วิเคราะห์โมเดล PPPP ขจัดความยากจนประเทศไทยบนฐานภูมิปัญญาไทย
1. บทนำ: การเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์การพัฒนาสู่ความยั่งยืน
ในศตวรรษที่ 21 ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ทวีความซับซ้อนเกินกว่าที่รัฐบาลหรือกลไกตลาดจะสามารถแก้ไขได้โดยลำพัง รูปแบบการพัฒนาแบบดั้งเดิมที่อาศัยการนำของรัฐ (State-led) หรือการให้เอกชนเป็นผู้นำ (Market-led) ผ่านโครงการหุ้นส่วนภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership: PPP) เริ่มเผชิญกับข้อจำกัดในการตอบสนองต่อโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในมิติทางสังคมและชุมชนท้องถิ่น ข้อวิพากษ์สำคัญต่อแนวคิดเสรีนิยมใหม่ที่แฝงอยู่ใน PPP คือการมุ่งเน้นประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จนอาจละเลยบริบททางสังคมและนิเวศวิทยาของคนในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัวและการพัฒนาที่ไม่สมดุล
ท่ามกลางความท้าทายนี้ แนวคิด หุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม (Public-Private-People Partnership: PPPP) หรือ "4Ps" ได้ถือกำเนิดขึ้นในฐานะทางเลือกใหม่ของการพัฒนา โมเดล PPPP ไม่ได้มองประชาชนเป็นเพียง "ผู้รับประโยชน์" (Beneficiaries) แต่ยกระดับสถานะให้เป็น "หุ้นส่วน" (Partners) ที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตรวจสอบ และร่วมรับผลประโยชน์ การเติมเต็ม "P" ตัวที่สี่ หรือ "People" (ภาคประชาชน) เข้ามาในสมการการพัฒนา คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Ownership) ความโปร่งใส และความยั่งยืนของการแก้ปัญหาความยากจนในระยะยาว
สำหรับประเทศไทย การขับเคลื่อนโมเดล PPPP มีความพิเศษและลึกซึ้งกว่ากรอบทฤษฎีตะวันตก เนื่องจากมีการน้อมนำ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" (Sufficiency Economy Philosophy: SEP) มาเป็นฐานรากทางความคิด การผนวกภูมิปัญญาไทยเข้ากับกลไกการจัดการสมัยใหม่ ก่อให้เกิดนวัตกรรมทางสังคมที่หลากหลาย อาทิ โครงการ "ประชารัฐ" ที่ดึงพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน, การใช้เทคโนโลยี Big Data อย่าง TPMAP ในการชี้เป้าคนจน, และการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากผ่านโมเดล BCG และกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์พลวัตของโมเดล PPPP ในบริบทของประเทศไทย โดยเชื่อมโยงกับกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคผ่านการประชุม ASEAN PPPP Forum ครั้งที่ 14 และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (14th AMRDPE) เพื่อถอดบทเรียนความสำเร็จและท้าทายของการใช้พลังภาคประชาชนขจัดความยากจนบนพื้นฐานของภูมิปัญญาไทย
2. กรอบแนวคิดและบริบทความร่วมมือระดับอาเซียน (ASEAN Context)
2.1 PPPP ในเวทีอาเซียน: จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ
ภูมิภาคอาเซียนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาชนบทและการขจัดความยากจนในฐานะวาระเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 1997 และผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 กรอบความร่วมมืออาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน (Framework Action Plan on Rural Development and Poverty Eradication) จึงได้บรรจุแนวทาง PPPP ไว้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) ให้กับชุมชน
