วิเคราะห์ยุทธศาสตร์และวิธีการ "ทำไทยหายจน" เชิงโครงสร้างผ่านแคมเปญของพรรคประชาธิปัตย์ในการสู้ศึกเลือกตั้งทั่วไปปี 2569: การกลับมาของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และกระบวนทัศน์ใหม่ของการพัฒนา
บทคัดย่อ (Abstract)
การศึกษาวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เจาะลึกถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองและนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569 โดยมุ่งเน้นที่แคมเปญหลักเรื่องการขจัดความยากจน (Poverty Alleviation) ท่ามกลางบริบทความท้าทายที่ประเทศไทยถูกขนานนามว่าเป็น "คนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" (Sick Man of Southeast Asia)
การวิเคราะห์ใช้กรอบคิดทฤษฎีความสามารถ (Capability Approach) ของ Amartya Sen และทฤษฎีความสามารถในการมีความหวัง (Capacity to Aspire) ของ Arjun Appadurai เพื่ออธิบายว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงเลือกที่จะนิยาม "ความยากจน" ใหม่ ไม่ใช่เพียงการขาดแคลนตัวเงิน แต่เป็นการขาดแคลน "ความมั่นคงทางโครงสร้าง" และ "โอกาสที่ปราศจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ" ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ยุทธศาสตร์ "ขจัดจน ขจัดโกง" ของพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2569 เป็นความพยายามในการช่วงชิงพื้นที่ทางการเมืองของกลุ่มอนุรักษนิยมเสรีนิยม (Liberal Conservatism) กลับคืนมา โดยใช้ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) เป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ควบคู่กับการเสนอนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เพื่อปลดล็อกศักยภาพของมนุษย์
1. บทนำ: ภูมิทัศน์เศรษฐกิจการเมืองไทยสู่ปี 2569 (Introduction: The Political Economy Landscape Leading to 2026)
การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569 มิได้เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่านอำนาจบริหารตามวาระปกติ แต่เป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตศรัทธาซ้อนทับ (Poly-crisis) ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นเสือเศรษฐกิจของภูมิภาค กำลังเผชิญกับสภาวะชะงักงันที่ฝังรากลึก ซึ่งนักวิชาการนานาชาติเริ่มระบุว่าไทยกำลังกลายเป็น "คนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพต่อเนื่องยาวนาน และความไร้เสถียรภาพทางการเมืองที่เรื้อรัง
บริบททางการเมืองในปี 2568-2569 เต็มไปด้วยความผันผวนจากการยุบพรรคก้าวไกลและการถอดถอนนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ในปี 2567 ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มอำนาจเก่า
ในสภาวการณ์เช่นนี้ พรรคประชาธิปัตย์ สถาบันทางการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ได้ทำการปรับทัพครั้งสำคัญด้วยการนำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2568 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นถึง 96%
รายงานฉบับนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงวิธีการทำ "ไทยหายจน" ตามแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ โดยพิจารณาผ่าน 4 มิติหลัก ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สถานการณ์ความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่เป็นโจทย์ตั้งต้น 2) การเชื่อมโยงปัญหาความยากจนกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการทุจริต 3) กรอบคิดทฤษฎีเบื้องหลังนโยบาย และ 4) การเปรียบเทียบยุทธศาสตร์กับคู่แข่งทางการเมือง
2. พลวัตความเปราะบางทางเศรษฐกิจ: โจทย์หินของการ "ทำไทยหายจน" (Dynamics of Economic Fragility: The Challenge of Poverty Alleviation)
ก่อนที่จะวิเคราะห์วิธีการแก้ปัญหา จำเป็นต้องทำความเข้าใจ "โจทย์" ที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญ ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคในช่วงปี 2567-2568 ชี้ให้เห็นว่า ความยากจนในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนและหยั่งรากลึกกว่าในอดีต
