วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ส่องนโยบายหาเสียง ส่งเสริมพัฒนาที่ยั่งยืน เลือกตั้งทั่วไปปี 2569

 


การวิเคราะห์ยุทธศาสตร์และนโยบายหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปปี 2569: พลวัตทางการเมืองภายใต้บริบทการพัฒนาที่ยั่งยืนและความท้าทายเชิงโครงสร้าง


บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยและกับดักการพัฒนาในทศวรรษแห่งความผันผวน



การเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2569 (2026) ถือเป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย ที่มิใช่เพียงการเปลี่ยนผ่านอำนาจบริหารตามวาระ แต่เป็นการปะทะสังสรรค์ระหว่างวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในการพาประเทศไทยออกจาก "กับดักซ้อนกับดัก" (Multiple Traps) ทั้งกับดักรายได้ปานกลาง กับดักความเหลื่อมล้ำ และวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น บริบททางการเมืองในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จากการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลสู่ยุคของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ 1 ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2569 ไว้ที่ระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.5 3 ซึ่งสะท้อนถึงปัญหารากฐานที่ระบบเศรษฐกิจไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและเผชิญกับข้อจำกัดทางโครงสร้างประชากร

รายงานฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองหลัก ได้แก่ พรรคประชาชน (People's Party), พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai Party), พรรคเพื่อไทย (Pheu Thai Party), พรรครวมไทยสร้างชาติ (United Thai Nation Party) และพรรคประชาธิปัตย์ (Democrat Party) โดยใช้กรอบแนวคิด การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) เป็นฐานในการประเมิน ซึ่งครอบคลุม 3 มิติหลัก ได้แก่ ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ (Economic Sustainability) ความยั่งยืนทางสังคม (Social Sustainability) และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) รวมถึงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางการคลัง (Fiscal Feasibility) เพื่อตอบคำถามสำคัญว่านโยบายเหล่านี้จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืนหรือเป็นเพียงวาทกรรมประชานิยมที่สร้างภาระในอนาคต


1. บริบทมหภาค: เศรษฐกิจถดถอยและภูมิรัฐศาสตร์ใหม่

ก่อนที่จะเจาะลึกถึงรายละเอียดนโยบาย จำเป็นต้องทำความเข้าใจบริบทแวดล้อมที่เป็น "ตัวแปรบังคับ" (Constraints) ให้กับทุกพรรคการเมือง

1.1 ภาวะ "คนป่วยแห่งเอเชีย" และข้อจำกัดทางการคลัง

เศรษฐกิจไทยในปี 2569 เผชิญกับสภาวะ Stagnation หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเรื้อรัง การคาดการณ์ GDP ที่ 1.5% 3 เป็นสัญญาณเตือนภัยระดับวิกฤต ปัจจัยกดดันมาจากทั้งภายนอกและภายใน:

  • ปัจจัยภายนอก: สงครามการค้าและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงสงครามและควาไม่สงบในภูมิภาค

  • ปัจจัยภายใน: หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกดดันกำลังซื้อ การเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์แบบ (Aged Society) ที่ลดทอนกำลังแรงงาน และโครงสร้างการผลิตที่ล้าสมัย 4

สภาวะเช่นนี้ทำให้ "พื้นที่ทางการคลัง" (Fiscal Space) ของรัฐบาลใหม่มีจำกัดอย่างยิ่ง การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น หรือการปฏิรูประบบภาษี ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับพรรคการเมืองที่ต้องการคะแนนนิยม

1.2 วาระสีเขียว (Green Agenda) ในฐานะสมรภูมิใหม่

ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะฝุ่นพิษ PM2.5 ภัยแล้ง และน้ำท่วม ได้ยกระดับจากปัญหาคุณภาพชีวิตกลายเป็น "ภัยคุกคามความมั่นคงทางเศรษฐกิจ" 5 ความเสียหายจากภัยพิบัติเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พรรคการเมืองไม่สามารถละเลยนโยบายสิ่งแวดล้อมได้อีกต่อไป การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจาก "ประชานิยมแบบแจกเงิน" (Cash Handout Populism) ไปสู่ "ประชานิยมเชิงนิเวศ" (Green Populism) หรือการใช้นโยบายสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางเศรษฐกิจ


2. การวิเคราะห์นโยบายรายพรรค: วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์

2.1 พรรคประชาชน: การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี (Structure-First Approach)

พรรคประชาชน ภายใต้การนำของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ วางยุทธศาสตร์ที่แตกต่างด้วยการประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ได้แก่ นายณัฐพงษ์ (ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ), นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล (ด้านการคลังและงบประมาณ) และ รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร (ด้านนโยบายเศรษฐกิจ) 6

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ "Made with Thailand"

แกนกลางของนโยบายเศรษฐกิจคือแนวคิด "Made with Thailand" ที่เสนอโดย รศ.ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร แนวคิดนี้ปฏิเสธโมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมที่เน้น "Made in Thailand" ซึ่งพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) เพื่อเป็นฐานการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่เสนอให้ไทยต้องเป็นเจ้าของเทคโนโลยีและมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ในฐานะหุ้นส่วน (Partner) ไม่ใช่แค่ผู้รับจ้างผลิต 6

  • การวิเคราะห์ความยั่งยืน: นโยบายนี้มีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจสูงในระยะยาว เพราะมุ่งเน้นการสร้างผลิตภาพ (Productivity) และนวัตกรรมภายในประเทศ (Home-grown Innovation) เพื่อแก้ปัญหากับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน แต่มีความท้าทายสูงในการปฏิบัติจริง เพราะต้องอาศัยการยกระดับทักษะแรงงานและการวิจัยพัฒนา (R&D) ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล และอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการแก้ปัญหาปากท้องเร่งด่วนของผู้มีรายได้น้อย

รัฐสวัสดิการและการกระจายอำนาจ

พรรคประชาชนเสนอระบบสวัสดิการถ้วนหน้า โดยเฉพาะการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 บาท/เดือน ภายในปี 2570 9 และนโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (Decentralization) เพื่อให้ท้องถิ่นมีงบประมาณและอำนาจในการจัดการปัญหาสาธารณะ เช่น การจัดการขยะและฝุ่น PM2.5 10

  • ความท้าทาย: ประเด็นใหญ่ที่สุดคืองบประมาณ การสร้างรัฐสวัสดิการในระดับนี้ต้องการงบประมาณมหาศาล ซึ่งพรรคเสนอให้ตัดงบประมาณกองทัพและปฏิรูปภาษี แต่ในทางปฏิบัติทางการเมือง (Realpolitik) การดำเนินการดังกล่าวอาจเผชิญแรงต้านรุนแรงจากกลุ่มอำนาจเก่าและระบบราชการ

2.2 พรรคภูมิใจไทย: ประชานิยมเชิงปฏิบัติการและโมเดล "พูดแล้วทำพลัส" (Pragmatic Populism)

พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ใช้ความได้เปรียบของการเป็นพรรครัฐบาลและนายกรัฐมนตรีรักษาการ ชูนโยบายที่เน้นการปฏิบัติได้ทันทีและเห็นผลเร็ว (Quick Wins) ภายใต้แคมเปญ "พูดแล้วทำพลัส" 11

นโยบายพลังงาน "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้"

นโยบายเรือธงของพรรคคือ "ฟรีหลังคาโซลาร์เซลล์" (Solar Rooftop) สำหรับครัวเรือน ซึ่งสัญญาว่าจะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ทันที 450 บาทต่อเดือน และให้สิทธิ์ประชาชนขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนเข้ารัฐ 12 รวมถึงนโยบายรถเมล์ไฟฟ้า (EV) ค่าโดยสาร 10-40 บาท 13

  • การวิเคราะห์ความยั่งยืน: นโยบายนี้เป็นการนำเรื่องพลังงานสะอาดมาผูกโยงกับการลดค่าครองชีพได้อย่างชาญฉลาด (Eco-Populism) อย่างไรก็ตาม ในเชิงเทคนิคและการคลัง มีข้อสังเกตจาก TDRI และนักวิชาการพลังงานว่า การติดตั้งโซลาร์เซลล์ฟรีในสเกลใหญ่ระดับประเทศต้องใช้งบประมาณลงทุนมหาศาล และอาจสร้างภาระให้กับระบบสายส่งไฟฟ้า (Grid Stability) หากไม่มีการลงทุนอัปเกรดระบบรองรับ นอกจากนี้ การอุดหนุนราคาค่าโดยสารรถเมล์ไฟฟ้าอาจสร้างภาระขาดทุนสะสมให้กับ ขสมก. หรือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในระยะยาว หากไม่มีโมเดลรายได้อื่นมาจุนเจือ

การพักหนี้และเงินกู้ฉุกเฉิน

พรรคเสนอ "พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย" วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท และ "เงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท" โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 14

  • ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: แม้จะช่วยบรรเทาภาระครัวเรือนในระยะสั้น แต่มาตรการพักหนี้ลักษณะนี้มักถูกวิจารณ์ว่าสร้าง "วินัยทางการเงินที่หย่อนยาน" (Moral Hazard) และอาจไม่ได้แก้ปัญหาหนี้ที่ต้นตอ หากรายได้ของเกษตรกรและประชาชนไม่เพิ่มขึ้นจริง การพักหนี้เป็นเพียงการ "แช่แข็ง" ปัญหาไว้เพื่อรอวันระเบิดในอนาคต

2.3 พรรคเพื่อไทย: การบริหารจัดการน้ำและโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure-Led Growth)

พรรคเพื่อไทย ซึ่งเผชิญกับวิกฤตศรัทธาและความนิยมที่ลดลงในเขตเมือง 16 พยายามดึงจุดแข็งเดิมคือเรื่องการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกลับมา โดยส่งแคนดิเดตนายกฯ 3 คน ได้แก่ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ 17

การบริหารจัดการน้ำครบวงจร

นโยบายหลักของเพื่อไทยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างเป็นระบบ ผ่านโครงการก่อสร้าง Floodways, แก้มลิง และการขุดลอกคูคลอง 18 รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อพยากรณ์และจัดการน้ำ 19

  • การวิเคราะห์ความยั่งยืน: นโยบายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนของภาคเกษตรไทยและการลดความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า (High Return on Investment) ในระยะยาว แต่ความท้าทายคือความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ (Mega-projects) ที่มักมีปัญหางบประมาณบานปลาย

การกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน

แม้จะประสบปัญหาในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในอดีต แต่เพื่อไทยยังคงเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนภาครัฐและการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ 20 เพื่อพยายามเร่งอัตราการเติบโตของ GDP

  • จุดอ่อน: การพึ่งพานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแบบ Keynesian (การอัดฉีดงบประมาณ) ในภาวะที่หนี้สาธารณะสูง อาจทำได้ยากขึ้นและมีประสิทธิผลน้อยลง (Diminishing Returns)

2.4 พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคประชาธิปัตย์: อนุรักษ์นิยมใหม่และวาระเฉพาะกลุ่ม

  • พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.): ภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เน้นนโยบายความมั่นคงและพลังงานแบบ "รื้อ ลด ปลด สร้าง" โดยชูนโยบายลดราคาพลังงานทันที เพิ่มเงินเดือนทหารเกณฑ์ และมาตรการเด็ดขาดทางกฎหมาย เช่น ประหารชีวิตคนโกงและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 21

    • วิเคราะห์: นโยบายพลังงานของ รทสช. เน้นการแทรกแซงราคา (Price Intervention) มากกว่าการปรับโครงสร้างตลาด ซึ่งอาจบิดเบือนกลไกตลาดและสร้างภาระกองทุนน้ำมันฯ ในระยะยาว ส่วนนโยบายด้านความมั่นคงมุ่งตอบสนองฐานเสียงอนุรักษ์นิยมเป็นหลัก

  • พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.): นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมานำทัพด้วยแคมเปญ "ทนหายใจ ไทยหายจน" 23 เชื่อมโยงปัญหาสิ่งแวดล้อม (อากาศพิษ) เข้ากับปัญหาความยากจน โดยเสนอกฎหมายอากาศสะอาดและเทคโนโลยีการศึกษา

    • วิเคราะห์: ความพยายาม Rebrand พรรคด้วยประเด็นสิ่งแวดล้อม (Green Democrat) เป็นยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจในการดึงคะแนนเสียงคนเมือง แต่ความท้าทายคือความน่าเชื่อถือในฐานะพรรคที่เคยเป็นรัฐบาลมายาวนานว่าจะสามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือไม่


3. การเปรียบเทียบเชิงวิพากษ์: มิติความยั่งยืนและความเป็นไปได้ทางการคลัง

ตารางต่อไปนี้แสดงการเปรียบเทียบนโยบายหลักของพรรคการเมืองผ่านเลนส์ของการพัฒนาที่ยั่งยืน:

มิติการวิเคราะห์พรรคประชาชน (PP)พรรคภูมิใจไทย (BJT)พรรคเพื่อไทย (PT)พรรครวมไทยสร้างชาติ (UTN)
ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจMade with Thailand: สร้างเทคโนโลยีเอง, ลดการพึ่งพา FDI, กระจายอำนาจQuick Wins: พักหนี้, เงินกู้ฉุกเฉิน, ลดรายจ่ายครัวเรือนInfrastructure: บริหารจัดการน้ำ, Mega-projects, กระตุ้นการบริโภคPrice Control: ลดราคาพลังงาน, รื้อโครงสร้างราคา, ความมั่นคง
นโยบายสิ่งแวดล้อมStructural Change: พ.ร.บ.โลกร้อน, กระจายอำนาจจัดการฝุ่น, Net Zero ผ่านกฎหมายGreen Populism: แจกโซลาร์เซลล์, รถเมล์ EV, ลดค่าไฟAdaptation: ป้องกันน้ำท่วม/แล้ง, FloodwaysEnergy Security: เน้นความมั่นคงทางพลังงานและราคาถูก
สวัสดิการสังคมUniversal Welfare: บำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท, สิทธิลาคลอดTargeted/Loans: เงินกู้ฉุกเฉิน, อสม., พักหนี้เกษตรกรDigital/Health: 30 บาทรักษาทุกที่, ดิจิทัลวอลเล็ตSectoral: เพิ่มเงินทหารเกณฑ์, สวัสดิการข้าราชการ/ทหาร
ความยั่งยืนทางการคลังความเสี่ยงสูง: ต้องหารายได้จากการปฏิรูปภาษี/ตัดงบกองทัพ ซึ่งทำได้ยากความเสี่ยงปานกลาง-สูง: ภาระจากการอุดหนุนและพักหนี้ (Off-budget)ความเสี่ยงสูง: งบลงทุนขนาดใหญ่และภาระผูกพันระยะยาวความเสี่ยงปานกลาง: การแทรกแซงราคาอาจสร้างหนี้กองทุนฯ

3.1 การปะทะกันของ "ประชานิยม 2 รูปแบบ"

การเลือกตั้ง 2569 แสดงให้เห็นการแข่งขันระหว่าง "ประชานิยมแบบแจก" (Traditional Populism) ของพรรคร่วมรัฐบาลเดิม (พักหนี้, ลดราคา, แจกเงิน) กับ "ประชานิยมเชิงโครงสร้าง" (Structural Populism) ของพรรคประชาชน (สวัสดิการถ้วนหน้า, ล้างระบบเส้นสาย)

  • จุดวิกฤต: นโยบายของทั้งสองขั้วล้วนต้องใช้งบประมาณมหาศาล ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ (1.5%) รายงานจาก TDRI และหน่วยงานเศรษฐกิจเตือนว่า หากไม่มีการหารายได้ใหม่ การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะนำไปสู่การขาดดุลการคลังเรื้อรังและการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะจนเกินเพดานความยั่งยืน 24

3.2 ความลวงตาของ BCG Model

แม้รัฐบาลชุดก่อนจะพยายามผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green) เป็นวาระแห่งชาติ แต่ในการหาเสียงครั้งนี้ วาทกรรม BCG กลับถูกลดทอนความสำคัญลง พรรคการเมืองฝ่ายค้านและภาคประชาสังคมวิจารณ์ว่า BCG ภายใต้การนำของรัฐบาลเดิมมีลักษณะเป็น "การฟอกเขียว" (Greenwashing) ที่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนเกษตรและพลังงานรายใหญ่มากกว่าการสร้างความยั่งยืนฐานราก 26 พรรคประชาชนจึงเลือกใช้วาทกรรม "Net Zero" และ "Climate Action" แทน เพื่อสร้างความแตกต่างและเน้นการแก้ปัญหาที่โครงสร้างกฎหมาย


4. บทสรุปและนัยสู่อนาคต

การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนที่กำหนดชะตากรรมของประเทศไทยว่าจะสามารถหลุดพ้นจาก "ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า" ได้หรือไม่ บทวิเคราะห์ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. การเปลี่ยนผ่านสู่ "นโยบายสีเขียว" เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้: ทุกพรรคการเมืองต้องผนวกประเด็นสิ่งแวดล้อมเข้านโยบายเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการ "แจก" (Solar Rooftop ของ BJT) หรือการ "รื้อ" (พ.ร.บ.อากาศสะอาด ของ PP) สะท้อนว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและภัยพิบัติมากขึ้น

  2. กับดักทางการคลังคือระเบิดเวลา: ความพยายามในการหาเสียงด้วยนโยบายที่ใช้งบประมาณสูงในภาวะเศรษฐกิจซบเซา คือความเสี่ยงสูงสุดของประเทศ รัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใคร จะต้องเผชิญกับโจทย์หินในการหาเงินมาทำตามสัญญาหาเสียง โดยไม่ก่อหนี้จนประเทศล้มละลาย

  3. ความยั่งยืนที่แท้จริงต้องการมากกว่า "การก่อสร้าง": การแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือฝุ่นพิษ ไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยการสร้างเขื่อนหรือแจกหน้ากาก แต่ต้องอาศัยการปฏิรูปกฎหมาย การกระจายอำนาจ และการปรับโครงสร้างการผลิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจเดิม

ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ:

การประเมินนโยบายหาเสียงในปี 2569 ไม่ควรดูเพียงแค่ "ใครให้อะไร" แต่ต้องตั้งคำถามว่า "จะหาเงินมาจากไหน" และ "โครงสร้างประเทศจะเปลี่ยนไปอย่างไร" ภายใต้นโยบายนั้น ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองกล้าที่จะแตะปัญหาโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมา มากกว่าการผลิตซ้ำนโยบายประชานิยมที่เพียงแต่ซื้อเวลาไปสู่วิกฤตครั้งหน้า


รายงานฉบับนี้เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากเอกสารวิจัย บทวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ และนโยบายพรรคการเมือง เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับการตัดสินใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการเลือกตั้งปี 2569

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ของพรรคการเมืองไทย บนฐานคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

วิเคราะห์เชิงลึก: นโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ของพรรคการเมืองไทย บนฐานคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน บทคัดย่อ รายงานวิจัย...