วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568

"สกลนครยุทธศาสตร์ 3 ธรรม ดร.นิยม เวชกามา


วิเคราะห์เชิงวิชาการ: แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมจังหวัดสกลนคร ตามทัศนะและนโยบายของ ดร.นิยม เวชกามา


๑. บทนำ: สกลนครในบริบท "แอ่งธรรมะแห่งอีสาน" และพลวัตการท่องเที่ยววิถีใหม่

จังหวัดสกลนคร หรือที่รู้จักกันในนาม "เมืองหนองหารหลวง" ถือเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญยิ่งในเชิงประวัติศาสตร์ อารยธรรม และภูมิศาสตร์การเมืองของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ด้วยอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและหลากหลาย ซึ่งถูกร้อยเรียงผ่านคำขวัญและคำนิยามที่ว่า "สกลนครเมืองแห่งลูกหลานของท้าวผาแดง นางไอ่ หนองหารใหญ่ พระธาตุเชิงชุม บุญคุ้มหัว พระตำหนักภูพาน สืบสานวัฒนธรรมภูไท ผ้าลายครามสวยยิ่งลือนาม"  องค์ประกอบเหล่านี้มิใช่เพียงคำคล้องจองเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่เป็นหมุดหมายที่สะท้อนถึงทุนทางวัฒนธรรม (Cultural Capital) ที่เข้มข้น ซึ่งได้กลายมาเป็นรากฐานสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาจังหวัด ภายใต้การขับเคลื่อนของผู้นำทางความคิดและนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดร.นิยม เวชกามา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และนักวิชาการด้านพุทธศาสนา ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่เน้นความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของชุมชน ผ่านกรอบแนวคิด "๓ ธรรม" อันประกอบด้วย ธรรมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม

ในยุคโลกาภิวัตน์ที่กระแสการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experiential Tourism) และการโหยหาความหมายทางจิตวิญญาณ (Spiritual Tourism) กำลังเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บทความทางวิชาการฉบับนี้จึงมุ่งเน้นที่จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสกลนคร ผ่านเลนส์นโยบายและการปฏิบัติของ ดร.นิยม เวชกามา โดยจะเชื่อมโยงมรดกทางวัฒนธรรมทั้ง ๗ ประการตามที่ปรากฏในคำโปรยข้างต้น เข้ากับบริบททางเศรษฐกิจสังคมในปัจจุบัน การวิเคราะห์นี้มิได้จำกัดอยู่เพียงการพรรณนาลักษณะทางกายภาพของสถานที่ท่องเที่ยว แต่จะขยายขอบเขตไปสู่การตีความเชิงสัญลักษณ์ การจัดการทรัพยากร และผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจฐานราก (Grassroots Economy) เพื่อให้เห็นภาพรวมของศักยภาพและทิศทางในอนาคตของสกลนครในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลกด้านวัฒนธรรมและศรัทธา

ความสำคัญของการศึกษานี้อยู่ที่การทำความเข้าใจกลไกการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะที่บูรณาการความเชื่อทางศาสนาเข้ากับการบริหารจัดการเมือง (City Management) โดยมีกรณีศึกษาของ ดร.นิยม เวชกามา เป็นตัวแบบ (Model) ที่น่าสนใจในการนำหลักพุทธธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของประชาชน การวิเคราะห์จะครอบคลุมตั้งแต่ตำนานปรัมปราที่ฝังรากลึกในจิตวิญญาณชาวบ้าน ไปจนถึงนวัตกรรมทางภูมิปัญญาอย่างผ้าย้อมครามที่ก้าวไกลไปสู่เวทีแฟชั่นโลก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ประกอบกันเป็นภาพลักษณ์ใหม่ของสกลนคร เมืองที่ผสานความศรัทธาเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว

๒. วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพัฒนาของ ดร.นิยม เวชกามา: ผู้นำทางจิตวิญญาณและการเมือง

๒.๑ ภูมิหลังและเส้นทางสู่การเป็น "ดร.มหานิยม"

