การวิเคราะห์ยุทธศาสตร์และนโยบายหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปปี 2569: พลวัตทางการเมืองภายใต้บริบทการพัฒนาที่ยั่งยืนและความท้าทายเชิงโครงสร้าง
บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยและกับดักการพัฒนาในทศวรรษแห่งความผันผวน
การเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2569 (2026) ถือเป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย ที่มิใช่เพียงการเปลี่ยนผ่านอำนาจบริหารตามวาระ แต่เป็นการปะทะสังสรรค์ระหว่างวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในการพาประเทศไทยออกจาก "กับดักซ้อนกับดัก" (Multiple Traps) ทั้งกับดักรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ำ และวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น บริบททางการเมืองในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จากการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลสู่ยุคของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ
รายงานฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองหลัก ได้แก่ พรรคประชาชน (People's Party), พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai Party), พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai Party), พรรครวมไทยสร้างชาติ (United Thai Nation Party) และพรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party) โดยใช้กรอบแนวคิด การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) เป็นฐานในการประเมิน ซึ่งครอบคลุม 3 มิติหลัก ได้แก่ ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ (Economic Sustainability) ความยั่งยืนทางสังคม (Social Sustainability) และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) รวมถึงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางการคลัง (Fiscal Feasibility) เพื่อตอบคำถามสำคัญว่านโยบายเหล่านี้จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืนหรือเป็นเพียงวาทกรรมประชานิยมที่สร้างภาระในอนาคต
1. บริบทมหภาค: เศรษฐกิจถดถอยและภูมิรัฐศาสตร์ใหม่
ก่อนที่จะเจาะลึกถึงรายละเอียดนโยบาย จำเป็นต้องทำความเข้าใจบริบทแวดล้อมที่เป็น "ตัวแปรบังคับ" (Constraints) ให้กับทุกพรรคการเมือง
1.1 ภาวะ "คนป่วยแห่งเอเชีย" และข้อจำกัดทางการคลัง
เศรษฐกิจไทยในปี 2569 เผชิญกับสภาวะ Stagnation หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเรื้อรัง การคาดการณ์ GDP ที่ 1.5%
ปัจจัยภายนอก: สงครามการค้าและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงสงครามและควาไม่สงบในภูมิภาค
ปัจจัยภายใน: หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกดดันกำลังซื้อ การเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์แบบ (Aged Society) ที่ลดทอนกำลังแรงงาน และโครงสร้างการผลิตที่ล้าสมัย
4
สภาวะเช่นนี้ทำให้ "พื้นที่ทางการคลัง" (Fiscal Space) ของรัฐบาลใหม่มีจำกัดอย่างยิ่ง การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น หรือการปฏิรูประบบภาษี ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับพรรคการเมืองที่ต้องการคะแนนนิยม
1.2 วาระสีเขียว (Green Agenda) ในฐานะสมรภูมิใหม่
ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะฝุ่นพิษ PM2.5 ภัยแล้ง และน้ำท่วม ได้ยกระดับจากปัญหาคุณภาพชีวิตกลายเป็น "ภัยคุกคามความมั่นคงทางเศรษฐกิจ"
2. การวิเคราะห์นโยบายรายพรรค: วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์
2.1 พรรคประชาชน: การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี (Structure-First Approach)
พรรคประชาชน ภายใต้การนำของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ วางยุทธศาสตร์ที่แตกต่างด้วยการประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ได้แก่ นายณัฐพงษ์ (ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ), นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล (ด้านการคลังและงบประมาณ) และ รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร (ด้านนโยบายเศรษฐกิจ)
ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ "Made with Thailand"
แกนกลางของนโยบายเศรษฐกิจคือแนวคิด "Made with Thailand" ที่เสนอโดย รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร แนวคิดนี้ปฏิเสธโมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมที่เน้น "Made in Thailand" ซึ่งพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) เพื่อเป็นฐานการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่เสนอให้ไทยต้องเป็นเจ้าของเทคโนโลยีและมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ในฐานะหุ้นส่วน (Partner) ไม่ใช่แค่ผู้รับจ้างผลิต
การวิเคราะห์ความยั่งยืน: นโยบายนี้มีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจสูงในระยะยาว เพราะมุ่งเน้นการสร้างผลิตภาพ (Productivity) และนวัตกรรมภายในประเทศ (Home-grown Innovation) เพื่อแก้ปัญหากับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน แต่มีความท้าทายสูงในการปฏิบัติจริง เพราะต้องอาศัยการยกระดับทักษะแรงงานและการวิจัยพัฒนา (R&D) ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล และอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการแก้ปัญหาปากท้องเร่งด่วนของผู้มีรายได้น้อย
รัฐสวัสดิการและการกระจายอำนาจ
พรรคประชาชนเสนอระบบสวัสดิการถ้วนหน้า โดยเฉพาะการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 บาท/เดือน ภายในปี 2570
ความท้าทาย: ประเด็นใหญ่ที่สุดคืองบประมาณ การสร้างรัฐสวัสดิการในระดับนี้ต้องการงบประมาณมหาศาล ซึ่งพรรคเสนอให้ตัดงบประมาณกองทัพและปฏิรูปภาษี แต่ในทางปฏิบัติทางการเมือง (Realpolitik) การดำเนินการดังกล่าวอาจเผชิญแรงต้านรุนแรงจากกลุ่มอำนาจเก่าและระบบราชการ
2.2 พรรคภูมิใจไทย: ประชานิยมเชิงปฏิบัติการและโมเดล "พูดแล้วทำพลัส" (Pragmatic Populism)
พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ใช้ความได้เปรียบของการเป็นพรรครัฐบาลและนายกรัฐมนตรีรักษาการ ชูนโยบายที่เน้นการปฏิบัติได้ทันทีและเห็นผลเร็ว (Quick Wins) ภายใต้แคมเปญ "พูดแล้วทำพลัส"
นโยบายพลังงาน "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้"
นโยบายเรือธงของพรรคคือ "ฟรีหลังคาโซลาร์เซลล์" (Solar Rooftop) สำหรับครัวเรือน ซึ่งสัญญาว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ทันที 450 บาทต่อเดือน และให้สิทธิ์ประชาชนขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนเข้ารัฐ
การวิเคราะห์ความยั่งยืน: นโยบายนี้เป็นการนำเรื่องพลังงานสะอาดมาผูกโยงกับการลดค่าครองชีพได้อย่างชาญฉลาด (Eco-Populism) อย่างไรก็ตาม ในเชิงเทคนิคและการคลัง มีข้อสังเกตจาก TDRI และนักวิชาการพลังงานว่า การติดตั้งโซลาร์เซลล์ฟรีในสเกลใหญ่ระดับประเทศต้องใช้งบประมาณลงทุนมหาศาล และอาจสร้างภาระให้กับระบบสายส่งไฟฟ้า (Grid Stability) หากไม่มีการลงทุนอัปเกรดระบบรองรับ นอกจากนี้ การอุดหนุนราคาค่าโดยสารรถเมล์ไฟฟ้าอาจสร้างภาระขาดทุนสะสมให้กับ ขสมก. หรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในระยะยาว หากไม่มีโมเดลรายได้อื่นมาจุนเจือ
การพักหนี้และเงินกู้ฉุกเฉิน
พรรคเสนอ "พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย" วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท และ "เงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท" โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: แม้จะช่วยบรรเทาภาระครัวเรือนในระยะสั้น แต่มาตรการพักหนี้ลักษณะนี้มักถูกวิจารณ์ว่าสร้าง "วินัยทางการเงินที่หย่อนยาน" (Moral Hazard) และอาจไม่ได้แก้ปัญหาหนี้ที่ต้นตอ หากรายได้ของเกษตรกรและประชาชนไม่เพิ่มขึ้นจริง การพักหนี้เป็นเพียงการ "แช่แข็ง" ปัญหาไว้เพื่อรอวันระเบิดในอนาคต
2.3 พรรคเพื่อไทย: การบริหารจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure-Led Growth)
