วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ไทยหายจน แคมเปญพรรคประชาธิปัตย์ สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569


วิเคราะห์ยุทธศาสตร์และวิธีการ "ทำไทยหายจน" เชิงโครงสร้างผ่านแคมเปญของพรรคประชาธิปัตย์ในการสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไปปี 2569: การกลับมาของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนา

บทคัดย่อ (Abstract)

การศึกษาวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เจาะลึกถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองและนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569 โดยมุ่งเน้นที่แคมเปญหลักเรื่องการขจัดความยากจน (Poverty Alleviation) ท่ามกลางบริบทความท้าทายที่ประเทศไทยถูกขนานนามว่าเป็น "คนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" (Sick Man of Southeast Asia) 1 รายงานฉบับนี้สังเคราะห์ข้อมูลจากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาค สถานการณ์หนี้สินครัวเรือน ปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (Grey Capital) และวิกฤตศรัทธาในตลาดทุน (Stark Case) เพื่อถอดรหัสวิธีการที่พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำระลอกใหม่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้ในการนำเสนอทางเลือกเชิงนโยบายที่แตกต่างจากประชานิยมกระแสหลัก

การวิเคราะห์ใช้กรอบคิดทฤษฎีความสามารถ (Capability Approach) ของ Amartya Sen และทฤษฎีความสามารถในการมีความหวัง (Capacity to Aspire) ของ Arjun Appadurai เพื่ออธิบายว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงเลือกที่จะนิยาม "ความยากจน" ใหม่ ไม่ใช่เพียงการขาดแคลนตัวเงิน แต่เป็นการขาดแคลน "ความมั่นคงทางโครงสร้าง" และ "โอกาสที่ปราศจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ" ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ "ขจัดจน ขจัดโกง" ของพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2569 เป็นความพยายามในการช่วงชิงพื้นที่ทางการเมืองของกลุ่มอนุรักษนิยมเสรีนิยม (Liberal Conservatism) กลับคืนมา โดยใช้ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) เป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ควบคู่กับการเสนอนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เพื่อปลดล็อกศักยภาพของมนุษย์


1. บทนำ: ภูมิทัศน์เศรษฐกิจการเมืองไทยสู่ปี 2569 (Introduction: The Political Economy Landscape Leading to 2026)

การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569 มิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านอำนาจบริหารตามวาระปกติ แต่เป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตศรัทธาซ้อนทับ (Poly-crisis) ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นเสือเศรษฐกิจของภูมิภาค กำลังเผชิญกับสภาวะชะงักงันที่ฝังรากลึก ซึ่งนักวิชาการนานาชาติเริ่มระบุว่าไทยกำลังกลายเป็น "คนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพต่อเนื่องยาวนาน และความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่เรื้อรัง 1

บริบททางการเมืองในปี 2568-2569 เต็มไปด้วยความผันผวนจากการยุบพรรคก้าวไกลและการถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ในปี 2567 ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มอำนาจเก่า 2 สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างสุญญากาศทางการเมือง (Political Vacuum) ในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ไว้วางใจในความโปร่งใสของรัฐบาลผสม ในขณะเดียวกัน พรรคประชาชน (People's Party) ซึ่งเป็นร่างทรงใหม่ของพรรคก้าวไกล ก็เผชิญกับแรงกดดันทางกฎหมายและความท้าทายในการขยายฐานเสียงสู่กลุ่มอนุรักษนิยม 4

ในสภาวการณ์เช่นนี้ พรรคประชาธิปัตย์ สถาบันทางการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ได้ทำการปรับทัพครั้งสำคัญด้วยการนำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2568 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นถึง 96% 5 การกลับมาของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีภาพลักษณ์ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยเสรีนิยม บ่งชี้ถึงการปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ของพรรค เพื่อนำเสนอ "ทางออกที่สาม" ที่ไม่ใช่ทั้งประชานิยมสุดโต่งและการเมืองขั้วอำนาจเก่า แต่เป็นการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะ "ความยากจน" ที่กัดกินสังคมไทย

รายงานฉบับนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงวิธีการทำ "ไทยหายจน" ตามแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ โดยพิจารณาผ่าน 4 มิติหลัก ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สถานการณ์ความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่เป็นโจทย์ตั้งต้น 2) การเชื่อมโยงปัญหาความยากจนกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการทุจริต 3) กรอบคิดทฤษฎีเบื้องหลังนโยบาย และ 4) การเปรียบเทียบยุทธศาสตร์กับคู่แข่งทางการเมือง


2. พลวัตความเปราะบางทางเศรษฐกิจ: โจทย์หินของการ "ทำไทยหายจน" (Dynamics of Economic Fragility: The Challenge of Poverty Alleviation)

ก่อนที่จะวิเคราะห์วิธีการแก้ปัญหา จำเป็นต้องทำความเข้าใจ "โจทย์" ที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญ ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคในช่วงปี 2567-2568 ชี้ให้เห็นว่า ความยากจนในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนและหยั่งรากลึกกว่าในอดีต

2.1 วิกฤตหนี้ครัวเรือน: ภาวะ "การลดหนี้ที่ล่าช้า" (Delayed Deleveraging)

สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2568 ยังคงอยู่ในระดับวิกฤต แม้ตัวเลขสัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะอยู่ที่ร้อยละ 87.70 ในช่วงกลางปี 2568 7 แต่ไส้ในของคุณภาพหนี้กลับสะท้อนความเปราะบางที่น่าตกใจ ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่ากระบวนการ "ลดหนี้" (Deleveraging) ของไทยเป็นไปอย่างล่าช้า เนื่องจากการฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนไม่ทันกับภาระดอกเบี้ยและค่าครองชีพ 8

ตารางที่ 1: ดัชนีชี้วัดสถานะหนี้ครัวเรือนและความเปราะบางทางการเงิน (2567-2568)

ดัชนีชี้วัด (Indicator)ค่าสถิติ (Statistics)นัยเชิงนโยบาย (Policy Implication)
หนี้ครัวเรือนต่อ GDP87.70% (มิ.ย. 2568)

ระดับหนี้ที่สูงฉุดรั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน 7

สัดส่วนหนี้เสียบัตรเครดิต (NPL Ratio)4.61%

สะท้อนปัญหาสภาพคล่องระยะสั้นของชนชั้นกลางและมนุษย์เงินเดือน 8

สินเชื่อรถยนต์ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM Ratio)15.69%

สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) ว่ากลุ่มชนชั้นกลางระดับล่างกำลังจะสูญเสียสินทรัพย์ 8

สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSTI)สูงกว่า 28% (Peak)

ครัวเรือนไทยต้องเจียดรายได้เกือบ 1 ใน 3 เพื่อจ่ายหนี้ ทำให้เหลือเงินออมน้อยมาก 8

การว่างงานแฝง (Quasi-unemployed)2.1 ล้านคน (+5.2%)

แม้ตัวเลขว่างงานต่ำ แต่คนทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้น สะท้อนคุณภาพชีวิตที่ลดลง 9

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า นโยบาย "พักหนี้" หรือ "แจกเงิน" แบบเดิมอาจไม่เพียงพอ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดสภาพคล่องชั่วคราว แต่อยู่ที่โครงสร้างรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับภาระหนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ (อายุ 25-29 ปี) ที่พบว่า 26% มีหนี้เสียอย่างน้อยหนึ่งบัญชี 8

พรรคประชาธิปัตย์จึงตีโจทย์นี้ว่า การจะทำไทยหายจนได้ ต้องไม่ใช่แค่การเติมเงิน แต่ต้องเป็นการ "ปลดล็อกพันธนาการหนี้" (Debt Unshackling) ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก และการสร้างวินัยทางการเงิน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยที่พยายามผลักดันมาตรการ Responsible Lending 8

2.2 กับดักความยากจนหลายมิติ (Multidimensional Poverty Trap)

นอกเหนือจากมิติตัวเงิน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เน้นย้ำถึง "ความยากจนหลายมิติ" (Multidimensional Poverty Index: MPI) ซึ่งในปี 2568 พบว่ามีคนไทยกว่า 24 ล้านคน หรือร้อยละ 34.7 ของประชากร อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อความยากจนในมิติต่างๆ ที่ไม่ใช่ตัวเงิน 10

มิติความขัดสนที่สำคัญในปี 2569:

  1. ความขัดสนด้านความมั่นคงในชีวิต: การขาดหลักประกันรายได้หลังเกษียณ เป็นระเบิดเวลาของสังคมสูงวัย 10

  2. ความขัดสนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ: ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นในปี 2567-2568 ส่งผลให้มีผู้ป่วยจากมลพิษทางอากาศสะสมถึง 12.3 ล้านคน 11 และเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านคนในช่วงต้นปี 2568 เพียงแค่ 2 เดือน 11

    • นัยเชิงเศรษฐศาสตร์: ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการซื้ออุปกรณ์ป้องกัน (หน้ากาก N95, เครื่องฟอกอากาศ) กลายเป็น "ต้นทุนคงที่" (Fixed Cost) ที่คนจนแบกรับได้ยากกว่าคนรวย ทำให้ความเหลื่อมล้ำขยายตัว การแก้จนของประชาธิปัตย์จึงต้องผนวกนโยบายสิ่งแวดล้อม (Clean Air Act) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจอย่างแยกไม่ออก 12


3. ยุทธศาสตร์ "ขจัดภัยสีเทา": ความเชื่อมโยงระหว่างอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและความยากจน

จุดเด่นที่สุดของแคมเปญพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2569 คือการสร้างวาทกรรมใหม่ที่เชื่อมโยง "ความยากจนของประชาชน" เข้ากับ "การทุจริตและทุนสีเทา" (Corruption and Grey Capital) โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และทีมยุทธศาสตร์พรรค ได้นำเสนอข้อเท็จจริงที่ว่า ความมั่งคั่งของประเทศถูกดูดซับออกไปโดยกลุ่มทุนผิดกฎหมาย ทำให้ทรัพยากรไม่ตกถึงมือประชาชน

3.1 วิกฤตศรัทธาในตลาดทุนผลกระทบต่อชนชั้นกลาง

กรณีการทุจริตตกแต่งบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่งสร้างความเสียหายกว่า 14,778 ล้านบาท และมีผู้เสียหายเกือบ 5,000 ราย 14 ไม่ได้เป็นเพียงอาชญากรรมเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวในการกำกับดูแล (Regulatory Failure) ของรัฐ

  • ผลกระทบต่อความยากจน: เงินออมของชนชั้นกลางในกองทุนรวมและหุ้นกู้หายวับไปกับตา ทำให้กลุ่มคนที่เคยมีสถานะมั่นคงกลายเป็นกลุ่มเปราะบาง

  • จุดยืนพรรคประชาธิปัตย์: พรรคใช้กรณีนี้โจมตีความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดก่อน และเสนอนโยบายปฏิรูปตลาดทุน (Capital Market Reform) ที่เน้นการลงโทษที่รวดเร็วและรุนแรง (Swift and Severe Punishment) 16 โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษและส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ 15 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ชูธงว่าจะต้อง "ล้างบาง" ขบวนการฟอกเงินในตลาดหุ้นเพื่อคืนความยุติธรรมและเงินออมให้ประชาชน

3.2 สงครามกับ "ทุนสีเทา" (Grey Capital) และอิทธิพลจีนเทา

ปรากฏการณ์ "ตู้ห่าว" และเครือข่ายทุนจีนสีเทาที่ถูกเปิดโปงในช่วงปี 2565-2566 ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงปี 2569 ข้อมูลระบุว่ากลุ่มทุนเหล่านี้ใช้นอมินีในการกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์และประกอบธุรกิจท่องเที่ยวแบบครบวงจร (Zero-dollar tour) 17

กลไกที่ทำให้คนไทยจนลงจากทุนสีเทา:

  1. การบิดเบือนราคา: การฟอกเงินผ่านอสังหาริมทรัพย์ทำให้ราคาที่ดินและที่อยู่อาศัยสูงเกินจริง จนคนไทยไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ 18

  2. การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม: ผู้ประกอบการ SMEs ไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับธุรกิจสีเทาที่เลี่ยงภาษีและใช้แรงงานผิดกฎหมายได้ นำไปสู่การปิดกิจการและการเลิกจ้าง

  3. การทุจริตเชิงระบบ: เงินสินบนจากกลุ่มทุนสีเทาที่จ่ายให้เจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง ทำให้ระบบราชการอ่อนแอและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน 17

ข้อเสนอนโยบาย "Clean Thailand":

พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เสนอยุทธศาสตร์เชิงรุกในการ "ยึดทรัพย์สิน" จากเครือข่ายทุนสีเทาและขบวนการค้ายาเสพติด เพื่อนำเงินเหล่านั้นมาจัดตั้ง "กองทุนฟื้นฟูโอกาสทางเศรษฐกิจ" (Economic Opportunity Rehabilitation Fund) 19 แนวคิดนี้เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยนำทรัพยากรที่ถูกขโมยไปจากระบบเศรษฐกิจกลับคืนสู่ประชาชนโดยตรง ทั้งในรูปแบบของการปลดหนี้และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานชุมชน


4. กรอบคิดทฤษฎีเบื้องหลังนโยบาย: จากการสงเคราะห์สู่การสร้างศักยภาพ (Theoretical Frameworks: From Welfare to Empowerment)

ความแตกต่างเชิงปรัชญาของนโยบายแก้จนของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อเทียบกับพรรคคู่แข่ง สามารถวิเคราะห์ได้ผ่าน 2 ทฤษฎีหลักทางเศรษฐศาสตร์การเมืองและสังคมวิทยา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพรรคพยายามยกระดับวาทกรรมจากการ "ให้ทาน" ไปสู่การ "สร้างคน"

4.1 ทฤษฎีความสามารถ (Capability Approach) ของ Amartya Sen

Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เสนอว่าความยากจนที่แท้จริงไม่ใช่ความขัดสนทางรายได้ (Low Income) แต่คือ "การขาดความสามารถและเสรีภาพ" (Capability Deprivation) ในการเลือกใช้ชีวิตที่มีคุณค่า 20

การประยุกต์ใช้ในแคมเปญเลือกตั้ง:

  • นโยบายการศึกษาและอินเทอร์เน็ต: พรรคประชาธิปัตย์เน้นย้ำเรื่องการขยายโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตฟรี 23 ไม่ใช่เพียงเพื่อความสะดวกสบาย แต่เพื่อสร้าง "Functionings" หรือสถานะการเป็นอยู่ที่พึงประสงค์ ให้เด็กยากจนมีความสามารถทัดเทียมกับเด็กในเมือง

  • นโยบายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม: การผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด (Clean Air Act) เพื่อแก้ปัญหา PM 2.5 11 ถูกตีกรอบใหม่ว่าเป็นนโยบายเศรษฐกิจ เพราะ "สุขภาพที่ดี" เป็นพื้นฐานแรกสุดของความสามารถในการทำงานและหารายได้ หากประชาชนป่วยจากมลพิษ พวกเขาก็สูญเสียความสามารถในการหลุดพ้นจากความยากจน

4.2 ทฤษฎีความสามารถในการมีความหวัง (The Capacity to Aspire) ของ Arjun Appadurai

Arjun Appadurai นักมานุษยวิทยาระดับโลก เสนอว่า "ความหวัง" หรือแรงบันดาลใจ ไม่ใช่แค่สภาวะทางจิตใจ แต่เป็น "ความสามารถทางวัฒนธรรม" (Cultural Capacity) ที่ต้องได้รับการฝึกฝนและสนับสนุน 24 คนจนมักถูกจำกัดความสามารถนี้ เพราะวงจรชีวิตที่ต้องดิ้นรนวันต่อวันทำให้พวกเขามองไม่เห็นอนาคตระยะยาว

การประยุกต์ใช้ในแคมเปญเลือกตั้ง:

  • Creative Economy (เศรษฐกิจสร้างสรรค์): พรรคประชาธิปัตย์ใช้นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือในการสร้าง "เส้นทาง" (Pathways) ให้คนรากหญ้าเห็นว่า วัฒนธรรมและทักษะท้องถิ่นของพวกเขาสามารถเปลี่ยนเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับโลกได้ 26 การสนับสนุน Soft Power ในมุมมองของประชาธิปัตย์จึงไม่ใช่แค่การจัดอีเวนต์ แต่คือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ทำให้คนตัวเล็กมีความหวังที่เป็นจริงได้

  • จิตวิทยาการเมือง (Hope vs. Fear): ในขณะที่การเมืองไทยมักขับเคลื่อนด้วย "ความกลัว" (Fear Appeal) เช่น กลัวความขัดแย้ง หรือกลัวสถาบันถูกล้มล้าง 28 อภิสิทธิ์เลือกใช้กลยุทธ์ "Rational Hope" (ความหวังบนฐานความจริง) โดยสื่อสารว่าการแก้ปัญหาโครงสร้างที่ยากลำบากในวันนี้ จะนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยฟื้นฟู "Capacity to Aspire" ของคนชั้นกลางและรากหญ้าที่หมดหวังกับระบบ


