วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการสืบค้นพระไตรปิฎก: บูรณาการนวัตกรรมมนุษยศาสตร์ดิจิทัลและเสียงสะท้อนจากประชาคมวิชาการ
บทสรุปผู้บริหาร
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอผลการศึกษาวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการสืบค้นพระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์แนวทางการพัฒนาระบบสารสนเทศที่สอดคล้องกับพันธกิจของ สถาบันพระไตรปิฎกศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งานในยุคดิจิทัล การศึกษาครั้งนี้ได้บูรณาการข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมทางวิชาการ (Documentary Research) เข้ากับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการจัดประชุมกลุ่มย่อยและการสัมมนาออนไลน์ (Focus Group & Online Seminars) ภายใต้โครงการ "พระไตรปิฎก: คลังธรรมแห่งชีวิต ปัญญา และสังคม"
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีพระพุทธศาสนา (Buddhist Technology Landscape) ในปัจจุบันกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ จากยุค "Digitization" (การแปลงสื่อสิ่งพิมพ์เป็นดิจิทัล) สู่ยุค "Digitalization" (การใช้ข้อมูลดิจิทัลเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ใหม่) แพลตฟอร์มที่มีอยู่เดิม เช่น BUDSIR และ E-Tipitaka แม้จะเป็นรากฐานที่สำคัญ แต่เริ่มมีข้อจำกัดด้านสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์และการรองรับพฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไป การวิเคราะห์เสียงสะท้อนจากกลุ่มเป้าหมาย—ซึ่งประกอบด้วยพระภิกษุสงฆ์ นักวิชาการ และพุทธศาสนิกชน—บ่งชี้ถึงความต้องการระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่มีความยืดหยุ่น รองรับการทำงานข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform) และมีขีดความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP) เพื่อทลายกำแพงทางภาษาบาลี
รายงานฉบับนี้ขอเสนอแผนแม่บททางยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนา "MCU Smart Tipitaka Platform" ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และฐานข้อมูลเชิงความหมาย (Semantic Web) เพื่อยกระดับการศึกษาพระไตรปิฎกสู่มาตรฐานสากล พร้อมทั้งรักษาอัตลักษณ์และจารีตแห่งเถรวาทไว้อย่างมั่นคง
1. บทนำ: พลวัตของพระไตรปิฎกในบริบทโลกดิจิทัลและมนุษยศาสตร์
1.1 ความสำคัญของปัญหาวิจัย
ในทศวรรษที่ผ่านมา ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อวิธีการรวบรวม รักษา และเผยแผ่องค์ความรู้ทางศาสนา พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคัมภีร์สูงสุดในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้ถูกนำเข้าสู่กระบวนการดิจิทัล (Digitization) มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เริ่มต้นด้วยโครงการ BUDSIR ของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกในขณะนั้น
สถาบันพระไตรปิฎกศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีพันธกิจโดยตรงในการดูแลรักษาพระคัมภีร์ ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการ "ปฏิรูป" ระบบสารสนเทศเพื่อการสืบค้น โดยต้องก้าวข้ามจากการเป็นเพียง "ห้องสมุดเก็บไฟล์ดิจิทัล" (Digital Archive) ไปสู่การเป็น "ฐานข้อมูลอัจฉริยะ" (Intelligent Knowledge Base) ที่สามารถเชื่อมโยงความรู้ข้ามวัฒนธรรม ข้ามภาษา และข้ามยุคสมัยได้อย่างไร้รอยต่อ
