วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568

อริยสัจโมเดล ส่องไทยหายจน แคมเปญพรรคประชาธิปัตย์ สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569


วิเคราะห์ "ไทยหายจน": ยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง 2569 บูรณาการกับอริยสัจโมเดล

บทคัดย่อ


รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองและนโยบายสาธารณะของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ที่ได้หวนคืนสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของพรรคอีกครั้งพร้อมฉันทามติจากสมาชิกพรรคกว่าร้อยละ 96 หัวใจสำคัญของการศึกษานี้คือการถอดรหัสแคมเปญหลัก "ไทยหายจน" (Thai Hai Jon) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นจากกรอบคิดที่เล่นกับวาทกรรม "ทนหายใจ" (Thon Hai Jai) สะท้อนภาพสะท้อนทางสังคมที่สิ้นหวัง โดยงานวิจัยนี้ได้นำกรอบแนวคิด "อริยสัจโมเดล" (Ariyasacca Model) หรือหลักความจริงอันประเสริฐ 4 ประการทางพุทธศาสนา มาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือหลักในการวิเคราะห์วงจรนโยบาย (Policy Cycle) ตั้งแต่การระบุปัญหา (ทุกข์) การวินิจฉัยสาเหตุ (สมุทัย) การกำหนดวิสัยทัศน์ (นิโรธ) ไปจนถึงการวางยุทธศาสตร์ปฏิบัติ (มรรค)

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์พยายามสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่ผสมผสานระหว่าง "การเมืองสุจริต" (Honest Politics) ซึ่งเป็นจุดแข็งดั้งเดิม เข้ากับ "นโยบายแก้จน 4 มิติ" ที่ครอบคลุมทั้งมิติทางเศรษฐกิจ ปัญญา จิตใจ และโอกาส ท่ามกลางบริบทความท้าทายทางเศรษฐกิจมหภาคในปี 2569 ที่คาดการณ์ว่าจีดีพีจะขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ รายงานฉบับนี้ยังได้วิเคราะห์เปรียบเทียบยุทธศาสตร์ดังกล่าวกับคู่แข่งสำคัญอย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน พร้อมทั้งประเมินความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติและข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นจากการนำหลักธรรมมาสู่การปฏิบัติจริงในเวทีการเมืองร่วมสมัย


บทที่ 1: บทนำและบริบททางการเมืองไทยสู่ปี 2569

1.1 ภูมิทัศน์การเมืองไทยภายใต้วิกฤตซ้อนวิกฤต (Polycrisis Landscape)

เมื่อกงล้อแห่งกาลเวลาหมุนเวียนมาบรรจบที่ปี พุทธศักราช 2569 (ค.ศ. 2026) ประเทศไทยมิได้เผชิญเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองตามวาระปกติของการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น แต่กำลังยืนอยู่บนปากเหวของวิกฤตการณ์ที่ซ้อนทับกันหลายมิติ หรือที่นักวิชาการเรียกว่า "Polycrisis" ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ความเปราะบางทางสังคม และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์โลก 1 สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงรอยต่อระหว่างปี 2568 ถึงต้นปี 2569 เต็มไปด้วยความผันผวนจากการบริหารงานของรัฐบาลผสมชุดก่อนหน้า ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากฝ่ายค้านและภาคประชาชนที่ไม่พอใจต่อผลงานการแก้ไขปัญหาปากท้อง

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 3 จึงมีความหมายมากกว่าการหย่อนบัตรเลือกตั้งทั่วไป แต่มันคือการทำประชามติทางอ้อมต่อทิศทางอนาคตของประเทศ ว่าจะเลือกเดินหน้าต่อไปในทิศทางใด ท่ามกลางตัวเลือกทางการเมืองที่เริ่มมีการจัดกระบวนทัพใหม่อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชน (People's Party) ที่ยังคงรักษาฐานเสียงคนรุ่นใหม่ พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai) ที่พยายามฟื้นฟูศรัทธาจากนโยบายประชานิยม และพรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai) ที่เน้นการสร้างฐานอำนาจในระดับท้องถิ่น 4

ในบริบทเช่นนี้ พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party) สถาบันทางการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ได้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้วยการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เมื่อเดือนตุลาคม 2568 โดยสมาชิกพรรคมีมติท่วมท้นให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง 6 การกลับมาครั้งนี้มิใช่เพียงการเปลี่ยนตัวบุคคล แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงการ "รีเซ็ต" (Reset) อุดมการณ์และยุทธศาสตร์พรรค เพื่อตอบสนองต่อความสิ้นหวังของประชาชนที่สะสมมาอย่างยาวนาน

1.2 สภาวะทางเศรษฐกิจ: จาก "กับดักรายได้ปานกลาง" สู่ "กับดักความสิ้นหวัง"

บริบททางเศรษฐกิจในปี 2569 ถือเป็นปัจจัยเร่งปฏิกิริยาที่สำคัญที่สุด ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) และหน่วยงานระหว่างประเทศต่างประเมินไปในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.5 ซึ่งถือเป็นสถิติที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี หากไม่นับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งหรือการระบาดของโควิด-19 8

สาเหตุหลักของความชะงักงันนี้เกิดจากปัจจัยรุมเร้าทั้งภายนอกและภายใน:

  1. สงครามการค้าและกำแพงภาษี (Trade War & Protectionism): นโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกาและมาตรการตอบโต้จากจีน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ 1

  2. หนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ (Household & Informal Debt): ระดับหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงกดทับกำลังซื้อของประชาชน ขณะที่หนี้นอกระบบกลายเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินรากฐานสังคม ทำให้ประชาชนจำนวนมากติดอยู่ในวงจรการจ่ายดอกเบี้ยที่ไม่มีวันสิ้นสุด 10

  3. ความเหลื่อมล้ำทางโครงสร้าง (Structural Inequality): ช่องว่างระหว่างกลุ่มทุนขนาดใหญ่กับผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และเกษตรกร ถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ จากการผูกขาดและการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียม 12

สภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ได้ก่อให้เกิด "ความรู้สึกร่วม" (Collective Sentiment) ของคนในชาติที่นายอภิสิทธิ์นิยามว่า "ทนหายใจ" (Thon Hai Jai) คือสภาวะที่ประชาชนต้องดิ้นรนเพียงเพื่อมีชีวิตรอดไปวันๆ โดยมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ 13

1.3 วัตถุประสงค์ของการศึกษา

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นที่จะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองดังกล่าวผ่านเลนส์ทางวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์หลักดังนี้:

  1. เพื่อถอดรหัสโครงสร้างยุทธศาสตร์ "ไทยหายจน" ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่ามีองค์ประกอบและกลไกการทำงานอย่างไร

  2. เพื่อประยุกต์ใช้ "อริยสัจโมเดล" (Four Noble Truths Model) ในฐานะกรอบแนวคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์กระบวนการกำหนดนโยบาย (Policy Formulation) ของพรรค ตั้งแต่การระบุสภาพปัญหาไปจนถึงมาตรการแก้ไข

  3. เพื่อเปรียบเทียบเชิงวิพากษ์ (Critical Comparison) ระหว่างนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์กับคู่แข่งทางการเมือง ในบริบทของการเลือกตั้งปี 2569

  4. เพื่อประเมินความท้าทายและความเป็นไปได้ในการนำนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติจริง (Policy Implementation)


บทที่ 2: กรอบแนวคิดทฤษฎี: บูรณาการพุทธธรรมสู่รัฐประศาสนศาสตร์

2.1 รัฐประศาสนศาสตร์แนวพุทธ (Buddhist Public Administration)

ในทางรัฐประศาสนศาสตร์ตะวันตก (Western Public Administration) มักเน้นการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ตัวเลข และประสิทธิภาพ (Efficiency) เป็นตัวตั้ง แต่ในบริบทของสังคมตะวันออก โดยเฉพาะประเทศไทย การนำหลักปรัชญาทางศาสนามาประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการภาครัฐ (Public Management) ถือเป็นแนวทางที่มีรากฐานมายาวนานและเริ่มได้รับการยอมรับในเชิงวิชาการมากขึ้นในฐานะ "รัฐประศาสนศาสตร์แนวพุทธ" 15

แนวคิดนี้ไม่ได้หมายถึงการนำศาสนามาครอบงำการเมือง แต่เป็นการนำ "กระบวนการคิดแบบโยนิโสมนสิการ" (Critical Reflection) และ "อริยสัจ 4" มาใช้เป็นระเบียบวิธีวิจัยและแก้ปัญหาทางสังคม (Social Problem Solving Methodology) ซึ่งมีความสอดคล้องกับวงจรนโยบายสาธารณะ (Public Policy Cycle) อย่างน่าทึ่ง

