วิเคราะห์ถอดบทเรียนจากธัมเมกขสถูปสารนาถ: ปัญจวัคคีย์ “โปลิตบูโร” แห่งพุทธศาสนายุคต้นประยุกต์ใช้กับพรรคการเมืองไทย
บทนำ: ภูมิทัศน์แห่งศรัทธาและอำนาจ จากพาราณสีสู่รัฐสภาไทย
การศึกษาประวัติศาสตร์ศาสนาและรัฐศาสตร์การเมืองมักถูกมองว่าเป็นเส้นขนานที่ยากจะบรรจบกัน แต่เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างสถาบัน (Institutional Structure) และกลไกการบริหารจัดการองค์กร (Organizational Management) จะพบว่า "พุทธศาสนา" ในยุคพุทธกาล และ "พรรคการเมือง" ในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่ มีจุดร่วมที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง นั่นคือ ความพยายามในการสถาปนาอุดมการณ์ (Ideology) ให้หยั่งรากลึกในสังคมผ่านกลุ่มบุคลากรนำร่องที่มีประสิทธิภาพ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อถอดรหัสความสำเร็จของการก่อตั้งองค์กรพุทธศาสนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน หรือ สารนาถ เมืองพาราณสี โดยใช้โมเดล "ปัญจวัคคีย์" ในฐานะแม่แบบของ "โปลิตบูโร" (Politburo) หรือคณะกรมการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของศาสดาไปสู่มวลชน และนำบทเรียนดังกล่าวมาทาบทับ (Superimpose) กับโครงสร้าง ปัญหา และความท้าทายของพรรคการเมืองไทยในปัจจุบัน
สารนาถ (Sarnath) ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย มิใช่เพียงสังเวชนียสถานทางศาสนา แต่ในมิติทางรัฐศาสตร์ สารนาถคือ "จุดกำเนิดทางยุทธศาสตร์" (Strategic Genesis Point) ที่พระพุทธองค์ทรงเลือกใช้เป็นเวทีในการประกาศ "ธรรมนูญ" ฉบับแรกของโลกผ่าน "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร"
ในบริบทนี้ คำว่า "โปลิตบูโร" ซึ่งมีรากศัพท์มาจากการเมืองระบอบคอมมิวนิสต์ (Political Bureau) ถูกนำมาใช้ในความหมายเชิงหน้าที่นิยม (Functionalism) เพื่ออธิบายกลุ่มแกนนำสูงสุดที่มีอำนาจตัดสินใจและกำหนดทิศทางองค์กร โดยการศึกษานี้จะจำแนกองค์ประกอบความสำเร็จออกเป็น 5 มิติหลัก ได้แก่ โครงสร้างผู้นำและอุดมการณ์, กลไกคณะทำงาน (Cadre), ยุทธศาสตร์ที่ตั้ง (Location Strategy), การสร้างบุคลากร (Political Schooling), และการจัดการความขัดแย้ง (Conflict Resolution) เพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาสถาบันพรรคการเมืองไทยให้มีความยั่งยืน ดุจดังธัมเมกขสถูปที่ยืนหยัดท้าทายกาลเวลากว่า 2,500 ปี
ส่วนที่ 1: สารนาถโมเดลและองค์ประกอบ 5 ประการของการก่อตั้งสถาบัน
ความสำเร็จในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าภายในระยะเวลาเพียง 9 เดือน หลังจากการตรัสรู้ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งในเชิงบริหารจัดการ ข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการระบุว่า พระองค์ทรงใช้เวลาเพียงไม่นานในการประกาศศาสนธรรมและก่อตั้งรากฐานที่มั่นคงในดินแดนชมพูทวีป ความสำเร็จนี้มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากความสมบูรณ์พร้อมของ "องค์ประกอบ 5 ประการของการก่อตั้งศาสนา"
1.1 พระศาสดา (The Founder) กับภาวะผู้นำเชิงบารมี