2.1 วิกฤตหนี้ครัวเรือน: ภาวะ "การลดหนี้ที่ล่าช้า" (Delayed Deleveraging)
สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2568 ยังคงอยู่ในระดับวิกฤต แม้ตัวเลขสัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะอยู่ที่ร้อยละ 87.70 ในช่วงกลางปี 2568
ตารางที่ 1: ดัชนีชี้วัดสถานะหนี้ครัวเรือนและความเปราะบางทางการเงิน (2567-2568)
| ดัชนีชี้วัด (Indicator) | ค่าสถิติ (Statistics) | นัยเชิงนโยบาย (Policy Implication) |
| หนี้ครัวเรือนต่อ GDP | 87.70% (มิ.ย. 2568) | ระดับหนี้ที่สูงฉุดรั้งการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน |
| สัดส่วนหนี้เสียบัตรเครดิต (NPL Ratio) | 4.61% | สะท้อนปัญหาสภาพคล่องระยะสั้นของชนชั้นกลางและมนุษย์เงินเดือน |
| สินเชื่อรถยนต์ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM Ratio) | 15.69% | สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) ว่ากลุ่มชนชั้นกลางระดับล่างกำลังจะสูญเสียสินทรัพย์ |
| สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSTI) | สูงกว่า 28% (Peak) | ครัวเรือนไทยต้องเจียดรายได้เกือบ 1 ใน 3 เพื่อจ่ายหนี้ ทำให้เหลือเงินออมน้อยมาก |
| การว่างงานแฝง (Quasi-unemployed) | 2.1 ล้านคน (+5.2%) | แม้ตัวเลขว่างงานต่ำ แต่คนทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้น สะท้อนคุณภาพชีวิตที่ลดลง |
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า นโยบาย "พักหนี้" หรือ "แจกเงิน" แบบเดิมอาจไม่เพียงพอ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดสภาพคล่องชั่วคราว แต่อยู่ที่โครงสร้างรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับภาระหนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ (อายุ 25-29 ปี) ที่พบว่า 26% มีหนี้เสียอย่างน้อยหนึ่งบัญชี
พรรคประชาธิปัตย์จึงตีโจทย์นี้ว่า การจะทำไทยหายจนได้ ต้องไม่ใช่แค่การเติมเงิน แต่ต้องเป็นการ "ปลดล็อกพันธนาการหนี้" (Debt Unshackling) ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก และการสร้างวินัยทางการเงิน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยที่พยายามผลักดันมาตรการ Responsible Lending
2.2 กับดักความยากจนหลายมิติ (Multidimensional Poverty Trap)
นอกเหนือจากมิติตัวเงิน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เน้นย้ำถึง "ความยากจนหลายมิติ" (Multidimensional Poverty Index: MPI) ซึ่งในปี 2568 พบว่ามีคนไทยกว่า 24 ล้านคน หรือร้อยละ 34.7 ของประชากร อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อความยากจนในมิติต่างๆ ที่ไม่ใช่ตัวเงิน
มิติความขัดสนที่สำคัญในปี 2569:
ความขัดสนด้านความมั่นคงในชีวิต: การขาดหลักประกันรายได้หลังเกษียณ เป็นระเบิดเวลาของสังคมสูงวัย
10 ความขัดสนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ: ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นในปี 2567-2568 ส่งผลให้มีผู้ป่วยจากมลพิษทางอากาศสะสมถึง 12.3 ล้านคน
11 และเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านคนในช่วงต้นปี 2568 เพียงแค่ 2 เดือน11 นัยเชิงเศรษฐศาสตร์: ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการซื้ออุปกรณ์ป้องกัน (หน้ากาก N95, เครื่องฟอกอากาศ) กลายเป็น "ต้นทุนคงที่" (Fixed Cost) ที่คนจนแบกรับได้ยากกว่าคนรวย ทำให้ความเหลื่อมล้ำขยายตัว การแก้จนของประชาธิปัตย์จึงต้องผนวกนโยบายสิ่งแวดล้อม (Clean Air Act) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจอย่างแยกไม่ออก
12
3. ยุทธศาสตร์ "ขจัดภัยสีเทา": ความเชื่อมโยงระหว่างอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและความยากจน
จุดเด่นที่สุดของแคมเปญพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2569 คือการสร้างวาทกรรมใหม่ที่เชื่อมโยง "ความยากจนของประชาชน" เข้ากับ "การทุจริตและทุนสีเทา" (Corruption and Grey Capital) โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และทีมยุทธศาสตร์พรรค ได้นำเสนอข้อเท็จจริงที่ว่า ความมั่งคั่งของประเทศถูกดูดซับออกไปโดยกลุ่มทุนผิดกฎหมาย ทำให้ทรัพยากรไม่ตกถึงมือประชาชน