2.2 อริยสัจโมเดล (Ariyasacca Model) ในฐานะเครื่องมือวิเคราะห์นโยบาย

การนำอริยสัจ 4 มาใช้เป็นโมเดลในการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ สามารถเทียบเคียงขั้นตอนต่างๆ กับกระบวนการบริหารจัดการสมัยใหม่ได้ดังตารางที่ 2.1

ตารางที่ 2.1: การเปรียบเทียบอริยสัจโมเดลกับกระบวนการนโยบายสาธารณะ

องค์ประกอบอริยสัจ (Four Noble Truths)ความหมายทางธรรมการประยุกต์ใช้ในนโยบายสาธารณะ (Public Policy Application)เครื่องมือบริหารจัดการเทียบเคียง (Management Tools)
1. ทุกข์ (Dukkha)ความไม่สบายกายไม่สบายใจ สภาวะที่ทนได้ยากการระบุและนิยามปัญหา (Problem Identification): การสำรวจความเดือดร้อนของประชาชน ดัชนีความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจSWOT Analysis (Weaknesses & Threats), Needs Assessment
2. สมุทัย (Samudaya)สาเหตุแห่งทุกข์การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา (Policy Analysis / Causal Analysis): การค้นหารากเหง้าเชิงโครงสร้าง เช่น คอร์รัปชัน กฎหมายที่ล้าหลัง การผูกขาดRoot Cause Analysis, Fishbone Diagram
3. นิโรธ (Nirodha)ความดับทุกข์การกำหนดวาระและเป้าหมาย (Agenda Setting & Goal Formulation): วิสัยทัศน์ของสังคมที่พึงปรารถนา (Vision) เป้าหมาย "ไทยหายจน" ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ (KPIs)Vision & Mission Statement, OKRs
4. มรรค (Magga)หนทางปฏิบัติเพื่อดับทุกข์การกำหนดและนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Formulation & Implementation): ยุทธศาสตร์ มาตรการ โครงการ และงบประมาณ เพื่อบรรลุเป้าหมายStrategic Planning, Action Plan, Budgeting

การใช้โมเดลนี้ในการวิเคราะห์แคมเปญ "ไทยหายจน" จะช่วยให้เห็นตรรกะความเชื่อมโยง (Logical Framework) ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่ามิได้เป็นเพียงการคิดสโลแกนเพื่อการหาเสียง แต่เป็นการพยายามวินิจฉัยโรคของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากอาการ (ทุกข์) ไปหาสาเหตุ (สมุทัย) และเสนอวิธีการรักษา (มรรค) เพื่อให้คนไข้หายป่วย (นิโรธ) 17


บทที่ 3: ขั้นทุกข์ (Dukkha) - วินิจฉัยสภาวะ "ทนหายใจ" ของสังคมไทย

ในขั้นแรกของอริยสัจโมเดล คือการ "รู้ทุกข์" พรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้กระบวนการรับฟังความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียและลงพื้นที่เพื่อรวบรวม "อาการป่วย" ของสังคมไทย 13 ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นมิติต่างๆ ที่สะท้อนความรุนแรงของปัญหาในปี 2569 ได้ดังนี้

3.1 ทุกข์ทางเศรษฐกิจ: มหาวิกฤตความจนที่ซับซ้อน (Economic Suffering)

จากการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบกับคำแถลงของพรรค พบว่า "ความจน" ในนิยามของปี 2569 ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ตัวเลขรายได้ที่ต่ำกว่าเส้นความยากจน แต่เป็นความจนเชิงโครงสร้างที่ดิ้นไม่หลุด

  1. ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน (Stagnation): ข้อมูลจาก SCB EIC ระบุว่า GDP ปี 2569 จะโตต่ำเพียง 1.5% 8 ตัวเลขนี้สะท้อนว่า "เค้ก" ก้อนรวมของประเทศไม่ได้โตขึ้น ในขณะที่ประชากรยังต้องกินต้องใช้ ทำให้การแย่งชิงทรัพยากรมีความรุนแรงขึ้น

  2. กับดักหนี้สิน (Debt Trap): หนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูงติดอันดับโลก เมื่อรวมกับ "หนี้นอกระบบ" ที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าเป็นปัญหาที่ประชาชน "ไม่อยากทน" มากที่สุด 10 สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะที่รายได้ในอนาคตถูกนำมาใช้จนหมดสิ้นแล้ว