1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ:
เพื่อวิเคราะห์สถานะปัจจุบัน (State of the Art) ของเทคโนโลยีการสืบค้นพระไตรปิฎกทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
เพื่อสังเคราะห์ความต้องการและปัญหาของผู้ใช้งาน (Pain Points) ผ่านกระบวนการประชุมโฟกัสกรุ๊ปและการมีส่วนร่วมของชุมชนวิชาการ มจร
เพื่อนำเสนอกรอบแนวคิดและสถาปัตยกรรมระบบ (System Architecture) สำหรับแพลตฟอร์มสืบค้นพระไตรปิฎกยุคใหม่
1.3 ระเบียบวิธีวิจัย: การบูรณาการข้อมูลเชิงเอกสารและเชิงประจักษ์
รายงานฉบับนี้ใช้วิธีวิทยาแบบผสมผสาน (Mixed Methods) โดยเริ่มจากการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) เพื่อรวบรวมข้อมูลทางเทคนิคและประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มต่างๆ ควบคู่ไปกับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการถอดบทเรียนจากการจัดกิจกรรมวิชาการของสถาบันพระไตรปิฎกศึกษา ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเวทีระดมสมอง (Focus Group Discussion) จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่แท้จริง ทั้งผู้บริหาร คณาจารย์ และนิสิตของมหาวิทยาลัย
2. สถาบันพระไตรปิฎกศึกษา: พันธกิจทางประวัติศาสตร์สู่ความท้าทายอนาคต
การทำความเข้าใจบริบทขององค์กรผู้พัฒนาเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการกำหนดทิศทางของแพลตฟอร์ม ส่วนนี้จะวิเคราะห์พัฒนาการและบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของสถาบันพระไตรปิฎกศึกษา
2.1 พัฒนาการจาก "กลุ่มงาน" สู่ "สถาบันระดับชาติ"
สถาบันพระไตรปิฎกศึกษา (Tripitaka Studies Institute) มิได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ แต่มีรากฐานมาจากความพยายามอันยาวนานของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในการสร้างมาตรฐานการศึกษาคัมภีร์ เดิมทีหน่วยงานนี้คือ "กลุ่มงานคัมภีร์พุทธศาสน์" สังกัดกองวิชาการ ซึ่งรับผิดชอบภารกิจเฉพาะด้านในการตรวจชำระคัมภีร์
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568 สถาบันได้จัดพิธีทำบุญครบรอบ 7 ปี การก่อตั้ง โดยมีพระพรหมวัชรธีราจารย์ ศาสตราจารย์ ดร. อธิการบดี เป็นประธาน
2.2 การวิเคราะห์พันธกิจ 4 ด้าน (The Four Pillars Strategy)
การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลต้องตอบสนองต่อพันธกิจหลัก 4 ประการของสถาบันอย่างครบถ้วน
| พันธกิจ (Mission) | นัยสำคัญต่อการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล |
| 1. รวบรวมและอนุรักษ์ (Collection & Preservation) | ระบบต้องรองรับการจัดเก็บไฟล์ภาพดิจิทัล (Digitized Manuscripts) ความละเอียดสูง และ Metadata ตามมาตรฐานสากล (เช่น Dublin Core, TEI) เพื่อเป็นคลังข้อมูลถาวร |
| 2. ปริวรรตและแปล (Transliteration & Translation) | แพลตฟอร์มต้องมีเครื่องมือช่วยนักวิชาการ (Computer-Assisted Translation) ในการปริวรรตอักษรขอม/ธรรม/พม่า เป็นไทย และระบบ Translation Memory สำหรับงานแปล |
