วิเคราะห์เชิงลึก: นโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ของพรรคการเมืองไทย บนฐานคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
บทคัดย่อ
รายงานวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาและวิเคราะห์นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองหลักในการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2569 ผ่านกรอบแนวคิด "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) และ "เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน" (Sustainable Development Goals - SDGs) ท่ามกลางบริบทความท้าทายแบบพหุวิกฤต (Polycrisis) ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจมหภาค ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์บริเวณชายแดน และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษานี้เจาะลึกถึงความสอดคล้องระหว่างนโยบายประชานิยมที่ถูกนำเสนอเพื่อหวังผลทางการเมืองระยะสั้น กับหลักการความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แม้พรรคการเมืองจะมีการปรับตัวโดยผนวกมิติสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีเข้าสู่นโยบาย แต่ความเสี่ยงด้านวินัยวินัยทางการเงินการคลัง (Fiscal Discipline) และการขาดกลไกสร้างภูมิคุ้มกันเชิงโครงสร้าง ยังคงเป็นจุดเปราะบางสำคัญที่อาจฉุดรั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองและเศรษฐกิจไทยสู่การเลือกตั้ง 2569
1.1 บริบททางการเมือง: การเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่และวิกฤตศรัทธา
การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 นับเป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ควบคู่ไปกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
บริบททางการเมืองก่อนการเลือกตั้งเต็มไปด้วยความผันผวน ภายหลังจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสั้นๆ ก่อนการยุบสภาเมื่อปลายปี 2568
1.2 สภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต (Polycrisis) และแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
การเลือกตั้งปี 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางพายุหมุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรงหลายลูกพร้อมกัน:
กับดักการเติบโตต่ำ (Low Growth Trap): เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ถูกคาดการณ์ว่าจะขยายตัวในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.5 - 2.0 ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น
5 ปัญหานี้เกิดจากโครงสร้างการผลิตที่ล้าสมัย การส่งออกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเรื้อรัง ทำให้กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Tension): สถานการณ์ปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เริ่มตึงเครียดตั้งแต่กลางปี 2568 และยืดเยื้อมาจนถึงช่วงเลือกตั้ง กลายเป็นปัจจัยแทรกซ้อนที่สำคัญ
7 ส่งผลให้งบประมาณด้านความมั่นคงและนโยบายชาตินิยมถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสำหรับการพัฒนาด้านอื่นวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ: ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง สร้างแรงกดดันให้พรรคการเมืองต้องนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
9
2. กรอบแนวคิด: ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะบรรทัดฐานการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ
ในการวิเคราะห์ความเหมาะสมและความยั่งยืนของนโยบายหาเสียง รายงานฉบับนี้ยึดถือ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) เป็นกรอบแนวคิดหลัก โดยตีความในมิติของการบริหารจัดการรัฐกิจ (Public Administration) มิใช่เพียงมิติเกษตรกรรมหรือการดำรงชีวิตระดับปัจเจกชน SEP ในระดับมหภาคประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ที่สัมพันธ์โดยตรงกับการสร้างความยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs ของสหประชาชาติ
