วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ


บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยมและสถาบันสงฆ์ในการประชุมใหญ่ อพส. ครั้งที่ 9



บทสรุปผู้บริหาร

รายงานการวิจัยฉบับนี้ทำการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายและทิศทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน (Sonexay Siphandone) ที่มีต่อสถาบันสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านคำปราศรัยและมติในการประชุมใหญ่ผู้แทนพระสงฆ์ทั่วประเทศ ครั้งที่ 9 (The 9th National Congress of Buddhist Representatives) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 2025 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ ท่ามกลางบริบทความท้าทายทางเศรษฐกิจมหภาคและการเปลี่ยนผ่านทางสังคมที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ลาวสมัยใหม่

สาระสำคัญของการศึกษาพบว่า รัฐบาลลาวกำลังดำเนินยุทธศาสตร์ "ระดมสรรพกำลังทางจิตวิญญาณ" (Spiritual Mobilization) เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ "Perfect Storm" ที่ประกอบด้วยภาวะเงินเฟ้อ วิกฤตหนี้สาธารณะ และปัญหายาเสพติด ผ่านการปฏิรูปองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (Lao Buddhist Fellowship Organisation - LBFO) อย่าง "เข้มแข็ง ลึกซึ้ง และรอบด้าน" นโยบายสำคัญที่นายกรัฐมนตรีสอนไซได้ประกาศใช้ ได้แก่ การสังเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจชาตินิยมเข้ากับวิถีปฏิบัติทางศาสนา (Economic Nationalism via Buddhism) เช่น การรณรงค์ให้ใช้เงินกีบในการทำบุญเพื่อลดการพึ่งพาเงินตราต่างประเทศ (De-dollarization), การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ "Made in Laos" ในศาสนพิธี, และการใช้วัดเป็นฐานปฏิบัติการหน้าด่านในสงครามต่อต้านยาเสพติดผ่านนโยบาย "4 ไม่" (Four No's)

รายงานฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความพยายามของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว (LPRP) ในการนิยาม "ความชอบธรรม" (Legitimacy) รูปแบบใหม่ ที่มิได้อิงอยู่กับผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ผนวกเอาทุนทางสังคมและศรัทธาของสถาบันสงฆ์เข้ามาค้ำจุนเสถียรภาพของรัฐ นำไปสู่โมเดล "สังคมนิยมลาวที่มีลักษณะเฉพาะทางพุทธศาสนา" (Lao Socialism with Buddhist Characteristics) ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขณะที่ประเทศกำลังเตรียมก้าวพ้นสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC Graduation) ในปี 2026 บทบาทของคณะสงฆ์จึงถูกยกระดับจากผู้นำทางจิตวิญญาณสู่การเป็น "หุ้นส่วนการพัฒนา" (Development Partners) ที่มีพันธะผูกพันทางกฎหมายและนโยบายกับรัฐอย่างแน่นแฟ้น


1. บทนำ: ภูมิทัศน์วิกฤตและบริบทใหม่ของความสัมพันธ์รัฐ-สงฆ์

1.1 ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของการประชุมใหญ่ อพส. ครั้งที่ 9 ในปี 2025

การประชุมใหญ่ผู้แทนพระสงฆ์ทั่วประเทศ ครั้งที่ 9 (The 9th National Congress of Buddhist Representatives) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2025 มิใช่เพียงวาระปกติทางศาสนจักร แต่ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญทางการเมืองการปกครองอย่างยิ่งยวด 1 การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ สปป. ลาว กำลังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน จำเป็นต้องแสวงหาพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุดในโครงสร้างสังคมลาวเพื่อช่วยขับเคลื่อนนโยบายที่ยากลำบาก และสถาบันนั้นคือ "คณะสงฆ์"

บริบทแวดล้อมที่สำคัญของการประชุมประกอบด้วย:

  1. วิกฤตศรัทธาและเศรษฐกิจ: สปป. ลาว เผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและการอ่อนค่าของเงินกีบอย่างรุนแรงตลอดปี 2024-2025 ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและอาจสั่นคลอนเสถียรภาพทางสังคม 3

  2. การเปลี่ยนผ่านสู่ปี 2026: ปี 2026 เป็นปีเป้าหมายที่สำคัญยิ่งในการที่ลาวจะหลุดพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Country - LDC) ตามเกณฑ์ของสหประชาชาติ 5 ซึ่งต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการยกระดับดัชนีการพัฒนามนุษย์

  3. สุญญากาศผู้นำสงฆ์: การมรณภาพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีบารมีสูงในปีก่อนหน้า เช่น พระอาจารย์ใหญ่ มหาบุนมา สิมมาพรม 7 สร้างความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดระเบียบโครงสร้างการนำใหม่ เพื่อป้องกันความแตกแยกและเพื่อให้มั่นใจว่าคณะบริหารชุดใหม่จะดำเนินนโยบายสอดคล้องกับพรรคและรัฐ

1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษา

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์นัยทางนโยบายของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ที่มีต่อองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (LBFO) โดยมุ่งเน้นการตอบคำถามวิจัยสำคัญ 3 ประการ:

  1. นโยบายการปฏิรูป อพส. สะท้อนถึงยุทธศาสตร์การอยู่รอดของรัฐบาลลาวในภาวะวิกฤตอย่างไร?

  2. การผนวกเอาเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (เช่น การใช้เงินกีบ) เข้ากับพิธีกรรมทางศาสนา บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและศาสนาอย่างไร?

  3. บทบาทใหม่ของพระสงฆ์ในฐานะ "กลไกการพัฒนา" มีความท้าทายและข้อจำกัดอย่างไรในบริบทสังคมลาวยุคดิจิทัล?


2. พลวัตประวัติศาสตร์: วิภาษวิธีระหว่างลัทธิมาร์กซ์-เลนินและพุทธศาสนาเถรวาทในลาว

เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า "บทบาทที่แข็งแกร่ง" ที่นายกรัฐมนตรีเรียกร้อง จำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาชนปฏิวัติลาว (LPRP) กับสถาบันสงฆ์ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากรัฐคอมมิวนิสต์อื่น ๆ

2.1 มรดกจากยุคขบวนการปะเทดลาว: "พระสงฆ์แดง" และการปฏิวัติ

ต่างจากโซเวียตหรือจีนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมที่มักมองศาสนาเป็น "ยาเสพติด" ที่ต้องกวาดล้าง ขบวนการปะเทดลาว (Pathet Lao) เลือกใช้วิธีการ "ปรับปรนและผนวก" (Accommodation and Integration) 8

  • ยุทธวิธีแนวร่วม: ผู้นำพรรคอย่าง ภูมี วงวิจิตร และเจ้าสุภานุวงศ์ ตระหนักดีว่าในสังคมชนบทของลาว วัดคือศูนย์กลางของชุมชนและพระสงฆ์คือปัญญาชนกลุ่มเดียวที่ชาวบ้านเคารพเชื่อถือ พรรคจึงจัดตั้ง "องค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว" ขึ้นในเขตปลดปล่อยตั้งแต่ปี 1961 8 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่อุดมการณ์ปฏิวัติ

  • การตีความใหม่ (Reinterpretation): มีการสร้างวาทกรรมว่า "พระพุทธเจ้าคือนักปฏิวัติคนแรก" และเป้าหมายของนิพพานมีความสอดคล้องกับสังคมที่ปราศจากการกดขี่แบบคอมมิวนิสต์ พระสงฆ์ในช่วงเวลานั้นจึงมีบทบาทเป็น "นักโฆษณาชวนเชื่อ" (Propaganda Cadres) ที่ทรงประสิทธิภาพ 8

2.2 จากการควบคุมสู่การใช้งาน (1975 - ปัจจุบัน)

หลังการสถาปนา สปป. ลาว ในปี 1975 รัฐบาลใหม่ได้ยกเลิกธรรมยุติกนิกายและรวมศูนย์อำนาจสงฆ์เข้าสู่ อพส. เพียงองค์กรเดียว 9 แม้จะมีความพยายามลดทอนความเชื่อเรื่องผีและไสยศาสตร์ในช่วงแรก แต่รัฐก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าไม่สามารถแยกพุทธศาสนาออกจากความเป็นชาติลาวได้

  • ยุคจินตนาการใหม่ (Post-1990s): เมื่อลาวเปิดประเทศและเข้าสู่เศรษฐกิจตลาด รัฐได้หันมาส่งเสริมพุทธศาสนาในฐานะ "อัตลักษณ์แห่งชาติ" (National Identity) เพื่อต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตกและไทยที่ไหลบ่าเข้ามา 10

  • สถานะปัจจุบัน: ในรัฐธรรมนูญและดำรัสว่าด้วยการบริหารและคุ้มครองศาสนา (Decree 315) รัฐได้รับรองพุทธศาสนาในฐานะที่มีบทบาทพิเศษในการสร้างความสามัคคีและพัฒนาชาติ 9 นายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน จึงมิได้เริ่มนโยบายใหม่จากศูนย์ แต่เป็นการ "Re-activate" กลไกที่มีอยู่เดิมให้เข้มข้นขึ้นเพื่อตอบโจทย์วิกฤตปัจจุบัน

2.3 ตารางเปรียบเทียบ: วิวัฒนาการบทบาทของสงฆ์ในสายตารัฐ

ยุคสมัยบทบาทหลักของพระสงฆ์ตามทัศนะรัฐเป้าหมายทางการเมืองสถานะทางกฎหมาย/นโยบาย
ยุคปฏิวัติ (1950s-1975)ผู้เผยแพร่อุดมการณ์, แนวร่วมการปลดปล่อยชาติ, ต่อต้านจักรวรรดินิยมองค์การจัดตั้งในเขตปลดปล่อย
ยุคสร้างสังคมนิยม (1975-1980s)ผู้ผลิต (ห้ามบิณฑบาตบางช่วง), ครูสอนหนังสือการสร้างสังคมใหม่, ขจัดความงมงายรวมนิกาย, ควบคุมเข้มงวด
ยุคจินตนาการใหม่ (1990s-2010s)ผู้รักษาวัฒนธรรม, สัญลักษณ์ชาติสร้างอัตลักษณ์ชาติ, ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่อนปรน, ฟื้นฟูประเพณี (เช่น พระธาตุหลวง)
ยุควิกฤตซ้อน (2020s-2025)หุ้นส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม, ผู้นำจิตวิญญาณเพื่อความมั่นคงแก้จน, ต้านยาเสพติด, เสถียรภาพทางการเงินปฏิรูปเข้มข้น, บูรณาการกับแผนสภาพัฒน์ฯ

3. การวิเคราะห์นโยบายในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 9: การปฏิรูปเพื่อความอยู่รอด

คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 ถือเป็น "Blueprint" หรือพิมพ์เขียวฉบับใหม่สำหรับวงการสงฆ์ลาว โดยมีแกนหลักอยู่ที่คำว่า "การเปลี่ยนแปลงที่เข้มแข็ง ลึกซึ้ง และรอบด้าน" (Strong, profound and comprehensive transformation) 2 ซึ่งสะท้อนความต้องการของรัฐที่ต้องการเห็นผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม

3.1 การรื้อสร้างโครงสร้างและธรรมาภิบาลสงฆ์ (Organizational Reform)

รัฐบาลได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าโครงสร้างเดิมของ อพส. อาจมีความหย่อนยานหรือไม่ตอบสนองต่อโลกสมัยใหม่ จึงมีข้อเรียกร้องสำคัญดังนี้:

  • การบัญญัติแผนปฏิบัติการ (Concrete Action Plans): นายกรัฐมนตรีสอนไซย้ำว่า คณะกรรมการบริหารชุดใหม่ต้อง "แปลงมติที่ประชุมให้เป็นแผนปฏิบัติการและระเบียบข้อบังคับอย่างเร่งด่วน" 2 สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐต้องการเห็น KPI หรือตัวชี้วัดความสำเร็จจากองค์กรสงฆ์ เช่นเดียวกับหน่วยงานราชการ

  • ความเป็นเอกภาพ (Unity as Command): การเน้นย้ำให้คณะกรรมการศูนย์กลางเป็น "พลังแห่งความสามัคคี" 1 สะท้อนความกังวลของรัฐต่อการแตกแยกนิกายย่อย หรือการมีพระสงฆ์ที่มีความคิดเห็นอิสระทางการเมือง (Dissident Monks) รัฐต้องการให้ อพส. เป็นสายบังคับบัญชาเดียว (Single Chain of Command) ที่สามารถสั่งการจากส่วนกลางลงสู่ระดับหมู่บ้านได้ทันที

3.2 ยุทธศาสตร์ "4 ไม่" กับสงครามยาเสพติด (The "Four No's" Policy)

หนึ่งในปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดของลาวคือการแพร่ระบาดของยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า ซึ่งกระทบต่อโครงสร้างแรงงานและเยาวชน นายกฯ สอนไซ ได้มอบหมายภารกิจทางยุทธวิธีให้วัดเป็นศูนย์กลางในการต่อสู้ โดยใช้หลัก "4 ไม่" (Four No's):

  1. ไม่เสพ (No using)

  2. ไม่ซื้อ (No buying)

  3. ไม่ขาย (No selling)

  4. ไม่ผลิตหรือค้า (No producing or trafficking) 2

บทวิเคราะห์เชิงลึก: การที่รัฐต้องพึ่งพาพระสงฆ์ในเรื่องนี้ สะท้อนถึงข้อจำกัดของกลไกตำรวจและกฎหมายในพื้นที่ห่างไกล (Remote Areas) วัดและพระสงฆ์ที่มีบารมีทางศีลธรรม (Moral Authority) สามารถเข้าถึงจิตใจของเยาวชนและชุมชนได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ การใช้วัดเป็น "ศูนย์บำบัดทางจิตวิญญาณ" หรือพื้นที่สีขาว จึงเป็นยุทธศาสตร์ Low-cost, High-impact ที่รัฐบาลเลือกใช้

3.3 การปฏิรูปพิธีกรรม: ความมัธยัสถ์แบบสังคมนิยม (Socialist Austerity in Rituals)

รัฐบาลได้เรียกร้องให้มีการ "ปรับปรุงรูปแบบพิธีกรรม" (Streamlining ceremonies) ให้กระชับ ประหยัดเวลา และทรัพยากร 2

  • นัยทางเศรษฐกิจ: ในยามที่ประเทศเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การจัดงานบุญประเพณีที่ฟุ่มเฟือย (เช่น งานบวช งานศพ) ถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ (Economic Waste) รัฐจึงต้องการสร้างบรรทัดฐานใหม่ (New Normal) ของการทำบุญที่เน้นสาระมากกว่ารูปแบบ

  • การแบ่งแยกประเภทงาน: นายกฯ เสนอให้แยกแยะชัดเจนระหว่าง "พิธีการของรัฐ" (Public/Official) กับ "พิธีท้องถิ่น" เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพ สะท้อนความพยายามในการจัดระเบียบวัฒนธรรม (Cultural Standardization) ให้เป็นระบบระเบียบ


4. เศรษฐศาสตร์การเมืองแห่งบุญ: นโยบาย "Kipization" และ "Made in Laos"

ส่วนที่น่าสนใจที่สุดและถือเป็นนวัตกรรมทางนโยบายในการประชุมครั้งนี้ คือการผูกโยง "ศรัทธา" เข้ากับ "นโยบายการเงินและการคลัง" ของประเทศอย่างชัดเจน เพื่อตอบโจทย์วิกฤตค่าเงินกีบและดุลการค้า

4.1 นโยบาย "Kipization of Merit" (การทำบุญด้วยเงินกีบ)

นายกรัฐมนตรีสอนไซได้เรียกร้องให้มีการใช้ "เงินกีบ" ในกิจกรรมการกุศลและทำบุญทางศาสนา 2

  • บริบทปัญหา: ในวัดสำคัญ ๆ ของลาว โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวหรือวัดที่มีความสัมพันธ์กับไทย มักมีการบริจาคและใช้จ่ายด้วยเงินบาทหรือดอลลาร์สหรัฐ (Dollarization) ปรากฏการณ์นี้ทำให้เงินตราต่างประเทศรั่วไหลออกจากระบบธนาคารและลดทอนประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน

  • กลไกทางนโยบาย: การรณรงค์ให้วัดรับบริจาคและชำระค่าใช้จ่ายเป็นเงินกีบ คือความพยายามในการสร้าง "อุปสงค์เทียม" (Artificial Demand) ต่อเงินสกุลท้องถิ่น และสร้างจิตสำนึกชาตินิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Nationalism) ผ่านช่องทางที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสังคม คือ "การทำบุญ"

4.2 ยุทธศาสตร์ "Made in Laos" ในตลาดสินค้าศาสนา

นโยบายสนับสนุนให้ใช้ "จีวรและเครื่องสังฆทานที่ผลิตในลาว" 2 เพื่อลดการนำเข้าสินค้า

  • การวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Analysis): ตลาดสินค้าสังฆภัณฑ์ในลาวส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศไทย ทั้งจีวร ธูป เทียน และถังสังฆทาน ซึ่งส่งผลให้ลาวขาดดุลการค้ากับไทยอย่างต่อเนื่อง

  • การทดแทนการนำเข้า (Import Substitution): รัฐบาลลาวพยายามใช้ตลาดสินค้าศาสนา ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อคงที่ (Inelastic Demand) เป็นพื้นที่นำร่องในการส่งเสริมสินค้าในประเทศ หากพระสงฆ์ซึ่งเป็น "ผู้นำทางความคิด" (Key Opinion Leaders - KOLs) หันมาใช้จีวรฝ้ายทอมือของลาว ก็จะเป็นแบบอย่างให้ฆราวาสหันมานิยมสินค้าไทยน้อยลง

4.3 ตารางวิเคราะห์: ผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจในมิติศาสนา

นโยบายเป้าหมายระยะสั้นเป้าหมายระยะยาวความท้าทายในการปฏิบัติ
ใช้เงินกีบทำบุญลดการใช้เงินบาท/ดอลลาร์ในวัดเสริมสร้างเสถียรภาพค่าเงินกีบ, สร้างค่านิยมรักชาติผู้บริจาคต่างชาติ (โดยเฉพาะไทย) อาจไม่สะดวก, มูลค่าเงินกีบผันผวนทำให้วัดบริหารจัดการยาก
ใช้สินค้า Made in Laosลดการขาดดุลการค้าสินค้าอุปโภคส่งเสริม SME และหัตถกรรมสิ่งทอลาวคุณภาพและราคาของสินค้าลาวอาจยังสู้สินค้าไทยไม่ได้ (Economy of Scale)
ลดทอนความฟุ่มเฟือยลดภาระหนี้สินครัวเรือนจากการจัดงานสร้างวัฒนธรรมการออมและการบริโภคที่ยั่งยืนขัดกับค่านิยม "หน้าตา" ทางสังคม (Social Face) ของเจ้าภาพงานบุญ

5. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้นำและยุทธศาสตร์องค์กร (Sangha Leadership & Organization)

การประชุมครั้งที่ 9 ยังเป็นหมุดหมายของการผลัดใบในระดับโครงสร้างการนำ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อทิศทางของพุทธศาสนาลาวในทศวรรษหน้า

5.1 การเปลี่ยนผ่านผู้นำภายใต้เงาของรัฐ (Transition of Power)

หลังจากการมรณภาพของพระอาจารย์ใหญ่ มหาบุนมา สิมมาพรม และพระอาจารย์ใหญ่ มหางอน ดำรงบุญ 7 องค์กรสงฆ์ลาวได้เข้าสู่ภาวะเปลี่ยนผ่าน รัฐบาลได้ใช้โอกาสในการประชุมครั้งนี้จัดสรรตำแหน่งใน "คณะกรรมการศูนย์กลาง" (Central Committee) ชุดใหม่

  • บทบาทของคณะกรรมการชุดใหม่: รัฐบาลคาดหวังให้คณะกรรมการชุดนี้มีความ "ตื่นตัว" (Active) มากกว่าชุดก่อนๆ ที่มักถูกมองว่าเป็นเพียงตรายาง หรือเน้นเพียงงานพิธีกรรม คณะกรรมการชุดใหม่ต้องทำงานเชิงรุกในการ "ระดมการสนับสนุน" (Mobilize support) จากพุทธศาสนิกชนเพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 และเตรียมเข้าสู่ฉบับที่ 10 1

  • โครงสร้างที่รวมศูนย์: คำสั่งให้คณะกรรมการต้อง "รวมศูนย์" และ "แบ่งงานชัดเจน" 1 แสดงถึงความต้องการของรัฐที่จะขจัดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการสั่งการ (Command and Control)

5.2 การสร้างเอกราชทางภูมิปัญญา: โครงการพระไตรปิฎกฉบับภาษาลาว

นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้ดำเนินการจัดพิมพ์ "พระไตรปิฎกฉบับภาษาลาว" (Lao Tripitaka) ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ 2

  • นัยทางการเมือง: การมีพระไตรปิฎกฉบับภาษาของตนเองเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของ "เอกราชทางศาสนา" (Religious Sovereignty) การลดการพึ่งพาตำราอักษรไทยหรือบาลีอักษรขอม จะช่วยตัดวงจรการครอบงำทางวัฒนธรรมจากเพื่อนบ้าน และเปิดโอกาสให้รัฐสามารถ "คัดสรร" หรือ "เน้นย้ำ" คำสอนที่สอดคล้องกับบริบทสังคมนิยมลาว (Lao Socialist Context) ได้สะดวกขึ้นในการเรียนการสอนปริยัติธรรม


6. บทบาททางสังคมและการพัฒนา: จาก "ผู้รับ" สู่ "ผู้ให้" (From Recipient to Provider)

ในอดีต ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์คือ "เนื้อนาบุญ" หรือผู้รับการถวายทาน แต่ในวิสัยทัศน์ใหม่ของรัฐบาลลาว พระสงฆ์ต้องเปลี่ยนสถานะเป็น "ผู้ให้บริการทางสังคม" (Social Service Providers) อย่างเต็มตัว

6.1 โครงการพุทธศาสนาเพื่อการพัฒนา (Buddhism for Development Project - BDP)

แม้แนวคิดนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้รับการเน้นย้ำให้ขยายผลมากขึ้น โครงการ BDP ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศและรัฐบาล ได้ฝึกอบรมพระสงฆ์ให้เป็นผู้นำชุมชน 14

  • กิจกรรมหลัก: การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Conservation), การสอนหนังสือในพื้นที่ห่างไกล, และการสาธารณสุขมูลฐาน

  • กรณีศึกษาโควิด-19: ความสำเร็จของพระสงฆ์ในการช่วยสื่อสารความเสี่ยงและจัดการศพในช่วงโควิด-19 17 ได้พิสูจน์ให้รัฐเห็นแล้วว่า เครือข่ายวัดมีประสิทธิภาพสูงในการจัดการภาวะวิกฤต รัฐจึงต้องการขยายโมเดลนี้ไปสู่การแก้ปัญหายาเสพติดและความยากจน

6.2 ความท้าทายในยุคดิจิทัล (Digital Sangha)

นายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้พระสงฆ์ใช้ "แพลตฟอร์มการสื่อสารสมัยใหม่" ในการเผยแผ่ธรรมะ 2

  • ดาบสองคม: ในขณะที่โซเชียลมีเดียช่วยให้เข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายขึ้น แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงเรื่อง "ข่าวฉาว" (Scandals) และพฤติกรรมที่ไม่สำรวม ซึ่งอาจทำลายศรัทธาได้อย่างรวดเร็ว (Viral Effect) ดังที่เห็นในกรณีศึกษาของประเทศไทย 19

  • การควบคุม: รัฐบาลจึงกำชับเรื่อง "ระเบียบวินัย" (Vinaya) ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี เพื่อป้องกันไม่ให้พระสงฆ์กลายเป็น "Influencer" ที่ควบคุมไม่ได้ หรือเผยแพร่เนื้อหาที่ขัดต่อแนวทางของพรรค


7. บทวิเคราะห์วิพากษ์: สู่โมเดล "รัฐกำกับพุทธ" (State-Directed Buddhism)

จากการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์นโยบายในการประชุมครั้งที่ 9 สามารถสรุปโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและศาสนาของลาวในยุคปัจจุบันได้ดังนี้:

7.1 การแปร "ทุนทางศีลธรรม" เป็น "ทุนทางการเมือง" (Converting Moral Capital into Political Capital)

รัฐบาลลาวตระหนักว่า ในภาวะที่ "ความชอบธรรมทางเศรษฐกิจ" (Performance Legitimacy) ถดถอยลงจากปัญหาปากท้อง รัฐจำเป็นต้องดึง "ความชอบธรรมทางศีลธรรม" (Moral Legitimacy) จากศาสนามาช่วยค้ำจุน 8 การที่นายกฯ เรียกร้องให้พระสงฆ์สอนให้ประชาชน "เชื่อมั่นในการนำของพรรค" คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของการแลกเปลี่ยนนี้ รัฐให้การอุปถัมภ์และสถานะแก่องค์กรสงฆ์ แลกกับการที่สงฆ์ต้องรับรองสถานะของรัฐ

7.2 ความเสี่ยงของ "พุทธพาณิชย์" ภายใต้การสนับสนุนของรัฐ (State-Sponsored Commodification)

แม้รัฐจะเรียกร้องความมัธยัสถ์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง รัฐก็ใช้วัดเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยว (Tourism Magnet) อย่างเข้มข้น 8 เช่น พระธาตุหลวง หรือวัดในหลวงพระบาง การส่งเสริมให้วัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อดึงเงินตราต่างประเทศ อาจขัดแย้งกับคำสอนเรื่องความสันโดษ และนำไปสู่ข้อครหาเรื่องพุทธพาณิชย์ (Commercialization of Buddhism) 21 ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่รัฐต้องจัดการอย่างระมัดระวัง

7.3 การเปรียบเทียบกับโมเดลเพื่อนบ้าน

มิติสปป. ลาว (Lao PDR)ไทย (Thailand)เวียดนาม (Vietnam)
โครงสร้างองค์กรรวมศูนย์เด็ดขาด (LBFO เดียว)รวมศูนย์แต่มีความหลากหลายนิกาย (มหาเถรสมาคม)รวมศูนย์ภายใต้รัฐ (VBS)
บทบาททางการเมืองสนับสนุนพรรคชัดเจน (State Ally)เป็นกลางตามนิตินัย แต่อิงสถาบันหลักอยู่ภายใต้แนวร่วมปิตุภูมิ (Fatherland Front)
จุดเน้นปัจจุบันเศรษฐกิจชาตินิยม, ต้านยาเสพติดปฏิรูปกฎหมาย, จัดการทรัพย์สินสวัสดิการสังคม, การทูตวัฒนธรรม

8. บทสรุปและทิศทางอนาคต (Conclusion and Future Trajectory)

การประชุมใหญ่ผู้แทนพระสงฆ์ทั่วประเทศ ครั้งที่ 9 เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งของพุทธศาสนาลาว ภายใต้นโยบายของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน สถาบันสงฆ์ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียง "ผู้รักษาประเพณี" อีกต่อไป แต่ถูกยกระดับสถานะขึ้นเป็น "หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชาติ" (Strategic Partner in Nation Building) ที่มีภารกิจรูปธรรมทั้งในด้านเศรษฐกิจ (Kipization, Made in Laos) และความมั่นคงสังคม (Anti-drugs)

ข้อค้นพบสำคัญ:

  1. ศาสนาคือความมั่นคง: รัฐมองว่าความมั่นคงของ อพส. คือความมั่นคงของระบอบการปกครอง หาก อพส. อ่อนแอหรือแตกแยก จะเปิดช่องว่างให้กลุ่มอำนาจอื่นแทรกแซง

  2. เศรษฐกิจนำวิถีพุทธ: นโยบายเศรษฐกิจมหภาคถูกนำมาประยุกต์ใช้ในระดับจุลภาคผ่านกลไกวัด ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารที่น่าจับตามองว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่

  3. การปรับตัวสู่ปี 2026: ทุกกลไกของสงฆ์ถูกปรับจูน (Re-calibrated) เพื่อเป้าหมายใหญ่ของชาติในการหลุดพ้นจากสถานะ LDC ในปี 2026

ความท้าทายในอนาคต:

ความสำเร็จของนโยบายนี้ขึ้นอยู่กับว่า คณะบริหารชุดใหม่ของ อพส. จะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง "คำสั่งรัฐ" กับ "ศรัทธาประชาชน" ได้ดีเพียงใด หากพระสงฆ์กลายเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รัฐในผ้าเหลือง (Bureaucrats in Robes) มากเกินไป อาจเกิดวิกฤตศรัทธาที่ย้อนกลับมาทำร้ายรัฐเอง แต่หากสามารถผสานบทบาทผู้นำจิตวิญญาณเข้ากับการพัฒนาชุมชนได้อย่างกลมกลืน พุทธศาสนาลาวจะเป็นต้นแบบที่น่าสนใจของ "Engaged Buddhism" ในโลกสังคมนิยมยุคใหม่


การวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากข้อมูลและเอกสารที่ปรากฏในช่วงเวลาของการประชุมใหญ่ อพส. ครั้งที่ 9 (ธันวาคม 2025) และบริบทแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...