วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ดร.นิยม เวชกามา แจงเหตุผลลงสมัคร สส.สกลนคร เขต 2 ในนามพรรคโอกาสใหม่ ชูโอกาสดูแลศาสนา–ประชาชน ท่ามกลางสมรภูมิเลือกตั้ง 2569


เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ดร.นิยม เวชกามา เปิดเผยถึงการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร เขต 2 ในนามพรรคโอกาสใหม่ว่า สาเหตุสำคัญมาจากความตั้งใจที่จะขอ “โอกาส” เข้าไปทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนาและพี่น้องประชาชนอย่างจริงจัง โดยเห็นว่านโยบายและแนวคิดของพรรคโอกาสใหม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาประเทศในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนการเลือกตั้งปี 2569 ได้อย่างเป็นรูปธรรม


ดร.นิยม ระบุว่า การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทการเมืองและเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ประเทศกำลังเผชิญภาวะ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง และความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งล้วนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องนำเสนอนโยบายที่ไม่ใช่เพียงวาทกรรม แต่ต้องแก้ปัญหาได้จริง

สำหรับพรรคโอกาสใหม่ ภายใต้การนำของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ หัวหน้าพรรค ได้วางจุดยืนเป็น “ทางเลือกที่สาม” ในสมรภูมิการเมือง โดยผสานประสบการณ์จากระบบราชการเข้ากับแนวคิดการบริหารสมัยใหม่ นิยามตนเองเป็น “คลังสมอง” ของประเทศ เน้นความเป็นมืออาชีพ การทำงานเชิงปฏิบัติ และการลดความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อ

นโยบายหลักของพรรคครอบคลุมตั้งแต่การฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก การสร้างอาชีพและโอกาสผ่านการท่องเที่ยวชุมชนและภาคบริการ การเตรียมความพร้อมสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ AI ไปจนถึงนโยบายเรือธง “แช่แข็งหนี้” เพื่อหยุดวงจรปัญหาหนี้ครัวเรือน เปิดโอกาสให้ประชาชนตั้งหลักชีวิตใหม่ ควบคู่กับการผลักดันรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า โดยเฉพาะสำหรับประชาชนนอกระบบราชการ

นอกจากนี้ พรรคโอกาสใหม่ยังให้ความสำคัญกับการปกป้องสถาบันหลักของชาติ การรับมือปัญหา “โลกเดือด” และภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ รวมถึงการปฏิรูปการศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน เพื่อให้เยาวชน “เรียนจบแล้วมีงานทำ” อย่างแท้จริง


ดร.นิยม กล่าวทิ้งท้ายว่า การลงสมัคร สส.ครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งหวังตำแหน่งหรืออำนาจ แต่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันแนวคิดและนโยบายที่สร้างความหวังใหม่ให้กับประเทศ พร้อมยืนยันว่า หากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวสกลนคร เขต 2 จะทำหน้าที่เป็นปากเสียงของประชาชน และยึดหลักการทำงานเพื่อศาสนา ชุมชน และอนาคตของประเทศเป็นสำคัญ


บทวิเคราะห์ทางวิชาการ: พลวัตทางการเมืองและนโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ของ "พรรคโอกาสใหม่" 

อ.1 อารัมภบท: ภูมิทัศน์การเมืองไทยก่อนการเลือกตั้ง 2569 (Arumpabot: The Pre-2026 Political Landscape)

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2569 นับเป็นเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทยอย่างยิ่งยวด 1 ช่วงเวลานี้มิใช่เพียงการเปลี่ยนผ่านตามวาระของระบอบประชาธิปไตยทางตัวแทน แต่เป็นการปะทะสังสรรค์ของคลื่นความเปลี่ยนแปลงหลายระลอกที่โถมกระหน่ำสังคมไทย ทั้งจากปัจจัยมหภาคทางเศรษฐกิจโลกและปัจจัยจุลภาคภายในโครงสร้างสังคมไทยเอง สภาวะความไม่แน่นอน (Uncertainty) ที่ปกคลุมบรรยากาศการเมืองไทยในปี 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของ "วิกฤตซ้อนวิกฤต" (Polycrisis) ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐและความกินดีอยู่ดีของประชาชน 3

ในทางเศรษฐศาสตร์มหภาค ข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 กำลังเผชิญกับสภาวะ "ม้าอ่อนแรง" ที่ต้องวิ่งฝ่าเครื่องกีดขวาง 5 การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีแนวโน้มชะลอตัวต่ำกว่าศักยภาพ โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจโตต่ำเพียง 1.5% ซึ่งถือเป็นระดับที่น่ากังวลที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ 6 ปัจจัยกดดันมิได้มีเพียงการชะลอตัวของการส่งออกและกำลังซื้อภายในประเทศที่หดหาย แต่ยังรวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นจนกลายเป็น "แผลเป็นทางเศรษฐกิจ" ที่เรื้อรัง 7 สถานการณ์ดังกล่าวสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อพรรคการเมืองทุกพรรคในการนำเสนอนโยบายที่สามารถ "กู้ชีพ" เศรษฐกิจและสร้างความหวังใหม่ให้กับประชาชนได้

ในบริบททางการเมือง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ โดยมีตัวละครหลักอย่างพรรคประชาชน (People's Party) ที่สืบทอดอุดมการณ์มาจากพรรคก้าวไกลเดิม ซึ่งครองความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางในเมือง 1, พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai) ที่พยายามรักษาสถานะแกนนำรัฐบาลด้วยนโยบายประชานิยมทางเศรษฐกิจ, และพรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai) ที่สร้างฐานเสียงเข้มแข็งในระดับท้องถิ่น 1 ท่ามกลางสมรภูมินี้ "พรรคโอกาสใหม่" (New Opportunity Party) ภายใต้การนำของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ได้ถือกำเนิดขึ้นและประกาศตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้งด้วยยุทธศาสตร์ที่แตกต่าง โดยพยายามวางตำแหน่งเป็น "ทางเลือกที่สาม" ที่ผสมผสานความเชี่ยวชาญของระบบราชการเข้ากับวิสัยทัศน์ใหม่ 8

บทความวิชาการฉบับนี้มุ่งทำการวิเคราะห์เจาะลึกถึงนโยบาย ยุทธศาสตร์ และศักยภาพของพรรคโอกาสใหม่ โดยใช้กรอบการวิเคราะห์เชิงคุณภาพผ่านคำสำคัญที่ขึ้นต้นด้วยอักษร "อ." (Or Ang) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางภาษาที่สะท้อนถึงแก่นแกนของปัญหาและทางออกที่พรรคได้นำเสนอ เพื่อให้เห็นภาพที่ครบถ้วนรอบด้านทั้งในมิติรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์การเมือง และสังคมวิทยา


อ.2 อัตลักษณ์: จาก "ข้าราชการ" สู่ "คลังสมอง" (Attaluck: From Bureaucracy to Brain Bank)

การวิเคราะห์พรรคโอกาสใหม่จำต้องเริ่มต้นที่การถอดรหัส "อัตลักษณ์" (Identity) ของพรรค ซึ่งผูกติดอย่างแน่นหนากับตัวตนของผู้นำพรรคและกลุ่มผู้ก่อตั้ง นายจตุพร บุรุษพัฒน์ หัวหน้าพรรค มิใช่นักการเมืองหน้าใหม่ในความหมายของการไร้ประสบการณ์ แต่เป็นบุคคลที่เติบโตมาจากจุดสูงสุดของระบบราชการไทย ในฐานะอดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 8

2.1 การประกอบสร้างภาพลักษณ์ "มืออาชีพ" (Professionalism Construction)

อัตลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของพรรคคือการเป็นพรรคของ "นักปฏิบัติ" หรือ "Technocrat" ที่ผันตัวมาทำงานการเมือง นายจตุพรพยายามอย่างยิ่งที่จะสลัดภาพลักษณ์เดิมๆ ของพรรคที่ก่อตั้งโดยอดีตข้าราชการ ซึ่งมักถูกสังคมมองว่าเป็น "สุสานข้าราชการ" (Graveyard for retired officials) หรือพื้นที่สำหรับข้าราชการเกษียณที่ยังโหยหาอำนาจ 12

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ พรรคได้ใช้วาทกรรมทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือการนิยามตนเองว่าเป็น "คลังสมอง" (Brain Bank) 12 คำนี้มีนัยสำคัญทางจิตวิทยาการเมือง (Political Psychology) อย่างมาก

  1. ความน่าเชื่อถือ (Credibility): สื่อสารถึงความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองหน้าใหม่หรือนักเคลื่อนไหวอาจขาดแคลน

  2. ความต่อเนื่อง (Continuity): สะท้อนความเข้าใจในกลไกของรัฐ (State Apparatus) ซึ่งจำเป็นต่อการผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงแค่การขายฝัน

  3. การลดทอนความเป็น "การเมือง": การใช้คำว่า "คลังสมอง" ช่วยลดภาพความขัดแย้งทางการเมืองแบบเดิมๆ และหันมาเน้นที่เนื้อหาและวิธีการแก้ปัญหา (Solution-oriented)

2.2 การผสานวัยและประสบการณ์ (Inter-generational Synergy)

แม้นายจตุพรจะเป็นตัวแทนของคนรุ่น Baby Boomer หรือ Gen X ตอนต้น แต่พรรคโอกาสใหม่ได้ประกาศชัดเจนว่าต้องการเป็นพื้นที่ของ "คนทุกเจเนอเรชัน" 9 นโยบายนี้สะท้อนความตระหนักรู้ถึงปัญหาช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) ที่ร้าวลึกในสังคมไทย การดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานร่วมกับอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไม่เพียงแต่ช่วยลบภาพความล้าสมัย แต่ยังเป็นการสร้าง "อัตลักษณ์ผสมผสาน" (Hybrid Identity) ที่พยายามดึงจุดแข็งของสองขั้วมาใช้ร่วมกัน คือ "ประสบการณ์" ของคนเก่า และ "ความคิดสร้างสรรค์/เทคโนโลยี" ของคนใหม่ 9


อ.3 อุดมการณ์: ปฏิบัติกายนิยมบนฐานอนุรักษ์นิยมใหม่ (Udomkarn: Pragmatism on Neo-Conservative Base)

ในมิติของอุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) พรรคโอกาสใหม่วางตำแหน่งตนเองไว้อย่างน่าสนใจ โดยไม่ได้ยึดติดกับขั้วซ้าย (Liberal/Progressive) หรือขวา (Conservative) แบบสุดโต่ง แต่เลือกที่จะเดินในเส้นทางของ "ปฏิบัติกายนิยม" (Pragmatism) หรือการเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

3.1 จาก "ถ้า" เป็น "ทำ" (From If to Do)

หัวใจของอุดมการณ์พรรคถูกสรุปผ่านสโลแกน "เปลี่ยนคำว่าถ้า เป็นคำว่าทำ" และ "เปลี่ยนวาทกรรมเป็นวาระงาน" 10 สิ่งนี้สะท้อนถึงความพยายามที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์ที่ครอบงำการเมืองไทยมานานกว่า 20 ปี พรรคพยายามสื่อสารว่า ประชาชนต้องการ "ผลงาน" มากกว่า "วาทศิลป์" และต้องการ "ทางออก" มากกว่า "การเผชิญหน้า" แนวทางนี้สอดคล้องกับกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เบื่อหน่ายความขัดแย้ง (Conflict-weary voters) และต้องการเห็นประเทศเดินหน้าต่อไปได้