การจะเข้าใจแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวของสกลนครได้อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องพิจารณาถึงภูมิหลังและกระบวนทัศน์ของผู้นำนโยบายอย่าง ดร.นิยม เวชกามา ท่านมิใช่นักการเมืองทั่วไป แต่เป็นบุคลากรที่มีพื้นฐานทางวิชาการที่เข้มข้น โดยเฉพาะในด้านพุทธศาสนาและการบริหารการศึกษา ดร.นิยม สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (พุทธจิตวิทยา) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและความเชี่ยวชาญพิเศษในการนำหลักธรรมทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการบริหารงานและการพัฒนาสังคม

เส้นทางการเมืองของท่านเริ่มจากการเป็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ก่อนจะเข้าสู่สนามการเมืองระดับชาติและได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย บทบาทที่โดดเด่นของท่านคือการเป็น "ปากเสียงของพระพุทธศาสนา" ในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีการผลักดันกฎหมายสำคัญหลายฉบับ อาทิ ร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และร่างพระราชบัญญัติธนาคารพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า วิสัยทัศน์ของ ดร.นิยม มองว่า "ศาสนา" ไม่ใช่เรื่องของพิธีกรรมเพียงอย่างเดียว แต่เป็น "สถาบันหลัก" ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมได้ โดยเฉพาะในรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา (Faith-based Tourism) ที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่พื้นที่

๒.๒ ยุทธศาสตร์ "๓ ธรรม" และการประยุกต์ใช้ในสกลนคร

หัวใจสำคัญของนโยบายการท่องเที่ยวที่ ดร.นิยม สนับสนุนและผลักดัน คือยุทธศาสตร์ "๓ ธรรม" ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัดสกลนคร ยุทธศาสตร์นี้เป็นการจำแนกจุดแข็งของจังหวัดออกเป็น 3 มิติที่เกื้อกูลกัน ได้แก่:

  1. ธรรมะ (Dharma): การใช้ทุนทางศาสนาเป็นจุดดึงดูด สกลนครมีวัดวาอารามที่สำคัญและเกจิอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน (สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) จำนวนมาก การส่งเสริมในด้านนี้มุ่งเน้นที่การพัฒนาเส้นทางแสวงบุญ การจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรม และการยกระดับงานประเพณีทางศาสนาให้เป็นงานระดับชาติ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.นิยม ที่ต้องการให้วัดเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการท่องเที่ยวชุมชน

  2. ธรรมชาติ (Nature): การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งเทือกเขาภูพาน หนองหาร และอุทยานแห่งชาติต่างๆ โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) ที่ยั่งยืน การอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำ และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐาน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

  3. วัฒนธรรม (Culture): การสืบสานและต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตชนเผ่าภูไท ประเพณีบุญคุ้มหัว ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง และหัตถกรรมผ้าย้อมคราม ดร.นิยม เน้นย้ำให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยว เพื่อให้รายได้กระจายสู่ฐานรากอย่างแท้จริง และป้องกันการสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมจากการท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ 

ตารางที่ ๑: ความสัมพันธ์ระหว่างยุทธศาสตร์ ๓ ธรรม กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดสกลนคร

ยุทธศาสตร์ ๓ ธรรมแหล่งท่องเที่ยว/กิจกรรมหลักเป้าหมายการพัฒนาตามแนวทาง ดร.นิยม
๑. ธรรมะวัดพระธาตุเชิงชุม, วัดป่าสุทธาวาส, วัดถ้ำผาแด่นส่งเสริมการท่องเที่ยวแสวงบุญ, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับผู้ปฏิบัติธรรม, ยกระดับงานนมัสการพระธาตุ
๒. ธรรมชาติหนองหาร, อุทยานแห่งชาติภูพาน, น้ำตกคำหอมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ, การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและป่าไม้, การเชื่อมโยงตำนานเข้ากับสถานที่จริง
๓. วัฒนธรรมชุมชนภูไท, ถนนสายคราม, ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง, บุญคุ้มหัวสร้างรายได้จากสินค้าวัฒนธรรม (OTOP/GI), อนุรักษ์ประเพณีดั้งเดิม, ส่งเสริม Soft Power สู่สากล