| 3. วิจัย (Research) | ต้องมีเครื่องมือสืบค้นขั้นสูง (Advanced Search) การวิเคราะห์ความถี่คำ (Word Frequency) และการเชื่อมโยงข้อมูล (Hyperlinking) เพื่อสนับสนุนการทำวิทยานิพนธ์และงานวิจัย |
| 4. เผยแผ่และบริการวิชาการ (Propagation & Service) | User Interface (UI) ต้องใช้งานง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป รองรับ Mobile Devices และมีช่องทางเผยแพร่ผ่าน Social Media integration |
การวิเคราะห์พันธกิจชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มใหม่ไม่สามารถเป็นเพียง "Search Engine" แบบ Google ได้ แต่ต้องเป็น "Research Environment" (สภาพแวดล้อมเพื่อการวิจัย) ที่ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ (การเก็บรักษา) จนถึงปลายน้ำ (การเผยแผ่)
3. เสียงสะท้อนจากประชาคม: การวิเคราะห์ข้อมูลจากการประชุมโฟกัสกรุ๊ป
หัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบสารสนเทศที่ยั่งยืนคือการยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-Centered Design) รายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการดำเนินงานโครงการ "พระไตรปิฎก: คลังธรรมแห่งชีวิต ปัญญา และสังคม" ประจำปีงบประมาณ 2568 ซึ่งจัดขึ้นผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting ทุกวันเสาร์ (เช่น วันที่ 14, 21 มิถุนายน และตลอดเดือนกรกฎาคม 2568)
3.1 องค์ประกอบของผู้เข้าร่วมและการจำแนกกลุ่มเป้าหมาย (User Segmentation)
จากการสังเกตการณ์และวิเคราะห์กลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรม สามารถจำแนก Persona ของผู้ใช้งานออกเป็น 3 กลุ่มหลักที่มีความต้องการและพฤติกรรมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:
กลุ่มพระภิกษุและสามเณร (Monastic Practitioners):
บริบท: เป็นกลุ่มผู้ใช้งานหลักที่ใช้พระไตรปิฎกในการศึกษาเล่าเรียน (นักธรรม/บาลีสนามหลวง) และการเทศนาสั่งสอน
พฤติกรรม: นิยมใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นหลัก เนื่องจากต้องเดินทางและปฏิบัติศาสนกิจ
6 การใช้งานมักเกิดขึ้นในพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตอาจไม่เสถียรปัญหา (Pain Points): ประสบปัญหาในการค้นหาพุทธพจน์ที่จำได้เพียงบางคำ (Partial Keyword) หรือจำชื่อคัมภีร์ไม่ได้ นอกจากนี้ยังต้องการคำแปลศัพท์เฉพาะทันทีโดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรมเล่มอื่น
6
กลุ่มนักวิชาการและนักวิจัย (Academic Scholars):
บริบท: อาจารย์มหาวิทยาลัย นิสิตระดับบัณฑิตศึกษา ที่ต้องการความแม่นยำขั้นสูง
ความต้องการ: ต้องการระบบที่อ้างอิงเลขหน้า/บรรทัด ตรงกับฉบับพิมพ์ (Pagination) เพื่อใช้ในการอ้างอิงในวิทยานิพนธ์ ต้องการเครื่องมือเปรียบเทียบ (Collation) ระหว่างฉบับต่างๆ (ฉบับสยามรัฐ, ฉบับมหาจุฬาฯ, ฉบับฉัฏฐสังคีติ)
8 ปัญหา: แพลตฟอร์มปัจจุบันมักแยกส่วนกัน ทำให้ต้องเปิดหลายหน้าต่างเพื่อเทียบข้อมูล และระบบค้นหาแบบเดิมไม่สามารถค้นหารูปแบบไวยากรณ์ (Grammatical Patterns) ได้
กลุ่มพุทธศาสนิกชนทั่วไป (Lay Devotees):
บริบท: ประชาชนที่สนใจใฝ่ธรรม แต่อาจไม่มีพื้นฐานภาษาบาลี
ความต้องการ: ต้องการ "ธรรมะประยุกต์" หรือการค้นหาตามหัวข้อปัญหาชีวิต (เช่น "วิธีแก้กรรม", "การทำงานให้มีความสุข") มากกว่าการค้นหาตามชื่อคัมภีร์
10 ปัญหา: กำแพงภาษา (Language Barrier) เป็นอุปสรรคสำคัญ ภาษาสำนวนแปลเก่าแก่เข้าใจยาก และโครงสร้างคัมภีร์ที่ซับซ้อนทำให้เกิดความท้อแท้ในการสืบค้น
12
3.2 ประเด็นเชิงสังเคราะห์จากการระดมสมอง (Synthesized Insights)
จากการวิเคราะห์เนื้อหาการเสวนาและคำถามที่เกิดขึ้นในกิจกรรม Zoom Meeting พบประเด็นความต้องการเชิงลึก (Insight) ดังนี้:
ความต้องการ "One-Stop Service": ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่าปัจจุบันต้องใช้แอปพลิเคชัน E-Tipitaka เพื่ออ่านบาลี ใช้เว็บไซต์ 84000.org เพื่ออ่านคำแปล และใช้ Google เพื่อค้นหาศัพท์ ซึ่งสร้างความไม่สะดวก สถาบันฯ จึงควรเป็นเจ้าภาพในการบูรณาการทรัพยากรเหล่านี้เข้าด้วยกัน
6 ภาวะ "Digital Divide" ในวงการสงฆ์: แม้พระภิกษุรุ่นใหม่จะมีความคล่องตัวทางเทคโนโลยี แต่พระเถระผู้ใหญ่และพระในชนบทยังคงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
15 แพลตฟอร์มจึงต้องออกแบบให้เบา (Lightweight) และใช้งานง่ายที่สุด (Intuitive UI)ความกังวลเรื่องความถูกต้อง (Authenticity): มีข้อห่วงใยว่าข้อมูลในโลกออนไลน์อาจมีการบิดเบือน หรือเป็น "สัทธรรมปฏิรูป" ดังนั้น ตราประทับรับรอง (Official Seal) ของ มจร บนแพลตฟอร์มดิจิทัลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้
8
4. การวิเคราะห์ภูมิทัศน์เทคโนโลยี: บทเรียนจากแพลตฟอร์มปัจจุบัน
เพื่อให้การพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ไม่เป็นการ "ผลิตซ้ำ" สิ่งที่มีอยู่แล้ว จำเป็นต้องวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของระบบนิเวศปัจจุบันอย่างละเอียด
4.1 BUDSIR: ผู้บุกเบิกที่ต้องการการผลัดใบ
BUDSIR (Buddhist Scriptures Information Retrieval) พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นนวัตกรรมระดับโลกเมื่อเปิดตัวในปี 1988
จุดแข็ง: เป็นฐานข้อมูลที่มีความสมบูรณ์และถูกต้องทางวิชาการสูงที่สุด มีการเชื่อมโยงพระไตรปิฎกกับอรรถกถาอย่างเป็นระบบ และระบบค้นหา (Search Engine) มีความแม่นยำสูงในระดับอักขระ
ข้อจำกัด: สถาปัตยกรรมทางเทคโนโลยี (Technology Stack) เริ่มล้าสมัย การออกแบบเน้น Desktop-based เป็นหลัก ทำให้การใช้งานบนมือถือไม่สะดวกเท่าที่ควร นอกจากนี้ การเข้าถึงข้อมูลบางส่วนยังมีการจำกัดสิทธิ์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวคิด Open Access ในปัจจุบัน
1
4.2 E-Tipitaka: ผู้นำตลาดโมบายล์
E-Tipitaka เป็นแอปพลิเคชันที่ครองใจผู้ใช้กลุ่มพระภิกษุมากที่สุดในขณะนี้
จุดแข็ง: การออกแบบ Mobile-First ที่ยอดเยี่ยม สามารถใช้งานแบบ Offline ได้ ซึ่งสำคัญมากสำหรับพระธุดงค์หรือวัดป่า มีฟีเจอร์เทียบเคียงบาลี-ไทยแบบบรรทัดต่อบรรทัดที่ใช้งานง่าย และมีพจนานุกรมในตัว
ข้อจำกัด: ผู้ใช้รายงานปัญหาความเสถียร (Stability Issues) บนอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ และข้อจำกัดในการอัปเดตข้อมูล เนื่องจากการพัฒนาเป็นแบบ Native App ทำให้กระบวนการปรับปรุงแก้ไขทำได้ช้ากว่า Web App
6
4.3 84000.org และ SuttaCentral: ต้นแบบมาตรฐานสากล
แพลตฟอร์มระดับนานาชาติเหล่านี้เป็น Benchmark ที่สำคัญสำหรับการพัฒนา