3.1 วิกฤตศรัทธาในตลาดทุนผลกระทบต่อชนชั้นกลาง
กรณีการทุจริตตกแต่งบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่งสร้างความเสียหายกว่า 14,778 ล้านบาท และมีผู้เสียหายเกือบ 5,000 ราย
ผลกระทบต่อความยากจน: เงินออมของชนชั้นกลางในกองทุนรวมและหุ้นกู้หายวับไปกับตา ทำให้กลุ่มคนที่เคยมีสถานะมั่นคงกลายเป็นกลุ่มเปราะบาง
จุดยืนพรรคประชาธิปัตย์: พรรคใช้กรณีนี้โจมตีความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดก่อน และเสนอนโยบายปฏิรูปตลาดทุน (Capital Market Reform) ที่เน้นการลงโทษที่รวดเร็วและรุนแรง (Swift and Severe Punishment)
16 โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษและส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ15 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ชูธงว่าจะต้อง "ล้างบาง" ขบวนการฟอกเงินในตลาดหุ้นเพื่อคืนความยุติธรรมและเงินออมให้ประชาชน
3.2 สงครามกับ "ทุนสีเทา" (Grey Capital) และอิทธิพลจีนเทา
ปรากฏการณ์ "ตู้ห่าว" และเครือข่ายทุนจีนสีเทาที่ถูกเปิดโปงในช่วงปี 2565-2566 ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงปี 2569 ข้อมูลระบุว่ากลุ่มทุนเหล่านี้ใช้นอมินีในการกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์และประกอบธุรกิจท่องเที่ยวแบบครบวงจร (Zero-dollar tour)
กลไกที่ทำให้คนไทยจนลงจากทุนสีเทา:
การบิดเบือนราคา: การฟอกเงินผ่านอสังหาริมทรัพย์ทำให้ราคาที่ดินและที่อยู่อาศัยสูงเกินจริง จนคนไทยไม่สามารถเป็นเจ้าของได้
18 การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม: ผู้ประกอบการ SMEs ไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับธุรกิจสีเทาที่เลี่ยงภาษีและใช้แรงงานผิดกฎหมายได้ นำไปสู่การปิดกิจการและการเลิกจ้าง
การทุจริตเชิงระบบ: เงินสินบนจากกลุ่มทุนสีเทาที่จ่ายให้เจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง ทำให้ระบบราชการอ่อนแอและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน
17
ข้อเสนอนโยบาย "Clean Thailand":
พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เสนอยุทธศาสตร์เชิงรุกในการ "ยึดทรัพย์สิน" จากเครือข่ายทุนสีเทาและขบวนการค้ายาเสพติด เพื่อนำเงินเหล่านั้นมาจัดตั้ง "กองทุนฟื้นฟูโอกาสทางเศรษฐกิจ" (Economic Opportunity Rehabilitation Fund) 19 แนวคิดนี้เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยนำทรัพยากรที่ถูกขโมยไปจากระบบเศรษฐกิจกลับคืนสู่ประชาชนโดยตรง ทั้งในรูปแบบของการปลดหนี้และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานชุมชน
4. กรอบคิดทฤษฎีเบื้องหลังนโยบาย: จากการสงเคราะห์สู่การสร้างศักยภาพ (Theoretical Frameworks: From Welfare to Empowerment)
ความแตกต่างเชิงปรัชญาของนโยบายแก้จนของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อเทียบกับพรรคคู่แข่ง สามารถวิเคราะห์ได้ผ่าน 2 ทฤษฎีหลักทางเศรษฐศาสตร์การเมืองและสังคมวิทยา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพรรคพยายามยกระดับวาทกรรมจากการ "ให้ทาน" ไปสู่การ "สร้างคน"
4.1 ทฤษฎีความสามารถ (Capability Approach) ของ Amartya Sen
Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เสนอว่าความยากจนที่แท้จริงไม่ใช่ความขัดสนทางรายได้ (Low Income) แต่คือ "การขาดความสามารถและเสรีภาพ" (Capability Deprivation) ในการเลือกใช้ชีวิตที่มีคุณค่า
การประยุกต์ใช้ในแคมเปญเลือกตั้ง:
นโยบายการศึกษาและอินเทอร์เน็ต: พรรคประชาธิปัตย์เน้นย้ำเรื่องการขยายโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตฟรี
23 ไม่ใช่เพียงเพื่อความสะดวกสบาย แต่เพื่อสร้าง "Functionings" หรือสถานะการเป็นอยู่ที่พึงประสงค์ ให้เด็กยากจนมีความสามารถทัดเทียมกับเด็กในเมืองนโยบายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม: การผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด (Clean Air Act) เพื่อแก้ปัญหา PM 2.5
11 ถูกตีกรอบใหม่ว่าเป็นนโยบายเศรษฐกิจ เพราะ "สุขภาพที่ดี" เป็นพื้นฐานแรกสุดของความสามารถในการทำงานและหารายได้ หากประชาชนป่วยจากมลพิษ พวกเขาก็สูญเสียความสามารถในการหลุดพ้นจากความยากจน
4.2 ทฤษฎีความสามารถในการมีความหวัง (The Capacity to Aspire) ของ Arjun Appadurai
Arjun Appadurai นักมานุษยวิทยาระดับโลก เสนอว่า "ความหวัง" หรือแรงบันดาลใจ ไม่ใช่แค่สภาวะทางจิตใจ แต่เป็น "ความสามารถทางวัฒนธรรม" (Cultural Capacity) ที่ต้องได้รับการฝึกฝนและสนับสนุน
การประยุกต์ใช้ในแคมเปญเลือกตั้ง:
Creative Economy (เศรษฐกิจสร้างสรรค์): พรรคประชาธิปัตย์ใช้นโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือในการสร้าง "เส้นทาง" (Pathways) ให้คนรากหญ้าเห็นว่า วัฒนธรรมและทักษะท้องถิ่นของพวกเขาสามารถเปลี่ยนเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับโลกได้
26 การสนับสนุน Soft Power ในมุมมองของประชาธิปัตย์จึงไม่ใช่แค่การจัดอีเวนต์ แต่คือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ทำให้คนตัวเล็กมีความหวังที่เป็นจริงได้จิตวิทยาการเมือง (Hope vs. Fear): ในขณะที่การเมืองไทยมักขับเคลื่อนด้วย "ความกลัว" (Fear Appeal) เช่น กลัวความขัดแย้ง หรือกลัวสถาบันถูกล้มล้าง
28 อภิสิทธิ์เลือกใช้กลยุทธ์ "Rational Hope" (ความหวังบนฐานความจริง) โดยสื่อสารว่าการแก้ปัญหาโครงสร้างที่ยากลำบากในวันนี้ จะนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งช่วยฟื้นฟู "Capacity to Aspire" ของคนชั้นกลางและรากหญ้าที่หมดหวังกับระบบ
5. การวิเคราะห์เปรียบเทียบยุทธศาสตร์กับคู่แข่งทางการเมือง (Comparative Strategy Analysis)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าวิธีการของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างอย่างไร จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองหลักอื่นๆ ในสนามเลือกตั้งปี 2569
ตารางที่ 2: เปรียบเทียบยุทธศาสตร์แก้ความยากจนและจุดยืนทางการเมือง (2569)
| พรรคการเมือง (Party) | ปรัชญาหลัก (Core Philosophy) | วิธีการแก้จน (Methodology) | จุดแข็ง (Strengths) | จุดอ่อน (Weaknesses) |
| พรรคประชาธิปัตย์ (Democrat) | เสรีนิยมก้าวหน้า + ธรรมาภิบาล (Liberal Integrity) | แก้จนด้วยการขจัดทุจริต, ปราบทุนสีเทา, ยึดทรัพย์เข้ากองทุนฟื้นฟู, เศรษฐกิจสร้างสรรค์ | ภาพลักษณ์ความซื่อสัตย์ของผู้นำ (อภิสิทธิ์), ฐานเสียงอนุรักษนิยมที่ต้องการปฏิรูป | ภาพจำในอดีต (Legacy Issues), ฐานเสียงคนรุ่นใหม่ยังจำกัด |
| พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai) | ประชานิยมกระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulus Populism) | แจกเงินดิจิทัล, พักหนี้เกษตรกร, Mega Projects | ฐานเสียงรากหญ้าเข้มแข็ง, ผลงานในอดีตที่จับต้องได้ | ขาดความชัดเจนด้านจริยธรรม, ดีลการเมืองข้ามขั้วทำลายศรัทธา |
| พรรคประชาชน (People’s Party) | ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ (Structural Reform) | ทลายทุนผูกขาด, รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า, ปฏิรูปสถาบัน | ความนิยมในคนรุ่นใหม่, อุดมการณ์ชัดเจน | ความเสี่ยงทางกฎหมาย (Legal Risks), ถูกมองว่าสุดโต่ง |
| พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai) | อุปถัมภ์ท้องถิ่นนิยม (Local Patronage) | กระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่น, นโยบายเฉพาะจุด (เช่น กัญชา/เศรษฐกิจชายแดน) | เครือข่ายบ้านใหญ่ที่ทรงพลัง, ทรัพยากรมาก | ปัญหาภาพลักษณ์เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน, ความโปร่งใส |
5.1 การช่วงชิงพื้นที่จากพรรคเพื่อไทย: ความล้มเหลวของประชานิยมแจกเงิน
พรรคประชาธิปัตย์วิเคราะห์ว่า นโยบาย "แจกเงิน" ของพรรคเพื่อไทยเริ่มถึงทางตัน เนื่องจากข้อจำกัดทางการคลังและหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น การแจกเงินไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้สินที่พอกพูนได้จริง
5.2 การต่อสู้ทางความคิดกับพรรคประชาชน: ปฏิรูปอย่างมีวุฒิภาวะ
พรรคประชาชนมีนโยบายต่อต้านทุนผูกขาดและทุนสีเทาที่คล้ายคลึงกับประชาธิปัตย์
6. บทวิเคราะห์เจาะลึก: กลไกการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ (Implementation Mechanisms)
ความท้าทายสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์คือการแปลงนโยบายที่ดูเป็นนามธรรมให้จับต้องได้ เพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเชื่อมั่นว่า "ทำได้จริง" (Doable)
6.1 การรื้อระบบกฎหมายเพื่อความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ
พรรคประชาธิปัตย์มุ่งเน้นการใช้กลไกนิติบัญญัติในการแก้ปัญหาความยากจน โดยมีแผนผลักดันชุดกฎหมายสำคัญ:
พ.ร.บ. ขจัดการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมฉบับใหม่: เพิ่มอำนาจและบทลงโทษในการจัดการกับการฮั้วประมูลและการใช้อำนาจเหนือตลาดของทุนใหญ่และทุนสีเทา
17 การปฏิรูปหน่วยงานอิสระ (DSI, ปปง., ก.ล.ต.): สร้างความเป็นอิสระที่แท้จริงเพื่อให้หน่วยงานเหล่านี้กล้าจัดการกับ "ปลาใหญ่" ในตลาดทุนและวงการเมือง โดยไม่เลือกปฏิบัติ
15
6.2 เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในฐานะเครื่องยนต์ใหม่ (New Engine of Growth)
ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 และนโยบาย Creative Economy
เป้าหมาย: เพิ่มสัดส่วนมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อ GDP อย่างน้อย 0.5% ต่อปี
27 ซึ่งจะช่วยสร้างงานที่มีมูลค่าสูง (High-value jobs) ให้กับคนรุ่นใหม่ ลดปัญหาสมองไหลและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท
6.3 การจัดการหนี้สินแบบมุ่งเป้า (Targeted Debt Relief)
แทนที่จะใช้นโยบายพักหนี้แบบหว่านแห พรรคเสนอการจัดตั้ง "คลินิกแก้หนี้ระดับชุมชน" ที่ทำงานร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้รายบุคคล โดยเน้นการลดดอกเบี้ยและยืดระยะเวลาชำระหนี้ แลกกับการเข้าอบรมทักษะอาชีพ (Upskilling) เพื่อเพิ่มความสามารถในการหารายได้ตามแนวคิด Capability Approach
7. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ (Conclusion & Academic Recommendations)
การวิเคราะห์แคมเปญ "ทำไทยหายจน" ของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งปี 2569 สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวครั้งใหญ่ (Grand Adaptation) ของพรรคการเมืองเก่าแก่ที่ต้องการกลับมามีที่ยืนในภูมิทัศน์การเมืองใหม่ ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวข้ามการแข่งขันด้วยนโยบายประชานิยมระยะสั้น ไปสู่การนำเสนอ "วาระแห่งชาติว่าด้วยธรรมาภิบาลและโอกาส" (National Agenda on Governance and Opportunity)
ข้อสรุปสำคัญ (Key Takeaways):
นิยามใหม่ของความยากจน: ความยากจนไม่ได้เกิดจากการขาดเงินเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ถูกบิดเบือนโดยทุนสีเทา การทุจริต และภาระหนี้สินที่ไม่เป็นธรรม
บทบาทของผู้นำ: การกลับมาของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีนัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น (Trust) ในหมู่นักลงทุนและชนชั้นกลาง ว่าประเทศไทยสามารถกลับมาเป็นนิติรัฐนิติธรรม (Rule of Law) ได้
ความหวังบนฐานความจริง: การใช้ทฤษฎี Capacity to Aspire และ Capability Approach เป็นรากฐานของนโยบาย ช่วยให้แคมเปญมีความลึกซึ้งและตอบโจทย์ปัญหาระยะยาวของมนุษย์
ความเสี่ยงและความท้าทาย:
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสื่อสารให้ประชาชนรากหญ้าเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่าง "การปราบโกง" กับ "เงินในกระเป๋า" พรรคต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าความซื่อสัตย์กินได้จริง และต้องสลัดภาพลักษณ์ของความเชื่องช้าและการเป็นส่วนหนึ่งของระบบอำนาจนิยมในอดีตให้หลุดพ้น หากทำได้ พรรคประชาธิปัตย์อาจกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่พลิกโฉมหน้าการเมืองไทยในปี 2569 จากการเมืองแห่งการแจกแถม ไปสู่การเมืองแห่งคุณภาพและโอกาสที่ยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น