  3. การถูกกัดเซาะจากต่างชาติ: ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs กำลังเผชิญกับทุกข์จากการถูกสินค้าต่างชาติ (โดยเฉพาะจากจีน) เข้ามาทุ่มตลาดและตัดราคา (Price Undercutting) ทำให้ธุรกิจท้องถิ่นล้มละลายและเลิกจ้างงาน 13

3.2 ความจน 4 มิติ: การขยายขอบเขตนิยามความทุกข์

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้นำเสนอนิยาม "ความจน" ในรูปแบบใหม่ที่ลึกซึ้งกว่ามิติทางเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว โดยจำแนกออกเป็น 4 ประเภท ซึ่งถือเป็นการระบุ "ทุกข์" ที่ครอบคลุมชีวิตมนุษย์อย่างรอบด้าน 13

ตารางที่ 3.1: การวิเคราะห์ความจน 4 มิติ (The Four Dimensions of Poverty)

ประเภทความจนลักษณะอาการ (Symptoms)ข้อมูลเชิงประจักษ์ (Empirical Evidence)
1. จนเงิน (Financial Poverty)ขาดสภาพคล่อง รายได้ไม่พอรายจ่าย มีหนี้สินล้นพ้นตัว เข้าไม่ถึงแหล่งทุนในระบบ

ปัญหาหนี้นอกระบบมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท 11, จีดีพีภาคเกษตรที่ขยายตัวต่ำ 19

2. จนปัญญา (Intellectual Poverty)ขาดโอกาสทางการศึกษา ทักษะไม่ทันโลก ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัล

ระบบการศึกษาไทยที่ล้าหลัง คะแนน PISA ตกต่ำ ขาดแรงงานทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ 14

3. จนใจ (Spiritual/Emotional Poverty)ท้อแท้ สิ้นหวัง ซึมเศร้า รู้สึกไร้ค่า และต้อง "ทนหายใจไปวันๆ" โดยไม่เห็นอนาคต

ปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มสูงขึ้น ความเครียดจากภาวะเศรษฐกิจ และความรู้สึกว่าการเมืองไม่ตอบโจทย์ 13

4. จนตรอก (Opportunity Poverty)ไร้ทางออก ถูกปิดกั้นโอกาสจากโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากระบบผูกขาด

การผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่, ความไม่เสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม, การเข้าถึงบริการภาครัฐที่เหลื่อมล้ำ 12

3.3 ทุกข์จากภัยคุกคามรอบด้าน

นอกจากความจนแล้ว ประชาชนยังต้องเผชิญกับ "ทุกข์" จากสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กลายเป็นภัยพิบัติประจำปี และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจากสภาวะโลกร้อน 13 รวมถึงปัญหาสังคม เช่น ยาเสพติดและอาชญากรรมไซเบอร์ (Scammers) ที่ซ้ำเติมคุณภาพชีวิต

การระบุ "ทุกข์" อย่างละเอียดนี้ เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้แคมเปญ "ไทยหายจน" มีความสมจริงและสัมผัสใจประชาชน เพราะเป็นการพูดถึงปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่จริง ไม่ใช่ปัญหาในตำราเรียน


บทที่ 4: ขั้นสมุทัย (Samudaya) - การวิเคราะห์รากเหง้าแห่งปัญหา

เมื่อทราบอาการป่วยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการหาสาเหตุ (Etiology) พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำการวิเคราะห์โครงสร้างปัญหาของประเทศและชี้เป้าไปที่ "สมุทัย" หลัก 3 ประการ ที่เป็นต้นเหตุให้คนไทยยังไม่หายจน

4.1 คอร์รัปชัน: มะเร็งร้ายที่กัดกินโอกาส (Corruption as the Root Cause)

ในมุมมองของพรรคประชาธิปัตย์ "คอร์รัปชัน" ไม่ใช่เพียงปัญหาทางจริยธรรม แต่เป็นสาเหตุหลักทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศติดหล่ม 13

  • กลไกการเกิดทุกข์: การทุจริตในวงราชการและนักการเมือง (Bureaucratic & Political Corruption) ทำให้ทรัพยากรของชาติถูกบิดเบือน (Misallocation of Resources) งบประมาณที่ควรจะถูกนำไปพัฒนาการศึกษา (แก้จนปัญญา) หรือสร้างสวัสดิการ (แก้จนเงิน) กลับรั่วไหลเข้ากระเป๋าคนกลุ่มน้อย