องค์ประกอบแรกคือ "พระศาสดา" ผู้เป็นต้นกำเนิดของวิสัยทัศน์และอุดมการณ์ ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง (Sayamphu) มีความบริสุทธิ์และปัญญาธิคุณที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ทำให้เกิดความชอบธรรม (Legitimacy) สูงสุดในการนำองค์กร
1.2 ศาสนธรรม (The Ideology) หรือ นโยบายพรรค
องค์ประกอบที่สองคือ "ศาสนธรรม" หรือหลักคำสอนที่เป็นความจริงแท้ (Truth) ที่พิสูจน์ได้ ที่สารนาถ พระองค์ทรงประกาศ "อริยสัจ 4" และ "มรรคมีองค์ 8" ซึ่งเป็น Core Value หรือค่านิยมหลักขององค์กร
1.3 ศาสนบุคคล (The Cadre) หรือ ปัญจวัคคีย์
องค์ประกอบที่สามและเป็นหัวใจของการศึกษานี้คือ "ศาสนบุคคล" หรือพยานแห่งการตรัสรู้ ปัญจวัคคีย์ (โกณฑัญญะ, วัปปะ, ภัททิยะ, มหานามะ, อัสสชิ) คือกลุ่มบุคคลแรกที่ได้รับการคัดเลือก (Selected Few) ให้มารับถ่ายทอดอุดมการณ์ พวกเขาไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นปัญญาชนที่มีพื้นฐานความรู้เดิมดีอยู่แล้ว (เคยเป็นพราหมณ์หรือเชื้อพระวงศ์)
1.4 ศาสนวิธี (The Method) หรือ ยุทธศาสตร์การสื่อสาร
องค์ประกอบที่สี่คือ "ศาสนวิธี" การที่พระพุทธองค์ทรงเลือกใช้วิธีการอธิบายธรรมแบบมีเหตุผล (Rational Approach) และการปฏิบัติวิปัสสนา เพื่อทำลาย "อวิชชา" (ความไม่รู้)
1.5 ศาสนสถาน (The Context) หรือ ฐานที่มั่น
องค์ประกอบสุดท้ายคือ "ศาสนสถาน" หรือบริบทพื้นที่ สารนาถและป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ถูกเลือกอย่างมียุทธศาสตร์ เพราะอยู่ใกล้เมืองพาราณสี ศูนย์กลางทางภูมิปัญญา
ส่วนที่ 2: ปัญจวัคคีย์ ในฐานะ "โปลิตบูโร" (Politburo) ชุดแรกของโลก
คำว่า "โปลิตบูโร" (Politburo) ในบริบทของพรรคคอมมิวนิสต์ หมายถึงคณะกรรมาธิการการเมืองที่มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบาย หากนำมาเทียบเคียงกับ "ปัญจวัคคีย์" ทั้ง 5 ท่าน จะพบความสอดคล้องทางหน้าที่ (Functional Equivalence) อย่างน่าอัศจรรย์ในการขับเคลื่อนองค์กรพุทธศาสนาในระยะก่อตั้ง
2.1 โครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของปัญจวัคคีย์
ปัญจวัคคีย์มิได้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ติดตาม แต่เป็น "ผู้ร่วมก่อตั้ง" (Co-founders) ที่แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนภายใต้การนำของพระพุทธเจ้า:
พระอัญญาโกณฑัญญะ (The Validator/Chairman): ในฐานะหัวหน้ากลุ่มและผู้บรรลุธรรมเป็นคนแรก ท่านทำหน้าที่ "รับรองความถูกต้อง" (Validation) ของคำสอน การที่ท่านเปล่งวาจาว่า "ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ" (สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา) เป็นการยืนยันต่อโลกภายนอกว่า ธรรมะของพระพุทธองค์เป็นของจริง