2.1 ความพอประมาณ (Moderation): วินัยทางการคลังและความสมดุล
ในบริบทนโยบายสาธารณะ ความพอประมาณหมายถึงการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณอย่างสมดุล ไม่ก่อหนี้สาธารณะเกินตัวจนกลายเป็นภาระผูกพันระยะยาว (Fiscal Burden) ที่กัดกินงบประมาณในอนาคต นโยบายประชานิยมที่มุ่งแจกเงินหรืออุดหนุนราคาพลังงานโดยบิดเบือนกลไกตลาดอย่างรุนแรง ถือว่าขาดความพอประมาณ เพราะเป็นการดึงทรัพยากรในอนาคตมาใช้ในปัจจุบันเกินความจำเป็น
2.2 ความมีเหตุผล (Reasonableness): ตรรกะเชิงโครงสร้างและการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
ความมีเหตุผลคือการตัดสินใจดำเนินนโยบายบนพื้นฐานของเหตุและผลทางวิชาการ มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นตอ (Root Cause Analysis) มิใช่การปะผุสถานการณ์เฉพาะหน้า นโยบายที่มีเหตุผลต้องสามารถอธิบายกลไกการส่งผ่านผลประโยชน์ (Transmission Mechanism) ได้อย่างชัดเจน ว่าเม็ดเงินที่ลงทุนไปจะก่อให้เกิดผลิตภาพ (Productivity) หรือผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมที่คุ้มค่าอย่างไร
2.3 การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี (Self-Immunity): การบริหารความเสี่ยงและความยืดหยุ่น
หัวใจสำคัญของ SEP คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมสามารถรองรับแรงกระแทกจากภายนอก (External Shocks) ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโรคระบาด สงคราม หรือความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ นโยบายที่ดีต้องไม่สร้างความเปราะบาง (Fragility) เช่น การพึ่งพาตลาดส่งออกเดียว หรือการทำให้ประชาชนเสพติดการช่วยเหลือจากรัฐจนขาดทักษะในการพึ่งพาตนเอง
2.4 เงื่อนไขความรู้และคุณธรรม: ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส
การขับเคลื่อนนโยบายต้องอาศัยข้อมูลที่รอบด้าน (Data-driven Policy) และความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) เพื่อป้องกันการรั่วไหลและการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนผูกขาด การตรวจสอบที่มาของงบประมาณและความคุ้มค่าจึงเป็นเกณฑ์สำคัญในการประเมินภายใต้เงื่อนไขนี้
3. การวิเคราะห์เจาะลึกกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเดิมและพันธมิตร
3.1 พรรคภูมิใจไทย: นวัตกรรมนโยบาย "Trade+" และการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน
ภาพรวมนโยบาย:
ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และทีมเศรษฐกิจใหม่อย่าง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ พรรคภูมิใจไทยได้นำเสนอนโยบายที่ผสมผสานระหว่างแนวคิดประชานิยมและการบริหารจัดการสมัยใหม่ โดยมีสโลแกน "พูดแล้วทำ พลัส" 19
นโยบาย Trade+ (Barter Trade): เสนอการแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรของไทยกับสินค้าทุนหรือยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ เช่น ข้าวแลกเครื่องบิน หรือยางพาราแลกเทคโนโลยี
19 พลังงานสะอาดระดับครัวเรือน (Solar Roof): โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์ฟรีทุกหลังคาเรือน เพื่อลดค่าไฟฟ้า 450 บาทต่อเดือน และสนับสนุนมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
21 พักหนี้เกษตรกร: พักหนี้ 3 ปี หยุดต้นปลอดดอกเบี้ย วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท
23
บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:
ความพอประมาณ: นโยบาย Trade+ เป็นความพยายามที่สร้างสรรค์ในการรักษาสมดุลของดุลการชำระเงินและลดการใช้เงินตราต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับหลักความพอประมาณในระดับมหภาค อย่างไรก็ตาม นโยบายพักหนี้และโซลาร์เซลล์ฟรีต้องใช้งบประมาณตั้งต้นจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นความเสี่ยงทางการคลังหากไม่มีการวางแผนรายรับที่ชัดเจน