พรรคเพื่อไทย ซึ่งเผชิญกับวิกฤตศรัทธาและความนิยมที่ลดลงในเขตเมือง
การบริหารจัดการน้ำครบวงจร
นโยบายหลักของเพื่อไทยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างเป็นระบบ ผ่านโครงการก่อสร้าง Floodways, แก้มลิง และการขุดลอกคูคลอง
การวิเคราะห์ความยั่งยืน: นโยบายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนของภาคเกษตรไทยและการลดความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า (High Return on Investment) ในระยะยาว แต่ความท้าทายคือความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ (Mega-projects) ที่มักมีปัญหางบประมาณบานปลาย
การกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน
แม้จะประสบปัญหาในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในอดีต แต่เพื่อไทยยังคงเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนภาครัฐและการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่
จุดอ่อน: การพึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแบบ Keynesian (การอัดฉีดงบประมาณ) ในภาวะที่หนี้สาธารณะสูง อาจทำได้ยากขึ้นและมีประสิทธิผลน้อยลง (Diminishing Returns)
2.4 พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคประชาธิปัตย์: อนุรักษ์นิยมใหม่และวาระเฉพาะกลุ่ม
พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.): ภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เน้นนโยบายความมั่นคงและพลังงานแบบ "รื้อ ลด ปลด สร้าง" โดยชูนโยบายลดราคาพลังงานทันที เพิ่มเงินเดือนทหารเกณฑ์ และมาตรการเด็ดขาดทางกฎหมาย เช่น ประหารชีวิตคนโกงและแก๊งคอลเซ็นเตอร์
21 วิเคราะห์: นโยบายพลังงานของ รทสช. เน้นการแทรกแซงราคา (Price Intervention) มากกว่าการปรับโครงสร้างตลาด ซึ่งอาจบิดเบือนกลไกตลาดและสร้างภาระกองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาว ส่วนนโยบายด้านความมั่นคงมุ่งตอบสนองฐานเสียงอนุรักษ์นิยมเป็นหลัก
พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.): นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมานำทัพด้วยแคมเปญ "ทนหายใจ ไทยหายจน"
23 เชื่อมโยงปัญหาสิ่งแวดล้อม (อากาศพิษ) เข้ากับปัญหาความยากจน โดยเสนอกฎหมายอากาศสะอาดและเทคโนโลยีการศึกษาวิเคราะห์: ความพยายาม Rebrand พรรคด้วยประเด็นสิ่งแวดล้อม (Green Democrat) เป็นยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจในการดึงคะแนนเสียงคนเมือง แต่ความท้าทายคือความน่าเชื่อถือในฐานะพรรคที่เคยเป็นรัฐบาลมายาวนานว่าจะสามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือไม่
3. การเปรียบเทียบเชิงวิพากษ์: มิติความยั่งยืนและความเป็นไปได้ทางการคลัง
ตารางต่อไปนี้แสดงการเปรียบเทียบนโยบายหลักของพรรคการเมืองผ่านเลนส์ของการพัฒนาที่ยั่งยืน:
| มิติการวิเคราะห์ | พรรคประชาชน (PP) | พรรคภูมิใจไทย (BJT) | พรรคเพื่อไทย (PT) | พรรครวมไทยสร้างชาติ (UTN) |
| ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ | Made with Thailand: สร้างเทคโนโลยีเอง, ลดการพึ่งพา FDI, กระจายอำนาจ | Quick Wins: พักหนี้, เงินกู้ฉุกเฉิน, ลดรายจ่ายครัวเรือน | Infrastructure: บริหารจัดการน้ำ, Mega-projects, กระตุ้นการบริโภค | Price Control: ลดราคาพลังงาน, รื้อโครงสร้างราคา, ความมั่นคง |
| นโยบายสิ่งแวดล้อม | Structural Change: พ.ร.บ.โลกร้อน, กระจายอำนาจจัดการฝุ่น, Net Zero ผ่านกฎหมาย | Green Populism: แจกโซลาร์เซลล์, รถเมล์ EV, ลดค่าไฟ | Adaptation: ป้องกันน้ำท่วม/แล้ง, Floodways | Energy Security: เน้นความมั่นคงทางพลังงานและราคาถูก |
| สวัสดิการสังคม | Universal Welfare: บำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท, สิทธิลาคลอด | Targeted/Loans: เงินกู้ฉุกเฉิน, อสม., พักหนี้เกษตรกร | Digital/Health: 30 บาทรักษาทุกที่, ดิจิทัลวอลเล็ต | Sectoral: เพิ่มเงินทหารเกณฑ์, สวัสดิการข้าราชการ/ทหาร |