3.2 จุดยืนต่อสถาบันหลัก (Stance on Key Institutions)

อย่างไรก็ตาม ความเป็น "ปฏิบัติกายนิยม" ของพรรคไม่ได้หมายความว่าไร้จุดยืนทางคุณค่า พรรคโอกาสใหม่ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนและแข็งกร้าวในเรื่องการ "ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" 10 พรรคระบุว่าจะไม่ร่วมงานกับพรรคการเมืองใดที่มีนโยบายล่วงเกินหรือกระทบต่อสถาบันฯ 12

จุดยืนนี้จัดวางพรรคโอกาสใหม่ให้อยู่ในกลุ่ม "อนุรักษ์นิยมใหม่" (Neo-Conservative) กล่าวคือ เป็นกลุ่มที่ต้องการรักษาโครงสร้างจารีตประเพณีหลักของสังคมไทยไว้ (Traditional Institutions) แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับความจำเป็นในการปฏิรูปการบริหารจัดการและระบบเศรษฐกิจให้ทันสมัย (Modernization) การวางตำแหน่งเช่นนี้มีเป้าหมายเพื่อดึงดูดฐานเสียงกลุ่ม Royalist และกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ไม่พอใจกับความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลทหารในอดีต แต่ก็ยังไม่ไว้วางใจพรรคที่มีแนวคิดก้าวหน้าจัดอย่างพรรคประชาชน


อ.4 อาชีพและโอกาส: เศรษฐกิจฐานรากและการฟื้นฟู (Acheep & Okat: Grassroots Economy and Revitalization)

ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจปี 2569 ที่เปราะบาง 5 นโยบายเศรษฐกิจของพรรคโอกาสใหม่มุ่งเน้นไปที่การสร้าง "อาชีพ" และการมอบ "โอกาส" ให้กับคนตัวเล็กตัวน้อย โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

4.1 การฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและบริการ (Service-Led Growth)

พรรคโอกาสใหม่มองเห็นว่าเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวเดียวที่ไทยยังมีความได้เปรียบคือ "การท่องเที่ยว" และ "ภาคบริการ" โดยนายจตุพรเน้นย้ำถึงการใช้จุดแข็งเรื่อง "Service Mind" ของคนไทยมาเป็นกลไกหลักในการดึงดูดเม็ดเงิน 10 แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) แต่ก็มีความเสี่ยงในการพึ่งพาอุตสาหกรรมเดียว (Single-engine Economy) มากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อโลกเผชิญกับโรคระบาดหรือวิกฤตความมั่นคง

เปรียบเทียบกับคู่แข่ง:

  • พรรคภูมิใจไทย: เสนอนโยบาย "เศรษฐกิจ 10+" ที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) 13

  • พรรคเพื่อไทย: เน้นการกระตุ้น GDP ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตและการเพิ่มรายได้เกษตรกร "มีกิน มีใช้" 13

  • พรรคโอกาสใหม่: เน้น "Service Mind" และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งอาจดูเป็นรูปธรรมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีนโยบายแจกเงินหรือโครงการขนาดใหญ่ แต่มีความยั่งยืนในแง่ของการพัฒนาทักษะมนุษย์ (Human Capital)

4.2 เศรษฐกิจดิจิทัลและ AI (Digital Economy & AI)

พรรคตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกเข้าสู่ยุค AI 9 นโยบายเศรษฐกิจของพรรคจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่เกษตรและท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม แต่รวมถึงการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล นายจตุพรชี้ว่าไทยยังขาดนโยบายที่ชัดเจนในการเตรียมคน (Reskilling/Upskilling) เพื่อรองรับ AI ซึ่งพรรคโอกาสใหม่เสนอตัวเข้ามาปิดช่องว่างนี้ เพื่อไม่ให้คนไทยตกขบวนรถไฟสายเทคโนโลยี


อ.5 ออมและหนี้สิน: ยุทธศาสตร์ "แช่แข็งหนี้" (Om & Nee Sin: The Debt Freeze Strategy)

หนึ่งในนโยบายที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดและถือเป็น "เรือธง" (Flagship Policy) ของพรรคโอกาสใหม่ คือนโยบาย "หยุดและแช่แข็งปัญหาหนี้" (Debt Freeze) 10

5.1 การวิเคราะห์เชิงนโยบาย: แช่แข็ง vs พักชำระ

ในบริบทปี 2569 หนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับวิกฤต นโยบายแก้หนี้จึงเป็นสินค้าทางการเมืองที่ทุกพรรคต้องมี

  • พรรคเพื่อไทย: เสนอ "พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น หยุดดอก" สำหรับหนี้เสีย (NPL) 14

  • พรรคประชาธิปัตย์: เน้นการลดหนี้สินผ่านการปรับโครงสร้าง 13

  • พรรคโอกาสใหม่: ใช้คำว่า "แช่แข็ง" (Freeze) ซึ่งสื่อความหมายที่รุนแรงและเบ็ดเสร็จกว่าการ "พักชำระ" (Suspension)

การแช่แข็งหนี้ในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึงการหยุดสถานะของหนี้ไว้ชั่วคราวอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ลูกหนี้มีเวลาหายใจและตั้งหลัก โดยไม่มีภาระดอกเบี้ยเดินต่อ ข้อเสนอนี้มีความท้าทายอย่างยิ่งในทางปฏิบัติ

  1. วินัยทางการเงิน (Moral Hazard): งานวิจัยจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ชี้ว่านโยบายพักหนี้ในอดีต (เช่น พักหนี้เกษตรกร) มักล้มเหลวเพราะ "ยิ่งพัก หนี้ยิ่งเพิ่ม" ลูกหนี้เสียวินัยทางการเงิน และเมื่อสิ้นสุดโครงการ หนี้กลับพอกพูนกว่าเดิม 15

  2. ผลกระทบต่อสถาบันการเงิน: การแช่แข็งหนี้อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและกำไรของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) หากรัฐบาลไม่มีงบประมาณมาชดเชยที่เพียงพอ 7

อย่างไรก็ตาม ในทางการเมือง นโยบายนี้มีพลังดึงดูดสูงมากสำหรับชนชั้นกลางและล่างที่กำลังจมกองหนี้ พรรคโอกาสใหม่พยายามนำเสนอว่านี่คือ "จุดเริ่มต้น" (First Step) ของการแก้ปัญหา ก่อนที่จะตามมาด้วยมาตรการสร้างรายได้


อ.6 เอื้ออาทร: รัฐสวัสดิการถ้วนหน้า (Eua-atorn: Universal Welfare State)

คำว่า "โอกาส" ของพรรคโอกาสใหม่ ไม่ได้หมายถึงเพียงโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่รวมถึง "โอกาสในการมีชีวิตที่มั่นคง" ผ่านระบบรัฐสวัสดิการ

6.1 สวัสดิการ "ตั้งแต่เกิดจนตาย" (Cradle to Grave)

นายจตุพรประกาศวิสัยทัศน์รัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมประชาชนทุกคน "ที่ไม่ใช่บุคลากรภาครัฐ" 10

  • นัยแห่งความเหลื่อมล้ำ: ประเทศไทยมีระบบสวัสดิการแบบ "สองมาตรฐาน" (Dual Track) มายาวนาน คือระบบข้าราชการ (Civil Servant Scheme) ที่มีความมั่นคงสูงและใช้งบประมาณมหาศาล กับระบบสำหรับประชาชนทั่วไป (เช่น ประกันสังคม, บัตรทอง) ที่สิทธิประโยชน์น้อยกว่า 17 การที่อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อย่างนายจตุพรลุกขึ้นมาเรียกร้องสวัสดิการให้ "คนนอกภาครัฐ" ถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่ทรงพลัง (Symbolic Move) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

  • การรวมกองทุน: พรรคเสนอแนวคิดการบูรณาการกองทุนสวัสดิการต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและทั่วถึง 12

6.2 ความเป็นไปได้ทางการคลัง (Fiscal Feasibility)

ความท้าทายสำคัญของนโยบายนี้คือ "งบประมาณ" นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าการทำรัฐสวัสดิการแบบยุโรปเหนือ (Nordic Model) ในประเทศไทยเป็นเรื่องยาก เนื่องจากฐานภาษีของไทยต่ำมาก (Tax-to-GDP ratio ประมาณ 14-15% เทียบกับ 40%+ ในยุโรป) 18

  • พรรคประชาชน: เสนอการปฏิรูปภาษีและตัดงบกองทัพเพื่อมาโปะงบสวัสดิการ 19

  • พรรคโอกาสใหม่: ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนในเอกสารเผยแพร่ว่าจะหาแหล่งรายได้ใหม่จากที่ใด หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างภาษี นโยบายนี้อาจเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการคลัง (Fiscal Stability) ในระยะยาว หรือเป็นเพียงนโยบายประชานิยมที่ไม่สามารถทำได้จริง


อ.7 อากาศและอุบัติภัย: รับมือ "โลกเดือด" (Akat & Ubatiphai: Combating Global Boiling)

จุดเด่นที่ทำให้พรรคโอกาสใหม่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นอย่างชัดเจน คือการให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมในระดับ "วิกฤตการณ์" โดยใช้คำว่า "โลกเดือด" (Global Boiling) แทนคำว่าโลกร้อน เพื่อสื่อถึงความเร่งด่วน 12

7.1 จากการเยียวยาสู่การพยากรณ์ (From Relief to Forecast)

ด้วยประสบการณ์ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ นายจตุพรเสนอนโยบายการจัดการภัยพิบัติที่เน้น "เชิงรุก" (Proactive)

  • ระบบเตือนภัยและอพยพ: พรรคเน้นการใช้เทคโนโลยีในการพยากรณ์ภัยพิบัติล่วงหน้า และมีแผนการอพยพประชาชนที่ชัดเจน 12 ซึ่งแตกต่างจากวิธีคิดแบบราชการเดิมที่มักเน้นการแจกถุงยังชีพและการเยียวยาหลังเกิดเหตุ

  • PM2.5 และสิ่งแวดล้อม: ในปี 2569 ปัญหามลพิษทางอากาศคาดว่าจะยังคงรุนแรง 3 การมีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน อาจช่วยดึงคะแนนเสียงจากคนเมืองและชนชั้นกลางที่ใส่ใจสุขภาพ (Health-conscious voters)


อ.8 อัจฉริยะและอนาคต: การปฏิรูปการศึกษาและเทคโนโลยี (Atchariya & Anakot: Education and Tech Reform)

เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต พรรคโอกาสใหม่เสนอนโยบายการปฏิรูปการศึกษาที่เชื่อมโยงกับตลาดแรงงาน

8.1 การศึกษาเพื่อการมีงานทำ (Education for Employment)

พรรควิพากษ์ระบบการศึกษาปัจจุบันว่าผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการของตลาด นโยบายของพรรคจึงเน้นการปรับหลักสูตรให้ทันสมัยและเชื่อมโยงกับเทคโนโลยี เพื่อให้ "เรียนจบแล้วมีงานทำ" 12

  • เปรียบเทียบกับพรรคประชาชน: พรรคประชาชนเสนอ "แพลตฟอร์มการเรียนรู้แห่งชาติ" และคูปองการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและการสะสมหน่วยกิตที่ยืดหยุ่น 20