  • ผลกระทบ: ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้น เกิดระบบอุปถัมภ์ที่กีดกันคนไม่มีเส้นสาย และทำให้กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ นำไปสู่สภาวะ "จนตรอก" ของคนตัวเล็กตัวน้อย

4.2 การเมืองที่ขาดความสุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อน (Dishonest Politics)

สมุทัยที่สำคัญอีกประการคือ "โครงสร้างการเมือง" ที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) 14

  • การวิเคราะห์: พรรคประชาธิปัตย์มองว่า นโยบายที่ผ่านมามักถูกออกแบบเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรคการเมือง (Crony Capitalism) มากกว่าเพื่อประโยชน์สาธารณะ การเมืองแบบ "ธุรกิจการเมือง" (Money Politics) ทำให้เกิดการผูกขาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำมหาศาลที่ ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ได้วิพากษ์วิจารณ์ไว้ 12

  • ความเชื่อมโยง: เมื่อผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายเพื่อพวกพ้อง ประชาชนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลังและต้องเผชิญกับความยากจนเชิงโครงสร้าง

4.3 ปัจจัยภายนอกและการปรับตัวที่ล้มเหลว (External Shocks & Adaptation Failure)

แม้สมุทัยส่วนใหญ่จะมาจากภายใน แต่พรรคก็ยอมรับว่าปัจจัยภายนอกมีส่วนซ้ำเติม:

  • ภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics): สงครามการค้าและการกีดกันทางการค้าทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว 23

  • การดิสรัปชันทางเทคโนโลยี: การที่ภาครัฐและภาคการศึกษาปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) ทำให้แรงงานไทยตกยุค และผู้ประกอบการไทยแข่งขันไม่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของ "จนปัญญา" และ "จนเงิน"

การวิเคราะห์สมุทัยของพรรคประชาธิปัตย์มุ่งเน้นไปที่ "วิกฤตศรัทธาและความโปร่งใส" เป็นหลัก ซึ่งเป็นการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) จากพรรคเพื่อไทยที่มักเน้นสมุทัยไปที่ "การขาดสภาพคล่องและโอกาสทางเศรษฐกิจ" หรือพรรคประชาชนที่เน้น "โครงสร้างอำนาจนิยม"


บทที่ 5: ขั้นนิโรธ (Nirodha) - วิสัยทัศน์ "ไทยหายจน"

ขั้นนิโรธ คือการกำหนดภาพอนาคตที่ต้องการ (Envisioning the Future) สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนสภาพจาก "ทนหายใจ" ไปสู่ "ไทยหายจน"

5.1 นิยามของสภาวะ "ไทยหายจน"

สภาวะ "ไทยหายจน" มิได้หมายความเพียงแค่ประชาชนมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น แต่เป็นการหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งความทุกข์ทั้ง 4 มิติ:

  1. หายจนเงิน: ประชาชนมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ (Living Wage) มีหลักประกันทางเศรษฐกิจ และหลุดพ้นจากหนี้นอกระบบ

  2. หายจนปัญญา: คนไทยเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพตลอดชีวิต มีทักษะที่ทันสมัย และสามารถใช้นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มได้

  3. หายจนใจ: สังคมมีความหวัง มีความเชื่อมั่นในระบอบการเมืองและกระบวนการยุติธรรม สุขภาพจิตของคนในชาติได้รับการเยียวยา

  4. หายจนตรอก: มีโอกาสที่เท่าเทียม (Equal Opportunity) ในการประกอบสัมมาชีพ กฎหมายเป็นธรรม และไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

5.2 ตัวชี้วัดความสำเร็จ (Indicators of Success)

แม้พรรคจะยังไม่เปิดเผยตัวชี้วัดที่เป็นตัวเลข (KPIs) ทั้งหมด แต่จากการวิเคราะห์ทิศทางนโยบาย สามารถคาดการณ์ตัวชี้วัดความสำเร็จได้ดังนี้:

  • ดัชนีคอร์รัปชัน (CPI): ประเทศไทยต้องมีอันดับความโปร่งใสที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

  • หนี้ครัวเรือนต่อ GDP: ต้องลดลงสู่ระดับที่ยั่งยืน และหนี้นอกระบบต้องถูกขจัดให้หมดไปหรือเข้าสู่ระบบ

