วิเคราะห์เชิงบูรณาการ: พลวัตแนวคิดธรรมาธิปไตยและการบริหารท้องถิ่นของ ดร.นิยม เวชกามา สู่บริบทการเมืองและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2569
บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่านและนัยสำคัญของ "อำนาจท้องถิ่น"
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี พุทธศักราช 2569 (ค.ศ. 2026) นับเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในระบอบประชาธิปไตยของไทย ภายหลังการสิ้นสุดลงของบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในการร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี
ในบริบทของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ "ภาคอีสาน" ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดและเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ชี้ขาดผลการเลือกตั้ง การต่อสู้ทางความคิดและนโยบายมีความเข้มข้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่อง "การกระจายอำนาจ" และ "ปากท้อง" ของประชาชน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ ดร.นิยม เวชกามา หรือที่รู้จักกันในนาม "มหานิยม" อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร ได้นำเสนอแนวคิดทางการเมืองที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว โดยผสมผสานหลัก "ธรรมาธิปไตย" ทางพุทธศาสนา เข้ากับหลักการ "การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี" ในระบอบประชาธิปไตย แนวคิดหลักที่ท่านยึดถือคือ "ท้องถิ่นต้องเป็นอิสระ" และ "ผมอยากเห็นอำนาจประชาชน อยู่ในพื้นที่" ซึ่งมิใช่เพียงสโลแกนสำหรับการหาเสียง แต่เป็นผลึกทางความคิดที่ผ่านการตกผลึกจากการทำงานในพื้นที่และการทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติมาอย่างยาวนาน
รายงานฉบับนี้มุ่งทำการวิเคราะห์เจาะลึกถึงพัฒนาการทางความคิด บทบาท และยุทธศาสตร์ทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา โดยเน้นหนักที่การสังเคราะห์เนื้อหาจากการอภิปรายครั้งสำคัญในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 เรื่องปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งถือเป็น "Masterpiece" ทางความคิดที่สะท้อนวิสัยทัศน์เรื่องการกระจายอำนาจของท่านอย่างชัดเจนที่สุด นอกจากนี้ รายงานยังจะเชื่อมโยงแนวคิดดังกล่าวเข้ากับการเคลื่อนไหวทางการเมืองล่าสุด การย้ายสังกัดพรรคสู่พรรคพลังประชารัฐ และการประยุกต์ใช้นโยบาย Soft Power ทางธรรม เพื่อประเมินทิศทางและความเป็นไปได้ในสนามเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง ทั้งนี้ การวิเคราะห์จะครอบคลุมถึงมิติทางกฎหมาย รัฐศาสตร์ และพุทธศาสตร์การบริหาร เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครบถ้วนและลุ่มลึกสมบูรณ์
ส่วนที่ 1: รากฐานทางปรัชญาและอุดมการณ์ทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา
1.1 จาก "มหานิยม" สู่ "นักการเมืองท้องถิ่นนิยม": การหล่อหลอมตัวตนทางปัญญา
ดร.นิยม เวชกามา มิใช่นักการเมืองที่เติบโตมาจากสายตระกูลการเมืองหรือกลุ่มธุรกิจท้องถิ่นโดยตรงเฉกเช่นนักการเมืองส่วนใหญ่ในภูมิภาค แต่ท่านมีพื้นฐานมาจากสายวิชาการและทางธรรมที่เข้มข้น โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาพุทธจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
คำว่า "มหานิยม" จึงไม่ได้เป็นเพียงชื่อเล่น แต่สะท้อนถึงสถานะทางสังคม (Social Status) ที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้มีความรู้ทางธรรมและทางโลก การนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้กับการเมือง หรือ "พุทธการเมือง" (Political Buddhism) เป็นจุดเด่นที่ทำให้ ดร.นิยม แตกต่างจากคู่แข่ง ท่านมักอธิบายปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมด้วยกรอบคิดทางพุทธศาสนา เช่น การมองว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำเกิดจากการขาด "ธรรม" ในการบริหาร และทางออกของประเทศต้องอาศัย "สติ" และ "ปัญญา" ของผู้นำ
1.2 "ธรรมาธิปไตย" กับการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่
หัวใจสำคัญของปรัชญาการบริหารของ ดร.นิยม คือหลัก "ธรรมาธิปไตย" (Dhammadhippateyya) ซึ่งหมายถึงการถือธรรมเป็นใหญ่ หรือการยึดความถูกต้องชอบธรรมเป็นหลักในการปกครอง
หลักสันติวิธีและการจัดการความขัดแย้ง: ดร.นิยม มองว่าการบริหารท้องถิ่นที่ดีต้องสามารถระงับอธิกรณ์ หรือความขัดแย้งในชุมชนได้ด้วยปัญญาและการเจรจา ไม่ใช่อำนาจบังคับ
4 การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation): ในมุมมองของ "ธรรมาธิปไตย" ประชาชนไม่ใช่เพียงผู้รับบริการ แต่เป็นหุ้นส่วนในการพัฒนา (Partners in Development) สอดคล้องกับแนวคิด "พุทธบริษัท" ที่ต้องร่วมมือกันจรรโลงสังคม
การกระจายอำนาจสู่ "พื้นที่": ท่านเชื่อว่าอำนาจที่แท้จริงตามธรรมชาติไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางแต่อยู่ที่ "เหตุปัจจัย" ในพื้นที่ ดังนั้น การให้อำนาจการตัดสินใจแก่คนในท้องถิ่นจึงเป็นการบริหารที่สอดคล้องกับ "กฎแห่งธรรม" หรือความเป็นจริงตามธรรมชาติที่สุด
1.3 วาทกรรม "ผมอยากเห็นอำนาจประชาชน อยู่ในพื้นที่": นัยยะทางรัฐศาสตร์
วาทกรรม "ผมอยากเห็นอำนาจประชาชน อยู่ในพื้นที่" มิใช่เพียงคำพูดสวยหรู แต่เป็นการประกาศจุดยืนทางอุดมการณ์ที่ท้าทายโครงสร้าง "รัฐราชการรวมศูนย์" (Centralized Bureaucratic State) ของไทยที่มีมาตั้งแต่การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
ในทางทฤษฎีการกระจายอำนาจ (Decentralization) แนวคิดของ ดร.นิยม สอดคล้องกับรูปแบบ "การถ่ายโอนอำนาจ" (Devolution) มากกว่าเพียงแค่ "การแบ่งอำนาจ" (Deconcentration)
การแบ่งอำนาจ (Deconcentration): เป็นเพียงการที่ส่วนกลางส่งข้าราชการไปประจำภูมิภาค แต่อำนาจตัดสินใจยังอยู่ที่กระทรวง
การถ่ายโอนอำนาจ (Devolution): คือสิ่งที่ ดร.นิยม เรียกร้อง นั่นคือการให้อำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล งบประมาณ และการจัดทำบริการสาธารณะ โดยปราศจากการแทรกแซงที่เกินความจำเป็นจากส่วนกลาง
ท่านมองว่า "พื้นที่" (Area) คือสมรภูมิจริงของการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม หรือความยากจน คนที่รู้ปัญหาดีที่สุดคือคนที่อยู่ในพื้นที่ ดังนั้น "อำนาจ" (Authority) และ "ทรัพยากร" (Resources) จึงควรถูกจัดวางไว้ในที่ที่ปัญหาเกิด เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างทันท่วงทีและตรงจุด
ส่วนที่ 2: การวิเคราะห์บทบาทในสภาผู้แทนราษฎร: หมุดหมายสำคัญวันที่ 17 ธันวาคม 2563
เหตุการณ์ที่ถือเป็นรูปธรรมที่สุดในการขับเคลื่อนแนวคิดการกระจายอำนาจของ ดร.นิยม คือบทบาทของท่านในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563
2.1 บริบทและสาระสำคัญของญัตติ
ในวันดังกล่าว ดร.นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย (สังกัดในขณะนั้น) ได้อภิปรายสนับสนุนญัตติเรื่อง "ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา เรื่องปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น"
จากการวิเคราะห์เนื้อหาการอภิปรายและเอกสารที่เกี่ยวข้อง สามารถจำแนกประเด็นปัญหาที่ ดร.นิยม สะท้อนออกมาได้เป็น 3 มิติหลัก ดังนี้:
ตารางที่ 1: การสังเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะของ อปท. จากการอภิปรายของ ดร.นิยม เวชกามา
| มิติปัญหา (Dimension) | สภาพปัญหาเชิงประจักษ์ (Empirical Evidence) | ผลกระทบต่อ "อำนาจประชาชนในพื้นที่" (Impact on Local Power) | ข้อเสนอเชิงนโยบาย (Policy Proposal) |
| 1. อำนาจทับซ้อน (Overlapping Authority) | กฎหมายเฉพาะกว่า 300 ฉบับของหน่วยงานส่วนกลาง (เช่น กรมป่าไม้, กรมชลประทาน, กรมทางหลวง) ให้อำนาจเหนือพื้นที่ท้องถิ่น ทำให้ อปท. ไม่สามารถพัฒนาแหล่งน้ำหรือถนนในพื้นที่รับผิดชอบของตนเองได้ | ท้องถิ่นกลายเป็นเพียง "ผู้ดูแล" ไม่มีอำนาจ "เจ้าของพื้นที่" อย่างแท้จริง ประชาชนร้องเรียนไปที่ อบต. แต่ อบต. ทำอะไรไม่ได้เพราะติดกฎหมายส่วนกลาง | ต้องแก้กฎหมายเพื่อถ่ายโอนภารกิจและอำนาจการอนุญาต (Licensing Power) ให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นในเรื่องที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐาน |
| 2. กับดักระเบียบและการตรวจสอบ (Regulatory Trap) | สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ ป.ป.ช. ตีความระเบียบการเบิกจ่ายอย่างเคร่งครัดจนขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผู้บริหารท้องถิ่นเกิดความกลัว (Chilling Effect) ไม่กล้าใช้งบประมาณแก้ปัญหาฉุกเฉิน | การแก้ปัญหาความเดือดร้อนล่าช้า ประชาชนเสียโอกาสในการได้รับการบริการสาธารณะที่ดี | ปรับปรุงระเบียบกระทรวงมหาดไทยให้เอื้อต่อการทำงานเชิงรุก และสร้างมาตรฐานการตรวจสอบที่เข้าใจบริบทท้องถิ่น |
| 3. ภารกิจถ่ายโอนที่ไม่สมบูรณ์ (Unfunded Mandate) | รัฐบาลส่วนกลางถ่ายโอนภารกิจ (เช่น รพ.สต., ทางหลวงชนบท, การดูแลผู้สูงอายุ) ให้ท้องถิ่น แต่ไม่ได้ถ่ายโอนงบประมาณและบุคลากรตามมาอย่างเพียงพอ | ท้องถิ่นต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเกินตัว งบพัฒนาด้านอื่นลดลง คุณภาพบริการสาธารณะอาจต่ำลง | รัฐบาลต้องจัดสรรงบอุดหนุนทั่วไป (General Grant) เพิ่มขึ้น และปลดล็อกเพดานการจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่นเอง |
2.2 วาทกรรม "ท้องถิ่นต้องเป็นอิสระ": การตีความในการอภิปราย
ในการอภิปรายครั้งนั้น ดร.นิยม ได้เน้นย้ำว่า "ท้องถิ่นต้องเป็นอิสระ" คำว่า "อิสระ" ในที่นี้ ท่านไม่ได้หมายถึงการแยกตัวเป็นรัฐอิสระ แต่หมายถึง "อิสระในการบริหารจัดการตนเอง" (Autonomy of Self-Management) ภายใต้กรอบของกฎหมาย ท่านยกตัวอย่างปัญหาเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคอีสาน ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำซากที่ท้องถิ่นมีงบประมาณสะสม (เงินสะสม) แต่ไม่สามารถนำมาขุดลอกแหล่งน้ำได้ เพราะติดระเบียบการใช้ที่ดินของหน่วยงานอื่น หรือติดขั้นตอนการขออนุญาตที่ล่าช้าข้ามปี การที่ท่านเรียกร้อง "อิสระ" จึงเป็นการเรียกร้องให้ "ปลดโซ่ตรวน" ทางระเบียบ เพื่อให้เงินของประชาชน (ภาษีท้องถิ่น) สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาของประชาชนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากข้าราชการในกรุงเทพฯ
2.3 ผลสัมฤทธิ์จากการอภิปราย: การกำเนิดคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ผลจากการอภิปรายอย่างเข้มข้นของ ดร.นิยม และเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นำไปสู่มติเอกฉันท์ในการจัดตั้ง "คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะ กิจกรรมสาธารณะ และหาแนวทางในการแก้ไขเรื่องการถ่ายโอนภารกิจด้านการพัฒนาแหล่งน้ำให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร"
การเกิดขึ้นของคณะกรรมาธิการชุดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ:
พื้นที่เจรจา (Negotiation Space): เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ตัวแทนท้องถิ่น (นายก อบจ., นายกเทศมนตรี, นายก อบต.) ได้เข้ามานั่งคุยปัญหากับตัวแทนหน่วยงานส่วนกลาง (สำนักงบประมาณ, กรมบัญชีกลาง, สตง.) โดยมีฝ่ายนิติบัญญัติเป็นคนกลาง
การรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์: คณะกรรมาธิการได้ลงพื้นที่ศึกษาดูงานทั่วประเทศ เช่น จังหวัดเชียงราย ภูเก็ต เพื่อรวบรวมปัญหาที่แท้จริง
12 ทำให้ข้อเสนอแนะที่ออกมามีความหนักแน่นและอ้างอิงจากข้อเท็จจริงบทบาทของ ดร.นิยม: ในฐานะผู้เสนอญัตติและกรรมาธิการ ท่านได้ใช้เวทีนี้ในการซักถามและกดดันให้หน่วยงานราชการชี้แจงเหตุผลของความล่าช้า และเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการจัดการน้ำและการถ่ายโอนภารกิจ
9
ส่วนที่ 3: การประยุกต์ใช้แนวคิดสู่การปฏิบัติ: กรณีศึกษาจังหวัดสกลนคร
แนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจของ ดร.นิยม ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในสภาฯ แต่ถูกนำมาขับเคลื่อนในพื้นที่จังหวัดสกลนครอย่างต่อเนื่อง ผ่านการแก้ปัญหาปากท้องและสิทธิชุมชน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการสร้าง "อำนาจประชาชน"
3.1 ยุทธการ "ทวงคืนสิทธิที่ดิน": กรณีหนองหารและที่ธรณีสงฆ์
หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดของคนอีสานคือเรื่องที่ดินทำกิน ดร.นิยม ได้นำแนวคิด "อำนาจประชาชนอยู่ในพื้นที่" มาใช้ในการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินอย่างเป็นรูปธรรม
ปัญหาที่ดินรอบหนองหาร: ประชาชนจำนวนมากในเขตอำเภอเมืองสกลนครและอำเภอโพนนาแก้ว อาศัยอยู่รอบหนองหารโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่มั่นคง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศให้เป็นที่ดินของรัฐทับซ้อนกับชุมชนดั้งเดิม ดร.นิยม ได้ใช้กลไกสภาฯ ตั้งกระทู้ถามและอภิปรายกดดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดการพิสูจน์สิทธิ์
14 ท่านยืนยันว่า "คนอยู่มาก่อนกฎหมาย" และรัฐต้องเคารพสิทธิของชุมชนในการอยู่อาศัยและทำกินการออกโฉนดที่ดินวัด (ที่ธรณีสงฆ์): ในปี 2568 ดร.นิยม ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีการออกโฉนดที่ดินให้กับวัด โดยเฉพาะวัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ และวัดอื่นๆ ในจังหวัดสกลนคร
15 นัยยะสำคัญ: การทำให้วัดมีโฉนดไม่ใช่แค่เรื่องศาสนา แต่เป็นการสร้างความมั่นคงทางนิติกรรมให้กับศูนย์กลางของชุมชน ตามหลัก "บวร" (บ้าน วัด โรงเรียน) เมื่อวัดมีสิทธิในที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย วัดก็สามารถพัฒนาศาสนสถานและเป็นที่พึ่งของชุมชนได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบุกรุกหรือข้อพิพาทกับรัฐ การดำเนินการนี้สะท้อนความเข้าใจในบริบทสังคมอีสานที่ "วัด" คือหัวใจของการพัฒนาท้องถิ่น
3.2 นโยบาย Soft Power ทางธรรม: เศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานราก
นอกจากการแก้ปัญหาที่ดิน ดร.นิยม ยังมองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เข้าสู่ท้องถิ่นด้วยการใช้ต้นทุนทางวัฒนธรรม โดยเสนอแนวคิดการผลักดัน "การปฏิบัติธรรม" และการท่องเที่ยวเชิงธรรมะ เป็น Soft Power ของจังหวัดสกลนคร
แนวคิด: สกลนครมีชื่อเสียงในฐานะ "เมืองแห่งธรรม" เป็นถิ่นกำเนิดและที่พำนักของพระเกจิอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน (สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) จำนวนมาก เช่น วัดป่าสุทธาวาส วัดถ้ำขาม ดร.นิยม เสนอให้รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาวัดเหล่านี้ให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ (Spiritual Tourism)
การกระจายรายได้: การดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มแสวงบุญและปฏิบัติธรรม จะนำเม็ดเงินกระจายลงสู่ชุมชนโดยตรง ทั้งร้านอาหาร ที่พัก โฮมสเตย์ และสินค้า OTOP แนวคิดนี้เป็นการสร้าง "อำนาจทางเศรษฐกิจ" ให้กับคนในพื้นที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จากภายนอก ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวสกลนคร
ส่วนที่ 4: พลวัตการเมืองสู่การเลือกตั้ง 2569: ยุทธศาสตร์และการปรับตัว
การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569 จะเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับ ดร.นิยม เวชกามา และแนวคิดทางการเมืองของท่าน การเปลี่ยนแปลงสังกัดพรรคการเมืองและบริบทการแข่งขันในพื้นที่จังหวัดสกลนคร เขต 2 มีความซับซ้อนและน่าสนใจยิ่ง
4.1 การย้ายขั้วสู่ "พลังประชารัฐ": เหตุผลและผลกระทบ
การตัดสินใจย้ายจากพรรคเพื่อไทย ไปสังกัด พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของ ดร.นิยม
แรงผลักดัน (Push Factors): ดร.นิยม เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า "ถูกกดดันให้ย้ายด้วยความเจ็บปวด" เนื่องจากพรรคเดิมไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง
14 นี่สะท้อนปัญหาความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง (Intra-party Democracy) ที่การคัดเลือกผู้สมัครมักถูกกำหนดจากส่วนกลาง (Top-down) มากกว่าการฟังเสียงสมาชิกในพื้นที่ยุทธศาสตร์การเมือง (Survival Strategy): การย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและมีทรัพยากรทางการเมืองสูง เป็นทางเลือกเพื่อให้สามารถทำงานในพื้นที่ต่อได้ แต่ความท้าทายคือการอธิบายให้ฐานเสียงเดิมที่นิยมพรรคเพื่อไทยเข้าใจและยอมรับ
4.2 การผสมผสานอุดมการณ์: "บัตรประชารัฐ" บวก "อำนาจท้องถิ่น"
ในการสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 ดร.นิยม จำเป็นต้องสร้าง "จุดขายใหม่" ที่ผสมผสานระหว่างนโยบายประชานิยมของพรรคพลังประชารัฐ กับภาพลักษณ์นักต่อสู้เพื่อท้องถิ่นของตนเอง
นโยบายพรรค: พรรคพลังประชารัฐชูนโยบาย "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" (บัตรลุงป้อม) เพิ่มวงเงินเป็น 700 บาท และมาตรการดูแลผู้สูงอายุ
17 ซึ่งเป็นนโยบายที่ "กินได้" และเป็นที่นิยมในกลุ่มรากหญ้านโยบายส่วนตัว: ดร.นิยม จะต้องนำเสนอนโยบายนี้ควบคู่ไปกับจุดยืนเรื่อง "ที่ดินทำกิน" และ "การกระจายอำนาจ" เพื่อให้เห็นว่าท่านไม่ใช่แค่ผู้แจกเงิน แต่เป็นผู้สร้างโอกาสและความมั่นคงในชีวิต (Empowerment)
4.3 สมรภูมิเลือกตั้งสกลนคร เขต 2 ปี 2569: การวิเคราะห์คู่แข่ง
พื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสกลนคร (อำเภอโพนนาแก้ว, กุสุมาลย์, โคกศรีสุพรรณ, เต่างอย และบางส่วนของอำเภอเมือง) จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างตระกูลการเมืองและพรรคใหญ่
ตารางที่ 2: การวิเคราะห์คู่แข่งขัน (Competitor Analysis) ในเขตเลือกตั้งที่ 2 สกลนคร ปี 2569
| ผู้สมัคร / พรรค | จุดแข็ง (Strengths) | จุดอ่อน (Weaknesses) | กลยุทธ์ที่คาดว่าจะใช้ |
| ดร.นิยม เวชกามา (พลังประชารัฐ) | - ภาพลักษณ์ "มหานิยม" นักวิชาการ/นักธรรมะ - ผลงานช่วยเหลือที่ดินวัดและหนองหาร - ประสบการณ์สภายาวนาน | - กระแสพรรค พปชร. ในอีสานอาจเป็นรองเพื่อไทย/ประชาชน - การย้ายพรรคอาจสร้างความสับสนให้ฐานเสียงเดิม | - เน้นตัวบุคคล (Personal Brand) - ชูนโยบายบัตร 700 บาท + แก้ปัญหาที่ดิน - ใช้เครือข่ายผู้นำท้องถิ่นและกลุ่มศาสนา |
| นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย (เพื่อไทย) | - แบรนด์พรรคเพื่อไทยที่แข็งแกร่งที่สุดในอีสาน - ฐานเสียงเดิมจากเขต 1 ที่ย้ายมา - ทรัพยากรสนับสนุนจากพรรค | - เป็นผู้สมัครย้ายเขต (จากเขต 1 มา เขต 2) อาจต้องสร้างฐานใหม่ - อาจถูกโจมตีเรื่องการแย่งพื้นที่กับคนเดิม | - ชูนโยบายพรรค (Digital Wallet, ค่าแรง) - ปลุกกระแส "แลนด์สไลด์" ไม่เอาเผด็จการ |
| นายภาสพล อุฬารกุล (ประชาชน) | - กระแสพรรคประชาชน (ก้าวไกลเดิม) ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ - ภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ ทายาทอดีต สว. (นายวิญญู) | - ประสบการณ์ทางการเมืองยังน้อย - ฐานเสียงจัดตั้งในระดับหมู่บ้านอาจยังไม่แน่นเท่าบ้านใหญ่ | - เจาะกลุ่ม New Voters และคนเบื่อการเมืองเก่า - เสนอนโยบายเปลี่ยนโครงสร้าง/กระจายอำนาจแบบสุดขั้ว |
| นายชาตรี หล้าพรหม (กล้าธรรม) | - อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ มีฐานเสียงส่วนตัว - เคยชนะ ดร.นิยม ในปี 2566 | - ย้ายไปพรรคใหม่ (กล้าธรรม) ที่ยังไม่มีกระแส - การแข่งขันตัดคะแนนกันเองในกลุ่มอนุรักษ์นิยม | - เน้นลงพื้นที่เข้าถึงชาวบ้าน - ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวและระบบอุปถัมภ์ |
4.4 นัยยะของ "ธรรมาธิปไตย" ในการหาเสียง 2569
ดร.นิยม มีแนวโน้มที่จะใช้หลัก "ธรรมาธิปไตย" เป็นแกนกลางในการสื่อสารทางการเมือง โดยเน้นย้ำว่าการเมืองที่ดีต้องมี "สติ" และ "ปัญญา"
บทสรุป: อนาคตของการกระจายอำนาจภายใต้เงาของ "มหานิยม"
การวิเคราะห์แนวคิดและการกระทำของ ดร.นิยม เวชกามา ชี้ให้เห็นว่า "การเมืองท้องถิ่น" และ "การเมืองระดับชาติ" เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ การต่อสู้เพื่อ "อิสระของท้องถิ่น" ที่ท่านได้เริ่มไว้ผ่านการอภิปรายในสภาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 และการขับเคลื่อนผ่านกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้วางรากฐานทางความคิดที่สำคัญไว้ให้กับสังคมไทย
สำหรับทิศทางสู่การเลือกตั้งปี 2569 บทสรุปที่สำคัญมีดังนี้:
ความยั่งยืนของอุดมการณ์: แม้บริบทพรรคการเมืองจะเปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ของข้อเรียกร้องเรื่อง "อำนาจประชาชนอยู่ในพื้นที่" ของ ดร.นิยม ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในยุคที่ประชาชนต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วจากภาครัฐ การที่ท่านสามารถผลักดันเรื่องโฉนดที่ดินวัดและที่ดินทำกินได้สำเร็จ จะเป็น "ใบเบิกทาง" สำคัญที่ยืนยันความสามารถในการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ
บททดสอบระบบพรรค vs ตัวบุคคล: การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นกรณีศึกษาสำคัญว่า "กระแสพรรค" (เพื่อไทย/ประชาชน) จะสามารถเอาชนะ "ศรัทธาส่วนบุคคล" (มหานิยม) ได้หรือไม่ ในพื้นที่ภาคอีสานที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองเฉพาะตัว
อนาคตการกระจายอำนาจ: ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร ข้อเสนอของ ดร.นิยม เรื่องการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อ อปท. และการให้อิสระแก่ท้องถิ่น จะยังคงเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลชุดใหม่ (หลังปี 2569) ต้องนำไปพิจารณา เพราะตราบใดที่ท้องถิ่นยังถูกมัดมือชกด้วยระเบียบส่วนกลาง ประเทศไทยก็ยากที่จะหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและความเหลื่อมล้ำ
ท้ายที่สุด ดร.นิยม เวชกามา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บทบาทของผู้แทนราษฎรไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการยกมือโหวตในสภา แต่คือการเป็น "สะพานเชื่อม" นำเสียงแห่งความทุกข์ร้อนจาก "พื้นที่" ขึ้นไปเขย่าโครงสร้างอำนาจที่ "ส่วนกลาง" เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ตามปณิธานที่ว่า "ท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศไทยจึงจะมั่นคง"
หมายเหตุ: รายงานการวิจัยฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์ เอกสารบันทึกการประชุมสภาผู้แทนราษฎร บทสัมภาษณ์ และข่าวสารที่ปรากฏในสื่อสาธารณะ เพื่อวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ทางวิชาการและการเมือง


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น