5. การวิเคราะห์เปรียบเทียบยุทธศาสตร์กับคู่แข่งทางการเมือง (Comparative Strategy Analysis)

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าวิธีการของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างอย่างไร จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองหลักอื่นๆ ในสนามเลือกตั้งปี 2569

ตารางที่ 2: เปรียบเทียบยุทธศาสตร์แก้ความยากจนและจุดยืนทางการเมือง (2569)

พรรคการเมือง (Party)ปรัชญาหลัก (Core Philosophy)วิธีการแก้จน (Methodology)จุดแข็ง (Strengths)จุดอ่อน (Weaknesses)
พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat)เสรีนิยมก้าวหน้า + ธรรมาภิบาล (Liberal Integrity)แก้จนด้วยการขจัดทุจริต, ปราบทุนสีเทา, ยึดทรัพย์เข้ากองทุนฟื้นฟู, เศรษฐกิจสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์ของผู้นำ (อภิสิทธิ์), ฐานเสียงอนุรักษนิยมที่ต้องการปฏิรูปภาพจำในอดีต (Legacy Issues), ฐานเสียงคนรุ่นใหม่ยังจำกัด
พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai)ประชานิยมกระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulus Populism)แจกเงินดิจิทัล, พักหนี้เกษตรกร, Mega Projectsฐานเสียงรากหญ้าเข้มแข็ง, ผลงานในอดีตที่จับต้องได้

ขาดความชัดเจนด้านจริยธรรม, ดีลการเมืองข้ามขั้วทำลายศรัทธา 30

พรรคประชาชน (People’s Party)ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ (Structural Reform)ทลายทุนผูกขาด, รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า, ปฏิรูปสถาบันความนิยมในคนรุ่นใหม่, อุดมการณ์ชัดเจน

ความเสี่ยงทางกฎหมาย (Legal Risks), ถูกมองว่าสุดโต่ง 4

พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai)อุปถัมภ์ท้องถิ่นนิยม (Local Patronage)กระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่น, นโยบายเฉพาะจุด (เช่น กัญชา/เศรษฐกิจชายแดน)เครือข่ายบ้านใหญ่ที่ทรงพลัง, ทรัพยากรมาก

ปัญหาภาพลักษณ์เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน, ความโปร่งใส 33

5.1 การช่วงชิงพื้นที่จากพรรคเพื่อไทย: ความล้มเหลวของประชานิยมแจกเงิน

พรรคประชาธิปัตย์วิเคราะห์ว่า นโยบาย "แจกเงิน" ของพรรคเพื่อไทยเริ่มถึงทางตัน เนื่องจากข้อจำกัดทางการคลังและหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น การแจกเงินไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินที่พอกพูนได้จริง 30 ประชาธิปัตย์จึงเสนอทางเลือกที่เน้น "รายได้ที่ยั่งยืน" (Sustainable Income) ผ่านการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และการลดต้นทุนชีวิตจากการทุจริต ซึ่งดึงดูดกลุ่มคนชั้นกลางและเกษตรกรที่มีหัวก้าวหน้า

5.2 การต่อสู้ทางความคิดกับพรรคประชาชน: ปฏิรูปอย่างมีวุฒิภาวะ

พรรคประชาชนมีนโยบายต่อต้านทุนผูกขาดและทุนสีเทาที่คล้ายคลึงกับประชาธิปัตย์ 32 แต่จุดต่างที่สำคัญคือ "วิธีการ" (Means) พรรคประชาธิปัตย์วางตำแหน่งตัวเองเป็น "Safe Change" หรือการเปลี่ยนแปลงที่ปลอดภัย ภายใต้กรอบกฎหมายและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยใช้อภิสิทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของ "นักปฏิรูปที่มีประสบการณ์" (Experienced Reformer) เพื่อดึงดูดกลุ่มคนที่ต้องการเห็นการปราบโกงแต่กลัวความขัดแย้งรุนแรง


6. บทวิเคราะห์เจาะลึก: กลไกการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ (Implementation Mechanisms)

ความท้าทายสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์คือการแปลงนโยบายที่ดูเป็นนามธรรมให้จับต้องได้ เพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเชื่อมั่นว่า "ทำได้จริง" (Doable)

6.1 การรื้อระบบกฎหมายเพื่อความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ

พรรคประชาธิปัตย์มุ่งเน้นการใช้กลไกนิติบัญญัติในการแก้ปัญหาความยากจน โดยมีแผนผลักดันชุดกฎหมายสำคัญ:

  • พ.ร.บ. ขจัดการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมฉบับใหม่: เพิ่มอำนาจและบทลงโทษในการจัดการกับการฮั้วประมูลและการใช้อำนาจเหนือตลาดของทุนใหญ่และทุนสีเทา 17

  • การปฏิรูปหน่วยงานอิสระ (DSI, ปปง., ก.ล.ต.): สร้างความเป็นอิสระที่แท้จริงเพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้กล้าจัดการกับ "ปลาใหญ่" ในตลาดทุนและวงการเมือง โดยไม่เลือกปฏิบัติ 15

6.2 เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในฐานะเครื่องยนต์ใหม่ (New Engine of Growth)

ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 และนโยบาย Creative Economy 26 พรรคประชาธิปัตย์เสนอการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและศูนย์บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Incubators) ในทุกจังหวัด เพื่อกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจออกจากกรุงเทพฯ

  • เป้าหมาย: เพิ่มสัดส่วนมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อ GDP อย่างน้อย 0.5% ต่อปี 27 ซึ่งจะช่วยสร้างงานที่มีมูลค่าสูง (High-value jobs) ให้กับคนรุ่นใหม่ ลดปัญหาสมองไหลและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท

6.3 การจัดการหนี้สินแบบมุ่งเป้า (Targeted Debt Relief)

แทนที่จะใช้นโยบายพักหนี้แบบหว่านแห พรรคเสนอการจัดตั้ง "คลินิกแก้หนี้ระดับชุมชน" ที่ทำงานร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้รายบุคคล โดยเน้นการลดดอกเบี้ยและยืดระยะเวลาชำระหนี้ แลกกับการเข้าอบรมทักษะอาชีพ (Upskilling) เพื่อเพิ่มความสามารถในการหารายได้ตามแนวคิด Capability Approach 8


7. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ (Conclusion & Academic Recommendations)

การวิเคราะห์แคมเปญ "ทำไทยหายจน" ของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งปี 2569 สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวครั้งใหญ่ (Grand Adaptation) ของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ต้องการกลับมามีที่ยืนในภูมิทัศน์การเมืองใหม่ ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวข้ามการแข่งขันด้วยนโยบายประชานิยมระยะสั้น ไปสู่การนำเสนอ "วาระแห่งชาติว่าด้วยธรรมาภิบาลและโอกาส" (National Agenda on Governance and Opportunity)

ข้อสรุปสำคัญ (Key Takeaways):

  1. นิยามใหม่ของความยากจน: ความยากจนไม่ได้เกิดจากการขาดเงินเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ถูกบิดเบือนโดยทุนสีเทา การทุจริต และภาระหนี้สินที่ไม่เป็นธรรม

  2. บทบาทของผู้นำ: การกลับมาของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีนัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น (Trust) ในหมู่นักลงทุนและชนชั้นกลาง ว่าประเทศไทยสามารถกลับมาเป็นนิติรัฐนิติธรรม (Rule of Law) ได้

  3. ความหวังบนฐานความจริง: การใช้ทฤษฎี Capacity to Aspire และ Capability Approach เป็นรากฐานของนโยบาย ช่วยให้แคมเปญมีความลึกซึ้งและตอบโจทย์ปัญหาระยะยาวของมนุษย์

ความเสี่ยงและความท้าทาย:

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสื่อสารให้ประชาชนรากหญ้าเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่าง "การปราบโกง" กับ "เงินในกระเป๋า" พรรคต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าความซื่อสัตย์กินได้จริง และต้องสลัดภาพลักษณ์ของความเชื่องช้าและการเป็นส่วนหนึ่งของระบบอำนาจนิยมในอดีตให้หลุดพ้น หากทำได้ พรรคประชาธิปัตย์อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่พลิกโฉมหน้าการเมืองไทยในปี 2569 จากการเมืองแห่งการแจกแถม ไปสู่การเมืองแห่งคุณภาพและโอกาสที่ยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ไทยหายจน แคมเปญพรรคประชาธิปัตย์ สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569

วิเคราะห์ยุทธศาสตร์และวิธีการ "ทำไทยหายจน" เชิงโครงสร้างผ่านแคมเปญของพรรคประชาธิปัตย์ในการสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไปปี 2569: การกลับมาข...