การประชุม ASEAN Public-Private-People Partnership Forum ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี คู่ขนานไปกับการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส (SOMRDPE) และการประชุมระดับรัฐมนตรี (AMRDPE) ทำหน้าที่เป็นเวทีกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศ หัวใจสำคัญของเวทีนี้คือการผลักดันให้เกิดการลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Investment) ในภาคเกษตรและชนบท การสร้างเครือข่ายหมู่บ้านอาเซียน (ASEAN Village Network - AVN) และการส่งเสริมนวัตกรรมสังคมที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน
2.2 ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพและการประชุม AMRDPE ครั้งที่ 14
ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ 14 (The 14th AMRDPE) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในเดือนธันวาคม 2025 ณ กรุงเทพมหานคร ภายใต้การนำของกระทรวงมหาดไทย การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้มีความนัยสำคัญเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่งต่อทิศทางการพัฒนาของภูมิภาค
สาระสำคัญของการประชุม AMRDPE ครั้งที่ 14 และบทบาทไทย:
การประกาศวิสัยทัศน์: ไทยจะใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอความสำเร็จของการน้อมนำ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" (SEP) มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาความยากจนและการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพื่อเป็นต้นแบบให้กับประเทศสมาชิก
เวที PPPP Forum: การประชุม ASEAN PPPP Forum ครั้งที่ 14 จะเน้นย้ำถึงบทบาทของภาคีเครือข่ายในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจฐานราก โดยมีการนำเสนอกรณีศึกษาจากชุมชนตัวอย่างของไทย (Best Practices) ให้ผู้แทนจากประเทศอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ได้เรียนรู้
เครือข่ายหมู่บ้านอาเซียน (AVN): จะมีการประชุมเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการเชื่อมโยงระดับหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน (Village-to-Village) แลกเปลี่ยนสินค้า ภูมิปัญญา และนวัตกรรมชุมชนข้ามพรมแดน
ตารางที่ 1 สรุปโครงสร้างการประชุมและกลไกที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบ AMRDPE ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ:
| กลไก/การประชุม | บทบาทและหน้าที่ | ความสำคัญต่อโมเดล PPPP |
| AMRDPE (ระดับรัฐมนตรี) | กำหนดนโยบายและทิศทางยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค | สร้างเจตจำนงทางการเมือง (Political Will) ในการสนับสนุน PPPP |
| SOMRDPE (ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส) | แปลงนโยบายสู่แผนปฏิบัติการและกำกับติดตาม | ออกแบบกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน |
| ASEAN PPPP Forum | เวทีหารือหลายฝ่าย (Multi-stakeholder platform) | พื้นที่แลกเปลี่ยนนวัตกรรมและสร้างความร่วมมือเชิงปฏิบัติการระหว่าง รัฐ-เอกชน-ประชาชน |
| ASEAN Village Network (AVN) | เครือข่ายระดับปฏิบัติการของผู้นำชุมชน | เสริมพลังภาคประชาชน (People) ให้เชื่อมโยงกันในระดับภูมิภาค |
3. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและนโยบายประชารัฐ: รากฐานโมเดลไทย
3.1 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP): ภูมิคุ้มกันทางสังคม
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างโมเดล PPPP ทั่วไปกับโมเดลของไทย คือการมี "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) เป็นแกนกลาง SEP ไม่ใช่เพียงแนวคิดเรื่องการเกษตรหรือการประหยัดอดออม แต่เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน จนถึงระดับรัฐ
องค์ประกอบของ SEP ที่สนับสนุน PPPP ประกอบด้วย:
ความพอประมาณ (Moderation): การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นหัวใจของการจัดการทรัพยากรชุมชนร่วมกัน