| ความยั่งยืนทางการคลัง | ความเสี่ยงสูง: ต้องหารายได้จากการปฏิรูปภาษี/ตัดงบกองทัพ ซึ่งทำได้ยาก | ความเสี่ยงปานกลาง-สูง: ภาระจากการอุดหนุนและพักหนี้ (Off-budget) | ความเสี่ยงสูง: งบลงทุนขนาดใหญ่และภาระผูกพันระยะยาว | ความเสี่ยงปานกลาง: การแทรกแซงราคาอาจสร้างหนี้กองทุนฯ |
3.1 การปะทะกันของ "ประชานิยม 2 รูปแบบ"
การเลือกตั้ง 2569 แสดงให้เห็นการแข่งขันระหว่าง "ประชานิยมแบบแจก" (Traditional Populism) ของพรรคร่วมรัฐบาลเดิม (พักหนี้, ลดราคา, แจกเงิน) กับ "ประชานิยมเชิงโครงสร้าง" (Structural Populism) ของพรรคประชาชน (สวัสดิการถ้วนหน้า, ล้างระบบเส้นสาย)
จุดวิกฤต: นโยบายของทั้งสองขั้วล้วนต้องใช้งบประมาณมหาศาล ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ (1.5%) รายงานจาก TDRI และหน่วยงานเศรษฐกิจเตือนว่า หากไม่มีการหารายได้ใหม่ การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะนำไปสู่การขาดดุลการคลังเรื้อรังและการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะจนเกินเพดานความยั่งยืน
24
3.2 ความลวงตาของ BCG Model
แม้รัฐบาลชุดก่อนจะพยายามผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green) เป็นวาระแห่งชาติ แต่ในการหาเสียงครั้งนี้ วาทกรรม BCG กลับถูกลดทอนความสำคัญลง พรรคการเมืองฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมวิจารณ์ว่า BCG ภายใต้การนำของรัฐบาลเดิมมีลักษณะเป็น "การฟอกเขียว" (Greenwashing) ที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนเกษตรและพลังงานรายใหญ่มากกว่าการสร้างความยั่งยืนฐานราก
4. บทสรุปและนัยสู่อนาคต
การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนที่กำหนดชะตากรรมของประเทศไทยว่าจะสามารถหลุดพ้นจาก "ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า" ได้หรือไม่ บทวิเคราะห์ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญดังนี้:
การเปลี่ยนผ่านสู่ "นโยบายสีเขียว" เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้: ทุกพรรคการเมืองต้องผนวกประเด็นสิ่งแวดล้อมเข้านโยบายเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการ "แจก" (Solar Rooftop ของ BJT) หรือการ "รื้อ" (พ.ร.บ.อากาศสะอาด ของ PP) สะท้อนว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและภัยพิบัติมากขึ้น
กับดักทางการคลังคือระเบิดเวลา: ความพยายามในการหาเสียงด้วยนโยบายที่ใช้งบประมาณสูงในภาวะเศรษฐกิจซบเซา คือความเสี่ยงสูงสุดของประเทศ รัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใคร จะต้องเผชิญกับโจทย์หินในการหาเงินมาทำตามสัญญาหาเสียง โดยไม่ก่อหนี้จนประเทศล้มละลาย
ความยั่งยืนที่แท้จริงต้องการมากกว่า "การก่อสร้าง": การแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือฝุ่นพิษ ไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยการสร้างเขื่อนหรือแจกหน้ากาก แต่ต้องอาศัยการปฏิรูปกฎหมาย การกระจายอำนาจ และการปรับโครงสร้างการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจเดิม
ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ:
การประเมินนโยบายหาเสียงในปี 2569 ไม่ควรดูเพียงแค่ "ใครให้อะไร" แต่ต้องตั้งคำถามว่า "จะหาเงินมาจากไหน" และ "โครงสร้างประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างไร" ภายใต้นโยบายนั้น ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองกล้าที่จะแตะปัญหาโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมา มากกว่าการผลิตซ้ำนโยบายประชานิยมที่เพียงแต่ซื้อเวลาไปสู่วิกฤตครั้งหน้า
รายงานฉบับนี้เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากเอกสารวิจัย บทวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ และนโยบายพรรคการเมือง เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการตัดสินใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการเลือกตั้งปี 2569


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น