ความมีเหตุผล: การส่งเสริม Solar Rooftop เป็นนโยบายที่มีเหตุผลรองรับสูง เพราะเป็นการแก้ปัญหาค่าครองชีพและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน (Co-benefit) และช่วยลดภาระการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของรัฐในระยะยาว
ภูมิคุ้มกัน: การกระจายการผลิตไฟฟ้าสู่ระดับครัวเรือน (Decentralized Energy) สร้างภูมิคุ้มกันทางพลังงานให้ชุมชน ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลนำเข้า ส่วนนโยบาย Trade+ หากทำสำเร็จ จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินและราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก
3.2 พรรครวมไทยสร้างชาติ: ความมั่นคงนำเศรษฐกิจ กับความเสี่ยงด้านภูมิคุ้มกัน
ภาพรวมนโยบาย:
พรรครวมไทยสร้างชาติเน้นจุดยืนด้านความมั่นคงและชาตินิยมอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งชายแดน 8
ความมั่นคงชายแดน: เสนอสร้างรั้วกั้นพรมแดนไทย-กัมพูชา, ยกเลิก MOU 44 และเพิ่มเบี้ยเลี้ยงการรบให้ทหาร
8 พลังงานราคาถูกแบบหักดิบ: ตรึงราคาน้ำมันให้ต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร โดยยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และใช้ระบบคลังน้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์แทน
กฎหมายเด็ดขาด: เพิ่มโทษประหารชีวิตสำหรับคดีฉ้อโกงประชาชนและแก๊งคอลเซ็นเตอร์
บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:
ความพอประมาณ: นโยบายตรึงราคาน้ำมันโดยยกเลิกกองทุนน้ำมัน ขัดแย้งกับหลักความพอประมาณอย่างรุนแรง เพราะเป็นการส่งเสริมการบริโภคเกินความจำเป็น (Over-consumption) และทำลายกลไกราคาที่ควรสะท้อนต้นทุนจริง นอกจากนี้ การสร้างรั้วชายแดนตลอดแนวยังใช้งบประมาณมหาศาลซึ่งอาจไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
ความมีเหตุผล: แนวคิดคลังน้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Reserve) เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในแง่ความมั่นคงทางพลังงาน แต่การยกเลิกกองทุนน้ำมันจะทำให้รัฐขาดเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพราคาในยามวิกฤต ส่วนนโยบายความมั่นคงที่แข็งกร้าวอาจสมเหตุสมผลในมุมมองการป้องกันประเทศ แต่ขาดความสมดุลในมิติการทูตและการค้าชายแดน
ภูมิคุ้มกัน: นโยบายที่เน้นการเผชิญหน้า (Confrontation) บริเวณชายแดน อาจลดทอนภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ สร้างความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานชายแดน ในขณะที่การอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลระยะยาวจะขัดขวางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ลดทอนภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตโลกร้อน
9
3.3 พรรคประชาธิปัตย์: การรีแบรนด์สู่เศรษฐกิจสีเขียว
ภาพรวมนโยบาย:
พรรคประชาธิปัตย์พยายามปรับภาพลักษณ์ด้วยนโยบาย "ไทยหายจน" และ "Green Economy" 25
Green Economy: ผลักดันตลาดคาร์บอนเครดิต และเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ที่ดินทำกิน: เร่งออกโฉนดที่ดินให้เกษตรกร เพื่อเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นทุน
ธนาคารชุมชน: กระจายแหล่งทุนสู่ท้องถิ่น
บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:
ความพอประมาณ: นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์มีความระมัดระวังและอนุรักษ์นิยมทางการคลังมากกว่าพรรคอื่น สอดคล้องกับหลักความพอประมาณ แต่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ นโยบายลักษณะนี้อาจถูกมองว่าไม่เพียงพอ (Insufficient Stimulus) ต่อการกระตุ้นการเติบโต
ความมีเหตุผล: การผลักดันคาร์บอนเครดิตและการออกโฉนดที่ดิน เป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีเหตุผลรองรับชัดเจน ช่วยเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์และเตรียมความพร้อมสู่กติกาการค้าโลกใหม่
ภูมิคุ้มกัน: การสร้างความมั่นคงในกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันขั้นพื้นฐานให้เกษตรกร แต่ต้องระวังไม่ให้ที่ดินหลุดมือไปยังกลุ่มทุนหากขาดวินัยทางการเงิน
4. การวิเคราะห์เจาะลึกกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายค้านและขั้วใหม่
4.1 พรรคเพื่อไทย: ยุทธศาสตร์ "Big Push" กับความเสี่ยงทางการคลัง
ภาพรวมนโยบาย:
พรรคเพื่อไทยยังคงยึดมั่นในปรัชญา "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส" โดยมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพื่อดึง GDP ให้กลับมาเติบโตที่ระดับ 5% 27
Digital Wallet & Income Guarantee: เติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท และการันตีรายได้ครัวเรือน 20,000 บาท/เดือน
27 ค่าแรงและเงินเดือน: เป้าหมายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570
Soft Power (OFOS): นโยบาย 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ เพื่อยกระดับทักษะแรงงาน
เกษตร: "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม" เพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่า และพักหนี้เกษตรกร 3 ปี
29
บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:
ความพอประมาณ: นโยบายเติมเงินและการันตีรายได้เป็นประเด็นที่มีความเปราะบางสูงสุดในแง่ความพอประมาณ นักเศรษฐศาสตร์มหภาคและสถาบันวิจัยหลายแห่ง (เช่น TDRI) เตือนว่าการใช้งบประมาณผูกพันสูงอาจนำไปสู่ "หน้าผาทางการคลัง" (Fiscal Cliff) และลดพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) สำหรับรับมือวิกฤตในอนาคต
15 ความมีเหตุผล: แนวคิดการกระตุ้นจากฐานราก (Bottom-up Economics) มีเหตุผลในทางทฤษฎี Keynesian เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ แต่ในบริบทไทยที่มีปัญหาโครงสร้างการผลิต (Supply Side) การอัดฉีดเงินอาจนำไปสู่เงินเฟ้อมากกว่าการเติบโตที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม นโยบาย OFOS ที่มุ่งเน้นการสร้างทักษะ (Human Capital) ถือว่ามีความสมเหตุสมผลสูงในการแก้ปัญหาระยะยาว
ภูมิคุ้มกัน: นโยบายพักหนี้เกษตรกรหากทำโดยไม่มีเงื่อนไขการปรับโครงสร้างการผลิต อาจสร้างกับดักหนี้สินและ Moral Hazard ลดทอนภูมิคุ้มกันทางการเงินของเกษตรกรในระยะยาว แต่การเน้นนวัตกรรมเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) เป็นทิศทางที่ถูกต้องในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อความผันผวนของสภาพอากาศ
4.2 พรรคประชาชน: การปฏิรูปโครงสร้างและสวัสดิการถ้วนหน้า
ภาพรวมนโยบาย:
พรรคประชาชนนำเสนอชุดนโยบายที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนโครงสร้างสถาบันและระบบเศรษฐกิจ (Structural Reform) 32
สวัสดิการถ้วนหน้า: สวัสดิการตั้งแต่เกิดจนแก่ (Cradle to Grave) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างตาข่ายรองรับทางสังคม
Orange Megaprojects: การลงทุน 6.3 แสนล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิต เช่น น้ำประปาดื่มได้ ขนส่งสาธารณะทั่วถึง และระบบกำจัดขยะ
34 เศรษฐกิจสร้างสรรค์และปลดล็อกทุนผูกขาด: สุราก้าวหน้า เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการเปิดเสรีพลังงาน (Net Metering)
35
บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:
ความพอประมาณ: ข้อเสนอสวัสดิการถ้วนหน้าและการลงทุน Megaprojects ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งท้าทายหลักความพอประมาณทางการคลังอย่างยิ่ง พรรคประชาชนเสนอการหารายได้ใหม่จากการปฏิรูปภาษีและลดงบประมาณกองทัพ ซึ่งหากทำได้จริงจะเกิดสมดุล แต่ในทางปฏิบัติมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญแรงต้านทานทางการเมืองและระบบราชการ
ความมีเหตุผล: การแก้ปัญหาที่โครงสร้าง (เช่น การทลายทุนผูกขาด, สุราก้าวหน้า) สอดคล้องกับหลักความมีเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยเติบโต ซึ่งเป็นการสร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากภายใน
ภูมิคุ้มกัน: ระบบสวัสดิการถ้วนหน้าคือรูปแบบสูงสุดของการสร้าง "ภูมิคุ้มกันทางสังคม" (Social Immunity) ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แม้เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การกระจายอำนาจและการจัดการน้ำ/ขยะ ยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้เมืองและชุมชนมีความยืดหยุ่น (Resilience) ต่อภัยพิบัติ
5. บทสังเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ: นโยบายประชานิยมกับความยั่งยืน
5.1 ตารางเปรียบเทียบนโยบายหลักกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ตารางด้านล่างแสดงการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายเรือธงของแต่ละพรรคกับเป้าหมาย SDGs และหลัก SEP:
| พรรคการเมือง | นโยบายเรือธง (Flagship Policies) | การวิเคราะห์ตามหลัก SEP | ความสอดคล้องกับ SDGs |
| เพื่อไทย | Digital Wallet, ค่าแรง 600, พักหนี้, OFOS | ปานกลาง-ต่ำ (เน้นเติบโตเร็ว แต่อาจขาดความพอประมาณทางการคลัง เสี่ยงต่อหนี้สาธารณะ) | SDG 1 (No Poverty), SDG 8 (Decent Work) แต่มีความเสี่ยงกระทบ SDG 17 (Fiscal Sustainability) |
| ประชาชน | สวัสดิการถ้วนหน้า, สุราก้าวหน้า, น้ำประปาดื่มได้ | สูง (เน้นแก้โครงสร้าง ลดเหลื่อมล้ำ สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว แม้ต้องใช้งบสูง) | SDG 10 (Reduced Inequalities), SDG 6 (Clean Water), SDG 16 (Strong Institutions) |
| ภูมิใจไทย | Solar Roof ฟรี, Trade+ (Barter), พักหนี้ | ปานกลาง-สูง (Solar Roof และ Trade+ สอดคล้องกับหลักการพึ่งพาตนเองสูงสุด) | SDG 7 (Clean Energy), SDG 12 (Responsible Consumption & Production) |
| รทสช. | ตรึงราคาน้ำมัน, สร้างรั้วชายแดน, เบี้ยทหาร | ต่ำ (เน้นอุดหนุนฟอสซิล ขัดแย้งกับทิศทางความยั่งยืน และเน้นความขัดแย้ง) | ขัดแย้งกับ SDG 13 (Climate Action) และ SDG 16 (Peace & Justice) |
| ปชป. | Green Economy, คาร์บอนเครดิต, ที่ดินทำกิน | ปานกลาง (เน้นสิ่งแวดล้อมแต่ขาดความชัดเจนด้านกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหภาค) | SDG 13 (Climate Action), SDG 15 (Life on Land) |
5.2 ความขัดแย้งระหว่าง "ประชานิยมระยะสั้น" กับ "ความยั่งยืนระยะยาว"
จากการสังเคราะห์ข้อมูล พบว่ากับดักสำคัญของการเมืองไทยในปี 2569 คือ "กับดักระยะสั้น" (Short-termism Trap) พรรคการเมืองส่วนใหญ่มุ่งนำเสนอนโยบายที่ให้ผลตอบแทนรวดเร็ว (Quick Wins) เช่น การแจกเงิน การพักหนี้ หรือการลดราคาพลังงานทันที เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ละเลยผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น
หากพิจารณาตามหลัก SEP นโยบายเหล่านี้ขาด "ภูมิคุ้มกัน" อย่างร้ายแรง การดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนโครงการประชานิยม จะกัดเซาะความน่าเชื่อถือทางการคลัง (Fiscal Credibility) ของประเทศ และเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ ประเทศไทยจะไม่มี "กระสุน" (Fiscal Space) เหลือเพียงพอที่จะปกป้องประชาชน ดังบทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจในลาตินอเมริกา
5.3 มิติสิ่งแวดล้อม: จาก "วาทกรรม" สู่ "การปฏิบัติจริง"
แม้ทุกพรรคจะเริ่มพูดถึง Green Economy ตามกระแสโลก แต่ระดับความมุ่งมั่นและวิธีการมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ:
เชิงรุกและโครงสร้าง: พรรคประชาชนและภูมิใจไทย มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมในการเปลี่ยนโครงสร้างพลังงาน (Energy Transition) ผ่าน Solar Roof และ Net Metering ซึ่งเป็นการกระจายอำนาจทางพลังงานสู่ประชาชน
เชิงตั้งรับ: พรรคเพื่อไทยเน้นการแก้ปัญหาปลายเหตุอย่าง PM 2.5 แต่ยังขาดความชัดเจนในการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม
เชิงถดถอย (Regressive): พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอนโยบายที่สวนทางกับโลกด้วยการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะทำให้ไทยติดอยู่ในกับดักพลังงานเก่าและเสียเปรียบในการค้าระหว่างประเทศที่มีกำแพงภาษีคาร์บอน (CBAM)
9
6. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
การเลือกตั้งปี 2569 ไม่ใช่เพียงการเลือกผู้บริหารประเทศ แต่เป็นการเลือก "ทิศทางอนาคต" ของประเทศไทย ท่ามกลางทางแพร่งระหว่างการเติบโตแบบฉาบฉวยที่ทิ้งภาระไว้ให้คนรุ่นหลัง หรือการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มีรากฐานแข็งแกร่ง
6.1 บทสรุปตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ด้านสังคม: นโยบายสวัสดิการของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยตอบโจทย์การลดความเหลื่อมล้ำ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความยั่งยืนทางการเงิน เพื่อไม่ให้ระบบล่มสลายในอนาคต
ด้านเศรษฐกิจ: นวัตกรรมนโยบายอย่าง Trade+ ของภูมิใจไทย และการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (สุราก้าวหน้า/OFOS) เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับการสร้างมูลค่าเพิ่มและการพึ่งพาตนเอง ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนสานต่อไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล
ด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม: การสร้างภูมิคุ้มกันที่แท้จริงไม่ได้มาจากการสร้างรั้วหรือสะสมอาวุธ แต่มาจากการสร้างความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม นโยบายที่สนับสนุนพลังงานสะอาดและการเกษตรยั่งยืนจึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
6.2 ข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนนโยบาย (Policy Recommendations)
สร้างภูมิคุ้มกันทางการคลัง (Fiscal Immunity): รัฐบาลใหม่ควรจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-term Fiscal Framework) ที่ระบุแหล่งที่มาของรายได้สำหรับทุกนโยบายประชานิยมอย่างชัดเจน และควรพิจารณาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มรายได้รัฐ
เปลี่ยนจากการ "แจก" เป็นการ "สร้าง" (Empowerment over Handouts): ควรเปลี่ยนงบประมาณสำหรับการแจกเงินหรือประกันราคา มาเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาและเทคโนโลยี (R&D) เช่น ระบบชลประทานอัจฉริยะ เทคโนโลยีการเกษตรแม่นยำ และการฝึกทักษะแรงงานยุค AI
เร่งเครื่องเศรษฐกิจสีเขียว (Accelerate Green Transition): ต้องผลักดัน พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) และสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจปรับตัว ซึ่งจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้สินค้าไทยในตลาดโลก
ยึดมั่นในทางสายกลาง (The Middle Path): ในมิติความมั่นคงและการต่างประเทศ ไทยควรรักษาสมดุลทางทูต หลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่รุนแรง และใช้กลไกการค้าชายแดนเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน
ท้ายที่สุด การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการกำหนดนโยบายสาธารณะ มิใช่การหยุดการพัฒนา แต่คือการพัฒนาอย่างมีสติ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะพาประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤตซ้อนวิกฤต และส่งต่อสังคมที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไปได้อย่างภาคภูมิ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น