1 ในพรรคการเมือง ตำแหน่งนี้เทียบได้กับ "หัวหน้าพรรค" หรือ "ประธานที่ปรึกษา" ผู้มีความอาวุโสสูงสุดและเป็นเสาหลักทางอุดมการณ์13 14 พระวัปปะ และ พระภัททิยะ (The Propagandists/Spokespersons): หลังจากโกณฑัญญะบรรลุธรรม พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนอีก 4 ท่านที่เหลือ ทั้งสองท่านนี้มีบทบาทสำคัญในการขยายผลและทำความเข้าใจกับหลักธรรมในรายละเอียด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเผยแผ่ เทียบได้กับ "รองหัวหน้าพรรค" หรือ "โฆษกพรรค" ที่ทำหน้าที่สื่อสารนโยบายและชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ
15 16 พระมหานามะ และ พระอัสสชิ (The Recruiters/Organizers): โดยเฉพาะพระอัสสชิ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการ "Recruit" บุคลากรระดับสูง (Talent Acquisition) ท่านเป็นผู้ที่ทำให้พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวา) เกิดความเลื่อมใสเพียงแค่เห็นกิริยาและฟังประโยคสั้นๆ นี่คือหน้าที่ของ "เลขาธิการพรรค" หรือ "ผู้อำนวยการพรรค" ที่ต้องแสวงหาและดึงดูดคนเก่งเข้ามาสู่องค์กร
15
2.2 ยุทธศาสตร์การกระจายอำนาจ: "จรถ ภิกฺขเว จาริกํ"
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนาขยายตัวอย่างรวดเร็วคือคำสั่ง "จรถ ภิกฺขเว จาริกํ..." (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงจาริกไป... เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มาก)
เปรียบเทียบกับพรรคการเมืองไทย ยุทธศาสตร์นี้คือการสร้าง "สาขาพรรค" และ "ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด" (Province Representatives) ให้ครอบคลุมทุกเขตเลือกตั้ง
2.3 ปัญจวัคคีย์กับการทำลาย "อวิชชา" (Disruption of Ignorance)
เอกสารระบุว่าปัญจวัคคีย์เป็นผู้ "ทำลายข้าศึกหมู่ใหญ่ได้" (มหากายปทาเลตา) ซึ่งหมายถึงกองอวิชชา
ส่วนที่ 3: กายวิภาคโครงสร้างพรรคการเมืองไทย: ความจริงกับอุดมคติ
เมื่อนำโมเดล "ปัญจวัคคีย์" มาทาบทับกับโครงสร้างพรรคการเมืองไทยตามกฎหมายและตามพฤตินัย จะพบทั้งส่วนที่สอดคล้องและส่วนที่บิดเบี้ยว ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพของพรรคการเมืองเหล่านั้น
3.1 โครงสร้างคณะกรรมการบริหารพรรค (Executive Committee) ตามกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และข้อบังคับพรรคการเมืองต่างๆ โครงสร้างคณะกรรมการบริหารพรรค (ก.ก.บห.) ประกอบด้วยตำแหน่งสำคัญ 7 ตำแหน่งหลัก ได้แก่ หัวหน้าพรรค, เลขาธิการพรรค, เหรัญญิก, นายทะเบียนสมาชิก, และกรรมการบริหารอื่น
ตารางที่ 1: เปรียบเทียบโครงสร้างบริหารจัดการองค์กร
| ตำแหน่งในพรรคการเมือง (Party Role) | หน้าที่ความรับผิดชอบ (Responsibilities) | เทียบเคียงโมเดลปัญจวัคคีย์ (Buddhist Equivalent) |
| หัวหน้าพรรค (Leader) | เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร, รับผิดชอบนโยบายภาพรวม, เป็นตัวแทนพรรค | พระอัญญาโกณฑัญญะ (ผู้อาวุโส, ผู้รับรองความชอบธรรม) |
| เลขาธิการพรรค (Secretary-General) | แม่บ้านพรรค, บริหารจัดการภายใน, ประสานงานสมาชิก, วางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง | พระอัสสชิ / พระสารีบุตร (ผู้บริหารจัดการ, ผู้สรรหาบุคลากร) |
| เหรัญญิกพรรค (Treasurer) | ดูแลบัญชีรายรับ-รายจ่าย, การเงินของพรรคให้โปร่งใสตาม กกต. | พระอานนท์ (ผู้ดูแลความเป็นอยู่, พุทธอุปัฏฐาก - ในแง่การจัดการทรัพยากร) |
