วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ธรรมาธิปไตยบริหารท้องถิ่น ดร.นิยม เวชกามา ชูสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569


วิเคราะห์เชิงบูรณาการ: พลวัตแนวคิดธรรมาธิปไตยและการบริหารท้องถิ่นของ ดร.นิยม เวชกามา สู่บริบทการเมืองและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2569


บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่านและนัยสำคัญของ "อำนาจท้องถิ่น"



การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในปี พุทธศักราช 2569 (ค.ศ. 2026) นับเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในระบอบประชาธิปไตยของไทย ภายหลังการสิ้นสุดลงของบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในการร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี 1 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจนี้ส่งผลให้สมการทางการเมืองกลับมาวางอยู่บนฐานของ "ฉันทามติจากประชาชน" ผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองต่างต้องปรับยุทธศาสตร์ขนานใหญ่เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

ในบริบทของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ "ภาคอีสาน" ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดและเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ชี้ขาดผลการเลือกตั้ง การต่อสู้ทางความคิดและนโยบายมีความเข้มข้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่อง "การกระจายอำนาจ" และ "ปากท้อง" ของประชาชน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ ดร.นิยม เวชกามา หรือที่รู้จักกันในนาม "มหานิยม" อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร ได้นำเสนอแนวคิดทางการเมืองที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว โดยผสมผสานหลัก "ธรรมาธิปไตย" ทางพุทธศาสนา เข้ากับหลักการ "การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี" ในระบอบประชาธิปไตย แนวคิดหลักที่ท่านยึดถือคือ "ท้องถิ่นต้องเป็นอิสระ" และ "ผมอยากเห็นอำนาจประชาชน อยู่ในพื้นที่" ซึ่งมิใช่เพียงสโลแกนสำหรับการหาเสียง แต่เป็นผลึกทางความคิดที่ผ่านการตกผลึกจากการทำงานในพื้นที่และการทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติมาอย่างยาวนาน

รายงานฉบับนี้มุ่งทำการวิเคราะห์เจาะลึกถึงพัฒนาการทางความคิด บทบาท และยุทธศาสตร์ทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา โดยเน้นหนักที่การสังเคราะห์เนื้อหาจากการอภิปรายครั้งสำคัญในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 เรื่องปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งถือเป็น "Masterpiece" ทางความคิดที่สะท้อนวิสัยทัศน์เรื่องการกระจายอำนาจของท่านอย่างชัดเจนที่สุด นอกจากนี้ รายงานยังจะเชื่อมโยงแนวคิดดังกล่าวเข้ากับการเคลื่อนไหวทางการเมืองล่าสุด การย้ายสังกัดพรรคสู่พรรคพลังประชารัฐ และการประยุกต์ใช้นโยบาย Soft Power ทางธรรม เพื่อประเมินทิศทางและความเป็นไปได้ในสนามเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง ทั้งนี้ การวิเคราะห์จะครอบคลุมถึงมิติทางกฎหมาย รัฐศาสตร์ และพุทธศาสตร์การบริหาร เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครบถ้วนและลุ่มลึกสมบูรณ์

ส่วนที่ 1: รากฐานทางปรัชญาและอุดมการณ์ทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา

1.1 จาก "มหานิยม" สู่ "นักการเมืองท้องถิ่นนิยม": การหล่อหลอมตัวตนทางปัญญา

ดร.นิยม เวชกามา มิใช่นักการเมืองที่เติบโตมาจากสายตระกูลการเมืองหรือกลุ่มธุรกิจท้องถิ่นโดยตรงเฉกเช่นนักการเมืองส่วนใหญ่ในภูมิภาค แต่ท่านมีพื้นฐานมาจากสายวิชาการและทางธรรมที่เข้มข้น โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาพุทธจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2 การศึกษาในระดับดุษฎีบัณฑิตนี้ไม่ได้เป็นเพียงใบเบิกทาง แต่ได้กลายเป็นรากฐานทางปัญญาที่สำคัญในการกำหนดทิศทางการทำงานการเมืองของท่าน

คำว่า "มหานิยม" จึงไม่ได้เป็นเพียงชื่อเล่น แต่สะท้อนถึงสถานะทางสังคม (Social Status) ที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้มีความรู้ทางธรรมและทางโลก การนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้กับการเมือง หรือ "พุทธการเมือง" (Political Buddhism) เป็นจุดเด่นที่ทำให้ ดร.นิยม แตกต่างจากคู่แข่ง ท่านมักอธิบายปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมด้วยกรอบคิดทางพุทธศาสนา เช่น การมองว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำเกิดจากการขาด "ธรรม" ในการบริหาร และทางออกของประเทศต้องอาศัย "สติ" และ "ปัญญา" ของผู้นำ 3

1.2 "ธรรมาธิปไตย" กับการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่

หัวใจสำคัญของปรัชญาการบริหารของ ดร.นิยม คือหลัก "ธรรมาธิปไตย" (Dhammadhippateyya) ซึ่งหมายถึงการถือธรรมเป็นใหญ่ หรือการยึดความถูกต้องชอบธรรมเป็นหลักในการปกครอง 4 ในงานวิจัยและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้องกับท่าน ได้มีการขยายความหลักการนี้ไปสู่การบริหารจัดการองค์กรสมัยใหม่ โดยเชื่อมโยงกับหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ใน 3 มิติหลัก:

  1. หลักสันติวิธีและการจัดการความขัดแย้ง: ดร.นิยม มองว่าการบริหารท้องถิ่นที่ดีต้องสามารถระงับอธิกรณ์ หรือความขัดแย้งในชุมชนได้ด้วยปัญญาและการเจรจา ไม่ใช่อำนาจบังคับ 4

  2. การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation): ในมุมมองของ "ธรรมาธิปไตย" ประชาชนไม่ใช่เพียงผู้รับบริการ แต่เป็นหุ้นส่วนในการพัฒนา (Partners in Development) สอดคล้องกับแนวคิด "พุทธบริษัท" ที่ต้องร่วมมือกันจรรโลงสังคม

  3. การกระจายอำนาจสู่ "พื้นที่": ท่านเชื่อว่าอำนาจที่แท้จริงตามธรรมชาติไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลางแต่อยู่ที่ "เหตุปัจจัย" ในพื้นที่ ดังนั้น การให้อำนาจการตัดสินใจแก่คนในท้องถิ่นจึงเป็นการบริหารที่สอดคล้องกับ "กฎแห่งธรรม" หรือความเป็นจริงตามธรรมชาติที่สุด

1.3 วาทกรรม "ผมอยากเห็นอำนาจประชาชน อยู่ในพื้นที่": นัยยะทางรัฐศาสตร์

วาทกรรม "ผมอยากเห็นอำนาจประชาชน อยู่ในพื้นที่" มิใช่เพียงคำพูดสวยหรู แต่เป็นการประกาศจุดยืนทางอุดมการณ์ที่ท้าทายโครงสร้าง "รัฐราชการรวมศูนย์" (Centralized Bureaucratic State) ของไทยที่มีมาตั้งแต่การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5

ในทางทฤษฎีการกระจายอำนาจ (Decentralization) แนวคิดของ ดร.นิยม สอดคล้องกับรูปแบบ "การถ่ายโอนอำนาจ" (Devolution) มากกว่าเพียงแค่ "การแบ่งอำนาจ" (Deconcentration) 5 กล่าวคือ:

  • การแบ่งอำนาจ (Deconcentration): เป็นเพียงการที่ส่วนกลางส่งข้าราชการไปประจำภูมิภาค แต่อำนาจตัดสินใจยังอยู่ที่กระทรวง

  • การถ่ายโอนอำนาจ (Devolution): คือสิ่งที่ ดร.นิยม เรียกร้อง นั่นคือการให้อำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล งบประมาณ และการจัดทำบริการสาธารณะ โดยปราศจากการแทรกแซงที่เกินความจำเป็นจากส่วนกลาง

ท่านมองว่า "พื้นที่" (Area) คือสมรภูมิจริงของการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม หรือความยากจน คนที่รู้ปัญหาดีที่สุดคือคนที่อยู่ในพื้นที่ ดังนั้น "อำนาจ" (Authority) และ "ทรัพยากร" (Resources) จึงควรถูกจัดวางไว้ในที่ที่ปัญหาเกิด เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างทันท่วงทีและตรงจุด

ส่วนที่ 2: การวิเคราะห์บทบาทในสภาผู้แทนราษฎร: หมุดหมายสำคัญวันที่ 17 ธันวาคม 2563

เหตุการณ์ที่ถือเป็นรูปธรรมที่สุดในการขับเคลื่อนแนวคิดการกระจายอำนาจของ ดร.นิยม คือบทบาทของท่านในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 2 ครั้งที่ 9 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 7 ในวันดังกล่าว ท่านได้ลุกขึ้นอภิปรายเพื่อเสนอญัตติและสนับสนุนการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะฯ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการนำปัญหา "ใต้พรม" ของท้องถิ่นขึ้นมาวางบนโต๊ะเจรจาระดับชาติ

2.1 บริบทและสาระสำคัญของญัตติ

ในวันดังกล่าว ดร.นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย (สังกัดในขณะนั้น) ได้อภิปรายสนับสนุนญัตติเรื่อง "ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา เรื่องปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" 7 การอภิปรายของท่านไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการของบประมาณเพิ่ม แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึง "ความพิการเชิงโครงสร้าง" ของระบบบริหารราชการไทยที่กดทับศักยภาพของท้องถิ่น

จากการวิเคราะห์เนื้อหาการอภิปรายและเอกสารที่เกี่ยวข้อง สามารถจำแนกประเด็นปัญหาที่ ดร.นิยม สะท้อนออกมาได้เป็น 3 มิติหลัก ดังนี้:

ตารางที่ 1: การสังเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะของ อปท. จากการอภิปรายของ ดร.นิยม เวชกามา

มิติปัญหา (Dimension)สภาพปัญหาเชิงประจักษ์ (Empirical Evidence)ผลกระทบต่อ "อำนาจประชาชนในพื้นที่" (Impact on Local Power)ข้อเสนอเชิงนโยบาย (Policy Proposal)
1. อำนาจทับซ้อน (Overlapping Authority)

กฎหมายเฉพาะกว่า 300 ฉบับของหน่วยงานส่วนกลาง (เช่น กรมป่าไม้, กรมชลประทาน, กรมทางหลวง) ให้อำนาจเหนือพื้นที่ท้องถิ่น ทำให้ อปท. ไม่สามารถพัฒนาแหล่งน้ำหรือถนนในพื้นที่รับผิดชอบของตนเองได้ 8

ท้องถิ่นกลายเป็นเพียง "ผู้ดูแล" ไม่มีอำนาจ "เจ้าของพื้นที่" อย่างแท้จริง ประชาชนร้องเรียนไปที่ อบต. แต่ อบต. ทำอะไรไม่ได้เพราะติดกฎหมายส่วนกลางต้องแก้กฎหมายเพื่อถ่ายโอนภารกิจและอำนาจการอนุญาต (Licensing Power) ให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นในเรื่องที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐาน
2. กับดักระเบียบและการตรวจสอบ (Regulatory Trap)สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ ป.ป.ช. ตีความระเบียบการเบิกจ่ายอย่างเคร่งครัดจนขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผู้บริหารท้องถิ่นเกิดความกลัว (Chilling Effect) ไม่กล้าใช้งบประมาณแก้ปัญหาฉุกเฉินการแก้ปัญหาความเดือดร้อนล่าช้า ประชาชนเสียโอกาสในการได้รับการบริการสาธารณะที่ดีปรับปรุงระเบียบกระทรวงมหาดไทยให้เอื้อต่อการทำงานเชิงรุก และสร้างมาตรฐานการตรวจสอบที่เข้าใจบริบทท้องถิ่น
3. ภารกิจถ่ายโอนที่ไม่สมบูรณ์ (Unfunded Mandate)รัฐบาลส่วนกลางถ่ายโอนภารกิจ (เช่น รพ.สต., ทางหลวงชนบท, การดูแลผู้สูงอายุ) ให้ท้องถิ่น แต่ไม่ได้ถ่ายโอนงบประมาณและบุคลากรตามมาอย่างเพียงพอท้องถิ่นต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเกินตัว งบพัฒนาด้านอื่นลดลง คุณภาพบริการสาธารณะอาจต่ำลงรัฐบาลต้องจัดสรรงบอุดหนุนทั่วไป (General Grant) เพิ่มขึ้น และปลดล็อกเพดานการจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่นเอง

2.2 วาทกรรม "ท้องถิ่นต้องเป็นอิสระ": การตีความในการอภิปราย

ในการอภิปรายครั้งนั้น ดร.นิยม ได้เน้นย้ำว่า "ท้องถิ่นต้องเป็นอิสระ" คำว่า "อิสระ" ในที่นี้ ท่านไม่ได้หมายถึงการแยกตัวเป็นรัฐอิสระ แต่หมายถึง "อิสระในการบริหารจัดการตนเอง" (Autonomy of Self-Management) ภายใต้กรอบของกฎหมาย ท่านยกตัวอย่างปัญหาเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคอีสาน ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำซากที่ท้องถิ่นมีงบประมาณสะสม (เงินสะสม) แต่ไม่สามารถนำมาขุดลอกแหล่งน้ำได้ เพราะติดระเบียบการใช้ที่ดินของหน่วยงานอื่น หรือติดขั้นตอนการขออนุญาตที่ล่าช้าข้ามปี การที่ท่านเรียกร้อง "อิสระ" จึงเป็นการเรียกร้องให้ "ปลดโซ่ตรวน" ทางระเบียบ เพื่อให้เงินของประชาชน (ภาษีท้องถิ่น) สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาของประชาชนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากข้าราชการในกรุงเทพฯ

2.3 ผลสัมฤทธิ์จากการอภิปราย: การกำเนิดคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ

ผลจากการอภิปรายอย่างเข้มข้นของ ดร.นิยม และเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นำไปสู่มติเอกฉันท์ในการจัดตั้ง "คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาอุปสรรคในการจัดบริการสาธารณะ กิจกรรมสาธารณะ และหาแนวทางในการแก้ไขเรื่องการถ่ายโอนภารกิจด้านการพัฒนาแหล่งน้ำให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎร" 7

การเกิดขึ้นของคณะกรรมาธิการชุดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ:

  1. พื้นที่เจรจา (Negotiation Space): เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ตัวแทนท้องถิ่น (นายก อบจ., นายกเทศมนตรี, นายก อบต.) ได้เข้ามานั่งคุยปัญหากับตัวแทนหน่วยงานส่วนกลาง (สำนักงบประมาณ, กรมบัญชีกลาง, สตง.) โดยมีฝ่ายนิติบัญญัติเป็นคนกลาง

  2. การรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์: คณะกรรมาธิการได้ลงพื้นที่ศึกษาดูงานทั่วประเทศ เช่น จังหวัดเชียงราย ภูเก็ต เพื่อรวบรวมปัญหาที่แท้จริง 12 ทำให้ข้อเสนอแนะที่ออกมามีความหนักแน่นและอ้างอิงจากข้อเท็จจริง

  3. บทบาทของ ดร.นิยม: ในฐานะผู้เสนอญัตติและกรรมาธิการ ท่านได้ใช้เวทีนี้ในการซักถามและกดดันให้หน่วยงานราชการชี้แจงเหตุผลของความล่าช้า และเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการจัดการน้ำและการถ่ายโอนภารกิจ 9

ส่วนที่ 3: การประยุกต์ใช้แนวคิดสู่การปฏิบัติ: กรณีศึกษาจังหวัดสกลนคร

แนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจของ ดร.นิยม ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในสภาฯ แต่ถูกนำมาขับเคลื่อนในพื้นที่จังหวัดสกลนครอย่างต่อเนื่อง ผ่านการแก้ปัญหาปากท้องและสิทธิชุมชน ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการสร้าง "อำนาจประชาชน"

3.1 ยุทธการ "ทวงคืนสิทธิที่ดิน": กรณีหนองหารและที่ธรณีสงฆ์

หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดของคนอีสานคือเรื่องที่ดินทำกิน ดร.นิยม ได้นำแนวคิด "อำนาจประชาชนอยู่ในพื้นที่" มาใช้ในการต่อสู้เรื่องสิทธิที่ดินอย่างเป็นรูปธรรม

  • ปัญหาที่ดินรอบหนองหาร: ประชาชนจำนวนมากในเขตอำเภอเมืองสกลนครและอำเภอโพนนาแก้ว อาศัยอยู่รอบหนองหารโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่มั่นคง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศให้เป็นที่ดินของรัฐทับซ้อนกับชุมชนดั้งเดิม ดร.นิยม ได้ใช้กลไกสภาฯ ตั้งกระทู้ถามและอภิปรายกดดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดการพิสูจน์สิทธิ์ 14 ท่านยืนยันว่า "คนอยู่มาก่อนกฎหมาย" และรัฐต้องเคารพสิทธิของชุมชนในการอยู่อาศัยและทำกิน

  • การออกโฉนดที่ดินวัด (ที่ธรณีสงฆ์): ในปี 2568 ดร.นิยม ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีการออกโฉนดที่ดินให้กับวัด โดยเฉพาะวัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ และวัดอื่นๆ ในจังหวัดสกลนคร 15

    • นัยยะสำคัญ: การทำให้วัดมีโฉนดไม่ใช่แค่เรื่องศาสนา แต่เป็นการสร้างความมั่นคงทางนิติกรรมให้กับศูนย์กลางของชุมชน ตามหลัก "บวร" (บ้าน วัด โรงเรียน) เมื่อวัดมีสิทธิในที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย วัดก็สามารถพัฒนาศาสนสถานและเป็นที่พึ่งของชุมชนได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบุกรุกหรือข้อพิพาทกับรัฐ การดำเนินการนี้สะท้อนความเข้าใจในบริบทสังคมอีสานที่ "วัด" คือหัวใจของการพัฒนาท้องถิ่น

3.2 นโยบาย Soft Power ทางธรรม: เศรษฐกิจสร้างสรรค์ฐานราก

นอกจากการแก้ปัญหาที่ดิน ดร.นิยม ยังมองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เข้าสู่ท้องถิ่นด้วยการใช้ต้นทุนทางวัฒนธรรม โดยเสนอแนวคิดการผลักดัน "การปฏิบัติธรรม" และการท่องเที่ยวเชิงธรรมะ เป็น Soft Power ของจังหวัดสกลนคร 16

  • แนวคิด: สกลนครมีชื่อเสียงในฐานะ "เมืองแห่งธรรม" เป็นถิ่นกำเนิดและที่พำนักของพระเกจิอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน (สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) จำนวนมาก เช่น วัดป่าสุทธาวาส วัดถ้ำขาม ดร.นิยม เสนอให้รัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาวัดเหล่านี้ให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ (Spiritual Tourism)

  • การกระจายรายได้: การดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มแสวงบุญและปฏิบัติธรรม จะนำเม็ดเงินกระจายลงสู่ชุมชนโดยตรง ทั้งร้านอาหาร ที่พัก โฮมสเตย์ และสินค้า OTOP แนวคิดนี้เป็นการสร้าง "อำนาจทางเศรษฐกิจ" ให้กับคนในพื้นที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จากภายนอก ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวสกลนคร

ส่วนที่ 4: พลวัตการเมืองสู่การเลือกตั้ง 2569: ยุทธศาสตร์และการปรับตัว

การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2569 จะเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับ ดร.นิยม เวชกามา และแนวคิดทางการเมืองของท่าน การเปลี่ยนแปลงสังกัดพรรคการเมืองและบริบทการแข่งขันในพื้นที่จังหวัดสกลนคร เขต 2 มีความซับซ้อนและน่าสนใจยิ่ง

4.1 การย้ายขั้วสู่ "พลังประชารัฐ": เหตุผลและผลกระทบ

การตัดสินใจย้ายจากพรรคเพื่อไทย ไปสังกัด พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของ ดร.นิยม 14 เป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งมากในภาคอีสาน

  • แรงผลักดัน (Push Factors): ดร.นิยม เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า "ถูกกดดันให้ย้ายด้วยความเจ็บปวด" เนื่องจากพรรคเดิมไม่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง 14 นี่สะท้อนปัญหาความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง (Intra-party Democracy) ที่การคัดเลือกผู้สมัครมักถูกกำหนดจากส่วนกลาง (Top-down) มากกว่าการฟังเสียงสมาชิกในพื้นที่

  • ยุทธศาสตร์การเมือง (Survival Strategy): การย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลและมีทรัพยากรทางการเมืองสูง เป็นทางเลือกเพื่อให้สามารถทำงานในพื้นที่ต่อได้ แต่ความท้าทายคือการอธิบายให้ฐานเสียงเดิมที่นิยมพรรคเพื่อไทยเข้าใจและยอมรับ

4.2 การผสมผสานอุดมการณ์: "บัตรประชารัฐ" บวก "อำนาจท้องถิ่น"

ในการสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 ดร.นิยม จำเป็นต้องสร้าง "จุดขายใหม่" ที่ผสมผสานระหว่างนโยบายประชานิยมของพรรคพลังประชารัฐ กับภาพลักษณ์นักต่อสู้เพื่อท้องถิ่นของตนเอง

  • นโยบายพรรค: พรรคพลังประชารัฐชูนโยบาย "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" (บัตรลุงป้อม) เพิ่มวงเงินเป็น 700 บาท และมาตรการดูแลผู้สูงอายุ 17 ซึ่งเป็นนโยบายที่ "กินได้" และเป็นที่นิยมในกลุ่มรากหญ้า

  • นโยบายส่วนตัว: ดร.นิยม จะต้องนำเสนอนโยบายนี้ควบคู่ไปกับจุดยืนเรื่อง "ที่ดินทำกิน" และ "การกระจายอำนาจ" เพื่อให้เห็นว่าท่านไม่ใช่แค่ผู้แจกเงิน แต่เป็นผู้สร้างโอกาสและความมั่นคงในชีวิต (Empowerment)

4.3 สมรภูมิเลือกตั้งสกลนคร เขต 2 ปี 2569: การวิเคราะห์คู่แข่ง

พื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสกลนคร (อำเภอโพนนาแก้ว, กุสุมาลย์, โคกศรีสุพรรณ, เต่างอย และบางส่วนของอำเภอเมือง) จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างตระกูลการเมืองและพรรคใหญ่ 14:

ตารางที่ 2: การวิเคราะห์คู่แข่งขัน (Competitor Analysis) ในเขตเลือกตั้งที่ 2 สกลนคร ปี 2569

ผู้สมัคร / พรรคจุดแข็ง (Strengths)จุดอ่อน (Weaknesses)กลยุทธ์ที่คาดว่าจะใช้
ดร.นิยม เวชกามา (พลังประชารัฐ)

- ภาพลักษณ์ "มหานิยม" นักวิชาการ/นักธรรมะ


- ผลงานช่วยเหลือที่ดินวัดและหนองหาร


- ประสบการณ์สภายาวนาน

- กระแสพรรค พปชร. ในอีสานอาจเป็นรองเพื่อไทย/ประชาชน


- การย้ายพรรคอาจสร้างความสับสนให้ฐานเสียงเดิม

- เน้นตัวบุคคล (Personal Brand)


- ชูนโยบายบัตร 700 บาท + แก้ปัญหาที่ดิน


- ใช้เครือข่ายผู้นำท้องถิ่นและกลุ่มศาสนา

นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย (เพื่อไทย)

- แบรนด์พรรคเพื่อไทยที่แข็งแกร่งที่สุดในอีสาน


- ฐานเสียงเดิมจากเขต 1 ที่ย้ายมา


- ทรัพยากรสนับสนุนจากพรรค

- เป็นผู้สมัครย้ายเขต (จากเขต 1 มา เขต 2) อาจต้องสร้างฐานใหม่


- อาจถูกโจมตีเรื่องการแย่งพื้นที่กับคนเดิม

- ชูนโยบายพรรค (Digital Wallet, ค่าแรง)


- ปลุกกระแส "แลนด์สไลด์" ไม่เอาเผด็จการ

นายภาสพล อุฬารกุล (ประชาชน)

- กระแสพรรคประชาชน (ก้าวไกลเดิม) ในกลุ่มคนรุ่นใหม่


- ภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ ทายาทอดีต สว. (นายวิญญู)

- ประสบการณ์ทางการเมืองยังน้อย


- ฐานเสียงจัดตั้งในระดับหมู่บ้านอาจยังไม่แน่นเท่าบ้านใหญ่

- เจาะกลุ่ม New Voters และคนเบื่อการเมืองเก่า


- เสนอนโยบายเปลี่ยนโครงสร้าง/กระจายอำนาจแบบสุดขั้ว

นายชาตรี หล้าพรหม (กล้าธรรม)

- อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ มีฐานเสียงส่วนตัว


- เคยชนะ ดร.นิยม ในปี 2566

- ย้ายไปพรรคใหม่ (กล้าธรรม) ที่ยังไม่มีกระแส


- การแข่งขันตัดคะแนนกันเองในกลุ่มอนุรักษ์นิยม

- เน้นลงพื้นที่เข้าถึงชาวบ้าน


- ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวและระบบอุปถัมภ์

4.4 นัยยะของ "ธรรมาธิปไตย" ในการหาเสียง 2569

ดร.นิยม มีแนวโน้มที่จะใช้หลัก "ธรรมาธิปไตย" เป็นแกนกลางในการสื่อสารทางการเมือง โดยเน้นย้ำว่าการเมืองที่ดีต้องมี "สติ" และ "ปัญญา" 3 ท่านอาจวางตำแหน่งตัวเองเป็น "ทางสายกลาง" (Middle Path) ที่อยู่เหนือความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจ โดยนำเสนอว่า "ไม่ว่าพรรคใดจะเป็นรัฐบาล แต่คนสกลนครต้องมีตัวแทนที่เข้าใจปัญหาท้องถิ่นและกล้าพูดความจริงในสภา" ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกประนีประนอมแบบนักวิชาการของท่าน

บทสรุป: อนาคตของการกระจายอำนาจภายใต้เงาของ "มหานิยม"

การวิเคราะห์แนวคิดและการกระทำของ ดร.นิยม เวชกามา ชี้ให้เห็นว่า "การเมืองท้องถิ่น" และ "การเมืองระดับชาติ" เป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ การต่อสู้เพื่อ "อิสระของท้องถิ่น" ที่ท่านได้เริ่มไว้ผ่านการอภิปรายในสภาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 และการขับเคลื่อนผ่านกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้วางรากฐานทางความคิดที่สำคัญไว้ให้กับสังคมไทย

สำหรับทิศทางสู่การเลือกตั้งปี 2569 บทสรุปที่สำคัญมีดังนี้:

  1. ความยั่งยืนของอุดมการณ์: แม้บริบทพรรคการเมืองจะเปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ของข้อเรียกร้องเรื่อง "อำนาจประชาชนอยู่ในพื้นที่" ของ ดร.นิยม ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในยุคที่ประชาชนต้องการการตอบสนองที่รวดเร็วจากภาครัฐ การที่ท่านสามารถผลักดันเรื่องโฉนดที่ดินวัดและที่ดินทำกินได้สำเร็จ จะเป็น "ใบเบิกทาง" สำคัญที่ยืนยันความสามารถในการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ

  2. บททดสอบระบบพรรค vs ตัวบุคคล: การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นกรณีศึกษาสำคัญว่า "กระแสพรรค" (เพื่อไทย/ประชาชน) จะสามารถเอาชนะ "ศรัทธาส่วนบุคคล" (มหานิยม) ได้หรือไม่ ในพื้นที่ภาคอีสานที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองเฉพาะตัว

  3. อนาคตการกระจายอำนาจ: ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร ข้อเสนอของ ดร.นิยม เรื่องการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อ อปท. และการให้อิสระแก่ท้องถิ่น จะยังคงเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลชุดใหม่ (หลังปี 2569) ต้องนำไปพิจารณา เพราะตราบใดที่ท้องถิ่นยังถูกมัดมือชกด้วยระเบียบส่วนกลาง ประเทศไทยก็ยากที่จะหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและความเหลื่อมล้ำ

ท้ายที่สุด ดร.นิยม เวชกามา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บทบาทของผู้แทนราษฎรไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการยกมือโหวตในสภา แต่คือการเป็น "สะพานเชื่อม" นำเสียงแห่งความทุกข์ร้อนจาก "พื้นที่" ขึ้นไปเขย่าโครงสร้างอำนาจที่ "ส่วนกลาง" เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ตามปณิธานที่ว่า "ท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศไทยจึงจะมั่นคง"


หมายเหตุ: รายงานการวิจัยฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นจากการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์ เอกสารบันทึกการประชุมสภาผู้แทนราษฎร บทสัมภาษณ์ และข่าวสารที่ปรากฏในสื่อสาธารณะ เพื่อวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ทางวิชาการและการเมือง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ธรรมาธิปไตยบริหารท้องถิ่น ดร.นิยม เวชกามา ชูสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569

วิเคราะห์เชิงบูรณาการ: พลวัตแนวคิดธรรมาธิปไตยและการบริหารท้องถิ่นของ ดร.นิยม เวชกามา สู่บริบทการเมืองและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ...