มหากาพย์ภารตะบนทุ่งเลือกตั้งไทย 2569: การปะทะระหว่าง 'ฝ่ายขวาคลั่งสงคราม' และ 'ฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี'
1. บทนำ: รุ่งอรุณแห่งกุรุเกษตร ณ อุษาคเนย์
ในห้วงเวลาที่หมอกควันแห่งสงครามยังคงปกคลุมหนาทึบเหนือเทือกเขาพนมดงรัก และเสียงกัมปนาทของปืนใหญ่ยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำของประชาชนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง นั่นคือการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2569
สภาพการณ์ทางการเมืองไทยในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 ได้ก่อตัวเป็นสองขั้วอำนาจหลักที่เปรียบเสมือนตระกูล "เการพ" และ "ปาณฑพ" ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มอำนาจเดิมที่กุมกลไกรัฐและกองทัพ นำโดยพรรคภูมิใจไทยที่ได้สถาปนาตนเองเป็น "พรรคสีน้ำเงิน" แห่งชาตินิยม
บทความวิชาการฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์พลวัตของการเลือกตั้งปี 2569 ผ่านเลนส์ของมหากาพย์มหาภารตะ โดยจะเจาะลึกถึงรากเหง้าของความขัดแย้งที่เปรียบดั่ง "ธรรมยุทธ์" (Dharma Yuddha) ระหว่างฝ่ายขวาที่เน้นความมั่นคงทางการทหาร (Militaristic Right-wing) กับฝ่ายปัญญาชนที่เน้นเทคโนโลยีและอำนาจละมุน (Technocratic Intellectuals) พร้อมทั้งสำรวจนัยยะทางยุทธศาสตร์ นโยบาย และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อโครงสร้างสังคมไทยในระยะยาว
2. ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง: เมื่อ 'ธรรม' ถูกท้าทายด้วย 'อำนาจ'
2.1 กำเนิดพรรคสีน้ำเงิน: การผงาดของ 'ทุรโยชน์' ในคราบนักการเมือง
ในมหากาพย์มหาภารตะ ทุรโยชน์ (Duryodhana) คือพี่ใหญ่แห่งตระกูลเการพผู้มีความทะเยอทะยานและยึดมั่นในอำนาจอนุรักษ์นิยมในบริบทการเมืองไทยปี 2568-2569 นายอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทยได้สวมบทบาทนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์องค์กร (Rebranding) ที่มีนัยยะสำคัญทางสัญลักษณ์ ในงานครบรอบการก่อตั้งพรรคก้าวสู่ปีที่ 17 พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศเปลี่ยนสีโลโก้พรรคเป็น "สีน้ำเงินล้วน" โดยไม่มีสีแดงเจือปน
การก้าวขึ้นสู่อำนาจของนายอนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ภายหลังการพ้นจากตำแหน่งของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
2.2 ทายาทแห่งปาณฑพ: การกลับมาของสายเลือดชินวัตรในรูปแบบใหม่
ในขณะที่ฝ่ายเการพเน้นความแข็งกร้าวและอำนาจดิบ (Hard Power) ฝ่ายปาณฑพหรือพรรคเพื่อไทยได้เลือกเดินหมากที่แตกต่างออกไป ในการเลือกตั้งปี 2569 พรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อ รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1
อรชุนในมหาภารตะเป็นนักรบผู้มีความสามารถรอบด้านและได้รับอาวุธวิเศษจากทวยเทพ ดร.ยศชนัน ก็เช่นกัน เขามาพร้อมกับ "อาวุธ" ที่ไม่ใช่ศรธนู แต่เป็นดีกรีปริญญาเอกด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineering) จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ (Brain-Computer Interface - BCI)
2.3 พันธมิตรที่เปราะบาง: บทบาทของ 'กรรณะ' และฝ่ายที่สาม
ในสงครามครั้งนี้ ยังมีตัวละครสำคัญที่เปรียบได้กับ "กรรณะ" (Karna) ผู้มีฝีมือแต่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นคือ "พรรคประชาชน" (People's Party) ซึ่งสืบทอดอุดมการณ์มาจากพรรคก้าวไกล แม้พรรคประชาชนจะมีจุดยืนฝ่ายประชาธิปไตยเช่นเดียวกับเพื่อไทย แต่ความขัดแย้งในอดีตและการแย่งชิงฐานเสียงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองพรรคมีความซับซ้อน
3. สมรภูมิกุรุเกษตร: วิกฤตการณ์ชายแดนและไฟสงคราม
3.1 ชนวนเหตุแห่งสงคราม: MOU 44 และขุมทรัพย์ใต้บาดาล
สาเหตุหลักที่ทำให้การเลือกตั้งปี 2569 กลายเป็น "การเลือกตั้งยุคสงคราม" คือความขัดแย้งบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปลายปี 2568 ความขัดแย้งนี้มีรากฐานมาจากข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area - OCA) และบันทึกความเข้าใจปี 2544 (MOU 44)
วาทกรรมเรื่อง "ขายชาติ" ถูกนำมาปลุกระดมโดยกลุ่มชาตินิยมและพรรคภูมิใจไทย เพื่อโจมตีความพยายามในการเจรจาของรัฐบาลชุดก่อนหน้า (รัฐบาลแพทองธาร) โดยกล่าวหาว่า MOU 44 ทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา
3.2 ธันวาคมทมิฬ: ปฏิบัติการศตวรรษและเสียงเพรียกแห่งความตาย
สถานการณ์ความขัดแย้งทวีความรุนแรงถึงขีดสุดในเดือนธันวาคม 2568 เมื่อกองทัพไทยเปิด "ปฏิบัติการศตวรรษ" (Operation Sattawat) ในวันที่ 10 ธันวาคม
ความสูญเสียจากสงครามครั้งนี้รุนแรงและน่าตระหนก ข้อมูลระบุว่ามีประชาชนต้องอพยพหนีตาย (Displaced Persons) มากถึง 134,707 คนในฝั่งกัมพูชา และกว่า 140,000 คนในฝั่งไทย
3.3 บทบาทของ 'กฤษณะ' ภายนอก: มหาอำนาจกับสงครามตัวแทน
ในมหาภารตะ พระกฤษณะมีบทบาทสำคัญในการชี้แนะและกำหนดทิศทางของสงคราม ในสมรภูมิไทย-กัมพูชา มหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนก็ได้เข้ามามีบทบาทในลักษณะคล้ายคลึงกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้พยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยและกดดันให้เกิดการหยุดยิง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนายอนุทินได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อการแทรกแซงจากภายนอก โดยประกาศว่าไทยจะไม่ยอมถูกกดดันจากมหาอำนาจหรืออาเซียน
4. ยุทธศาสตร์และอาวุธ: ความแตกต่างระหว่างสองขั้ว
4.1 ฝ่ายขวาคลั่งสงคราม: "ศรพรหมมาสตร์" แห่งแสนยานุภาพ
ฝ่ายเการพภายใต้การนำของนายอนุทินและกองทัพ ยึดถือปรัชญา "อำนาจคือธรรม" (Might is Right) นโยบายหาเสียงของพวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างขีดความสามารถทางการทหาร (Militarization) เพื่อป้องปรามศัตรู แผนยุทธศาสตร์การปรับปรุงกองทัพ (Modernisation Plan: Vision 2026) ถูกนำมาเร่งรัดดำเนินการ
| ยุทธศาสตร์/นโยบาย | รายละเอียดและนัยยะสำคัญ |
| การจัดหาอาวุธใหม่ | เร่งจัดซื้อโดรนโจมตี (Loitering Munitions), เครื่องบินรบ, และระบบป้องกันภัยทางอากาศ |
| กฎการปะทะ (ROE) ที่ดุดัน | ให้อำนาจผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนในการตัดสินใจใช้อาวุธตอบโต้ทันทีหากมีภัยคุกคาม และอนุญาตให้ทำลายโดรนที่รุกล้ำน่านฟ้าได้ |
| การเกณฑ์ทหาร | ยืนยันความจำเป็นของการเกณฑ์ทหารเพื่อรักษา "กำลังสำรอง" ไว้สำหรับสภาวะสงคราม ต่อต้านข้อเสนอการยกเลิกเกณฑ์ทหารของฝ่ายตรงข้าม |
| ชาตินิยมเข้มข้น | ใช้สโลแกนรณรงค์ที่เน้นการปกป้องอธิปไตย ไม่เสียดินแดน และพร้อมรบเพื่อชาติ |
การใช้วาทกรรมสงครามและภาพลักษณ์ของผู้นำที่เด็ดขาด ทำให้นายอนุทินสามารถครองพื้นที่สื่อและจิตใจของประชาชนที่กำลังหวาดกลัวภัยสงครามได้ เขาพยายามสร้างภาพจำว่า "ถ้าเลือกความสงบ (แบบยอมจำนน) จะสิ้นชาติ แต่ถ้าเลือกภูมิใจไทย จะได้ศักดิ์ศรีและชัยชนะ"
4.2 ฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี: "จักรกลอัจฉริยะ" แห่งการสร้างสรรค์
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายปาณฑพนำโดย ดร.ยศชนัน และพรรคเพื่อไทย ได้เสนอยุทธศาสตร์ที่เปรียบเสมือนการใช้ "ปัญญา" เหนือ "กำลัง" (Mind over Matter) พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงกับดักของวาทกรรมสงครามด้วยการนำเสนอ "สงครามรูปแบบใหม่" ที่ต่อสู้กับความยากจนและความล้าหลัง แทนที่จะสู้กับเพื่อนบ้าน นโยบายหลักของฝ่ายนี้ประกอบด้วย:
| ยุทธศาสตร์/นโยบาย | รายละเอียดและนัยยะสำคัญ |
| ปฏิรูปกองทัพด้วยเทคโนโลยี | เสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ (Voluntary System) และใช้เทคโนโลยีโดรนและระบบอัตโนมัติทดแทนกำลังพลมนุษย์ |
| เทคโนโลยีชีวภาพและการแพทย์ | ชูจุดเด่นของ ดร.ยศชนัน ด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์และ BCI เพื่อผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub) และเศรษฐกิจมูลค่าสูง |
| เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) | ใช้เทคโนโลยี IoT, โดรนเพื่อการเกษตร, และ AI ในการบริหารจัดการน้ำและพืชผล |
| การทูตเพื่อเศรษฐกิจ | เน้นการเจรจาและการค้าชายแดนมากกว่าการเผชิญหน้าทางทหาร โดยมองว่าความมั่งคั่งร่วมกัน (Shared Prosperity) คือหลักประกันความมั่นคงที่แท้จริง |
ปรัชญาของฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยีสอดคล้องกับแนวคิด "Post-Heroic Warfare" หรือสงครามยุคหลังวีรบุรุษ
5. บทวิเคราะห์เจาะลึก: ธรรมะ, อธรรม, และเทคโนโลยี (Insights & Implications)
5.1 จากสมรภูมิสู่คูหา: การช่วงชิงความหมายของ "ความรักชาติ"
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการปะทะกันของนิยาม "ความรักชาติ" (Patriotism) สองแบบ ฝ่ายขวาคลั่งสงครามนิยามความรักชาติผ่าน "เลือดเนื้อและเขตแดน" (Blood and Soil) การเสียสละชีพเพื่อรักษาแผ่นดินถือเป็นเกียรติสูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับจริยธรรมนักรบ (Warrior Ethos) ในมหาภารตะ
ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ การใช้เทคโนโลยี "โดรน" (Drones) กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนความขัดแย้งนี้ได้อย่างชัดเจน สำหรับฝ่ายทหาร โดรนคือ "เพชฌฆาตเวหา" ที่ใช้สังหารศัตรู
5.2 BCI และปรัชญาการเชื่อมต่อ: นัยยะทางการเมืองของ 'ดร.เชน'
ความเชี่ยวชาญของ ดร.ยศชนัน ในด้าน Brain-Computer Interface (BCI)
หากเปรียบเทียบกับมหาภารตะ ดร.ยศชนัน เปรียบเสมือนผู้มี "ทิพยจักษุ" (Divya Drishti) ที่มองเห็นโลกในมิติที่เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว การนำเสนอผู้นำที่มีวิสัยทัศน์เช่นนี้อาจเป็นการส่งสารว่า ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาอาจแก้ไม่ได้ด้วยปืนใหญ่ แต่ด้วยการ "เชื่อมต่อ" ทางความคิดและผลประโยชน์ หากพรรคเพื่อไทยสามารถสื่อสารประเด็นนี้ให้จับใจคนรุ่นใหม่ได้ พวกเขาอาจเปลี่ยนสนามรบให้เป็นเวทีแห่งนวัตกรรมได้สำเร็จ
5.3 กับดักของฝ่ายปาณฑพ: เงาอดีตของ 'ทักษิณ' และข้อจำกัดทางศีลธรรม
แม้ฝ่ายปัญญาชนจะมีข้อเสนอที่ดูดี แต่พวกเขาก็มีจุดอ่อนสำคัญที่เปรียบเสมือน "คำสาป" ของตระกูลปาณฑพ นั่นคือ "เงาของทักษิณ ชินวัตร" การที่ ดร.ยศชนัน เป็นหลานชายของทักษิณ
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลในอดีตของพรรคเพื่อไทย (แพทองธาร) ถูกโจมตีเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับสมเด็จฮุนเซน
6. บทสรุปและฉากทัศน์อนาคต: หลังสิ้นสุดสงครามกุรุเกษตร
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 มาถึง และฝุ่นควันแห่งการรณรงค์หาเสียงจางหายไป ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความเป็นจริงใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ:
6.1 ฉากทัศน์ที่ 1: ชัยชนะของฝ่ายขวาคลั่งสงคราม (The Kaurava Victory)
หากพรรคภูมิใจไทยและฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้รับชัยชนะ ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ยุค "รัฐความมั่นคงเข้มข้น" (Securitized State) งบประมาณมหาศาลจะถูกทุ่มลงไปกับกองทัพและการจัดซื้ออาวุธ ความขัดแย้งชายแดนอาจถูกเลี้ยงไข้ (Frozen Conflict) เพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมือง ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านจะตึงเครียด และไทยอาจถูกโดดเดี่ยวจากเวทีประชาคมโลกหากยังคงดื้อดึงต่อต้านมติอาเซียนและสหประชาชาติ
6.2 ฉากทัศน์ที่ 2: ชัยชนะของฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี (The Pandava Victory)
หากพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรสามารถพลิกชนะได้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายแบบ "หักศอก" จะเกิดขึ้น การเจรจาสันติภาพจะถูกรื้อฟื้นทันที นโยบาย BCI และ Smart Farming จะถูกผลักดันให้เป็นเรือธงทางเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่จะต้องเผชิญกับแรงต้านทานอย่างรุนแรงจากกองทัพและกลุ่มอำนาจเก่า (Deep State) ที่ยังคงมีอิทธิพลและอาจไม่ยอมรับการลดบทบาท ความเสี่ยงของการรัฐประหารหรือการต่อต้านนอกสภาจะยังคงวนเวียนอยู่ดั่งวิญญาณร้ายที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด
6.3 บทส่งท้าย: ธรรมะย่อมชนะอธรรม?
ในมหากาพย์มหาภารตะ สงครามจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายปาณฑพ แต่เป็นชัยชนะบนกองซากศพและความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินค่า สำหรับการเลือกตั้งไทยปี 2569 บทเรียนสำคัญที่พึงตระหนักคือ ไม่ว่าฝ่าย "ขวาคลั่งสงคราม" หรือ "ปัญญาชนเทคโนโลยี" จะชนะ ผู้ที่ต้องแบกรับราคาค่างวดของสงครามครั้งนี้คือประชาชนคนไทยทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่ต้องหนีตายจากกระสุนปืนใหญ่ เกษตรกรที่รอคอยเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มผลผลิต หรือคนรุ่นใหม่ที่ฝันถึงอนาคตที่ไร้การเกณฑ์ทหาร ทุกคนต่างเป็นตัวละครในมหากาพย์เรื่องนี้ และผลลัพธ์ของการเลือกตั้งจะเป็นตัวกำหนดว่า "ธรรม" (Dharma) ของแผ่นดินไทยจะถูกจารึกไว้ในรูปแบบใด—ในฐานะดินแดนแห่งนักรบผู้เกรียงไกร หรือดินแดนแห่งปัญญาชนผู้สร้างสรรค์
ตารางเปรียบเทียบยุทธศาสตร์และนโยบายคู่ขัดแย้ง
| มิติการเปรียบเทียบ | ฝ่ายขวาคลั่งสงคราม (War-mongering Right) | ฝ่ายปัญญาชนเทคโนโลยี (Technocratic Intellectuals) |
| ตัวละครเปรียบเทียบ | ทุรโยชน์ (Duryodhana): อนุทิน ชาญวีรกูล | อรชุน (Arjuna): รศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ |
| พรรคการเมือง | พรรคภูมิใจไทย (The Blue Party) | พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai) |
| ฐานสนับสนุนหลัก | กองทัพ, บ้านใหญ่, อนุรักษ์นิยม, กลุ่มชาตินิยม | ปัญญาชน, ชนชั้นกลาง, เกษตรกร, กลุ่มเทคโนโลยี |
| นโยบายความมั่นคง | เสริมสร้างกองทัพ (Modernisation 2026), กฎการปะทะที่เด็ดขาด, คงการเกณฑ์ทหาร | ปฏิรูปกองทัพ, ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, ใช้เทคโนโลยีทดแทนกำลังพล, เจรจาการทูต |
| นโยบายเศรษฐกิจ/เทคโนโลยี | เศรษฐกิจสงคราม, อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ, การพึ่งพาตนเอง | เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม, Smart Farming, Medical Hub, BCI |
| จุดยืนกรณีชายแดนกัมพูชา | แข็งกร้าว, ใช้กำลังทหาร, ไม่ยอมรับการแทรกแซงจากภายนอก | ประนีประนอม, เจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ (OCA), ใช้กลไกระหว่างประเทศ |
| วาทกรรมหลัก | "ปกป้องอธิปไตย", "ศักดิ์ศรีของชาติ", "ผู้นำเข้มแข็ง" | "กินดีอยู่ดี", "เทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิต", "อนาคตใหม่" |
| อาวุธสัญลักษณ์ | เครื่องบินรบ F-16, ปืนใหญ่, โดรนสังหาร | เทคโนโลยี BCI, โดรนการเกษตร, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) |
(หมายเหตุ: การวิเคราะห์และเปรียบเทียบในบทความนี้อ้างอิงจากข้อมูลสถานการณ์ทางการเมืองและเอกสารวิจัยที่ปรากฏในช่วงปี 2568-2569 เพื่อสะท้อนภาพพลวัตการแข่งขันทางการเมืองไทยในบริบทดังกล่าว)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น