ความมีเหตุผล (Reasonableness): การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลและความรู้ ซึ่งสอดคล้องกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตและการตลาด
การมีภูมิคุ้มกัน (Self-Immunity): การเตรียมพร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการขจัดความยากจน คือการทำให้คนจนสามารถ "ยืนได้ด้วยตัวเอง" และทนทานต่อวิกฤตเศรษฐกิจ
งานวิจัยระบุว่า การประยุกต์ใช้ SEP ในระดับชุมชนช่วยสร้าง "ทุนทางสังคม" (Social Capital) ที่เข้มแข็ง ทำให้เกิดความไว้วางใจ (Trust) ระหว่างสมาชิกในชุมชน ซึ่งเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับความสำเร็จของ PPPP ภาคประชาชน เช่น การรวมกลุ่มออมทรัพย์ หรือการลงแขกช่วยงาน นอกจากนี้ ไทยยังได้ยกระดับ SEP สู่เวทีโลกผ่านแนวคิด "SEP for SDGs" โดยเสนอว่า SEP เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 1 (ขจัดความยากจน)
3.2 นโยบาย "ประชารัฐ" (Pracharat): กลไก PPPP ฉบับไทย
รัฐบาลไทยได้แปลงแนวคิด PPPP สู่การปฏิบัติผ่านนโยบาย "ประชารัฐ" (Pracharat - State of the People) ซึ่งเป็นการสานพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและลดความเหลื่อมล้ำ
โครงสร้างของประชารัฐประกอบด้วยคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน 12 คณะ ครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น การยกระดับนวัตกรรม, การส่งเสริม SMEs, การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก, และการศึกษา หลักการสำคัญคือ:
รัฐ (Public): เปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้สั่งการ" (Regulator) เป็น "ผู้อำนวยความสะดวก" (Facilitator) สนับสนุนกฎหมายและโครงสร้างพื้นฐาน
25 เอกชน (Private): สนับสนุนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ เทคโนโลยี และการเข้าถึงตลาด (Market Access) แทนที่จะเป็นเพียงผู้บริจาคเงิน (CSR) แบบเดิม
ประชาชน (People): เป็นเจ้าของปัญหาและเป็นผู้กำหนดความต้องการ (Demand-driven) รวมถึงเป็นผู้ลงมือปฏิบัติในพื้นที่
แม้ในระยะแรก นโยบายประชารัฐจะเผชิญกับข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ (Top-down approach)แต่ในระยะต่อมา ได้มีการปรับทิศทางเน้นการทำงานร่วมกับประชาสังคมและวิสาหกิจชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะผ่านกลไก "บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด" ที่จัดตั้งขึ้นในทุกจังหวัด เพื่อทำหน้าที่เป็น "พี่เลี้ยง" ทางธุรกิจให้กับชุมชน โดยไม่มุ่งเน้นกำไรสูงสุด แต่มุ่งเน้นประโยชน์สังคม
4. นวัตกรรมข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการชี้เป้า (Precision Poverty Alleviation)
ความท้าทายสำคัญของการขจัดความยากจนในอดีต คือการขาดข้อมูลที่แม่นยำ ทำให้งบประมาณช่วยเหลือของรัฐกระจายไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง (Inclusion/Exclusion Errors) โมเดล PPPP ของไทยจึงได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการ "ชี้เป้า"
4.1 TPMAP: แพลตฟอร์มข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อแก้จนแบบพุ่งเป้า
TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) คือระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า ซึ่งพัฒนาโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับ NECTEC TPMAP ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญที่เปลี่ยนวิธีการทำงานของภาครัฐจากการ "เหวี่ยงแห" เป็นการ "พุ่งเป้า" (Targeted Intervention)
กลไกการทำงานของ TPMAP:
ระบบนี้บูรณาการข้อมูลจาก 2 แหล่งหลัก คือ ข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ของกรมการพัฒนาชุมชน และข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ของกระทรวงการคลัง 9 โดยใช้ ดัชนีความยากจนหลายมิติ (Multidimensional Poverty Index - MPI) ในการวิเคราะห์ ซึ่งมองความยากจนให้กว้างกว่าแค่เรื่อง "รายได้" แต่ครอบคลุม 5 มิติ ดังแสดงในตารางที่ 2
ตารางที่ 2: มิติความยากจนใน TPMAP และตัวชี้วัด
| มิติ (Dimension) | ตัวชี้วัด (Indicators) | ความสำคัญในบริบท PPPP |
| 1. สุขภาพ | เด็กแรกเกิดน้ำหนักต่ำเกณฑ์, การกินอาหารถูกสุขลักษณะ, การออกกำลังกาย | เชื่อมโยงกับกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่นและ อสม. |
| 2. ความเป็นอยู่ | ความมั่นคงของที่อยู่อาศัย, น้ำดื่ม/น้ำใช้สะอาด | เชื่อมโยงกับโครงการบ้านมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐานชุมชน |
| 3. การศึกษา | เด็กหลุดนอกระบบ, ผู้ใหญ่ไม่รู้หนังสือ | เชื่อมโยงกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) |
| 4. รายได้ | รายได้เฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐาน (38,000 บาท/คน/ปี), ภาระหนี้สิน | เชื่อมโยงกับกลุ่มอาชีพ, Young Smart Farmer, OTOP |
| 5. การเข้าถึงบริการรัฐ | ผู้สูงอายุ/คนพิการไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ | เชื่อมโยงกับศูนย์ช่วยเหลือสังคมและ อปท. |
ผลลัพธ์และการประยุกต์ใช้:
TPMAP ช่วยให้ข้าราชการและภาคีเครือข่ายในระดับจังหวัด (ศจพ.) สามารถระบุตัวตน "คนจนเป้าหมาย" ได้รายครัวเรือน และออกแบบความช่วยเหลือที่ตรงจุด (Tailor-made) เช่น หากจนเพราะขาดอาชีพ ก็ส่งต่อให้ภาคเอกชนหรือวิสาหกิจชุมชนช่วยฝึกทักษะ หากจนเพราะปัญหาสุขภาพ ก็ส่งต่อให้สาธารณสุขดูแล 30 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การอัปเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบันและการบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานอื่นๆ ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
4.2 เน็ตประชารัฐ (Net Pracharat): โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อความเท่าเทียม
การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตคือสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นประตูสู่โอกาสทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล โครงการ "เน็ตประชารัฐ" เป็นโครงการ PPPP ขนาดใหญ่ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide) ระหว่างเมืองและชนบท
การลงทุน: รัฐบาลร่วมกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) ไปยังหมู่บ้านในพื้นที่ห่างไกลกว่า 24,700 หมู่บ้าน และติดตั้งจุดบริการ Wi-Fi ฟรี
มิติทางสังคม (People): ความสำเร็จของโครงการไม่ได้หยุดแค่การติดตั้งอุปกรณ์ แต่มีการสร้าง "อาสาสมัครเน็ตประชารัฐ" จากคนในชุมชน เพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ดิจิทัล (Digital Literacy) ให้กับชาวบ้าน สอนการใช้งานแอปพลิเคชัน การขายของออนไลน์ และการรู้เท่าทันสื่อ (Fake News)
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: การศึกษาผลกระทบทางสังคม (SROI) พบว่าเน็ตประชารัฐช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนผ่าน E-commerce ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลราคาพืชผลและองค์ความรู้การเกษตรสมัยใหม่ และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางติดต่อราชการ
5. การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยนวัตกรรมและภูมิปัญญา (Economic Empowerment)
โมเดล PPPP ของไทยเน้นการสร้าง "เบ็ด" ให้กับคนจน มากกว่าการยื่น "ปลา" ให้เพียงอย่างเดียว โดยการยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยนวัตกรรมและโมเดลเศรษฐกิจใหม่
5.1 โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy)
โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติที่มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบทางชีวภาพ (Bio) การหมุนเวียนทรัพยากร (Circular) และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green) ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย แต่เพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยี
ในบริบทของการขจัดความยากจน BCG เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรจาก "ทำมากได้น้อย" (ขายสินค้าโภคภัณฑ์ราคาถูก) เป็น "ทำน้อยได้มาก" (ขายสินค้านวัตกรรมมูลค่าสูง)
กรณีศึกษา: การนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น เปลือกทุเรียนหรือฟางข้าว มาแปรรูปเป็นบรรจุภัณฑ์หรือเส้นใยสิ่งทอ เป็นการลดขยะและสร้างรายได้เพิ่ม
การเชื่อมโยง PPPP: ภาครัฐ (กระทรวง อว./สวทช.) สนับสนุนงานวิจัย ภาคเอกชนรับซื้อหรือร่วมลงทุนโรงงานแปรรูป และภาคประชาชน (กลุ่มเกษตรกร) เป็นผู้ผลิตวัตถุดิบคุณภาพสูง
5.2 Young Smart Farmer: เกษตรกรยุคใหม่ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
หนึ่งในวิกฤตของภาคเกษตรไทยคือ "สังคมสูงวัย" เกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุมากและขาดทักษะเทคโนโลยี โครงการ Young Smart Farmer (YSF) จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่มีความรู้และทักษะในการเป็นผู้ประกอบการเกษตร
บทบาท: YSF ไม่ใช่แค่เกษตรกร แต่เป็น "นักธุรกิจเกษตร" ที่ใช้เทคโนโลยี IoT และ AI ในการบริหารจัดการฟาร์ม (Smart Farming) และใช้การตลาดออนไลน์เชื่อมโยงผู้บริโภคโดยตรง
กรณีศึกษา ไร่รื่นรมย์ (Rai Ruen Rom): เป็นตัวอย่างความสำเร็จของ YSF ในจังหวัดเชียงราย ที่พลิกฟื้นผืนดินด้วยเกษตรอินทรีย์ผสมผสานกับท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agrotourism) โดยนำพลังงานทางเลือกมาใช้และออกแบบฟาร์มอย่างเป็นระบบ กลายเป็นศูนย์เรียนรู้ที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาใหม่กลับสู่ชุมชน
ความร่วมมือกับเอกชน (Private): บริษัทชั้นนำอย่าง เจียไต๋ (Chia Tai) หรือ สยามคูโบต้า ได้เข้ามามีบทบาทใน PPPP โดยการสนับสนุนเทคโนโลยี เครื่องจักรกลการเกษตร และองค์ความรู้สมัยใหม่ให้กับ YSF รวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มตลาดที่ช่วยประกันราคาและคุณภาพผลผลิต
DiStar Fresh: อีกหนึ่งตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) มาใช้ในการปลูกผักปลอดสารพิษในเมือง ซึ่งแม้จะเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพเกษตรได้โดยไม่ต้องมีที่ดินจำนวนมาก
5.3 OTOP และ OTOP Junior: ทุนทางวัฒนธรรมสร้างรายได้
โครงการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เป็นโมเดล PPPP ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดึงเอกลักษณ์ท้องถิ่นและภูมิปัญญาชาวบ้านมาสร้างมูลค่าเพิ่ม รัฐบาลสนับสนุนการตลาด (งาน OTOP Fair) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ในขณะที่ภาคเอกชน (เช่น สายการบิน, ห้างสรรพสินค้า) ช่วยเป็นช่องทางจำหน่าย
เพื่อสร้างความยั่งยืน ได้มีการขยายผลสู่ OTOP Junior ซึ่งมุ่งเน้นปลูกฝังความเป็นผู้ประกอบการให้กับเยาวชนในโรงเรียนท้องถิ่น
กระบวนการ: นักเรียนสำรวจภูมิปัญญาในท้องถิ่น ปรึกษาปราชญ์ชาวบ้าน (People) และนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้คำแนะนำของครูและผู้เชี่ยวชาญ (Public/Private)
ผลลัพธ์: สร้างรายได้เสริมระหว่างเรียน ปลูกฝังความรักในท้องถิ่น และสร้างทายาททางภูมิปัญญาที่จะสืบสานเศรษฐกิจชุมชนต่อไป
6. สวัสดิการชุมชนและความมั่นคงทางสังคม: พลังของ "People"
นอกจากมิติด้านรายได้ การสร้างตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) โดยชุมชนเอง ถือเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่โดดเด่นของไทย ซึ่งช่วยลดความเปราะบางของครัวเรือนยากจน
6.1 กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์และกองทุนสวัสดิการชุมชน
แนวคิด "สัจจะสะสมทรัพย์" ริเริ่มโดยพระอาจารย์สุบิน ปณีโต เป็นการระดมทุนภายในชุมชนโดยใช้ "สัจจะ" (ความจริงใจ/ซื่อสัตย์) เป็นหลักประกัน แทนที่จะใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันแบบธนาคารพาณิชย์
กลไก PPPP:
People: สมาชิกในชุมชนออมเงินร่วมกัน (เช่น วันละ 1 บาท) เพื่อสร้างกองทุน
Public: สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และ อปท. สมทบงบประมาณเข้ากองทุน (Matching Fund) เพื่อขยายฐานเงินทุน
Private: ในบางพื้นที่ ภาคธุรกิจท้องถิ่นร่วมบริจาคหรือสนับสนุนการบริหารจัดการ
ประโยชน์: กองทุนเหล่านี้จัดสวัสดิการพื้นฐาน "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ให้กับสมาชิก เช่น เงินขวัญถุงรับขวัญเด็กแรกเกิด, ค่ารักษาพยาบาล, และเงินฌาปนกิจสงเคราะห์
กรณีศึกษา: กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลกะปาง จ.นครศรีธรรมราช และตำบลโคกสลุง จ.ลพบุรี สามารถบริหารจัดการเงินกองทุนนับล้านบาทเพื่อดูแลสมาชิกได้อย่างทั่วถึง พิสูจน์ให้เห็นศักยภาพในการจัดการตนเองของชุมชน
6.2 การดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (Long-Term Care) โดยชุมชน
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้ครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุตกสู่ความยากจน ระบบ Long-Term Care (LTC) จึงถูกออกแบบมาภายใต้แนวคิด PPPP
การบูรณาการ:
Public: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สนับสนุนงบประมาณรายหัวเข้าสู่ กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น (กปท.)
Local Government: อปท. สมทบงบประมาณและบริหารจัดการศูนย์ดูแล
People: อาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น (Caregiver - CG) ซึ่งเป็นคนในชุมชนที่ผ่านการอบรม ทำหน้าที่เยี่ยมบ้านและดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (ติดบ้าน ติดเตียง)
ผลลัพธ์: ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว ลดความแออัดในโรงพยาบาล และสร้างงานสร้างรายได้ให้กับ Caregiver ในชุมชน
6.3 วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise - SE)
วิสาหกิจเพื่อสังคม คือองค์กรธุรกิจที่มีเป้าหมายหลักเพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยนำกำไรส่วนใหญ่กลับมาลงทุนซ้ำเพื่อสังคม ในประเทศไทย พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ได้สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของ SE
บทบาท: SE ทำหน้าที่เป็น "ข้อต่อ" ที่เชื่อมภาคธุรกิจกับปัญหาสังคม เช่น ร้านกาแฟที่จ้างผู้สูงอายุหรือคนพิการทำงาน, ธุรกิจรับซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์ในราคาที่เป็นธรรม
ความท้าทาย: SE จำนวนมากยังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายทางสังคมและเป้าหมายทางธุรกิจ (Double Bottom Line)
7. บทวิเคราะห์: ปัจจัยความสำเร็จ ความท้าทาย และก้าวต่อไป
7.1 ปัจจัยความสำเร็จ (Key Success Factors)
จากการวิเคราะห์โมเดล PPPP ของไทย พบปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญดังนี้:
รากฐานทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา: วัฒนธรรมการเอื้อเฟื้อและการรวมกลุ่ม (Social Capital) ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย เอื้อต่อการเกิดกลุ่มออมทรัพย์และวิสาหกิจชุมชน
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP): ทำหน้าที่เป็น "เข็มทิศ" ทางศีลธรรมและแนวปฏิบัติที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชน ช่วยให้การพัฒนาไม่หลงทางไปกับกระแสวัตถุนิยม
นโยบายที่ต่อเนื่องและการกระจายอำนาจ: การมีกองทุนหมู่บ้าน, กองทุนสวัสดิการชุมชน, และกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น เป็นกลไกทางการเงินที่กระจายอำนาจสู่มือประชาชนโดยตรง
บทบาทเชิงรุกของภาคเอกชนยุคใหม่: การเปลี่ยนผ่านจาก CSR (บริจาค) สู่ CSV (Creating Shared Value) ทำให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะและเทคโนโลยีให้ชุมชนอย่างจริงจังและยั่งยืน
7.2 ความท้าทายและข้อจำกัด (Challenges)
ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide) ระดับที่สอง: แม้จะมีเน็ตประชารัฐ แต่ผู้สูงอายุและคนยากจนจำนวนมากยังขาดทักษะดิจิทัล (Digital Skills) ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างรายได้ได้เต็มที่
กับดักหนี้สินครัวเรือน: ปัญหาหนี้สินเรื้อรังยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งให้เกษตรกรและคนจนไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรความยากจนได้ แม้จะมีโครงการช่วยเหลือต่างๆ ก็ตาม
ความยั่งยืนของระบบอาสาสมัคร: ระบบสาธารณสุขและสวัสดิการของไทยพึ่งพา "จิตอาสา" (เช่น อสม., Caregiver) อย่างมาก ซึ่งในระยะยาวอาจเกิดความเหนื่อยล้า หากไม่มีระบบค่าตอบแทนและแรงจูงใจที่เหมาะสมรองรับสังคมสูงวัย
การบูรณาการข้อมูล: แม้จะมี TPMAP แต่ข้อมูลยังกระจัดกระจายอยู่หลายหน่วยงาน และบางครั้งข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน (Real-time) ทำให้การชี้เป้าอาจมีความคลาดเคลื่อนในสถานการณ์วิกฤต
7.3 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendations)
เพื่อยกระดับโมเดล PPPP ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและพร้อมสำหรับการนำเสนอในเวที ASEAN AMRDPE:
ยกระดับ TPMAP สู่ระบบพยากรณ์ (Predictive Analytics): พัฒนาจากการชี้เป้าคนจนในปัจจุบัน เป็นการใช้ AI วิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อป้องกันคนจนหน้าใหม่ (Preventive Measures)
ปิดช่องว่างทักษะดิจิทัล: เร่งจัดอบรมทักษะดิจิทัลสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง โดยใช้กลไกโรงเรียนผู้สูงอายุและศูนย์ดิจิทัลชุมชน เพื่อให้ "Net Pracharat" สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริง
สร้างความเข้มแข็งให้ระบบนิเวศ SE: ภาครัฐควรมีมาตรการจูงใจทางภาษีเพิ่มเติมและจัดซื้อจัดจ้างสินค้าจากวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Procurement) เพื่อสร้างตลาดที่มั่นคงให้กับ SE
ส่งเสริม PPPP แบบฐานราก: สนับสนุนให้ อปท. มีบทบาทและงบประมาณมากขึ้นในการจัดทำโครงการ PPPP ขนาดเล็กที่ตอบโจทย์เฉพาะพื้นที่ โดยลดขั้นตอนราชการที่ยุ่งยาก
8. บทสรุป
โมเดล PPPP ของประเทศไทยในการขจัดความยากจน เป็นนวัตกรรมทางสังคมที่ผสมผสาน "ภูมิปัญญาตะวันออก" (SEP และทุนทางสังคม) เข้ากับ "เครื่องมือตะวันตก" (Big Data, Technology) ได้อย่างลงตัว จุดเด่นไม่ได้อยู่ที่การลงทุนเมกะโปรเจกต์ แต่อยู่ที่การ "ระเบิดจากข้างใน" โดยการเสริมพลัง (Empowerment) ให้ภาคประชาชนลุกขึ้นมาเป็นหุ้นส่วนในการจัดการชีวิตตนเอง ผ่านกลไกกลุ่มออมทรัพย์, วิสาหกิจชุมชน และอาสาสมัคร โดยมีรัฐและเอกชนเป็นลมใต้ปีก
การเป็นเจ้าภาพการประชุม AMRDPE ครั้งที่ 14 ในปี 2025 จึงเป็นโอกาสสำคัญยิ่งที่ประเทศไทยจะได้แบ่งปันบทเรียนความสำเร็จนี้ต่อประชาคมอาเซียน เพื่อร่วมกันสร้างภูมิภาคที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และยืนหยัดได้อย่างมั่นคงท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น