  • ความเหลื่อมล้ำ: ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค (Gini Coefficient) ต้องลดลง

  • คุณภาพการศึกษา: ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและการเข้าถึงเทคโนโลยีของเด็กไทยต้องสูงขึ้น

วิสัยทัศน์นี้สะท้อนถึงการมอง "ความมั่งคั่ง" (Wealth) ในความหมายที่กว้างกว่าตัวเงิน แต่รวมถึง "ความมั่งคั่งทางปัญญา" และ "ความมั่งคั่งทางจิตใจ" ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)


บทที่ 6: ขั้นมรรค (Magga) - ยุทธศาสตร์และนโยบายสู่การปฏิบัติ

ขั้นมรรค คือหัวใจสำคัญของการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นส่วนที่จะบอกว่าพรรคจะทำอย่างไร (How-to) เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย พรรคประชาธิปัตย์ได้วาง "มรรคา" หรือแนวทางปฏิบัติผ่านชุดนโยบายที่บูรณาการ "การเมืองสุจริต" เข้ากับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม

6.1 มรรคข้อที่ 1: การเมืองสุจริต (Honest Politics) - รากฐานแห่งการแก้ปัญหา

นี่คือ "สัมมาทิฏฐิ" (ความเห็นชอบ) ในมรรค 8 ของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ประกาศชัดเจนว่า การเมืองสุจริตคือจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาทุกอย่าง 14

  • กลไกปฏิบัติ: การสร้างระบบตรวจสอบที่เข้มข้น การปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้โปร่งใส และการขจัดการแทรกแซงของกลุ่มทุนในการกำหนดนโยบาย

  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: เมื่อไม่มีการรั่วไหล งบประมาณแผ่นดินจะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องกู้เพิ่ม สามารถนำไปใช้ในสวัสดิการและการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

6.2 มรรคข้อที่ 2: ยุทธศาสตร์แก้ "จนเงิน" - ล้างหนี้และสร้างรายได้

มาตรการทางเศรษฐกิจมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่โครงสร้างฐานราก:

  1. การล้างหนี้นอกระบบ (Informal Debt Eradication): พรรคมีประวัติศาสตร์ความสำเร็จในเรื่องนี้สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ (2552-2554) คาดว่าจะมีการรื้อฟื้นและยกระดับโครงการโอนหนี้นอกระบบเข้าสู่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) เช่น ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. พร้อมมาตรการทางกฎหมายที่เด็ดขาดกับเจ้าหนี้หน้าเลือด 11

  2. การประกันรายได้เกษตรกร (Income Guarantee): นโยบายที่เป็น "ดีเอ็นเอ" ของพรรค จะถูกสานต่อเพื่อสร้างตาข่ายรองรับ (Safety Net) ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาตลาดโลก 25

  3. การส่งเสริม SMEs และเศรษฐกิจฐานราก: การปกป้องผู้ประกอบการไทยจากการทุ่มตลาดของต่างชาติ และการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำสำหรับรายย่อย 27

6.3 มรรคข้อที่ 3: ยุทธศาสตร์แก้ "จนปัญญา" - ปฏิรูปการศึกษาและเทคโนโลยี

เพื่อตอบโจทย์โลกอนาคต พรรคได้ดึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาร่วมทีม:

  • บทบาทของ ดร.การดี เลียวไพโรจน์: ในฐานะรองหัวหน้าพรรคด้านเศรษฐกิจดิจิทัล 6 คาดว่าจะมีการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) และการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการศึกษาและการประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับทักษะแรงงานไทย (Reskill/Upskill) ให้พ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง

  • การศึกษาที่มีคุณภาพ: เน้นการกระจายอำนาจการบริหารจัดการศึกษา และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้ครอบคลุมทุกโรงเรียน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางปัญญา

6.4 มรรคข้อที่ 4: ยุทธศาสตร์แก้ "จนใจ" และ "จนตรอก" - สังคมและคุณภาพชีวิต

  • สิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ: การประกาศสงครามกับฝุ่น PM 2.5 และการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ เพื่อคืน "อากาศบริสุทธิ์" ให้ประชาชนหายใจได้เต็มปอด 14

  • สวัสดิการสังคม: การดูแลกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ และผู้พิการ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

6.5 ทีมงานผู้ขับเคลื่อนมรรค (The Execution Team)