  • พรรคโอกาสใหม่: เน้นมิติของ "อาชีพ" และ "การปิดช่องว่างโอกาส" ซึ่งอาจดึงดูดกลุ่มผู้ปกครองที่กังวลเรื่องอนาคตของบุตรหลาน


อ.9 อิทธิพลและคู่แข่ง: สมรภูมิการเลือกตั้ง 2569 (Itthipon & Khu-khaeng: The 2026 Election Battlefield)

การประเมินศักยภาพของพรรคโอกาสใหม่จำต้องกระทำผ่านการเปรียบเทียบกับ "ยักษ์ใหญ่" ในสนามเลือกตั้ง 2569

ตารางเปรียบเทียบยุทธศาสตร์และนโยบายหลัก:

มิติการวิเคราะห์ (Dimension)พรรคโอกาสใหม่ (อ.)พรรคประชาชน (ปชน.)พรรคเพื่อไทย (พท.)พรรคภูมิใจไทย (ภท.)
ผู้นำ (Leader)จตุพร บุรุษพัฒน์ (ข้าราชการ/นักบริหาร)ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (เทคโนแครต/คนรุ่นใหม่)แพทองธาร ชินวัตร (ทายาทการเมือง)อนุทิน ชาญวีรกูล (นักปฏิบัติ/การเมืองท้องถิ่น)
ฐานเสียงหลัก (Base)อนุรักษ์นิยมใหม่, ข้าราชการ, สวิงโหวตเตอร์คนรุ่นใหม่, ชนชั้นกลางเมือง, ปัญญาชนรากหญ้า, อีสาน/เหนือ, คนเสื้อแดงบ้านใหญ่, ท้องถิ่น, อสม.
นโยบายเศรษฐกิจแช่แข็งหนี้, คลังสมอง, Service Mind

หวยใบเสร็จ, ทลายทุนผูกขาด, SME 19

พักหนี้ 3 ปี, Digital Wallet, เพิ่ม GDP 14

เศรษฐกิจ 10+, คนละครึ่ง+, บัตรสวัสดิการพลัส 13

นโยบายสังคม/สวัสดิการรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า (คนนอกภาครัฐ)ปฏิรูประบบ, สวัสดิการเด็ก-ผู้สูงอายุ30 บาทรักษาทุกที่, ยาเสพติดอสม.พลัส, กองทุนประกันชีวิต 60+
จุดยืนทางการเมืองปกป้องสถาบัน, ข้ามขัดแย้งแก้ รธน. ทั้งฉบับ, ปฏิรูปกองทัพ/ศาลประนีประนอม, เน้นเศรษฐกิจปกป้องสถาบัน, เน้นเสถียรภาพ
เป้าหมายเลือกตั้ง25 ที่นั่ง (เสนอชื่อนายกฯ)เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (อันดับ 1)รักษาความเป็นรัฐบาลเป็นแกนนำ/ตัวแปรสำคัญ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์:

  • พรรคประชาชน: มีจุดแข็งที่ความชัดเจนและอุดมการณ์ แต่จุดอ่อนคือความขัดแย้งกับสถาบันและชนชั้นนำ ซึ่งพรรคโอกาสใหม่ใช้เป็นช่องว่างในการแทรกตัวด้วยนโยบายที่คล้ายกัน (สวัสดิการ, แก้เหลื่อมล้ำ) แต่ประนีประนอมกว่า

  • พรรคภูมิใจไทย: เน้นนโยบาย "แจกแหลก" (Populism on steroids) เช่น คนละครึ่งพลัส ซึ่งพรรคโอกาสใหม่ยากจะแข่งขันด้วยทรัพยากร แต่สามารถสู้ด้วยภาพลักษณ์ "ความซื่อสัตย์" และ "หลักการบริหาร"

  • พรรคโอกาสใหม่: ตั้งเป้าเพียง 25 ที่นั่ง 12 เพื่อเป็น "ตัวแปร" (Kingmaker) หรือพรรคร่วมรัฐบาลที่มีอำนาจต่อรองสูง ยุทธศาสตร์นี้ถือว่า "สมเหตุสมผล" (Realistic) สำหรับพรรคตั้งใหม่ที่ไม่มีฐานเสียงจัดตั้งแบบบ้านใหญ่


อ.10 อุปสรรคและอันตราย: ความท้าทายที่รออยู่ (Upasak & Antarai: Risks and Challenges)

แม้จะมีวิสัยทัศน์ที่ดูดี แต่พรรคโอกาสใหม่ต้องเผชิญกับ "อุปสรรค" สำคัญหลายประการ

  1. การจดจำแบรนด์ (Brand Recognition): ในสนามที่มีพรรคใหญ่ครองพื้นที่สื่อ การสร้างชื่อ "โอกาสใหม่" ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างภายในเวลาจำกัดเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อไม่มีทรัพยากรทางการเงินมหาศาลเท่าคู่แข่ง

  2. ความน่าเชื่อถือของนโยบาย (Policy Credibility): นโยบายอย่าง "แช่แข็งหนี้" และ "รัฐสวัสดิการ" อาจถูกตั้งคำถามเรื่องวินัยการคลัง และถูกโจมตีว่าเป็นเพียง "เหล้าเก่าในขวดใหม่" ของประชานิยม

  3. กับดัก "พรรคสำรอง" (Proxy Party Trap): มีข่าวลือและการคาดเดาว่าพรรคโอกาสใหม่อาจเป็น "พรรคนอมินี" หรือพรรคสาขาของกลุ่มอำนาจบางกลุ่ม 11 ข่าวลือเหล่านี้อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือในสายตาของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง


อ.11 อวสาน: บทสรุปแห่งโอกาส (Awasan: Conclusion on Opportunity)

จากการวิเคราะห์นโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ของพรรคโอกาสใหม่ ผ่านกรอบคิด "อ." พบว่า พรรคนี้มิได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่เป็นตัวแทนของ "การปรับตัวของชนชั้นนำภาครัฐ" (Bureaucratic Adaptation) ที่พยายามนำเสนอทางรอดใหม่ให้กับสังคมไทย ท่ามกลางวิกฤตความเชื่อมั่นต่อพรรคการเมืองกระแสหลัก

พรรคโอกาสใหม่พยายามผสาน "อัตลักษณ์" ความเป็นมืออาชีพ เข้ากับ "อุดมการณ์" ปฏิบัติกายนิยม และนำเสนอ "โอกาส" ในการแก้ปัญหาปากท้องและหนี้สินด้วยวิธีคิดแบบบริหารจัดการ (Managerialism) จุดแข็งสำคัญคือการวางตำแหน่งเป็นทางสายกลางที่ปลอดภัย (Safe Middle Ground) สำหรับผู้ที่เบื่อหน่ายความขัดแย้งและต้องการเห็นผลงาน

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของพรรคขึ้นอยู่กับความสามารถในการแปลง "วาระงาน" ให้เป็นคะแนนเสียง และการพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่า "คลังสมอง" ของพรรคมีคำตอบที่ใช้งานได้จริงสำหรับวิกฤตเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่กำลังคุกคามประเทศ หากทำได้ พรรคโอกาสใหม่อาจไม่ใช่เพียงผู้เล่นข้างสนาม แต่จะเป็น "อ." (องค์ประกอบ) สำคัญที่กำหนดโฉมหน้าของรัฐบาลไทยหลังปี 2569

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ดร.นิยม เวชกามา แจงเหตุผลลงสมัคร สส.สกลนคร เขต 2 ในนามพรรคโอกาสใหม่ ชูโอกาสดูแลศาสนา–ประชาชน ท่ามกลางสมรภูมิเลือกตั้ง 2569

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ดร.นิยม เวชกามา เปิดเผยถึงการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร เขต 2 ในนามพรรคโอกาสใ...