84000.org: โดดเด่นเรื่องการใช้ Translation Memory และ Glossary ที่เชื่อมโยงคำศัพท์เทคนิคเข้ากับคำแปลอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทได้ลึกซึ้ง
SuttaCentral: เป็นเลิศด้านสถาปัตยกรรมข้อมูล (Information Architecture) โดยใช้ระบบ Segment ID (รหัสระบุข้อความย่อย) ที่ทำให้สามารถจับคู่คำแปลหลายภาษาเข้าด้วยกันได้อย่างแม่นยำ และเป็นระบบ Open Source ที่เปิดกว้าง
ตารางเปรียบเทียบสมรรถนะของแพลตฟอร์ม (Platform Capability Matrix)
| คุณสมบัติ (Feature) | BUDSIR (มหิดล) | E-Tipitaka (WatNap) | SuttaCentral / 84000 | เป้าหมายของ MCU Platform |
| สถาปัตยกรรม | Desktop / Legacy Web | Mobile Native App | Modern Web / PWA | Hybrid Cloud / PWA |
| ความถูกต้องของข้อมูล | สูงมาก (ฉบับหลวง) | สูง (Public Domain) | สูงมาก (Academic) | สูงที่สุด (ฉบับ มจร.) |
| การสืบค้น (Search) | Keyword / Boolean | Keyword | Semantic / ID-based | AI Semantic Search |
| เครื่องมือภาษา (NLP) | พื้นฐาน | พจนานุกรม | Parallel Corpus | Deep NLP & Grammar Analysis |
| การใช้งาน Offline | ต้องติดตั้งโปรแกรม | ดีเยี่ยม | จำกัด | Progressive Web App (PWA) |
5. สถาปัตยกรรมระบบและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Proposed Architecture)
จากการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการข้างต้น รายงานฉบับนี้ขอเสนอกรอบแนวคิดทางเทคนิคสำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ของ มจร. ดังนี้
5.1 การประยุกต์ใช้ NLP สำหรับภาษาบาลีและไทย (Advanced NLP Integration)
อุปสรรคใหญ่ที่สุดของการศึกษาพระไตรปิฎกคือกำแพงภาษา การนำเทคโนโลยี Natural Language Processing (NLP) มาใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน
Pali Sandhi Splitting: พัฒนาอัลกอริทึม AI เพื่อ "ตัดคำสนธิ" (Sandhi Splitting) ภาษาบาลี ซึ่งมักเขียนติดกันเป็นพืดยาว ให้แยกออกมาเป็นคำศัพท์ย่อย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาเจอแม้ไม่ทราบหลักสนธิ
Morphological Analysis: ระบบวิเคราะห์รากศัพท์ (Root) และวิภัตติปัจจัย เพื่อแสดงให้ผู้ศึกษาทราบว่าคำนี้มาจากธาตุอะไร ประกอบด้วยปัจจัยอะไร ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนภาษาบาลีในมหาวิทยาลัยสงฆ์ได้อย่างดียิ่ง
Automated Terminology Extraction: ใช้ AI สกัดคำศัพท์สำคัญและสร้าง "คลังคำศัพท์" (Glossary) อัตโนมัติ เพื่อเชื่อมโยงไปยังพจนานุกรมพุทธศาสตร์
5.2 ระบบสืบค้นเชิงความหมาย (Semantic Search & Vector Database)
เปลี่ยนจากการค้นหาแบบ "คำตรงคำ" (Keyword Match) มาเป็นการค้นหาแบบ "ความหมาย" (Semantic Match) โดยใช้เทคโนโลยี Vector Embeddings:
ตัวอย่าง: หากผู้ใช้ค้นหาคำว่า "วิธีจัดการกับความเครียด" ระบบเดิมอาจไม่พบผลลัพธ์เพราะไม่มีคำว่า "เครียด" ในพระไตรปิฎก แต่ระบบ Semantic AI จะเข้าใจบริบทและเชื่อมโยงไปยังพระสูตรที่ว่าด้วย "การระงับวิตก" หรือ "อานาปานสติ" ได้อย่างแม่นยำ
การสร้าง Knowledge Graph เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล (เช่น พระสารีบุตร) สถานที่ (เช่น วัดเชตวัน) และหลักธรรม (เช่น อริยสัจ 4) เพื่อให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมเชิงโครงสร้างของพุทธศาสนา
23