ความสำเร็จของนโยบายขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติ พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทัพผสมผสานระหว่างประสบการณ์และคนรุ่นใหม่:

  • ผู้นำทัพ: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์และประสบการณ์ระดับสากล)

  • ทีมเศรษฐกิจใหม่: ดร.การดี เลียวไพโรจน์ (Tech & Innovation), นายวีระพงษ์ ประภา (เศรษฐกิจระหว่างประเทศ) 6

  • คนรุ่นใหม่: การดึงคนรุ่นใหม่และอดีตแกนนำอย่าง มาดามเดียร์ วทันยา บุนนาค (หากยังร่วมงาน) เข้ามาเสริมทัพ เพื่อเชื่อมโยงกับฐานเสียง New Voters และลบภาพลักษณ์ความล้าหลัง 28


บทที่ 7: การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Comparative Analysis)

ในสมรภูมิเลือกตั้งปี 2569 ยุทธศาสตร์ "ไทยหายจน" ของพรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งสำคัญที่มีจุดขายแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ตารางที่ 7.1: การเปรียบเทียบยุทธศาสตร์พรรคการเมืองหลักในการเลือกตั้ง 2569

ประเด็นเปรียบเทียบพรรคประชาธิปัตย์ (Democrat)พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai)พรรคประชาชน (People's Party)
แคมเปญหลักไทยหายจน (Thai Hai Jon)ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาสแก้โครงสร้าง ทลายทุนผูกขาด
จุดเน้น (Focus)การเมืองสุจริต + แก้จน 4 มิติปากท้อง (เศรษฐกิจนำการเมือง)การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Reform)
วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจประกันรายได้, แก้หนี้นอกระบบ, เศรษฐกิจดิจิทัล

กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น (Stimulus), พักหนี้เกษตรกร 29

ทลายทุนผูกขาด, สวัสดิการถ้วนหน้า, ปฏิรูปกองทัพ
ฐานเสียงหลักชนชั้นกลางอนุรักษ์นิยม, ภาคใต้, กทม. บางส่วนรากหญ้า, ภาคเหนือ, ภาคอีสานคนรุ่นใหม่ (Gen Z/Y), ชนชั้นกลางหัวก้าวหน้า
จุดแข็งภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์ของผู้นำ, สถาบันการเมืองที่มั่นคงผลงานในอดีตที่จับต้องได้, ทรัพยากรและเครือข่ายที่เข้มแข็งอุดมการณ์ที่ชัดเจน, การสื่อสารที่ทันสมัย
จุดอ่อนภาพลักษณ์เก่าและเชื่องช้า, วาทกรรม "ดีแต่พูด" ในอดีต

ข้อครหาเรื่องคอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อน, เศรษฐกิจปี 2566-68 ที่ไม่ฟื้นตัวตามเป้า 4

ถูกมองว่าสุดโต่งเกินไปในบางประเด็น, ขาดประสบการณ์บริหาร

บทวิเคราะห์:

  • เทียบกับเพื่อไทย: ประชาธิปัตย์พยายามโจมตีจุดอ่อนเรื่อง "คอร์รัปชัน" ของเพื่อไทย โดยเสนอตัวเป็นทางเลือกที่ "สะอาดกว่า" แม้นโยบายเศรษฐกิจอาจจะไม่หวือหวาเท่า แต่เน้นความยั่งยืน

  • เทียบกับพรรคประชาชน: ประชาธิปัตย์พยายามดึงฐานเสียงคนรุ่นใหม่ด้วยทีมงาน New Dem และนโยบายดิจิทัล แต่ยังคงรักษาจุดยืนแบบ "อนุรักษ์นิยมก้าวหน้า" (Progressive Conservatism) ที่ไม่แตะต้องโครงสร้างสถาบันหลัก ซึ่งเป็นจุดตัดสำคัญกับพรรคประชาชน


บทที่ 8: บทวิเคราะห์เชิงวิพากษ์และความท้าทาย (Critical Assessment)

แม้แคมเปญ "ไทยหายจน" จะมีกรอบแนวคิดที่แข็งแรงด้วยอริยสัจโมเดล แต่ในทางปฏิบัติยังมีความท้าทายมหาศาลรออยู่

8.1 ความเป็นไปได้ทางการเมือง (Political Feasibility)

  • ความท้าทาย: การกลับมาของนายอภิสิทธิ์อาจดึงดูดฐานเสียงเก่าได้จริง 30 แต่สำหรับฐานเสียงใหม่ที่เติบโตมาในยุคหลังปี 2562 ภาพจำของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะ "พรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์" ยังคงเป็นแผลเป็นที่ต้องใช้เวลาเยียวยา การจะบอกว่า "ไม่ทน" กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้น อาจถูกมองว่าย้อนแย้งได้

  • โอกาส: หากพรรคเพื่อไทยล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และพรรคประชาชนถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง พรรคประชาธิปัตย์อาจวางตำแหน่งตัวเองเป็น "ทางเลือกที่ปลอดภัย" (Safe Choice) สำหรับชนชั้นกลางที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแต่กลัวความวุ่นวาย

8.2 ความสมจริงของนโยบาย (Policy Realism)

  • งบประมาณ: การแก้ "จนเงิน" และ "จนปัญญา" ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ในขณะที่พรรคชูธง "วินัยการคลัง" และต่อต้านประชานิยมสุดโต่ง พรรคจะต้องตอบคำถามว่าจะหางบประมาณมาจากไหนโดยไม่ก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม

  • การปราบคอร์รัปชัน: นโยบาย "การเมืองสุจริต" เป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำยาก พรรคต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม (Concrete Measures) เช่น การใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการตรวจสอบ หรือการปฏิรูปกฎหมายที่ให้อำนาจประชาชน มากกว่าแค่คำสัญญาของผู้นำ

8.3 การสื่อสารและการรับรู้ (Communication & Perception)

  • วาทกรรม: การเล่นคำผวน "ทนหายใจ - ไทยหายจน" เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการดึงดูดความสนใจ (Attention Grabbing) แต่ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นเพียง "วาทกรรมทางการตลาด" ที่ไร้เนื้อหา พรรคต้องสื่อสารรายละเอียดของ "มรรค" ให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย


บทสรุป

การเลือกตั้งปี 2569 ถือเป็นเดิมพันครั้งสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ แคมเปญ "ไทยหายจน" ที่บูรณาการกับ "อริยสัจโมเดล" สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการยกระดับการทำนโยบายจากการแจกของแถมทางการเมือง (Political Giveaways) มาสู่การแก้ปัญหาที่รากเหง้า (Root Cause Solving)

ด้วยการวินิจฉัย "ทุกข์" ของสังคมไทยที่กำลัง "ทนหายใจ" จากพิษเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ และการชี้เป้า "สมุทัย" ไปที่คอร์รัปชันและการเมืองที่ไม่สุจริต พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอทางออก (มรรค) ผ่านนโยบายแก้จน 4 มิติ และการเมืองสุจริต ซึ่งเป็นจุดยืนที่พยายามสร้างสมดุลระหว่างการแก้ไขปัญหาปากท้องกับการรักษาจริยธรรมทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของพรรคในการ "เปลี่ยนนามธรรมให้เป็นรูปธรรม" และการกอบกู้ความเชื่อมั่นจากประชาชนว่า พรรคประชาธิปัตย์ในยุค "อภิสิทธิ์รีเทิร์น" คือสถาบันทางการเมืองที่พึ่งพาได้จริง ไม่ใช่เพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ หากทำได้สำเร็จ "ไทยหายจน" อาจไม่ใช่แค่สโลแกน แต่เป็นจุดเปลี่ยนที่นำพาประเทศไทยหลุดพ้นจากวงจรแห่งความทุกข์ที่ยาวนาน แต่หากล้มเหลว มันอาจเป็นเพียงบันทึกหน้าหนึ่งของความพยายามที่สูญเปล่าในประวัติศาสตร์การเมืองไทย


เอกสารอ้างอิงและข้อมูลประกอบการวิเคราะห์:

บทวิเคราะห์นี้อ้างอิงข้อมูลจากเอกสารประกอบการวิจัยรหัส 13 ถึง 31 โดยบูรณาการข้อมูลเศรษฐกิจจาก SCB EIC, World Bank และข้อมูลทางการเมืองจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือต่างๆ เพื่อสังเคราะห์เป็นรายงานฉบับสมบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

อริยสัจโมเดล ส่องไทยหายจน แคมเปญพรรคประชาธิปัตย์ สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569

วิเคราะห์ "ไทยหายจน": ยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง 2569 บูรณาการกับอริยสัจโมเดล บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษ...