของการพิสูจน์สิทธิรายจังหวัด และแก้ปัญหาคอขวด (Bottleneck) ทันที

  • การใช้ AI ในการอ่านแปลภาพถ่าย: พัฒนาอัลกอริทึม AI (Artificial Intelligence) โดยกระทรวง อว. เพื่อช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียมในการจำแนก "ป่าธรรมชาติ" ออกจาก "ป่าวัด" อย่างรวดเร็ว ลดภาระงานของเจ้าหน้าที่และลดความลำเอียง (Bias)

  • การสร้างฐานข้อมูลดิจิทัล (Temple Land Digital Platform): จัดทำฐานข้อมูลที่ดินวัดทั่วประเทศในรูปแบบ GIS ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากกรมที่ดิน กรมป่าไม้ และสำนักพุทธฯ เข้าด้วยกัน เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาทในอนาคต

  • กฎหมายนิรโทษกรรมเฉพาะกาล: ในระยะยาว รัฐสภาควรพิจารณาตราพระราชบัญญัติเพื่อรับรองสถานะของวัดที่ผ่านการพิสูจน์สิทธิแล้วอย่างถาวร เพื่อให้สถานะทางกฎหมายมีความมั่นคง ไม่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของมติ ครม. ในอนาคต

การดำเนินการตามแนวทางนี้ จะเป็นการยืนยันว่ารัฐไทยให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เพียงในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม แต่ในฐานะสถาบันทางสังคมที่ต้องได้รับความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินอย่างเป็นธรรมและเสมอภาคภายใต้กฎหมาย


7. ภาคผนวก: ข้อมูลสถิติและระเบียบที่เกี่ยวข้อง

7.1 ขั้นตอนการขอออกโฉนดที่ดินตามมาตรการใหม่ (Flowchart Summary)

  1. ยื่นคำขอ: วัดยื่นคำร้องพร้อมหลักฐาน (ส.ค. 1, ทะเบียนวัด, ประวัติวัด) ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน

  2. ตรวจสอบเบื้องต้น: คพร.จังหวัด ตรวจสอบตำแหน่งที่ดินว่าอยู่ในเขตที่ดินรัฐประเภทใด

  3. พิสูจน์การครอบครอง: ตรวจสอบร่องรอยการทำประโยชน์ (ใช้ภาพถ่ายทางอากาศ/ดาวเทียม + พยานบุคคล) โดยยึดนิยามใหม่ "ศาสนกิจ = ทำประโยชน์"

  4. วินิจฉัย:

    • กรณีชัดเจน: คพร.จังหวัด มีมติ "เชื่อได้ว่าครอบครองก่อน" -> แจ้งวัด -> ออกโฉนด/หนังสือสำคัญ

    • กรณีไม่ชัดเจน: ส่งคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายฯ (ส่วนกลาง) -> ใช้เทคโนโลยี GISTDA/อว. ช่วย -> ส่งผลกลับ คพร.จังหวัด

  5. ดำเนินการตามกฎหมายเฉพาะ: หากอยู่ในเขตป่าสงวน/อุทยาน ดำเนินการเพิกถอนเขตป่าบางส่วนหรืออนุญาตตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง

7.2 กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (มาตรา 33, 34)

  • ประมวลกฎหมายที่ดิน (มาตรา 1, 59 ทวิ)

  • พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 (มาตรา 14)

  • พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 (มาตรา 19, 64)

  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 5 สิงหาคม 2568 เรื่อง มาตรการการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กฎหมายและการพัฒนาเขาศรีวิชัยด้วยวิศวกรสังคม

  วิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม : กรณีศึกษาเขาศรีวิชัย ณ บ้านหัวเขา หมู่ 1 ตำบลศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จัง...