5.3 มาตรฐานข้อมูลและการทำงานร่วมกัน (Interoperability Standards)
เพื่อความยั่งยืนของข้อมูล สถาบันฯ ควรยึดถือมาตรฐานสากล:
TEI (Text Encoding Initiative): จัดเก็บข้อมูลในรูปแบบ XML ตามมาตรฐาน TEI ซึ่งเป็นมาตรฐานโลกสำหรับเอกสารมนุษยศาสตร์ดิจิทัล ช่วยให้ข้อมูลมีโครงสร้างชัดเจนและแลกเปลี่ยนกับสถาบันต่างประเทศได้
24 IIIF (International Image Interoperability Framework): สำหรับการแสดงผลภาพคัมภีร์ใบลาน เพื่อให้สามารถ Zoom ดูรายละเอียดเนื้อกระดาษหรือลายมือจารได้โดยไม่สูญเสียความคมชัด
23
6. ข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อน (Strategic Roadmap)
6.1 ยุทธศาสตร์ระยะสั้น: การสร้างชุมชนและฐานข้อมูล (1-2 ปี)
ใช้กิจกรรม Zoom Meeting และเครือข่ายของสถาบันฯ เป็นฐานในการสร้าง "อาสาสมัครดิจิทัล" (Digital Dhamma Volunteers) เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Crowdsourcing)
เร่งดำเนินการ Digitization คัมภีร์สำคัญและจัดทำ Metadata ตามมาตรฐานสากล
พัฒนา "มจร แอปพลิเคชัน" (MCU Super App) เวอร์ชันเบื้องต้นที่รวบรวมฟังก์ชันพื้นฐานที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุด (MVP - Minimum Viable Product)
6.2 ยุทธศาสตร์ระยะกลาง: การบูรณาการ AI และวิจัย (3-5 ปี)
ร่วมมือกับภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และภาษาศาสตร์ เพื่อพัฒนาโมเดล NLP ภาษาบาลี-ไทย เฉพาะทาง
ขอทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (TSRI) ภายใต้แผนงาน "Fundamental Fund" โดยเน้นประเด็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมด้วยนวัตกรรม
26 เชื่อมโยงฐานข้อมูลกับ BUDSIR และ SuttaCentral เพื่อสร้างเครือข่ายข้อมูลระดับโลก
6.3 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อมหาวิทยาลัย
มจร ควรกำหนดให้ "ทักษะดิจิทัลเพื่อการศึกษาพุทธศาสนา" (Digital Dhamma Literacy) เป็นหนึ่งในสมรรถนะหลักของนิสิตทุกระดับชั้น
ควรผลักดันให้แพลตฟอร์มนี้เป็น "โครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาแห่งชาติ" (National Intellectual Infrastructure) ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนงบประมาณผูกพันระยะยาว
7. บทสรุป
การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการสืบค้นพระไตรปิฎกของสถาบันพระไตรปิฎกศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มิใช่เพียงโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่เป็น "ภารกิจทางประวัติศาสตร์" ในการสืบสานอายุพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่คู่กับโลกยุคปัญญาประดิษฐ์
ข้อมูลจากการประชุมโฟกัสกรุ๊ปยืนยันชัดเจนว่า ประชาคมชาวพุทธมีความโหยหาเครื่องมือที่ทันสมัย แม่นยำ และเข้าถึงง่าย การผนึกกำลังระหว่าง "ภูมิปัญญาดั้งเดิม" (Traditional Wisdom) ของคณะสงฆ์ กับ "เทคโนโลยีล้ำสมัย" (Cutting-edge Technology) จะนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการค้นคว้า แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่ขุมทรัพย์แห่งปัญญาให้กว้างขวางออกไปสู่มวลมนุษยชาติ สมดังปณิธานของสถาบันที่ว่า "พระไตรปิฎก: คลังธรรมแห่งชีวิต ปัญญา และสังคม"


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น