| โฆษกพรรค (Spokesperson) | สื่อสารนโยบาย, แถลงข่าว, ตอบโต้ทางการเมือง | พระภัททิยะ / พระวัปปะ (ผู้ประกาศธรรม, ผู้ขยายความ) |
| นายทะเบียนสมาชิก (Registrar) | ดูแลฐานข้อมูลสมาชิก, สาขาพรรค, ตรวจสอบคุณสมบัติ | พระอุบาลี (ผู้ทรงพระวินัย - ดูแลกฎระเบียบและสมาชิกภาพ) |
3.2 ความบิดเบี้ยวของโครงสร้าง: "เจ้าของพรรค" vs "โปลิตบูโร"
แม้กฎหมายจะกำหนดโครงสร้างไว้ชัดเจน แต่ในความเป็นจริง พรรคการเมืองไทยหลายพรรคมีโครงสร้างอำนาจที่ซ้อนทับ (Overlapping Power Structure) ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาเป็นสถาบันได้สมบูรณ์แบบโมเดลสารนาถ
พรรคเพื่อไทย: มีลักษณะเป็น "พรรคครอบครัว/บริษัท" (Family/Corporate Party) อำนาจการตัดสินใจที่แท้จริงมักไม่ได้อยู่ที่คณะกรรมการบริหารพรรค แต่อยู่ที่ "ผู้มีบารมีนอกพรรค" หรือ "ประธานที่ปรึกษา"
22 4 โครงสร้างนี้ทำให้ ก.ก.บห. (ปัญจวัคคีย์) ขาดความเป็นอิสระ เปรียบเสมือนพระสงฆ์ที่ต้องรอรับนิมนต์จากฆราวาสผู้ทรงอิทธิพลเพียงอย่างเดียว ทำให้การบริหารงานขาดความคล่องตัวและเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคหากมีการครอบงำพรรคพลังประชารัฐ: มีลักษณะเป็น "พรรคมุ้งการเมือง/ทหาร" (Factional/Military Party) โครงสร้าง "โปลิตบูโร" ของพรรคนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้งของกลุ่มก๊วน (Factions) เช่น กลุ่มสามมิตร, กลุ่มธรรมนัส (ที่แยกตัวออกไป), กลุ่มบ้านป่า
23 24 ความสัมพันธ์ไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์ร่วม (Samma-ditthi) แต่เกิดจากผลประโยชน์แลกเปลี่ยน (Transactional) เมื่อผลประโยชน์ขัดกัน "ปัญจวัคคีย์" ก็แตกแยก ต่างจากปัญจวัคคีย์ที่สารนาถที่มีความเป็นเอกภาพสูงเพราะมีเป้าหมายนิพพานเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์: เป็น "พรรคสถาบัน" (Institutional Party) ที่มีโครงสร้าง ก.ก.บห. เข้มแข็งที่สุดในอดีต แต่ปัจจุบันประสบปัญหา "ช่องว่างระหว่างวัย" (Generation Gap) และความขัดแย้งทางความคิดระหว่างกลุ่ม Old Guard (ชวน หลีกภัย) และกลุ่ม New Management (เฉลิมชัย ศรีอ่อน)
25 26 การที่ "โปลิตบูโร" ไม่สามารถปรับตัวตามโลกได้ทัน ทำให้สูญเสียฐานศรัทธา
ส่วนที่ 4: ยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์: สารนาถแห่งสยาม – ทำเลที่ตั้งและฮวงจุ้ยทางการเมือง
พระพุทธองค์ทรงเลือก "สารนาถ" หรือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ 2 ประการ คือ 1) เป็นสถานที่สงบเหมาะแก่การปฏิบัติ และ 2) อยู่ใกล้เมืองพาราณสี ซึ่งเป็นแหล่งรวมนักปราชญ์และพราหมณ์ การประกาศธรรมที่นี่จึงเป็นการ "ปักธง" ในใจกลางทางปัญญาของอินเดีย
4.1 พรรคเพื่อไทย: จากเพชรบุรีสู่วิภาวดี – ศูนย์กลางธุรกิจและการเชื่อมต่อ
เดิมที่ทำการพรรคเพื่อไทย (และไทยรักไทย) ตั้งอยู่ที่อาคาร OAI Tower ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ย่านธุรกิจสำคัญ สะท้อนภาพลักษณ์ "CEO" และการบริหารจัดการแบบเอกชน ต่อมาย้ายมายังอาคาร Voice TV เดิม บนถนนวิภาวดีรังสิต
นัยยะทางยุทธศาสตร์: ถนนวิภาวดีรังสิตเป็นเส้นทางสายหลัก ("Super Highway") ที่มุ่งหน้าสู่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็น "ฐานเสียงหลัก" (Stronghold) ของพรรค การตั้งมั่นอยู่ ณ ประตูสู่ฐานเสียง เป็นสัญลักษณ์ของการให้ความสำคัญกับประชาชนในภูมิภาคเหล่านี้ อีกทั้งยังมีความเป็นเอกเทศในการบริหารจัดการสื่อของตนเอง
4.2 พรรคประชาธิปัตย์: ถนนเศรษฐศิริ – อนุรักษ์นิยมและระบบราชการ
ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ณ ถนนเศรษฐศิริ เขตพญาไท เป็นอาคารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่มาอย่างยาวนาน
นัยยะทางยุทธศาสตร์: ทำเลนี้ตั้งอยู่ใกล้สถานที่ราชการ กองทัพ และย่านที่อยู่อาศัยของข้าราชการระดับสูง สะท้อนถึงรากฐานของพรรคที่เป็น "พรรคของข้าราชการและชนชั้นนำ" (Bureaucratic Polity Ally) แม้จะดูขลังและมั่นคง แต่ในทางฮวงจุ้ยการเมืองยุคใหม่ อาจถูกมองว่า "ล้าสมัย" และห่างไกลจากย่านธุรกิจหรือย่านคนรุ่นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับสถานะของพรรคที่กำลังถดถอย
31 26
4.3 พรรคประชาชน (ก้าวไกล/อนาคตใหม่): รามคำแหง/หัวหมาก – จิตวิญญาณขบถและปัญญาชนใหม่
ที่ทำการพรรคตั้งอยู่ที่อาคารอนาคตใหม่ ย่านรามคำแหง-หัวหมาก
นัยยะทางยุทธศาสตร์: ย่านรามคำแหงเป็นพื้นที่สัญลักษณ์ของ "นักศึกษารามฯ" และการต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชนในอดีต (14 ตุลา, พฤษภาทมิฬ) นอกจากนี้ยังเป็นย่านที่มีประชากรหนาแน่นและมีความหลากหลายสูง การเลือกทำเลนี้สอดคล้องกับอุดมการณ์พรรคที่เน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ (New Voters) และชนชั้นกลางระดับล่าง (Lower Middle Class) ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง เป็น "สารนาถ" ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการฟัง "ปฐมเทศนา" ทางการเมืองแบบใหม่
4.4 พรรคภูมิใจไทย: พหลโยธิน – เส้นเลือดใหญ่แห่งการคมนาคม
ที่ทำการพรรคภูมิใจไทยตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร
นัยยะทางยุทธศาสตร์: ถนนพหลโยธินเป็นเส้นทางหลักของประเทศและเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง (ใกล้สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์) ซึ่งสอดรับกับกระทรวงเกรดเอที่พรรคครอบครองมายาวนานคือ "กระทรวงคมนาคม" สะท้อนยุทธศาสตร์ "พูดแล้วทำ" ที่เน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมโยงเครือข่ายหัวคะแนนท้องถิ่น
12 นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึง "ฮวงจุ้ย" ที่ดีในการดึงดูด สส. เข้าพรรค เปรียบเสมือน "เครื่องดูดฝุ่น" ทางการเมือง36
ส่วนที่ 5: จาก "สงฆ์สาวก" สู่ "นักรบการเมือง": การสร้างบุคลากรผ่านโรงเรียนการเมือง
ความยั่งยืนของพุทธศาสนาเกิดจากการมีระบบการฝึกอบรมบุคลากร (Training System) ที่เข้มข้น พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ "พระวินัย" เพื่อควบคุมพฤติกรรม และสอน "กัมมัฏฐาน" เพื่อพัฒนาจิตใจ ทำให้พระสงฆ์มีคุณภาพมาตรฐานเดียวกัน (Standardization)
5.1 พรรคประชาชน: PP101 และการสร้าง "สมาชิกพรรคที่ตื่นรู้"
พรรคประชาชน (สืบทอดจากก้าวไกล) มีระบบการพัฒนาบุคลากรที่เข้มข้นและเป็นระบบที่สุดในปัจจุบัน คล้ายคลึงกับระบบสังฆะ:
หลักสูตร PP101/School of Politics: ไม่ได้สอนแค่ยุทธศาสตร์การหาเสียง แต่สอนประวัติศาสตร์การเมือง, การกระจายอำนาจ, และสิทธิมนุษยชน
37 20 38 เป้าหมาย: สร้าง "ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด" (ตทจ.) และสมาชิกที่มีคุณภาพ เพื่อให้พรรคขับเคลื่อนด้วยฐานสมาชิก (Mass-based Party) ไม่ใช่พึ่งพาแค่กระแสโซเชียลมีเดีย เป็นการสร้าง "ปัญจวัคคีย์" ในระดับท้องถิ่นที่พร้อมจะเผยแผ่อุดมการณ์
39 นวัตกรรม: มีการใช้ "คูปองเปิดโลก" และแพลตฟอร์มเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นนโยบายที่สะท้อนกลับมาสู่การพัฒนาคนของพรรคเอง
40 9
5.2 พรรคเพื่อไทย: Young Professionals Program (YPP) และ Technocrat Model
พรรคเพื่อไทยเน้นการดึงดูดคนเก่งที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Professionals) เข้ามาเป็น "มันสมอง" ของพรรค:
YPP / PTP Academy: เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่ (อายุ 21-40 ปี) ให้เข้ามาเรียนรู้การทำนโยบายและการบริหารจัดการภาครัฐ
41 42 แนวคิด: คล้ายกับการสร้าง "เทคโนแครต" (Technocrat) ที่เน้นผลลัพธ์ (Result-oriented) และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ มากกว่าการเน้นทฤษฎีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเข้มข้น ซึ่งสอดคล้องกับ DNA ของพรรคที่เน้นการบริหาร
41
5.3 พรรคประชาธิปัตย์: ยุวประชาธิปัตย์ (Young Democrat) – ตำนานที่ต้องการการฟื้นฟู
โครงการยุวประชาธิปัตย์เป็นโมเดลโรงเรียนการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เน้นการสร้างทายาททางการเมืองและการฝึกงาน
5.4 หลักสูตร พตส. (กกต.): การสร้างเครือข่ายคอนเนกชั่น
นอกจากโรงเรียนของพรรค ยังมีหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) ของ กกต. ที่รวมนักการเมืองข้ามพรรคมาเรียนร่วมกัน
ส่วนที่ 6: การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Resolution) และบทบาท "ประธานที่ปรึกษา"
ในพุทธศาสนา เมื่อมีความขัดแย้ง (อธิกรณ์) เกิดขึ้น พระพุทธองค์ทรงวางหลัก "อธิกรณสมถะ 7" เป็นกลไกในการระงับข้อพิพาท
6.1 วิกฤตศรัทธาและการจัดการ "สังฆเภท" ในพรรคการเมือง
พรรคพลังประชารัฐ: กรณีความขัดแย้งระหว่าง "กลุ่มธรรมนัส" และ "ลุงป้อม" แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการจัดการความขัดแย้ง พรรคไม่มีกลไก "วินัย" ที่สมาชิกยอมรับ มีเพียงการใช้อำนาจดิบ (Raw Power) และการต่อรองผลประโยชน์ เมื่อตกลงกันไม่ได้ จึงเกิดการขับออก (Expulsion) ซึ่งทำลายเอกภาพของพรรคอย่างรุนแรง
47 24 พรรคประชาธิปัตย์: ความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจเก่าและใหม่ ทำให้สมาชิกพรรคคนสำคัญลาออกจำนวนมาก (เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
26 48 ปัญหานี้สะท้อนว่า "ข้อบังคับพรรค" และ "วัฒนธรรมองค์กร" ไม่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้
6.2 บทบาทของ "ประธานที่ปรึกษา" ในฐานะ "พระมหาเถระ"
ในระบบสงฆ์ พระมหาเถระผู้รัตตัญญู (ผู้รู้ราตรีนาน) มีบทบาทสำคัญในการให้สติและประคองสงฆ์ ในการเมืองไทย ตำแหน่ง "ประธานที่ปรึกษา" จึงมีความสำคัญยิ่ง:
ชวน หลีกภัย (ประชาธิปัตย์): ในฐานะปูชนียบุคคลของพรรค ท่านทำหน้าที่เป็นเข็มทิศทางจริยธรรม แต่บางครั้งบทบาทที่มากเกินไปอาจถูกมองว่าเป็นการ "แช่แข็ง" พรรคไม่ให้ก้าวหน้า
49 50 51 ทักษิณ ชินวัตร (เพื่อไทย): แม้ตำแหน่งทางการอาจเป็นเพียงที่ปรึกษาหรือผู้ช่วยหาเสียง แต่ในทางพฤตินัย ท่านคือ "ศูนย์รวมจิตวิญญาณ" บทบาทนี้ช่วยรวมศูนย์อำนาจให้พรรคมีเอกภาพ แต่ก็สร้างความเสี่ยงทางกฎหมาย (การครอบงำพรรค)
4 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พลังประชารัฐ): เป็นศูนย์รวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่ขาด "บารมีทางธรรม" (Moral Authority) ทำให้ลูกพรรคอยู่ด้วยผลประโยชน์มากกว่าศรัทธา
23 5
6.3 กลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน
พรรคการเมืองยุคใหม่ควรนำ "พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562" มาประยุกต์ใช้ในการสร้างกลไกจัดการความขัดแย้งภายในพรรค โดยตั้ง "ศูนย์ไกล่เกลี่ย" ที่เป็นกลาง เพื่อลดการฟ้องร้องและการใช้สื่อโจมตีกันเอง ซึ่งจะช่วยรักษาภาพลักษณ์และความสามัคคีของ "โปลิตบูโร" ไว้ได้
บทสรุป: สู่การสถาปนา "สถาบันการเมือง" ที่ยั่งยืน
บทเรียนจากธัมเมกขสถูปและปัญจวัคคีย์ที่สารนาถ ให้ข้อสรุปที่สำคัญยิ่งสำหรับพรรคการเมืองไทยว่า ความสำเร็จที่ยั่งยืนไม่ได้เกิดจาก "ปาฏิหาริย์" หรือ "กระแสชั่วข้ามคืน" แต่เกิดจาก "การจัดตั้งองค์กร" (Organization) ที่เป็นระบบและมีรากฐานที่มั่นคง
ต้องมี "ปัญจวัคคีย์" (โปลิตบูโร) ที่เข้มแข็ง: พรรคการเมืองต้องสร้างคณะกรรมการบริหารพรรคที่มีความรู้ ความสามารถ และที่สำคัญคือมี "เอกภาพทางอุดมการณ์" (Ideological Unity) ไม่ใช่การรวมตัวของมุ้งการเมืองเพื่อแบ่งเค้ก
ต้องมี "ศาสนธรรม" (อุดมการณ์) ที่ชัดเจน: นโยบายพรรคต้องเป็นสัจธรรมที่ตอบโจทย์ความทุกข์ยากของประชาชน (แก้ทุกข์สมุทัย) ไม่ใช่เพียงวาทกรรมโฆษณาชวนเชื่อ
ต้องมี "ยุทธศาสตร์ที่ตั้ง" และ "การสื่อสาร" ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย: การเลือกทำเลที่ตั้งและการใช้สื่อต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมของฐานเสียง ดุจดั่งที่พระพุทธองค์ทรงเลือกสารนาถเพื่อเข้าถึงกลุ่มปัญญาชน
ต้องสร้าง "ศาสนบุคคล" (Cadres) อย่างต่อเนื่อง: การลงทุนในโรงเรียนการเมืองและการพัฒนาสมาชิกพรรค คือหลักประกันความอยู่รอดของพรรคในระยะยาว เพื่อไม่ให้พรรคล่มสลายไปพร้อมกับตัวผู้นำ
พรรคการเมืองไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งของการพัฒนา หากสามารถถอดรหัสความสำเร็จจากสารนาถโมเดลมาประยุกต์ใช้ เปลี่ยนจาก "พรรคเฉพาะกิจ" ให้เป็น "สถาบัน" ได้ การเมืองไทยก็จะสามารถก้าวข้ามวัฏจักรแห่งความขัดแย้ง (Samsara of Conflict) ไปสู่ "นิพพานทางการเมือง" หรือเสถียรภาพประชาธิปไตยที่ยั่งยืนได้ในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น