วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568

มหากาพย์ภารตะบนทุ่งเลือกตั้งไทย 2569: ฝ่ายขวาคลั่งสงคราม VS ฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี


มหากาพย์ภารตะบนทุ่งเลือกตั้งไทย 2569: การปะทะระหว่าง 'ฝ่ายขวาคลั่งสงคราม' และ 'ฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี'

1. บทนำ: รุ่งอรุณแห่งกุรุเกษตร ณ อุษาคเนย์

ในห้วงเวลาที่หมอกควันแห่งสงครามยังคงปกคลุมหนาทึบเหนือเทือกเขาพนมดงรัก และเสียงกัมปนาทของปืนใหญ่ยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำของประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง นั่นคือการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2569 1 การเลือกตั้งครั้งนี้มิใช่เพียงกระบวนการเปลี่ยนผ่านอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยปกติ หากแต่เป็นดั่ง "สงครามกุรุเกษตร" (Kurukshetra War) ในมหากาพย์มหาภารตะ ที่ซึ่งอุดมการณ์สองขั้วที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วได้มาเผชิญหน้ากันบนสมรภูมิแห่งอำนาจและความชอบธรรม (Dharma)

สภาพการณ์ทางการเมืองไทยในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 ได้ก่อตัวเป็นสองขั้วอำนาจหลักที่เปรียบเสมือนตระกูล "เการพ" และ "ปาณฑพ" ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มอำนาจเดิมที่กุมกลไกรัฐและกองทัพ นำโดยพรรคภูมิใจไทยที่ได้สถาปนาตนเองเป็น "พรรคสีน้ำเงิน" แห่งชาตินิยม 3 ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงวิกฤตสงครามและฉวยใช้กระแสความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านเป็นเครื่องมือในการสร้างเสถียรภาพและความชอบธรรม 4 อีกฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มอำนาจใหม่ที่พยายามนำเสนอทางออกด้วยปัญญาและนวัตกรรม นำโดยพรรคเพื่อไทยที่ได้เปิดตัว "ขุนพล" คนใหม่ที่มิใช่นักรบถือดาบ แต่เป็นนักวิชาการถือตำราเทคโนโลยีชีวภาพอย่าง รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หรือ "ดร.เชน" 1 ผู้เปรียบเสมือน "อรชุน" ผู้ถือคันธนูแห่งปัญญาญาณ (Gandiva of Intellect) หวังจะยุติความขัดแย้งด้วยศาสตร์แห่งอนาคต

บทความวิชาการฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์พลวัตของการเลือกตั้งปี 2569 ผ่านเลนส์ของมหากาพย์มหาภารตะ โดยจะเจาะลึกถึงรากเหง้าของความขัดแย้งที่เปรียบดั่ง "ธรรมยุทธ์" (Dharma Yuddha) ระหว่างฝ่ายขวาที่เน้นความมั่นคงทางการทหาร (Militaristic Right-wing) กับฝ่ายปัญญาชนที่เน้นเทคโนโลยีและอำนาจละมุน (Technocratic Intellectuals) พร้อมทั้งสำรวจนัยยะทางยุทธศาสตร์ นโยบาย และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อโครงสร้างสังคมไทยในระยะยาว


2. ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง: เมื่อ 'ธรรม' ถูกท้าทายด้วย 'อำนาจ'

2.1 กำเนิดพรรคสีน้ำเงิน: การผงาดของ 'ทุรโยชน์' ในคราบนักการเมือง

ในมหากาพย์มหาภารตะ ทุรโยชน์ (Duryodhana) คือพี่ใหญ่แห่งตระกูลเการพผู้มีความทะเยอทะยานและยึดมั่นในอำนาจอนุรักษ์นิยมในบริบทการเมืองไทยปี 2568-2569 นายอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทยได้สวมบทบาทนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์องค์กร (Rebranding) ที่มีนัยยะสำคัญทางสัญลักษณ์ ในงานครบรอบการก่อตั้งพรรคก้าวสู่ปีที่ 17 พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศเปลี่ยนสีโลโก้พรรคเป็น "สีน้ำเงินล้วน" โดยไม่มีสีแดงเจือปน 3 ซึ่งในวัฒนธรรมการเมืองไทย สีน้ำเงินสื่อถึงอนุรักษ์นิยม การประกาศตัวเช่นนี้คือการส่งสัญญาณว่า พรรคภูมิใจไทยพร้อมที่จะเป็นแกนหลักของฝ่ายอนุรักษ์นิยมใหม่ (Neo-Conservative) แทนที่พรรคทหารดั้งเดิมที่เสื่อมถอยลง

การก้าวขึ้นสู่อำนาจของนายอนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ภายหลังการพ้นจากตำแหน่งของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร 2 เปรียบเสมือนการยึดครองหัสตินาปุระของฝ่ายเการพ โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่หลากหลาย รวมถึงกลุ่มอำนาจเก่าและกองทัพ ยุทธศาสตร์ของ "ค่ายสีน้ำเงิน" คือการสร้างความมั่นคงผ่านการควบคุมกลไกมหาดไทยและการทหาร โดยใช้วาทกรรม "ปกป้องสถาบัน" และ "รักษาอธิปไตย" เป็นเกราะป้องกันทางการเมือง 3

2.2 ทายาทแห่งปาณฑพ: การกลับมาของสายเลือดชินวัตรในรูปแบบใหม่

ในขณะที่ฝ่ายเการพเน้นความแข็งกร้าวและอำนาจดิบ (Hard Power) ฝ่ายปาณฑพหรือพรรคเพื่อไทยได้เลือกเดินหมากที่แตกต่างออกไป ในการเลือกตั้งปี 2569 พรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อ รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 1 การเลือกบุคคลผู้นี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง ดร.ยศชนัน มิได้เป็นเพียงบุตรชายของอดีตนายกฯ สมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (น้องสาวทักษิณ) 1 ซึ่งเปรียบได้กับการสืบสายโลหิตแห่งราชวงศ์กุรุ แต่เขายังมีคุณสมบัติที่เปรียบเสมือน "อรชุน" ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ศิลป์

อรชุนในมหาภารตะเป็นนักรบผู้มีความสามารถรอบด้านและได้รับอาวุธวิเศษจากทวยเทพ ดร.ยศชนัน ก็เช่นกัน เขามาพร้อมกับ "อาวุธ" ที่ไม่ใช่ศรธนู แต่เป็นดีกรีปริญญาเอกด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface - BCI) 6 การนำเสนอผู้นำที่มีภาพลักษณ์เป็น "นักเทคโนโลยี" (Technocrat) และนักวิชาการ ท่ามกลางบรรยากาศสงคราม สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของฝ่ายปาณฑพที่จะเปลี่ยนสนามรบจากการสู้รบด้วยอาวุธ ไปสู่การแข่งขันด้วยปัญญาและการพัฒนาคุณภาพชีวิต

2.3 พันธมิตรที่เปราะบาง: บทบาทของ 'กรรณะ' และฝ่ายที่สาม

ในสงครามครั้งนี้ ยังมีตัวละครสำคัญที่เปรียบได้กับ "กรรณะ" (Karna) ผู้มีฝีมือแต่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นคือ "พรรคประชาชน" (People's Party) ซึ่งสืบทอดอุดมการณ์มาจากพรรคก้าวไกล แม้พรรคประชาชนจะมีจุดยืนฝ่ายประชาธิปไตยเช่นเดียวกับเพื่อไทย แต่ความขัดแย้งในอดีตและการแย่งชิงฐานเสียงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองพรรคมีความซับซ้อน 8 พรรคประชาชนเคยสนับสนุนนายอนุทินให้เป็นนายกฯ เพื่อแลกกับการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเปรียบเสมือนความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ที่เปิดทางให้ฝ่ายเการพสะสมอำนาจจนแข็งแกร่ง 9 ในการเลือกตั้งปี 2569 พรรคประชาชนต้องเผชิญกับข้อครหาและการโจมตีจากกระแสชาตินิยม ซึ่งทำให้สถานะของพวกเขาในฐานะ "ผู้ท้าชิง" ลดน้อยถอยลงเมื่อเทียบกับมหาอำนาจสีน้ำเงินและสีแดง


3. สมรภูมิกุรุเกษตร: วิกฤตการณ์ชายแดนและไฟสงคราม

3.1 ชนวนเหตุแห่งสงคราม: MOU 44 และขุมทรัพย์ใต้บาดาล

สาเหตุหลักที่ทำให้การเลือกตั้งปี 2569 กลายเป็น "การเลือกตั้งยุคสงคราม" คือความขัดแย้งบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปลายปี 2568 ความขัดแย้งนี้มีรากฐานมาจากข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area - OCA) และบันทึกความเข้าใจปี 2544 (MOU 44) 11 พื้นที่ดังกล่าวเปรียบเสมือน "แผ่นดินทุ่งกุรุเกษตร" ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของ มิใช่เพียงเพื่อเกียรติยศ แต่เพื่อทรัพยากรปิโตรเลียมมูลค่ามหาศาลกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่ซ่อนอยู่ใต้ท้องทะเล 12

วาทกรรมเรื่อง "ขายชาติ" ถูกนำมาปลุกระดมโดยกลุ่มชาตินิยมและพรรคภูมิใจไทย เพื่อโจมตีความพยายามในการเจรจาของรัฐบาลชุดก่อนหน้า (รัฐบาลแพทองธาร) โดยกล่าวหาว่า MOU 44 ทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา 11 การเมืองเรื่องพลังงานนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นความขัดแย้งทางทหารเมื่อมีการกระทบกระทั่งกันตามแนวชายแดน และขยายวงกว้างจนกลายเป็นการสู้รบเต็มรูปแบบ

3.2 ธันวาคมทมิฬ: ปฏิบัติการศตวรรษและเสียงเพรียกแห่งความตาย

สถานการณ์ความขัดแย้งทวีความรุนแรงถึงขีดสุดในเดือนธันวาคม 2568 เมื่อกองทัพไทยเปิด "ปฏิบัติการศตวรรษ" (Operation Sattawat) ในวันที่ 10 ธันวาคม 13 เพื่อตอบโต้การโจมตีของกัมพูชา การสู้รบครั้งนี้มีการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์หนักอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบหลายทศวรรษ กองทัพอากาศไทยส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 เข้าโจมตีเป้าหมายทางทหารลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชา 13 ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาตอบโต้ด้วยจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ถล่มใส่พื้นที่พลเรือน โรงพยาบาล และชุมชนตามแนวชายแดนไทย 12

ความสูญเสียจากสงครามครั้งนี้รุนแรงและน่าตระหนก ข้อมูลระบุว่ามีประชาชนต้องอพยพหนีตาย (Displaced Persons) มากถึง 134,707 คนในฝั่งกัมพูชา และกว่า 140,000 คนในฝั่งไทย 12 จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีรายงานทหารไทยเสียชีวิต 39 นาย และพลเรือน 59 ราย 13 ภาพความเสียหายของบ้านเรือนและโรงพยาบาล 15 ได้สร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับประชาชน และกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ฝ่ายการเมืองนำมาใช้โหมกระพือความเกลียดชังและปลุกระดมกระแสชาตินิยม

3.3 บทบาทของ 'กฤษณะ' ภายนอก: มหาอำนาจกับสงครามตัวแทน

ในมหาภารตะ พระกฤษณะมีบทบาทสำคัญในการชี้แนะและกำหนดทิศทางของสงคราม ในสมรภูมิไทย-กัมพูชา มหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนก็ได้เข้ามามีบทบาทในลักษณะคล้ายคลึงกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยและกดดันให้เกิดการหยุดยิง 14 ในขณะที่จีนส่งทูตพิเศษเดินทางเยือนทั้งสองประเทศเพื่อเจรจาสันติภาพ 17

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนายอนุทินได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อการแทรกแซงจากภายนอก โดยประกาศว่าไทยจะไม่ยอมถูกกดดันจากมหาอำนาจหรืออาเซียน 18 ท่าที "เอกราชนิยม" (Isolationist Nationalism) นี้สอดรับกับนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่ต้องการแสดงความเข้มแข็งและไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญที่ใช้ดึงดูดฐานเสียงอนุรักษ์นิยมขวาจัด


4. ยุทธศาสตร์และอาวุธ: ความแตกต่างระหว่างสองขั้ว

4.1 ฝ่ายขวาคลั่งสงคราม: "ศรพรหมมาสตร์" แห่งแสนยานุภาพ

ฝ่ายเการพภายใต้การนำของนายอนุทินและกองทัพ ยึดถือปรัชญา "อำนาจคือธรรม" (Might is Right) นโยบายหาเสียงของพวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างขีดความสามารถทางการทหาร (Militarization) เพื่อป้องปรามศัตรู แผนยุทธศาสตร์การปรับปรุงกองทัพ (Modernisation Plan: Vision 2026) ถูกนำมาเร่งรัดดำเนินการ 19 โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

ยุทธศาสตร์/นโยบายรายละเอียดและนัยยะสำคัญ
การจัดหาอาวุธใหม่

เร่งจัดซื้อโดรนโจมตี (Loitering Munitions), เครื่องบินรบ, และระบบป้องกันภัยทางอากาศ 20 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงครามยุคใหม่

กฎการปะทะ (ROE) ที่ดุดัน

ให้อำนาจผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนในการตัดสินใจใช้อาวุธตอบโต้ทันทีหากมีภัยคุกคาม และอนุญาตให้ทำลายโดรนที่รุกล้ำน่านฟ้าได้ 21

การเกณฑ์ทหารยืนยันความจำเป็นของการเกณฑ์ทหารเพื่อรักษา "กำลังสำรอง" ไว้สำหรับสภาวะสงคราม ต่อต้านข้อเสนอการยกเลิกเกณฑ์ทหารของฝ่ายตรงข้าม
ชาตินิยมเข้มข้น

ใช้สโลแกนรณรงค์ที่เน้นการปกป้องอธิปไตย ไม่เสียดินแดน และพร้อมรบเพื่อชาติ 22

การใช้วาทกรรมสงครามและภาพลักษณ์ของผู้นำที่เด็ดขาด ทำให้นายอนุทินสามารถครองพื้นที่สื่อและจิตใจของประชาชนที่กำลังหวาดกลัวภัยสงครามได้ เขาพยายามสร้างภาพจำว่า "ถ้าเลือกความสงบ (แบบยอมจำนน) จะสิ้นชาติ แต่ถ้าเลือกภูมิใจไทย จะได้ศักดิ์ศรีและชัยชนะ" 5

4.2 ฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี: "จักรกลอัจฉริยะ" แห่งการสร้างสรรค์

ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายปาณฑพนำโดย ดร.ยศชนัน และพรรคเพื่อไทย ได้เสนอยุทธศาสตร์ที่เปรียบเสมือนการใช้ "ปัญญา" เหนือ "กำลัง" (Mind over Matter) พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงกับดักของวาทกรรมสงครามด้วยการนำเสนอ "สงครามรูปแบบใหม่" ที่ต่อสู้กับความยากจนและความล้าหลัง แทนที่จะสู้กับเพื่อนบ้าน นโยบายหลักของฝ่ายนี้ประกอบด้วย:

ยุทธศาสตร์/นโยบายรายละเอียดและนัยยะสำคัญ
ปฏิรูปกองทัพด้วยเทคโนโลยี

เสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ (Voluntary System) และใช้เทคโนโลยีโดรนและระบบอัตโนมัติทดแทนกำลังพลมนุษย์ 25

เทคโนโลยีชีวภาพและการแพทย์

ชูจุดเด่นของ ดร.ยศชนัน ด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์และ BCI เพื่อผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub) และเศรษฐกิจมูลค่าสูง 6

เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)

ใช้เทคโนโลยี IoT, โดรนเพื่อการเกษตร, และ AI ในการบริหารจัดการน้ำและพืชผล 27 เพื่อยกระดับรายได้เกษตรกร ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรค

การทูตเพื่อเศรษฐกิจเน้นการเจรจาและการค้าชายแดนมากกว่าการเผชิญหน้าทางทหาร โดยมองว่าความมั่งคั่งร่วมกัน (Shared Prosperity) คือหลักประกันความมั่นคงที่แท้จริง

ปรัชญาของฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยีสอดคล้องกับแนวคิด "Post-Heroic Warfare" หรือสงครามยุคหลังวีรบุรุษ 29 ที่ลดความสำคัญของการใช้กำลังทหารขนาดใหญ่และการสละชีพในสนามรบ หันมาเน้นการจัดการความเสี่ยง (Risk Management) และการใช้เทคโนโลยีที่มีความแม่นยำสูงเพื่อลดความสูญเสีย


5. บทวิเคราะห์เจาะลึก: ธรรมะ, อธรรม, และเทคโนโลยี (Insights & Implications)

5.1 จากสมรภูมิสู่คูหา: การช่วงชิงความหมายของ "ความรักชาติ"

การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการปะทะกันของนิยาม "ความรักชาติ" (Patriotism) สองแบบ ฝ่ายขวาคลั่งสงครามนิยามความรักชาติผ่าน "เลือดเนื้อและเขตแดน" (Blood and Soil) การเสียสละชีพเพื่อรักษาแผ่นดินถือเป็นเกียรติสูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับจริยธรรมนักรบ (Warrior Ethos) ในมหาภารตะ 31 ในขณะที่ฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยีนิยามความรักชาติผ่าน "คุณภาพชีวิตและอนาคต" (Quality of Life and Future) การรักชาติคือการทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดีและมีเทคโนโลยีที่ทัดเทียมโลก

ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ การใช้เทคโนโลยี "โดรน" (Drones) กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนความขัดแย้งนี้ได้อย่างชัดเจน สำหรับฝ่ายทหาร โดรนคือ "เพชฌฆาตเวหา" ที่ใช้สังหารศัตรู 20 แต่สำหรับฝ่ายเทคโนแครต โดรนคือ "เครื่องมือทำกิน" ของเกษตรกร 27 การต่อสู้ทางความคิดนี้จึงเป็นเรื่องของ "Ethics of Technology" ว่าเทคโนโลยีควรรับใช้สงครามหรือสันติภาพ 33

5.2 BCI และปรัชญาการเชื่อมต่อ: นัยยะทางการเมืองของ 'ดร.เชน'

ความเชี่ยวชาญของ ดร.ยศชนัน ในด้าน Brain-Computer Interface (BCI) 6 มิได้เป็นเพียงคุณสมบัติทางวิชาการ แต่มีนัยยะทางการเมืองที่ลึกซึ้ง BCI คือเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นการ "เชื่อมต่อ" (Connectivity) และการข้ามผ่านข้อจำกัดทางกายภาพ ปรัชญานี้ขัดแย้งโดยตรงกับแนวคิดของฝ่ายขวาที่เน้นการ "แบ่งแยก" (Division) และการสร้างกำแพงพรมแดน

หากเปรียบเทียบกับมหาภารตะ ดร.ยศชนัน เปรียบเสมือนผู้มี "ทิพยจักษุ" (Divya Drishti) ที่มองเห็นโลกในมิติที่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว การนำเสนอผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เช่นนี้อาจเป็นการส่งสารว่า ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาอาจแก้ไม่ได้ด้วยปืนใหญ่ แต่ด้วยการ "เชื่อมต่อ" ทางความคิดและผลประโยชน์ หากพรรคเพื่อไทยสามารถสื่อสารประเด็นนี้ให้จับใจคนรุ่นใหม่ได้ พวกเขาอาจเปลี่ยนสนามรบให้เป็นเวทีแห่งนวัตกรรมได้สำเร็จ

5.3 กับดักของฝ่ายปาณฑพ: เงาอดีตของ 'ทักษิณ' และข้อจำกัดทางศีลธรรม

แม้ฝ่ายปัญญาชนจะมีข้อเสนอที่ดูดี แต่พวกเขาก็มีจุดอ่อนสำคัญที่เปรียบเสมือน "คำสาป" ของตระกูลปาณฑพ นั่นคือ "เงาของทักษิณ ชินวัตร" การที่ ดร.ยศชนัน เป็นหลานชายของทักษิณ 1 ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นเพียง "ตัวแทน" (Proxy) หรือร่างอวตารทางการเมือง เพื่อสืบทอดอำนาจของตระกูล 35 ข้อครหานี้ถูกฝ่ายตรงข้ามนำมาขยายผลเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของนโยบายเทคโนโลยี โดยกล่าวหาว่าเป็นเพียงนโยบายประชานิยมจำแลง

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลในอดีตของพรรคเพื่อไทย (แพทองธาร) ถูกโจมตีเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับสมเด็จฮุนเซน 7 ทำให้ฝ่ายปัญญาชนต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการเสนอนโยบายปรองดอง เพราะอาจถูกตีความว่าเป็นการ "อ่อนข้อ" ให้ศัตรู หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ OCA ซึ่งเป็นประเด็นที่เปราะบางและอันตรายยิ่งในยามสงคราม


6. บทสรุปและฉากทัศน์อนาคต: หลังสิ้นสุดสงครามกุรุเกษตร

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 มาถึง และฝุ่นควันแห่งการรณรงค์หาเสียงจางหายไป ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความเป็นจริงใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ:

6.1 ฉากทัศน์ที่ 1: ชัยชนะของฝ่ายขวาคลั่งสงคราม (The Kaurava Victory)

หากพรรคภูมิใจไทยและฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้รับชัยชนะ ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ยุค "รัฐความมั่นคงเข้มข้น" (Securitized State) งบประมาณมหาศาลจะถูกทุ่มลงไปกับกองทัพและการจัดซื้ออาวุธ ความขัดแย้งชายแดนอาจถูกเลี้ยงไข้ (Frozen Conflict) เพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมือง ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านจะตึงเครียด และไทยอาจถูกโดดเดี่ยวจากเวทีประชาคมโลกหากยังคงดื้อดึงต่อต้านมติอาเซียนและสหประชาชาติ

6.2 ฉากทัศน์ที่ 2: ชัยชนะของฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี (The Pandava Victory)

หากพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรสามารถพลิกชนะได้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายแบบ "หักศอก" จะเกิดขึ้น การเจรจาสันติภาพจะถูกรื้อฟื้นทันที นโยบาย BCI และ Smart Farming จะถูกผลักดันให้เป็นเรือธงทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่จะต้องเผชิญกับแรงต้านทานอย่างรุนแรงจากกองทัพและกลุ่มอำนาจเก่า (Deep State) ที่ยังคงมีอิทธิพลและอาจไม่ยอมรับการลดบทบาท ความเสี่ยงของการรัฐประหารหรือการต่อต้านนอกสภาจะยังคงวนเวียนอยู่ดั่งวิญญาณร้ายที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด

6.3 บทส่งท้าย: ธรรมะย่อมชนะอธรรม?

ในมหากาพย์มหาภารตะ สงครามจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายปาณฑพ แต่เป็นชัยชนะบนกองซากศพและความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่า สำหรับการเลือกตั้งไทยปี 2569 บทเรียนสำคัญที่พึงตระหนักคือ ไม่ว่าฝ่าย "ขวาคลั่งสงคราม" หรือ "ปัญญาชนเทคโนโลยี" จะชนะ ผู้ที่ต้องแบกรับราคาค่างวดของสงครามครั้งนี้คือประชาชนคนไทยทุกคน

ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่ต้องหนีตายจากกระสุนปืนใหญ่ เกษตรกรที่รอคอยเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มผลผลิต หรือคนรุ่นใหม่ที่ฝันถึงอนาคตที่ไร้การเกณฑ์ทหาร ทุกคนต่างเป็นตัวละครในมหากาพย์เรื่องนี้ และผลลัพธ์ของการเลือกตั้งจะเป็นตัวกำหนดว่า "ธรรม" (Dharma) ของแผ่นดินไทยจะถูกจารึกไว้ในรูปแบบใด—ในฐานะดินแดนแห่งนักรบผู้เกรียงไกร หรือดินแดนแห่งปัญญาชนผู้สร้างสรรค์


ตารางเปรียบเทียบยุทธศาสตร์และนโยบายคู่ขัดแย้ง

มิติการเปรียบเทียบฝ่ายขวาคลั่งสงคราม (War-mongering Right)ฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี (Technocratic Intellectuals)
ตัวละครเปรียบเทียบทุรโยชน์ (Duryodhana): อนุทิน ชาญวีรกูลอรชุน (Arjuna): รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์
พรรคการเมืองพรรคภูมิใจไทย (The Blue Party)พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai)
ฐานสนับสนุนหลักกองทัพ, บ้านใหญ่, อนุรักษ์นิยม, กลุ่มชาตินิยมปัญญาชน, ชนชั้นกลาง, เกษตรกร, กลุ่มเทคโนโลยี
นโยบายความมั่นคง

เสริมสร้างกองทัพ (Modernisation 2026), กฎการปะทะที่เด็ดขาด, คงการเกณฑ์ทหาร 19

ปฏิรูปกองทัพ, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, ใช้เทคโนโลยีทดแทนกำลังพล, เจรจาการทูต 25

นโยบายเศรษฐกิจ/เทคโนโลยีเศรษฐกิจสงคราม, อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ, การพึ่งพาตนเอง

เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม, Smart Farming, Medical Hub, BCI 26

จุดยืนกรณีชายแดนกัมพูชา

แข็งกร้าว, ใช้กำลังทหาร, ไม่ยอมรับการแทรกแซงจากภายนอก 18

ประนีประนอม, เจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ (OCA), ใช้กลไกระหว่างประเทศ
วาทกรรมหลัก"ปกป้องอธิปไตย", "ศักดิ์ศรีของชาติ", "ผู้นำเข้มแข็ง""กินดีอยู่ดี", "เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต", "อนาคตใหม่"
อาวุธสัญลักษณ์เครื่องบินรบ F-16, ปืนใหญ่, โดรนสังหารเทคโนโลยี BCI, โดรนการเกษตร, ปัญญาประดิษฐ์ (AI)

(หมายเหตุ: การวิเคราะห์และเปรียบเทียบในบทความนี้อ้างอิงจากข้อมูลสถานการณ์ทางการเมืองและเอกสารวิจัยที่ปรากฏในช่วงปี 2568-2569 เพื่อสะท้อนภาพพลวัตการแข่งขันทางการเมืองไทยในบริบทดังกล่าว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ส่องนโยบายปัญญาประดิษฐ์ พรรคการเมืองไทย ชูสู้ศึกเลือกตั้งไทย 2569

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ต่อนโยบายปัญญาประดิษฐ์และเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2569 ...