๓. พุทธธรรมและศรัทธามหาชน: พระธาตุเชิงชุมและประเพณีบุญคุ้มหัว

๓.๑ พระธาตุเชิงชุม: ศูนย์รวมจิตใจและรอยอารยธรรมพันปี

ในมิติของ "ธรรมะ" พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ถือเป็นเพชรยอดมงกุฎของการท่องเที่ยวเชิงศาสนาในจังหวัดสกลนคร ตามตำนานอุรังคธาตุและตำนานท้องถิ่น พระธาตุแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งเนื่องจากเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ในภัทรกัปนี้ ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และพระโคตมะ เสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทซ้อนทับกันไว้ และในอนาคต พระศรีอริยเมตไตรย ก็จะเสด็จมาประทับรอยพระบาทเป็นองค์ที่ ๕  ความเชื่อนี้ทำให้พระธาตุเชิงชุมมีสถานะเป็น "มหาเจดีย์แห่งอนาคตวงศ์" ที่พุทธศาสนิกชนปรารถนาจะมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลสูงสุด

องค์พระธาตุปัจจุบันเป็นศิลปะล้านช้าง ครอบทับองค์เดิมที่เป็นปราสาทขอม สร้างด้วยอิฐถือปูน ยอดฉัตรทองคำน้ำหนักกว่า ๒๔๗ บาท เป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองและความศรัทธาที่ชาวสกลนครมีต่อพระพุทธศาสนา ภายในวิหารยังเป็นที่ประดิษฐาน "หลวงพ่อพระองค์แสน" พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน ที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองสกลนครมาอย่างยาวนาน ดร.นิยม เวชกามา ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของศาสนสถานแห่งนี้ในฐานะแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว จึงได้สนับสนุนการพัฒนาภูมิทัศน์รอบวัดและการจัดระเบียบพื้นที่ เพื่อให้รองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งส่งเสริมให้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และตำนานแก่ผู้มาเยือน เพื่อสร้างความลึกซึ้งทางปัญญาควบคู่ไปกับศรัทธา

๓.๒ "บุญคุ้มหัว": อัตลักษณ์แห่งความกตัญญูและศรัทธา

ประเพณี "บุญคุ้มหัว" เป็นหนึ่งในกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่มีความเฉพาะตัวและสะท้อนถึงความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพสกนิกรชาวสกลนคร ข้อมูลระบุว่าพิธีนี้จัดขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ณ วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร 11 การจัดงานนี้มิได้เป็นเพียงการบำเพ็ญกุศลตามประเพณี แต่เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตา และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ในมุมมองของการส่งเสริมการท่องเที่ยว แนวทางของ ดร.นิยม คือการยกระดับประเพณีท้องถิ่นเช่นนี้ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจในด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ประเพณีบุญคุ้มหัวยังเชื่อมโยงกับวิถีการทำบุญอื่นๆ ของชาวอีสาน เช่น บุญข้าวจี่ บุญคูนลาน ซึ่งล้วนเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนผ่านกิจกรรมทางศาสนา การนำเสนอเรื่องราวของ "บุญคุ้มหัว" ควบคู่ไปกับ "บุญผะเหวด" และ "ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง" ช่วยให้ปฏิทินการท่องเที่ยวของสกลนครมีกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทั้งปี ลดปัญหาการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวเฉพาะช่วงเทศกาลใหญ่

๓.๓ พลวัตการท่องเที่ยวสายมู (Mutelu) และเศรษฐกิจฐานศรัทธา

ภายใต้วิสัยทัศน์ของ ดร.นิยม การส่งเสริมพุทธศาสนายังขยายผลไปสู่การรองรับกระแส "การท่องเที่ยวสายมู" (Mutelu Tourism) หรือการท่องเที่ยวเชิงศรัทธาและความเชื่อ ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 14 สกลนครและนครพนมได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาที่พึ่งทางใจ ไม่ว่าจะเป็นการขอพรจากพญานาค การสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการปฏิบัติธรรม

ดร.นิยม ได้สนับสนุนให้วัดและชุมชนมีการจัดการที่เอื้อต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เช่น การจัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีกรรม การให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับคติความเชื่อ และการเชื่อมโยงกับสินค้ามงคลที่ระลึก ซึ่งเป็นการสร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชนอย่างมหาศาล การที่ท่านผลักดันร่าง พ.ร.บ. เกี่ยวกับพุทธศาสนา ยังเป็นการวางรากฐานทางกฎหมายเพื่อให้การจัดการทรัพย์สินและกิจกรรมของวัดเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญ

๔. ตำนานรักอมตะและนิเวศวิทยาวัฒนธรรม: ผาแดง นางไอ่ และหนองหารหลวง

๔.๑ หนองหารหลวง: ทะเลสาบแห่งชีวิตและตำนาน

หนองหาร (Nong Han) ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่กว่า ๑๒๓ ตารางกิโลเมตร เป็นหัวใจสำคัญในมิติ "ธรรมชาติ" ของยุทธศาสตร์ ๓ ธรรม หนองหารมิใช่เพียงแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการประมง แต่เป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และเป็นแหล่งกำเนิดลำน้ำก่ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง ทัศนียภาพของหนองหารที่มีเกาะดอนต่างๆ เช่น เกาะดอนสวรรค์ เป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีศักยภาพสูงสำหรับการล่องเรือชมวิว การดูนก และการพักผ่อนหย่อนใจ

๔.๒ ตำนานผาแดง นางไอ่: เรื่องเล่าที่ขับเคลื่อนเมือง (Narrative-driven Tourism)

สิ่งที่ทำให้หนองหารมีเสน่ห์ดึงดูดใจเป็นพิเศษคือตำนานรักอมตะ "ผาแดง-นางไอ่" วรรณกรรมพื้นบ้านอีสานที่เล่าขานถึงโศกนาฏกรรมความรัก การแข่งขันบั้งไฟ และการถล่มทลายของเมืองเอกธีตาจากการกิน "กระรอกด่อน" (พญานาคแปลงกาย) จนกลายเป็นหนองหารในปัจจุบัน ตำนานนี้ผูกพันกับความเชื่อเรื่องพญานาค ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวลุ่มน้ำโขงเคารพนับถือ

ดร.นิยม เวชกามา และหน่วยงานในจังหวัดได้นำตำนานนี้มาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร (Storytelling) เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้กับแหล่งท่องเที่ยว:

  • การสร้างแลนด์มาร์ค: การสร้างประติมากรรมหรือจุดเช็คอินที่เกี่ยวข้องกับตำนาน เช่น รูปปั้นพญานาคเผือก หรือจุดชมวิวที่เชื่อมโยงกับฉากในตำนาน ช่วยให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับบรรยากาศของเรื่องเล่า

  • การเชื่อมโยงกับประเพณี: ประเพณีบุญบั้งไฟในแถบนี้มักถูกเชื่อมโยงกับการบูชาพญาแถนและการรำลึกถึงตำนานผาแดงนางไอ่ ทำให้งานประเพณีมีมิติทางวรรณกรรมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

  • การท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ: ความเชื่อเรื่องเมืองบาดาลใต้หนองหาร สอดรับกับกระแสการท่องเที่ยวสายมู นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาเพื่อขอพรจากพญานาคและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งลุ่มน้ำ เป็นการผนวกยุทธศาสตร์ "ธรรมชาติ" และ "ธรรมะ" เข้าด้วยกันอย่างลงตัว

แนวทางการส่งเสริมของ ดร.นิยม ยังครอบคลุมถึงการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของหนองหาร เพื่อให้ตำนานและธรรมชาติสามารถอยู่คู่กันไปได้อย่างยั่งยืน การจัดการปัญหาวัชพืชและการบำบัดน้ำเสียเป็นประเด็นที่ต้องได้รับความใส่ใจ เพื่อรักษา "เวที" ของตำนานให้งดงามตลอดไป

๕. สถาปัตยกรรมแห่งความภักดี: พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์

๕.๑ ประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม

พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน รอยต่อระหว่างจังหวัดสกลนครและกาฬสินธุ์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ เพื่อเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมวงศานุวงศ์ ในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พระตำหนักแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะศูนย์กลางการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวอีสาน โดยเฉพาะโครงการในพระราชดำริต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่

สถาปัตยกรรมของพระตำหนักมีการผสมผสานระหว่างรูปแบบตะวันตกและศิลปะล้านช้าง โดยมี "พระตำหนักปีกไม้" เป็นอาคารหลังแรกในรูปแบบ Log Cabin ที่เรียบง่ายแต่สง่างาม  ภูมิทัศน์โดยรอบได้รับการตกแต่งด้วยพรรณไม้นานาชนิด ทั้งไม้ดอกเมืองหนาวและพืชพรรณท้องถิ่น การจัดสวนมีทั้งรูปแบบที่เป็นทางการ (Formal Style) สวนธรรมชาติ (Informal Style) และสวนหิน (Rock Garden) ซึ่งสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์และลักษณะทางธรณีวิทยาของเทือกเขาภูพาน

๕.๒ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และประวัติศาสตร์

พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่ดึงดูดผู้คนให้ขึ้นมาสัมผัสอากาศบริสุทธิ์และความงามของธรรมชาติบนเทือกเขาภูพาน แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่นี้ของ ดร.นิยม และจังหวัดสกลนคร มุ่งเน้นไปที่:

  • การท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้: การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าชมพระตำหนัก (ในยามที่ไม่มีการเสด็จประทับ) เป็นการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจและประวัติศาสตร์การพัฒนาภาคอีสาน

  • การเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง: พระตำหนักตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์อื่นๆ บนเทือกเขาภูพาน เช่น ผานางเมิน น้ำตกคำหอม และถ้ำเสรีไทย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงจุดเหล่านี้เข้าด้วยกัน ช่วยสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งด้านความงามตามธรรมชาติและบทเรียนทางประวัติศาสตร์การเมือง 21

  • การจัดการที่ยั่งยืน: เนื่องจากพื้นที่นี้มีความเปราะบางทางนิเวศและมีความสำคัญสูงสุด การจัดการท่องเที่ยวจึงต้องเน้นระเบียบวินัย ความสะอาด และความเคารพต่อสถานที่ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่ ดร.นิยม สนับสนุน

๖. อัตลักษณ์ชาติพันธุ์และการสืบสาน: วัฒนธรรมภูไท

๖.๑ วิถีแห่งภูไท: มรดกทางวัฒนธรรมที่มีชีวิต

สกลนครเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง โดยมีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยเฉพาะชาว "ภูไท" (Phu Thai) ซึ่งมีถิ่นฐานหนาแน่นในอำเภอพรรณานิคม วาริชภูมิ และพังโคน ชาวภูไทมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นและงดงาม ทั้งภาษาพูด การแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายย้อมครามหรือผ้าแพรวา และศิลปะการแสดงฟ้อนภูไทอันอ่อนช้อย

ในคำขวัญจังหวัดระบุถึง "สืบสานวัฒนธรรมภูไท" ซึ่งสะท้อนถึงความภาคภูมิใจและนโยบายในการอนุรักษ์ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะลูกหลานชาวสกลนคร ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวัฒนธรรมภูไทผ่านกิจกรรมทางศาสนาและประเพณีอย่างต่อเนื่อง เช่น การเป็นประธานในพิธีทอดกฐินสามัคคีที่มีขบวนแห่แบบภูไท การสนับสนุนการฟ้อนรำบวงสรวงในงานสำคัญต่างๆ

๖.๒ การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-Based Tourism)

แนวทางการพัฒนาของ ดร.นิยม สอดคล้องกับหลักการการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT) ที่มุ่งเน้นให้ชุมชนเป็นเจ้าของและผู้ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว:

  • โฮมสเตย์สัมผัสวัฒนธรรม: การส่งเสริมให้หมู่บ้านภูไทเปิดบ้านรับนักท่องเที่ยว เพื่อให้ได้สัมผัสวิถีชีวิต การกินอยู่แบบ "พาแลง" และการเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นบ้าน เป็นการสร้างรายได้เสริมที่ยั่งยืนให้กับชาวบ้าน

  • การสืบสานผ่านคนรุ่นใหม่: การสนับสนุนให้เยาวชนได้เรียนรู้ศิลปะการดนตรีและการฟ้อนรำภูไท เพื่อให้มรดกทางวัฒนธรรมนี้ไม่สูญหายและสามารถนำมาแสดงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองได้อย่างภาคภูมิใจ

  • กิจกรรมทางศาสนาเป็นสื่อกลาง: การใช้กิจกรรมบุญประเพณี เช่น บุญกฐิน บุญผะเหวด เป็นเวทีในการแสดงออกทางวัฒนธรรม ทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็น "เนื้อแท้" (Authenticity) ของวิถีชีวิตชาวภูไท ที่ผูกพันกับพุทธศาสนาอย่างแนบแน่น 

๗. หัตถศิลป์ล้ำค่าสู่สากล: ผ้าลายคราม (Indigo)

๗.๑ "ผ้าลายครามสวยยิ่งลือนาม": ภูมิปัญญา ๖,๐๐๐ ปี

หนึ่งในความสำเร็จสูงสุดของการส่งเสริมวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ในสกลนคร คือการยกระดับ "ผ้าย้อมคราม" (Indigo-dyed fabric) จากผ้าพื้นบ้านสู่สินค้าระดับโลก สกลนครได้รับการยกย่องว่าเป็น "เมืองแห่งคราม" (Indigo City) ด้วยภูมิปัญญาการก่อหม้อครามที่สืบทอดกันมายาวนาน เชื่อกันว่ามีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปถึง ๖,๐๐๐ ปี

ครามสกลนครมีความพิเศษที่กระบวนการผลิตที่เป็นธรรมชาติ ๑๐๐% ใช้ใบครามสดมาหมักในหม้อดิน ดูแลประคบประหงมดุจสิ่งมีชีวิต ("เลี้ยงคราม") จนได้สีย้อมสีน้ำเงินเข้มที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและมีคุณสมบัติป้องกันรังสียูวีและยับยั้งแบคทีเรีย

๗.๒ เศรษฐกิจสร้างสรรค์และ Soft Power

ดร.นิยม เวชกามา และหน่วยงานภาครัฐ ได้ผลักดันให้ผ้าย้อมครามเป็นสินค้า Soft Power ที่สำคัญของจังหวัด ผ่านกลยุทธ์ต่างๆ:

  • การพัฒนาคุณภาพและดีไซน์: จากเดิมที่เป็นเพียงเสื้อผ้าเกษตรกร ปัจจุบันมีการพัฒนาลวดลายให้ทันสมัย (Modern Contemporary) ภายใต้โครงการ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ซึ่งทรงเป็นผู้นำในการยกระดับผ้าครามบ้านดอนกอย สู่ความเป็นแฟชั่นที่สวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวันและออกงานสังคม

  • ถนนสายคราม (Indigo Street): การจัดตั้งพื้นที่จำหน่ายสินค้าเฉพาะทาง เช่น ถนนสายครามหน้าวัดพระธาตุเชิงชุม ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นการสร้างตลาดนัดวัฒนธรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง สร้างรายได้หมุนเวียนและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

  • การท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ (Workshop): การเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองย้อมผ้าด้วยตนเอง (Tie-dye workshop) ในแหล่งผลิตจริง เช่น บ้านดอนกอย หรือกลุ่มครามสกล เป็นการสร้างประสบการณ์ตรงที่น่าประทับใจและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า

  • การสนับสนุนจากภาครัฐ: ดร.นิยม ในฐานะผู้มีบทบาททางการเมือง ได้สนับสนุนนโยบาย OTOP และการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ให้กับผ้าครามสกลนคร เพื่อคุ้มครองสิทธิและสร้างมาตรฐานราคาสินค้าในตลาดสากล

ตารางที่ ๒: การเปลี่ยนแปลงและมูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมผ้าครามสกลนคร

มิติการเปรียบเทียบยุคดั้งเดิมยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (ปัจจุบัน)
รูปแบบผลิตภัณฑ์ผ้าถุง, เสื้อหม้อฮ่อมสำหรับใส่ทำงานเกษตรเสื้อผ้าแฟชั่น, กระเป๋า, รองเท้า, ของตกแต่งบ้าน, สินค้าไลฟ์สไตล์
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายชาวบ้านในท้องถิ่น, ผู้สูงอายุคนรุ่นใหม่, นักท่องเที่ยวต่างชาติ, ตลาด High-end ในเมืองหลวง
เทคนิคการผลิตลายพื้นฐาน, มัดหมี่แบบดั้งเดิมการใช้เทคนิค Eco-print, การออกแบบลายร่วมสมัย, นวัตกรรมเส้นใย
บทบาททางเศรษฐกิจรายได้เสริมยามว่างจากนาอาชีพหลัก, วิสาหกิจชุมชนที่มีรายได้มั่นคง, สินค้าส่งออก

๘. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

จากการวิเคราะห์แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมของจังหวัดสกลนคร ตามทัศนะของ ดร.นิยม เวชกามา และบริบทของทรัพยากรที่มีอยู่ พบว่า สกลนครมีศักยภาพสูงในการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงศรัทธาและวัฒนธรรมในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การบูรณาการ "ยุทธศาสตร์ ๓ ธรรม" (ธรรมะ ธรรมชาติ วัฒนธรรม) เข้ากับอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่าง พระธาตุเชิงชุม ตำนานผาแดงนางไอ่ และภูมิปัญญาผ้าคราม ได้สร้างโมเดลการพัฒนาที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

ความสำเร็จที่ประจักษ์:

  1. การยกระดับจิตวิญญาณสู่เศรษฐกิจ: การแปลงศรัทธา (พระธาตุ, พญานาค) ให้เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ (การท่องเที่ยวสายมู, งานประเพณี) โดยยังคงรักษาแก่นแท้ของความเชื่อไว้

  2. การฟื้นฟูภูมิปัญญาสู่สากล: การทำให้ผ้าครามกลายเป็นสินค้าแฟชั่นที่ได้รับการยอมรับระดับโลก เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จของการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอด

  3. การมีส่วนร่วมของชุมชน: แนวทางของ ดร.นิยม ที่เน้นบทบาทของ "บวร" (บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ) ทำให้การพัฒนาการท่องเที่ยวไม่ได้กระจุกตัวอยู่เพียงนายทุน แต่กระจายรายได้สู่ชาวบ้าน ผู้ทอผ้า และผู้ประกอบการรายย่อย

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาในอนาคต:

  • การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม: ควรเร่งพัฒนาการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างแหล่งท่องเที่ยวทั้ง ๓ ธรรม ให้สะดวกและไร้รอยต่อ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากวัดสู่แหล่งธรรมชาติและชุมชนทำผ้าครามได้ง่ายขึ้น

  • การเล่าเรื่องเชิงลึก (Deep Storytelling): พัฒนาเนื้อหาและสื่อประชาสัมพันธ์ที่เจาะลึกในรายละเอียดของตำนานและประวัติศาสตร์ เพื่อตอบสนองนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพที่ต้องการสาระความรู้มากกว่าเพียงการถ่ายภาพ

  • นวัตกรรมดิจิทัล: นำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการท่องเที่ยว เช่น การจองคิวสักการะพระธาตุออนไลน์ การใช้ AR/VR ในการเล่าตำนานผาแดงนางไอ่ ณ สถานที่จริง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และดึงดูดคนรุ่นใหม่

โดยสรุป วิสัยทัศน์ของ ดร.นิยม เวชกามา ในการขับเคลื่อนสกลนครด้วย "๓ ธรรม" เป็นทิศทางที่ถูกต้องและสอดคล้องกับกระแสโลก การรักษาดุลยภาพระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้สกลนครดำรงสถานะ "แอ่งธรรมะ" และ "เมืองแห่งความสุข" ที่ยั่งยืนสืบไป


หมายเหตุ: รายงานฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของจังหวัดสกลนครภายใต้บริบทเฉพาะที่กำหนด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"สกลนครยุทธศาสตร์ 3 ธรรม ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์เชิงวิชาการ: แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรมจังหวัดสกลนคร ตามทัศนะและนโยบายของ ดร.นิยม เวชกามา ๑. บทนำ: สกลนครใ...