วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568

MCU Smart Tipitaka Platform ระบบสืบค้นพระไตรปิฎกอัจฉริยะ มจร


วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์และการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการสืบค้นพระไตรปิฎก: บูรณาการนวัตกรรมมนุษยศาสตร์ดิจิทัลและเสียงสะท้อนจากประชาคมวิชาการ

บทสรุปผู้บริหาร

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอผลการศึกษาวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการสืบค้นพระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์แนวทางการพัฒนาระบบสารสนเทศที่สอดคล้องกับพันธกิจของ สถาบันพระไตรปิฎกศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งานในยุคดิจิทัล การศึกษาครั้งนี้ได้บูรณาการข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมทางวิชาการ (Documentary Research) เข้ากับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการจัดประชุมกลุ่มย่อยและการสัมมนาออนไลน์ (Focus Group & Online Seminars) ภายใต้โครงการ "พระไตรปิฎก: คลังธรรมแห่งชีวิต ปัญญา และสังคม"


ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีพระพุทธศาสนา (Buddhist Technology Landscape) ในปัจจุบันกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ จากยุค "Digitization" (การแปลงสื่อสิ่งพิมพ์เป็นดิจิทัล) สู่ยุค "Digitalization" (การใช้ข้อมูลดิจิทัลเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ใหม่) แพลตฟอร์มที่มีอยู่เดิม เช่น BUDSIR และ E-Tipitaka แม้จะเป็นรากฐานที่สำคัญ แต่เริ่มมีข้อจำกัดด้านสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์และการรองรับพฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไป การวิเคราะห์เสียงสะท้อนจากกลุ่มเป้าหมาย—ซึ่งประกอบด้วยพระภิกษุสงฆ์ นักวิชาการ และพุทธศาสนิกชน—บ่งชี้ถึงความต้องการระบบนิเวศดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่มีความยืดหยุ่น รองรับการทำงานข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform) และมีขีดความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP) เพื่อทลายกำแพงทางภาษาบาลี

รายงานฉบับนี้ขอเสนอแผนแม่บททางยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนา "MCU Smart Tipitaka Platform" ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และฐานข้อมูลเชิงความหมาย (Semantic Web) เพื่อยกระดับการศึกษาพระไตรปิฎกสู่มาตรฐานสากล พร้อมทั้งรักษาอัตลักษณ์และจารีตแห่งเถรวาทไว้อย่างมั่นคง


1. บทนำ: พลวัตของพระไตรปิฎกในบริบทโลกดิจิทัลและมนุษยศาสตร์

1.1 ความสำคัญของปัญหาวิจัย

ในทศวรรษที่ผ่านมา ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อวิธีการรวบรวม รักษา และเผยแผ่องค์ความรู้ทางศาสนา พระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคัมภีร์สูงสุดในพระพุทธศาสนาเถรวาท ได้ถูกนำเข้าสู่กระบวนการดิจิทัล (Digitization) มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เริ่มต้นด้วยโครงการ BUDSIR ของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกในขณะนั้น 1 อย่างไรก็ตาม เมื่อเทคโนโลยีเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เครื่องมือที่มีอยู่เดิมเริ่มไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการวิจัยเชิงลึกและการเข้าถึงของคนรุ่นใหม่

สถาบันพระไตรปิฎกศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีพันธกิจโดยตรงในการดูแลรักษาพระคัมภีร์ ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการ "ปฏิรูป" ระบบสารสนเทศเพื่อการสืบค้น โดยต้องก้าวข้ามจากการเป็นเพียง "ห้องสมุดเก็บไฟล์ดิจิทัล" (Digital Archive) ไปสู่การเป็น "ฐานข้อมูลอัจฉริยะ" (Intelligent Knowledge Base) ที่สามารถเชื่อมโยงความรู้ข้ามวัฒนธรรม ข้ามภาษา และข้ามยุคสมัยได้อย่างไร้รอยต่อ 2 การพัฒนานี้มิใช่เพียงเรื่องทางเทคนิค แต่เป็นโจทย์ทางมนุษยศาสตร์ดิจิทัล (Digital Humanities) ที่ท้าทายในการผสานศรัทธาเข้ากับเทคโนโลยี

1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษา

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ:

  1. เพื่อวิเคราะห์สถานะปัจจุบัน (State of the Art) ของเทคโนโลยีการสืบค้นพระไตรปิฎกทั้งในระดับชาติและนานาชาติ

  2. เพื่อสังเคราะห์ความต้องการและปัญหาของผู้ใช้งาน (Pain Points) ผ่านกระบวนการประชุมโฟกัสกรุ๊ปและการมีส่วนร่วมของชุมชนวิชาการ มจร

  3. เพื่อนำเสนอกรอบแนวคิดและสถาปัตยกรรมระบบ (System Architecture) สำหรับแพลตฟอร์มสืบค้นพระไตรปิฎกยุคใหม่

1.3 ระเบียบวิธีวิจัย: การบูรณาการข้อมูลเชิงเอกสารและเชิงประจักษ์

รายงานฉบับนี้ใช้วิธีวิทยาแบบผสมผสาน (Mixed Methods) โดยเริ่มจากการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) เพื่อรวบรวมข้อมูลทางเทคนิคและประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มต่างๆ ควบคู่ไปกับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการถอดบทเรียนจากการจัดกิจกรรมวิชาการของสถาบันพระไตรปิฎกศึกษา ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเวทีระดมสมอง (Focus Group Discussion) จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่แท้จริง ทั้งผู้บริหาร คณาจารย์ และนิสิตของมหาวิทยาลัย 2


2. สถาบันพระไตรปิฎกศึกษา: พันธกิจทางประวัติศาสตร์สู่ความท้าทายอนาคต

การทำความเข้าใจบริบทขององค์กรผู้พัฒนาเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการกำหนดทิศทางของแพลตฟอร์ม ส่วนนี้จะวิเคราะห์พัฒนาการและบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของสถาบันพระไตรปิฎกศึกษา

2.1 พัฒนาการจาก "กลุ่มงาน" สู่ "สถาบันระดับชาติ"

สถาบันพระไตรปิฎกศึกษา (Tripitaka Studies Institute) มิได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ แต่มีรากฐานมาจากความพยายามอันยาวนานของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยในการสร้างมาตรฐานการศึกษาคัมภีร์ เดิมทีหน่วยงานนี้คือ "กลุ่มงานคัมภีร์พุทธศาสน์" สังกัดกองวิชาการ ซึ่งรับผิดชอบภารกิจเฉพาะด้านในการตรวจชำระคัมภีร์ 2 ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 (ค.ศ. 2018) มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นว่างานด้านพระไตรปิฎกเป็น "หัวใจ" ของการศึกษาคณะสงฆ์ จึงได้มีมติยกฐานะขึ้นเป็นส่วนงานระดับสถาบัน เพื่อให้มีอิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการ

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568 สถาบันได้จัดพิธีทำบุญครบรอบ 7 ปี การก่อตั้ง โดยมีพระพรหมวัชรธีราจารย์ ศาสตราจารย์ ดร. อธิการบดี เป็นประธาน 2 เหตุการณ์นี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่ยืนยันถึงความมั่นคงและความต่อเนื่องของนโยบาย ปัจจุบันสถาบันอยู่ภายใต้การนำของ พระธรรมวชิรปัญญาจารย์, รศ.ดร. ผู้อำนวยการสถาบันฯ ซึ่งเป็นแกนนำสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การวิจัยและวิชาการของมหาวิทยาลัย 4

2.2 การวิเคราะห์พันธกิจ 4 ด้าน (The Four Pillars Strategy)

การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลต้องตอบสนองต่อพันธกิจหลัก 4 ประการของสถาบันอย่างครบถ้วน 2:

พันธกิจ (Mission)นัยสำคัญต่อการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล
1. รวบรวมและอนุรักษ์ (Collection & Preservation)ระบบต้องรองรับการจัดเก็บไฟล์ภาพดิจิทัล (Digitized Manuscripts) ความละเอียดสูง และ Metadata ตามมาตรฐานสากล (เช่น Dublin Core, TEI) เพื่อเป็นคลังข้อมูลถาวร
2. ปริวรรตและแปล (Transliteration & Translation)แพลตฟอร์มต้องมีเครื่องมือช่วยนักวิชาการ (Computer-Assisted Translation) ในการปริวรรตอักษรขอม/ธรรม/พม่า เป็นไทย และระบบ Translation Memory สำหรับงานแปล
3. วิจัย (Research)ต้องมีเครื่องมือสืบค้นขั้นสูง (Advanced Search) การวิเคราะห์ความถี่คำ (Word Frequency) และการเชื่อมโยงข้อมูล (Hyperlinking) เพื่อสนับสนุนการทำวิทยานิพนธ์และงานวิจัย
4. เผยแผ่และบริการวิชาการ (Propagation & Service)User Interface (UI) ต้องใช้งานง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป รองรับ Mobile Devices และมีช่องทางเผยแพร่ผ่าน Social Media integration

การวิเคราะห์พันธกิจชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มใหม่ไม่สามารถเป็นเพียง "Search Engine" แบบ Google ได้ แต่ต้องเป็น "Research Environment" (สภาพแวดล้อมเพื่อการวิจัย) ที่ครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ (การเก็บรักษา) จนถึงปลายน้ำ (การเผยแผ่)


3. เสียงสะท้อนจากประชาคม: การวิเคราะห์ข้อมูลจากการประชุมโฟกัสกรุ๊ป

หัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบสารสนเทศที่ยั่งยืนคือการยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-Centered Design) รายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการดำเนินงานโครงการ "พระไตรปิฎก: คลังธรรมแห่งชีวิต ปัญญา และสังคม" ประจำปีงบประมาณ 2568 ซึ่งจัดขึ้นผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting ทุกวันเสาร์ (เช่น วันที่ 14, 21 มิถุนายน และตลอดเดือนกรกฎาคม 2568) 2 กิจกรรมเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น Social Lab และ Focus Group ขนาดใหญ่ที่รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าร่วมที่หลากหลาย

3.1 องค์ประกอบของผู้เข้าร่วมและการจำแนกกลุ่มเป้าหมาย (User Segmentation)

จากการสังเกตการณ์และวิเคราะห์กลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรม สามารถจำแนก Persona ของผู้ใช้งานออกเป็น 3 กลุ่มหลักที่มีความต้องการและพฤติกรรมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:

  1. กลุ่มพระภิกษุและสามเณร (Monastic Practitioners):

    • บริบท: เป็นกลุ่มผู้ใช้งานหลักที่ใช้พระไตรปิฎกในการศึกษาเล่าเรียน (นักธรรม/บาลีสนามหลวง) และการเทศนาสั่งสอน

    • พฤติกรรม: นิยมใช้งานผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นหลัก เนื่องจากต้องเดินทางและปฏิบัติศาสนกิจ 6 การใช้งานมักเกิดขึ้นในพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตอาจไม่เสถียร

    • ปัญหา (Pain Points): ประสบปัญหาในการค้นหาพุทธพจน์ที่จำได้เพียงบางคำ (Partial Keyword) หรือจำชื่อคัมภีร์ไม่ได้ นอกจากนี้ยังต้องการคำแปลศัพท์เฉพาะทันทีโดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรมเล่มอื่น 6

  2. กลุ่มนักวิชาการและนักวิจัย (Academic Scholars):

    • บริบท: อาจารย์มหาวิทยาลัย นิสิตระดับบัณฑิตศึกษา ที่ต้องการความแม่นยำขั้นสูง

    • ความต้องการ: ต้องการระบบที่อ้างอิงเลขหน้า/บรรทัด ตรงกับฉบับพิมพ์ (Pagination) เพื่อใช้ในการอ้างอิงในวิทยานิพนธ์ ต้องการเครื่องมือเปรียบเทียบ (Collation) ระหว่างฉบับต่างๆ (ฉบับสยามรัฐ, ฉบับมหาจุฬาฯ, ฉบับฉัฏฐสังคีติ) 8

    • ปัญหา: แพลตฟอร์มปัจจุบันมักแยกส่วนกัน ทำให้ต้องเปิดหลายหน้าต่างเพื่อเทียบข้อมูล และระบบค้นหาแบบเดิมไม่สามารถค้นหารูปแบบไวยากรณ์ (Grammatical Patterns) ได้

  3. กลุ่มพุทธศาสนิกชนทั่วไป (Lay Devotees):

    • บริบท: ประชาชนที่สนใจใฝ่ธรรม แต่อาจไม่มีพื้นฐานภาษาบาลี

    • ความต้องการ: ต้องการ "ธรรมะประยุกต์" หรือการค้นหาตามหัวข้อปัญหาชีวิต (เช่น "วิธีแก้กรรม", "การทำงานให้มีความสุข") มากกว่าการค้นหาตามชื่อคัมภีร์ 10

    • ปัญหา: กำแพงภาษา (Language Barrier) เป็นอุปสรรคสำคัญ ภาษาสำนวนแปลเก่าแก่เข้าใจยาก และโครงสร้างคัมภีร์ที่ซับซ้อนทำให้เกิดความท้อแท้ในการสืบค้น 12

3.2 ประเด็นเชิงสังเคราะห์จากการระดมสมอง (Synthesized Insights)

จากการวิเคราะห์เนื้อหาการเสวนาและคำถามที่เกิดขึ้นในกิจกรรม Zoom Meeting พบประเด็นความต้องการเชิงลึก (Insight) ดังนี้:

  • ความต้องการ "One-Stop Service": ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่าปัจจุบันต้องใช้แอปพลิเคชัน E-Tipitaka เพื่ออ่านบาลี ใช้เว็บไซต์ 84000.org เพื่ออ่านคำแปล และใช้ Google เพื่อค้นหาศัพท์ ซึ่งสร้างความไม่สะดวก สถาบันฯ จึงควรเป็นเจ้าภาพในการบูรณาการทรัพยากรเหล่านี้เข้าด้วยกัน 6

  • ภาวะ "Digital Divide" ในวงการสงฆ์: แม้พระภิกษุรุ่นใหม่จะมีความคล่องตัวทางเทคโนโลยี แต่พระเถระผู้ใหญ่และพระในชนบทยังคงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 15 แพลตฟอร์มจึงต้องออกแบบให้เบา (Lightweight) และใช้งานง่ายที่สุด (Intuitive UI)

  • ความกังวลเรื่องความถูกต้อง (Authenticity): มีข้อห่วงใยว่าข้อมูลในโลกออนไลน์อาจมีการบิดเบือน หรือเป็น "สัทธรรมปฏิรูป" ดังนั้น ตราประทับรับรอง (Official Seal) ของ มจร บนแพลตฟอร์มดิจิทัลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ 8


4. การวิเคราะห์ภูมิทัศน์เทคโนโลยี: บทเรียนจากแพลตฟอร์มปัจจุบัน

เพื่อให้การพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ไม่เป็นการ "ผลิตซ้ำ" สิ่งที่มีอยู่แล้ว จำเป็นต้องวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของระบบนิเวศปัจจุบันอย่างละเอียด

4.1 BUDSIR: ผู้บุกเบิกที่ต้องการการผลัดใบ

BUDSIR (Buddhist Scriptures Information Retrieval) พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นนวัตกรรมระดับโลกเมื่อเปิดตัวในปี 1988 1

  • จุดแข็ง: เป็นฐานข้อมูลที่มีความสมบูรณ์และถูกต้องทางวิชาการสูงที่สุด มีการเชื่อมโยงพระไตรปิฎกกับอรรถกถาอย่างเป็นระบบ และระบบค้นหา (Search Engine) มีความแม่นยำสูงในระดับอักขระ

  • ข้อจำกัด: สถาปัตยกรรมทางเทคโนโลยี (Technology Stack) เริ่มล้าสมัย การออกแบบเน้น Desktop-based เป็นหลัก ทำให้การใช้งานบนมือถือไม่สะดวกเท่าที่ควร นอกจากนี้ การเข้าถึงข้อมูลบางส่วนยังมีการจำกัดสิทธิ์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวคิด Open Access ในปัจจุบัน 1

4.2 E-Tipitaka: ผู้นำตลาดโมบายล์

E-Tipitaka เป็นแอปพลิเคชันที่ครองใจผู้ใช้กลุ่มพระภิกษุมากที่สุดในขณะนี้ 6

  • จุดแข็ง: การออกแบบ Mobile-First ที่ยอดเยี่ยม สามารถใช้งานแบบ Offline ได้ ซึ่งสำคัญมากสำหรับพระธุดงค์หรือวัดป่า มีฟีเจอร์เทียบเคียงบาลี-ไทยแบบบรรทัดต่อบรรทัดที่ใช้งานง่าย และมีพจนานุกรมในตัว

  • ข้อจำกัด: ผู้ใช้รายงานปัญหาความเสถียร (Stability Issues) บนอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ และข้อจำกัดในการอัปเดตข้อมูล เนื่องจากการพัฒนาเป็นแบบ Native App ทำให้กระบวนการปรับปรุงแก้ไขทำได้ช้ากว่า Web App 6

4.3 84000.org และ SuttaCentral: ต้นแบบมาตรฐานสากล

แพลตฟอร์มระดับนานาชาติเหล่านี้เป็น Benchmark ที่สำคัญสำหรับการพัฒนา 13

  • 84000.org: โดดเด่นเรื่องการใช้ Translation Memory และ Glossary ที่เชื่อมโยงคำศัพท์เทคนิคเข้ากับคำแปลอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทได้ลึกซึ้ง

  • SuttaCentral: เป็นเลิศด้านสถาปัตยกรรมข้อมูล (Information Architecture) โดยใช้ระบบ Segment ID (รหัสระบุข้อความย่อย) ที่ทำให้สามารถจับคู่คำแปลหลายภาษาเข้าด้วยกันได้อย่างแม่นยำ และเป็นระบบ Open Source ที่เปิดกว้าง

ตารางเปรียบเทียบสมรรถนะของแพลตฟอร์ม (Platform Capability Matrix)

คุณสมบัติ (Feature)BUDSIR (มหิดล)E-Tipitaka (WatNap)SuttaCentral / 84000เป้าหมายของ MCU Platform
สถาปัตยกรรมDesktop / Legacy WebMobile Native AppModern Web / PWAHybrid Cloud / PWA
ความถูกต้องของข้อมูลสูงมาก (ฉบับหลวง)สูง (Public Domain)สูงมาก (Academic)สูงที่สุด (ฉบับ มจร.)
การสืบค้น (Search)Keyword / BooleanKeywordSemantic / ID-basedAI Semantic Search
เครื่องมือภาษา (NLP)พื้นฐานพจนานุกรมParallel CorpusDeep NLP & Grammar Analysis
การใช้งาน Offlineต้องติดตั้งโปรแกรมดีเยี่ยมจำกัดProgressive Web App (PWA)

5. สถาปัตยกรรมระบบและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Proposed Architecture)

จากการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการข้างต้น รายงานฉบับนี้ขอเสนอกรอบแนวคิดทางเทคนิคสำหรับการพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ของ มจร. ดังนี้

5.1 การประยุกต์ใช้ NLP สำหรับภาษาบาลีและไทย (Advanced NLP Integration)

อุปสรรคใหญ่ที่สุดของการศึกษาพระไตรปิฎกคือกำแพงภาษา การนำเทคโนโลยี Natural Language Processing (NLP) มาใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน 20:

  • Pali Sandhi Splitting: พัฒนาอัลกอริทึม AI เพื่อ "ตัดคำสนธิ" (Sandhi Splitting) ภาษาบาลี ซึ่งมักเขียนติดกันเป็นพืดยาว ให้แยกออกมาเป็นคำศัพท์ย่อย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาเจอแม้ไม่ทราบหลักสนธิ

  • Morphological Analysis: ระบบวิเคราะห์รากศัพท์ (Root) และวิภัตติปัจจัย เพื่อแสดงให้ผู้ศึกษาทราบว่าคำนี้มาจากธาตุอะไร ประกอบด้วยปัจจัยอะไร ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนภาษาบาลีในมหาวิทยาลัยสงฆ์ได้อย่างดียิ่ง

  • Automated Terminology Extraction: ใช้ AI สกัดคำศัพท์สำคัญและสร้าง "คลังคำศัพท์" (Glossary) อัตโนมัติ เพื่อเชื่อมโยงไปยังพจนานุกรมพุทธศาสตร์

5.2 ระบบสืบค้นเชิงความหมาย (Semantic Search & Vector Database)

เปลี่ยนจากการค้นหาแบบ "คำตรงคำ" (Keyword Match) มาเป็นการค้นหาแบบ "ความหมาย" (Semantic Match) โดยใช้เทคโนโลยี Vector Embeddings:

  • ตัวอย่าง: หากผู้ใช้ค้นหาคำว่า "วิธีจัดการกับความเครียด" ระบบเดิมอาจไม่พบผลลัพธ์เพราะไม่มีคำว่า "เครียด" ในพระไตรปิฎก แต่ระบบ Semantic AI จะเข้าใจบริบทและเชื่อมโยงไปยังพระสูตรที่ว่าด้วย "การระงับวิตก" หรือ "อานาปานสติ" ได้อย่างแม่นยำ

  • การสร้าง Knowledge Graph เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล (เช่น พระสารีบุตร) สถานที่ (เช่น วัดเชตวัน) และหลักธรรม (เช่น อริยสัจ 4) เพื่อให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมเชิงโครงสร้างของพุทธศาสนา 23

5.3 มาตรฐานข้อมูลและการทำงานร่วมกัน (Interoperability Standards)

เพื่อความยั่งยืนของข้อมูล สถาบันฯ ควรยึดถือมาตรฐานสากล:

  • TEI (Text Encoding Initiative): จัดเก็บข้อมูลในรูปแบบ XML ตามมาตรฐาน TEI ซึ่งเป็นมาตรฐานโลกสำหรับเอกสารมนุษยศาสตร์ดิจิทัล ช่วยให้ข้อมูลมีโครงสร้างชัดเจนและแลกเปลี่ยนกับสถาบันต่างประเทศได้ 24

  • IIIF (International Image Interoperability Framework): สำหรับการแสดงผลภาพคัมภีร์ใบลาน เพื่อให้สามารถ Zoom ดูรายละเอียดเนื้อกระดาษหรือลายมือจารได้โดยไม่สูญเสียความคมชัด 23


6. ข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อน (Strategic Roadmap)

6.1 ยุทธศาสตร์ระยะสั้น: การสร้างชุมชนและฐานข้อมูล (1-2 ปี)

  • ใช้กิจกรรม Zoom Meeting และเครือข่ายของสถาบันฯ เป็นฐานในการสร้าง "อาสาสมัครดิจิทัล" (Digital Dhamma Volunteers) เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Crowdsourcing)

  • เร่งดำเนินการ Digitization คัมภีร์สำคัญและจัดทำ Metadata ตามมาตรฐานสากล

  • พัฒนา "มจร แอปพลิเคชัน" (MCU Super App) เวอร์ชันเบื้องต้นที่รวบรวมฟังก์ชันพื้นฐานที่ผู้ใช้ต้องการมากที่สุด (MVP - Minimum Viable Product)

6.2 ยุทธศาสตร์ระยะกลาง: การบูรณาการ AI และวิจัย (3-5 ปี)

  • ร่วมมือกับภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และภาษาศาสตร์ เพื่อพัฒนาโมเดล NLP ภาษาบาลี-ไทย เฉพาะทาง

  • ขอทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (TSRI) ภายใต้แผนงาน "Fundamental Fund" โดยเน้นประเด็นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมด้วยนวัตกรรม 26

  • เชื่อมโยงฐานข้อมูลกับ BUDSIR และ SuttaCentral เพื่อสร้างเครือข่ายข้อมูลระดับโลก

6.3 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อมหาวิทยาลัย

  • มจร ควรกำหนดให้ "ทักษะดิจิทัลเพื่อการศึกษาพุทธศาสนา" (Digital Dhamma Literacy) เป็นหนึ่งในสมรรถนะหลักของนิสิตทุกระดับชั้น

  • ควรผลักดันให้แพลตฟอร์มนี้เป็น "โครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาแห่งชาติ" (National Intellectual Infrastructure) ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนงบประมาณผูกพันระยะยาว


7. บทสรุป

การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการสืบค้นพระไตรปิฎกของสถาบันพระไตรปิฎกศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มิใช่เพียงโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่เป็น "ภารกิจทางประวัติศาสตร์" ในการสืบสานอายุพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่คู่กับโลกยุคปัญญาประดิษฐ์

ข้อมูลจากการประชุมโฟกัสกรุ๊ปยืนยันชัดเจนว่า ประชาคมชาวพุทธมีความโหยหาเครื่องมือที่ทันสมัย แม่นยำ และเข้าถึงง่าย การผนึกกำลังระหว่าง "ภูมิปัญญาดั้งเดิม" (Traditional Wisdom) ของคณะสงฆ์ กับ "เทคโนโลยีล้ำสมัย" (Cutting-edge Technology) จะนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกในการค้นคว้า แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่ขุมทรัพย์แห่งปัญญาให้กว้างขวางออกไปสู่มวลมนุษยชาติ สมดังปณิธานของสถาบันที่ว่า "พระไตรปิฎก: คลังธรรมแห่งชีวิต ปัญญา และสังคม"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ส่องนโยบายการพัฒนาประเทศ บนฐานกระบวนทัศน์พุทธธรรมยุคเอไอ

การวิเคราะห์และสังเคราะห์นโยบายการพัฒนาประเทศบนฐานกระบวนทัศน์พุทธธรรม: จากปรัชญาสู่การปฏิบัติการในบริบทโลกพลิกผัน (Buddhist-Based National D...