วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ส่องนโยบายพรรคการเมืองไทย พร้อมสู่การเลือกตั้งปี 2569


วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: พลวัตทางนโยบายของพรรคการเมืองไทยและนัยต่อการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2569


บทคัดย่อ

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์ภูมิทัศน์ทางการเมืองและยุทธศาสตร์ทางนโยบายของพรรคการเมืองไทยในการเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้งทั่วไปปี 2569 (ค.ศ. 2026) ภายใต้บริบททางเศรษฐกิจสังคมที่เปราะบางและกับดักทางโครงสร้างที่ซับซ้อน การศึกษานี้สังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารเชิงประจักษ์ คำแถลงนโยบาย และบทวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์การเมือง เพื่อประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility) ความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness) และความยั่งยืน (Sustainability) ของข้อเสนอนโยบายจากพรรคการเมืองหลัก ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคกล้าธรรม โดยให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ภายใต้กรอบกฎหมายตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นกลไกกำกับดูแลวินัยการคลังที่สำคัญ


ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นโยบาย "ประชานิยม" (Populism) จะถูกท้าทายด้วยข้อจำกัดทางงบประมาณและหนี้สาธารณะ นโยบายเรือธงอย่าง "รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย" "คนละครึ่งพลัส" และ "หวยเกษียณ" สะท้อนถึงความพยายามในการปรับตัวของพรรคการเมืองเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตค่าครองชีพ ในขณะที่นโยบายเชิงโครงสร้างอย่างการปฏิรูปกองทัพและการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOU 44) สะท้อนถึงจุดยืนทางอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การวิเคราะห์ยังพบว่า พรรคการเมืองขนาดกลางและพรรคตัวแปรมีแนวโน้มใช้นโยบายเฉพาะกลุ่ม (Targeted Policy) เพื่อรักษาฐานเสียงและสร้างอำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มีเสถียรภาพทางนโยบายในระยะยาว


1. บทนำ: สภาวะ "คนป่วย" และภูมิทัศน์เศรษฐกิจการเมืองก่อนปี 2569

การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปี 2569 ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนผ่านอำนาจตามวาระปกติ แต่เป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตซ้อนวิกฤต (Polycrisis) ที่กัดกร่อนศักยภาพของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน สภาวะทางเศรษฐกิจที่ถูกขนานนามจากนักวิเคราะห์ระดับนานาชาติว่าเป็น "คนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" (The Sick Man of Southeast Asia) 1 ได้กลายเป็นโจทย์ตั้งต้นที่กดดันให้ทุกพรรคการเมืองต้องเร่งนำเสนอทางออกที่จับต้องได้

1.1 กับดักการเติบโตต่ำและหนี้สินเรื้อรัง

ข้อมูลทางเศมหภาคระบุชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภาวะเติบโตต่ำอย่างต่อเนื่อง การคาดการณ์อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สำหรับปี 2568 และ 2569 อยู่ที่ระดับเพียงร้อยละ 2.2 ถึง 2.3 เท่านั้น 2 ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็นและตามหลังเพื่อนบ้านในภูมิภาค ปัจจัยกดดันสำคัญมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ การส่งออกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า และกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแออันเนื่องมาจากหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึงร้อยละ 89 ของ GDP 3 สถานการณ์นี้สร้างแรงกดดันให้พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น (Short-term Stimulus) ที่ใช้เม็ดเงินมหาศาล ซึ่งขัดแย้งกับความจำเป็นในการรักษาวินัยทางการคลัง

1.2 นิติสงครามและกติกาที่เปลี่ยนไป

บริบททางการเมืองถูกกำหนดโดยโครงสร้างทางกฎหมายที่เข้มงวด โดยเฉพาะการบังคับใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 57 ที่กำหนดให้พรรคการเมืองต้องระบุวงเงินที่ใช้ ที่มาของงบประมาณ ความคุ้มค่า และผลกระทบของนโยบายอย่างชัดเจน 45 ข้อกำหนดนี้ไม่ใช่เพียงพิธีกรรมทางเอกสาร แต่เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สามารถใช้ตรวจสอบและลงโทษพรรคการเมืองได้หากไม่สามารถชี้แจงความเป็นไปได้ทางการเงิน ส่งผลให้การออกแบบนโยบายในปี 2569 ต้องมีความรัดกุมมากกว่าในอดีต พรรคการเมืองไม่สามารถเพียงแค่โฆษณาชวนเชื่อ (Campaign Rhetoric) ได้อีกต่อไป แต่ต้องนำเสนอ "พิมพ์เขียว" ที่ผ่านการวิเคราะห์งบประมาณมาแล้ว

1.3 พลวัตของสถาบันทางการเมือง

การเมืองไทยยังคงอยู่ในสภาวะ "กึ่งประชาธิปไตย" ที่สถาบันอิสระและองค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมีบทบาทสูง การยุบพรรคก้าวไกลและการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของแกนนำในปี 2567 67 ได้นำไปสู่การก่อตั้ง "พรรคประชาชน" (People's Party) ซึ่งสืบทอดอุดมการณ์และฐานเสียงเดิม ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลเดิมภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ต้องรักษาสมดุลระหว่างการเป็นพันธมิตรทางยุทธวิธี (Tactical Alliance) กับการแข่งขันแย่งชิงฐานเสียงในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง


2. พรรคเพื่อไทย: การปรับตัวของประชานิยมในยุคข้อจำกัดงบประมาณ

พรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลเดิม เข้าสู่สนามเลือกตั้ง 2569 ด้วยความท้าทายในการพิสูจน์ผลงาน "คิดใหญ่ ทำเป็น" ท่ามกลางข้อจำกัดทางงบประมาณที่รัดตัว นโยบายของพรรคสะท้อนความพยายามที่จะประนีประนอมระหว่างประชานิยมแบบดั้งเดิม (Old School Populism) กับนวัตกรรมทางนโยบายใหม่ (Policy Innovation)

2.1 รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย: ความยั่งยืนทางการเงินและโครงสร้างสัญญาสัมปทาน

นโยบาย "รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย" ถือเป็นนโยบายเรือธงที่มุ่งลดภาระค่าครองชีพของคนเมืองและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ แม้จะมีการนำร่องในรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดง แต่การขยายผลให้ครอบคลุมทั้งระบบยังเผชิญอุปสรรคสำคัญ

  • ต้นทุนและงบประมาณ: การตรึงราคาค่าโดยสารในอัตรา 20 บาท จำเป็นต้องใช้งบประมาณอุดหนุน (Subsidy) สูงถึง 8,000 ล้านบาทต่อปี 8 การวิเคราะห์สถานะทางการเงินพบว่า รายได้ของสายสีม่วงลดลงกว่าร้อยละ 38 หลังการปรับลดราคา ซึ่งสร้างภาระขาดทุนสะสมให้กับรัฐวิสาหกิจ 9

  • ความซับซ้อนของสัมปทาน: อุปสรรคใหญ่คือสัญญาสัมปทานกับเอกชน (เช่น BTS สายสีเขียว) ที่มีความซับซ้อน รัฐบาลจำเป็นต้องเจรจาซื้อคืนสัมปทาน (Buy Back) หรือแก้ไขสัญญา ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาลและกระบวนการทางกฎหมายที่ยาวนาน

  • ข้อวิจารณ์เชิงโครงสร้าง: นักวิชาการจาก TDRI ตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของนโยบายนี้ โดยเสนอว่ารัฐบาลควรพิจารณามาตรการเสริมรายได้ เช่น การจัดเก็บ "ค่าธรรมเนียมรถติด" (Congestion Charge) ในพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ เพื่อนำรายได้มาจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานและอุดหนุนค่าโดยสาร ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จในสิงคโปร์และลอนดอน 10 หากปราศจากแหล่งรายได้ใหม่ นโยบายนี้อาจกลายเป็นภาระทางการคลังระยะยาวที่ขัดต่อวินัยการเงินการคลังตามมาตรา 57 11

2.2 หวยเกษียณ (Lottery for Retirement): นวัตกรรมการออมผ่านพฤติกรรมศาสตร์

เพื่อตอบโจทย์สังคมสูงวัยและปัญหาการขาดแคลนเงินออม พรรคเพื่อไทยได้นำเสนอโครงการ "หวยเกษียณ" หรือสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ โดยใช้กลไกของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) 12

  • กลไกนโยบาย: ใช้ทฤษฎีการสะกิดพฤติกรรม (Nudge Theory) โดยเปลี่ยนเงินที่ประชาชนใช้ซื้อสลากกินแบ่ง (ซึ่งเป็นเงินสูญเปล่าหากไม่ถูกรางวัล) ให้กลายเป็นเงินออม ผู้ซื้อมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลเงินล้าน แต่เงินต้นจะถูกเก็บสะสมและคืนให้เมื่ออายุครบ 60 ปี 13

  • การวิเคราะห์ผลกระทบ: นโยบายนี้ได้รับการตอบรับที่ดีในแง่แนวคิด เพราะสอดคล้องกับพฤติกรรมคนไทยที่ชอบเสี่ยงโชค แต่ความเสี่ยงอยู่ที่การบริหารจัดการผลตอบแทนของกองทุน หาก กอช. ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อได้ เงินออมเมื่อเกษียณจะมีมูลค่าที่แท้จริงลดลง นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลทางจริยธรรมว่ารัฐกำลังส่งเสริมวัฒนธรรมการพนัน (Gambling Culture) ทางอ้อมหรือไม่ 14

2.3 30 บาทรักษาทุกโรคยุคใหม่ (30 Baht Plus)

พรรคเพื่อไทยมุ่งยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็น "30 บาทพลัส" โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (Health Link) และบัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ 15

  • เป้าหมาย: เพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงบริการ ลดความแออัด และขยายสิทธิประโยชน์ครอบคลุมโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง

  • ความท้าทาย: ปัญหาคอขวดอยู่ที่ภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ (Workload) และงบประมาณที่ไม่เพียงพอต่อต้นทุนการรักษาจริง ข้อมูลวิจัยชี้ว่าผู้ป่วยจำนวนมากยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายแฝงหรือเลือกไปใช้บริการนอกระบบ 16 การขยายสิทธิประโยชน์โดยไม่มีการปฏิรูประบบการเงินการคลังสาธารณสุข (Health Financing Reform) อาจเร่งให้ระบบล่มสลายในระยะยาวจากภาระค่าใช้จ่ายของสังคมสูงวัย 17


3. พรรคประชาชน: การปฏิรูปโครงสร้างและวิสัยทัศน์ "ไทยก้าวหน้า"

พรรคประชาชน (People's Party) ภายใต้การนำของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สานต่อภารกิจจากพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกล โดยนำเสนอชุดนโยบายที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ (Root Cause) และการทลายโครงสร้างอำนาจเดิม

3.1 ยุทธศาสตร์ 3 ไทย: ไม่เทา-เท่ากัน-ทันโลก

พรรคประชาชนวางกรอบนโยบายหลักไว้ 3 ด้าน 18 ได้แก่:

  1. ไทยไม่เทา (Thai Mai Thao): มุ่งปราบปรามคอร์รัปชันและทุนสีเทา โดยนำเทคโนโลยี AI และ Data Analytics มาใช้ในระบบราชการ (Open Government) เพื่อสร้างความโปร่งใส ณัฐพงษ์เสนอแนวคิด "Data Bureau" เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งจะช่วยลดการรั่วไหลของงบประมาณ 19

  2. ไทยเท่ากัน (Thai Thao Kan): เน้นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (Decentralization) ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ และสร้างระบบสวัสดิการถ้วนหน้า (Universal Welfare) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

  3. ไทยทันโลก (Thai Than Lok): ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมถึงการผลักดันกฎหมายเพื่อรองรับความหลากหลายทางเพศและสิทธิมนุษยชน

3.2 การปฏิรูปกองทัพและงบประมาณกลาโหม

นโยบายด้านความมั่นคงของพรรคประชาชนยังคงมีความชัดเจนและแข็งกร้าวที่สุด โดยเสนอยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ 100% พร้อมกับการลดขนาดกองทัพ (Downsizing) และถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพ (เช่น สนามกอล์ฟ, โรงแรม, คลื่นวิทยุ) กลับมาเป็นทรัพย์สินของรัฐเพื่อสร้างรายได้เข้าระบบ 20 พรรคยังเน้นการตรวจสอบงบประมาณกลาโหมที่มักถูกระบุว่าเป็น "งบความลับ" หรือ "งบนอกงบประมาณ" (Off-budget funds) ซึ่งมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท 21 เพื่อนำเงินส่วนนี้มาใช้ในการพัฒนารัฐสวัสดิการ

3.3 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

พรรคประชาชนยังคงยืนยันในเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทั้งฉบับ โดยเฉพาะการลบล้างมรดกของการรัฐประหารและการปฏิรูปสถาบันองค์กรอิสระ เพื่อให้เกิดดุลยภาพทางอำนาจที่ยึดโยงกับประชาชน 22 ซึ่งถือเป็นจุดแตกหักสำคัญกับกลุ่มอนุรักษนิยม


4. พรรคภูมิใจไทย: ภูมิภาคนิยมและ "ประชานิยมเชิงปฏิบัติ"

พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล วางตำแหน่งตัวเองเป็น "พรรคทางเลือก" ที่เน้นการลงมือทำ (Pragmatism) และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางอุดมการณ์ โดยใช้ยุทธศาสตร์ "ป่าล้อมเมือง" และเครือข่ายบ้านใหญ่ในการเจาะฐานเสียงภูมิภาค

4.1 คนละครึ่งพลัส (Khon La Khrueng Plus)

เพื่อตอบสนองต่อปัญหาค่าครองชีพ ภูมิใจไทยนำเสนอนโยบาย "คนละครึ่งพลัส" ซึ่งเป็นการต่อยอดโครงการที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต 23

  • รายละเอียด: รัฐช่วยจ่ายค่าสินค้าอุปโภคบริโภค 50% แต่เพิ่มวงเงินและขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมเยาวชนอายุ 16 ปีขึ้นไป 23

  • การวิเคราะห์: นโยบายนี้มีจุดแข็งที่ความรวดเร็วในการกระตุ้นการใช้จ่าย (Velocity of Money) และเข้าถึงร้านค้ารายย่อยโดยตรง แต่ข้อเสียคือมีผลต่อตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ (Multiplier Effect) ต่ำกว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และอาจสร้างภาระผูกพันทางการคลังหากดำเนินการต่อเนื่องยาวนาน 24 นายอนุทินประกาศว่าจะใช้นโยบายนี้เพื่อ "ชำระหนี้" ให้ประชาชนหลังเลือกตั้ง 25

4.2 ทหารอาสาและค่าตอบแทนจูงใจ

ภูมิใจไทยเสนอทางเลือกในการปฏิรูปกองทัพที่ประนีประนอมกว่าพรรคประชาชน โดยเสนอระบบ "ทหารอาสา" 100% แต่เน้นการเพิ่มแรงจูงใจด้วยเงินเดือนและสวัสดิการสูงถึง 12,000 - 15,000 บาทต่อเดือน 2526

  • นัยทางงบประมาณ: การเพิ่มเงินเดือนทหารเกณฑ์ในระดับนี้จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่องบประมาณรายจ่ายประจำของกระทรวงกลาโหม ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงอยู่แล้ว 21 การเพิ่มฐานเงินเดือนโดยไม่ลดจำนวนนายพลหรือปรับลดกำลังพลส่วนเกิน จะทำให้งบประมาณด้านการลงทุนและการพัฒนายุทโธปกรณ์ลดลง หรือจำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมรวม ซึ่งอาจถูกคัดค้านจากภาคประชาสังคม


5. พรรคประชาธิปัตย์: การดิ้นรนเพื่อฟื้นคืนชีพ (Revival Strategy)

พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเป็นพรรคหลักของประเทศ กำลังเผชิญกับวิกฤตศรัทธาและการสูญเสียฐานเสียง การกลับมามีบทบาทของอดีตหัวหน้าพรรคอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการรณรงค์หาเสียงสะท้อนถึงความพยายามกอบกู้ภาพลักษณ์ดั้งเดิมของพรรค 27

5.1 ยุทธศาสตร์ "ทนหายใจ vs ไทยหายจน"

นายอภิสิทธิ์ ได้เปิดตัวแคมเปญด้วยวาทกรรมที่เล่นคำว่า "ทนหายใจ" (Thon Hai Jai - Endure just to breathe) เปรียบเทียบกับเป้าหมาย "ไทยหายจน" (Thai Hai Jon - Thais no longer poor) เพื่อสะท้อนถึงความยากลำบากของประชาชนภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน 27

  • นโยบาย SME และการแก้หนี้: พรรคเน้นเจาะกลุ่มผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากทุนใหญ่และสินค้านำเข้าราคาถูก โดยเสนอมาตรการกีดกันทางการค้าที่จำเป็นและการเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการแก้หนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน โดยไม่ใช้เพียงการพักหนี้แต่เน้นการสร้างรายได้

  • การศึกษาและสิ่งแวดล้อม: มาดามเดียร์ (วทันยา บุนนาค) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในทีมเศรษฐกิจรุ่นใหม่ ผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการพัฒนาทักษะแรงงาน (Up-skill/Re-skill) ให้สอดคล้องกับตลาดโลก 28


6. พรรคกล้าธรรม: ตัวแปรทางยุทธศาสตร์ (Strategic Proxy)

พรรคกล้าธรรม ภายใต้การนำของ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ และเลขาธิการ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า 29 ถือเป็นพรรคที่น่าจับตามองในฐานะ "พรรคอะไหล่" หรือพรรคพันธมิตรที่มีความยืดหยุ่นสูงในการเข้าร่วมรัฐบาล

6.1 นโยบาย "โฉนดเพื่อการเกษตร"

นโยบายหลักของพรรคเน้นเจาะฐานเสียงเกษตรกรในชนบท โดยเฉพาะการแปลงเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ให้เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรสามารถนำที่ดินไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและเข้าถึงแหล่งทุนได้ 30

  • การวิเคราะห์: นโยบายนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนมือที่ดินจากเกษตรกรรายย่อยไปสู่นายทุนหากไม่มีกลไกป้องกันที่เข้มงวด แต่นับเป็นนโยบายที่ "ซื้อใจ" เกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ นฤมลยังเน้นนโยบายการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ (Water Management) เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งซ้ำซาก ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิกของภาคเกษตรไทย 30


7. ประเด็นข้ามพรรคและปัจจัยเสี่ยงระดับชาติ (Cross-Cutting Issues)

นอกเหนือจากนโยบายเฉพาะพรรค ยังมีประเด็นระดับมหภาคที่จะส่งผลกระทบต่อทุกพรรคการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 2569

7.1 พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (MOU 44) และความมั่นคงทางพลังงาน

MOU 44 (Memorandum of Understanding 2544) เป็นกรอบการเจรจาเพื่อแบ่งเขตแดนทางทะเลและพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Claims Area - OCA) ซึ่งมีมูลค่าประเมินกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ 31

  • ความขัดแย้ง: ประเด็นนี้ถูกทำให้เป็นเรื่องการเมือง (Politicization) โดยกลุ่มชาตินิยมโจมตีว่ารัฐบาลอาจยอมเสียดินแดน (เกาะกูด) เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางพลังงาน 3233

  • ทางแพร่งทางนโยบาย: การยกเลิก MOU 44 ฝ่ายเดียวตามข้อเรียกร้องของบางกลุ่ม อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศและการฟ้องร้องในศาลโลก ซึ่งจะทำให้ไทยเสียเปรียบและปิดตายโอกาสในการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ ซึ่งจำเป็นต่อความมั่นคงทางพลังงานในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Energy Transition) นักการทูตและผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไทยควรรักษากรอบเจรจานี้ไว้เพื่อประโยชน์สูงสุด 3435 ทุกพรรคการเมืองต้องระมัดระวังในการหาเสียงเรื่องนี้เพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

7.2 กับดักหนี้ครัวเรือนและการพักชำระหนี้ (Debt Moratorium)

ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นระเบิดเวลาที่ทุกพรรคพยายามเข้าไป "กู้ระเบิด" ด้วยนโยบายพักหนี้ 36

  • บทเรียนจากอดีต: การพักหนี้เกษตรกรกว่า 13 ครั้งในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ช่วยให้หนี้ลดลง แต่กลับทำให้เกษตรกรเสพติดการช่วยเหลือและขาดวินัยทางการเงิน 36

  • ข้อเสนอแนะ: รายงานจาก ธปท. เสนอว่าทางออกคือการแก้หนี้อย่างยั่งยืน (Sustainable Solutions) ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ และการเพิ่มรายได้ผ่านการปรับโครงสร้างการผลิต พรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาชนมีแนวโน้มสนับสนุนแนวทางนี้มากกว่าการพักหนี้แบบเหวี่ยงแหของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย 3738

7.3 พ.ร.ป. พรรคการเมือง มาตรา 57: กรงขังประชานิยม

มาตรา 57 เป็นปัจจัยชี้ขาดที่จะคัดกรองนโยบายที่เป็นไปได้จริงออกจากนโยบายเพ้อฝัน กฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองต้องวิเคราะห์ความคุ้มค่า ความเสี่ยง และที่มาของเงินอย่างละเอียด 4

  • ผลกระทบ: พรรคการเมืองขนาดเล็กที่มีทรัพยากรบุคคลจำกัดจะเสียเปรียบในการจัดทำข้อมูลเหล่านี้ ในขณะที่พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยและก้าวไกล (ประชาชน) มีทีมวิชาการที่แข็งแกร่งกว่า อย่างไรก็ตาม หากพรรคใดชนะเลือกตั้งแล้วไม่สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ อาจถูกร้องเรียนและนำไปสู่การถอดถอนหรือยุบพรรคในภายหลังได้ ซึ่งเป็นความเสี่ยงทางกฎหมาย (Legal Risk) ที่ต้องตระหนัก 5


8. ตารางสรุปเปรียบเทียบยุทธศาสตร์นโยบาย (Comparative Policy Matrix)

มิติทางนโยบายพรรคเพื่อไทยพรรคประชาชนพรรคภูมิใจไทยพรรคประชาธิปัตย์พรรคกล้าธรรม
เศรษฐกิจ/ปากท้องรถไฟฟ้า 20 บาท, หวยเกษียณ, เติมเงินดิจิทัล (Legacy)ทลายทุนผูกขาด, Data Bureau, สวัสดิการถ้วนหน้าคนละครึ่งพลัส, แก้หนี้ กยศ.ประกันรายได้, แก้หนี้ SME, "ไทยหายจน"โฉนดเพื่อการเกษตร, แก้จนเกษตรกร
ความมั่นคง/กองทัพปฏิรูปอย่างประนีประนอม, เจรจา MOU 44ยกเลิกเกณฑ์ทหาร, ลดงบกลาโหม, ปฏิรูป กอ.รมน.ทหารอาสา (เงินเดือนสูง), ปกป้องสถาบันสนับสนุนกองทัพตามสมควรสานสัมพันธ์กองทัพ, ไม่แตะต้องโครงสร้าง
สังคม/การเมือง30 บาทพลัส, แก้ รธน. (บางมาตรา)แก้ รธน. ทั้งฉบับ, กระจายอำนาจสูงสุด, สมรสเท่าเทียมกัญชาทางการแพทย์, โซลาร์รูฟท็อปเสรีการศึกษาทันสมัย, กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นธนาคารน้ำ, พัฒนาแหล่งน้ำชุมชน
จุดเด่น (Key Strength)แบรนด์ "กินได้", ทีมเศรษฐกิจประสบการณ์สูงอุดมการณ์ชัดเจน, ฐานเสียงคนรุ่นใหม่ (New Voters)เครือข่ายบ้านใหญ่, ความยืดหยุ่นทางการเมืองฐานเสียงอนุรักษ์นิยมภาคใต้, ภาพลักษณ์สถาบันร.อ.ธรรมนัส (Baramee), เจาะกลุ่มรากหญ้า
ความเสี่ยง (Risk)ข้อจำกัดงบประมาณ, ความขัดแย้งกับฐานเสียงเดิมนิติสงคราม (ยุบพรรค), แรงต้านจากกลุ่มจารีตภาพลักษณ์ผลประโยชน์ทับซ้อน, นโยบายกัญชาความนิยมตกต่ำต่อเนื่อง, ขาดผู้นำที่มีบารมีสูงเป็นพรรคเฉพาะกิจ, ขาดอุดมการณ์ระยะยาว

9. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงอนาคต (Conclusion & Future Outlook)

การเลือกตั้งปี 2569 จะเป็นบททดสอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไทย ท่ามกลางแรงเสียดทานระหว่าง "ความต้องการการเปลี่ยนแปลง" ของประชาชน กับ "ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง" ของรัฐ

9.1 บทสรุปเชิงวิเคราะห์

  1. จุดจบของประชานิยมไร้ขีดจำกัด: ข้อจำกัดทางงบประมาณและกฎหมาย (มาตรา 57) จะบีบให้พรรคการเมืองต้องระมัดระวังในการเสนอนโยบายแจกเงิน (Cash Handout) และหันไปเน้นนโยบายสวัสดิการแบบมีเงื่อนไข (Targeted Welfare) หรือนโยบายที่ไม่ใช้เงิน (Non-monetary Policy) เช่น การแก้กฎหมาย

  2. การเมืองแบบแบ่งขั้วยังคงอยู่: แม้จะมีความพยายามสร้างภาพลักษณ์ของการประนีประนอม แต่รอยร้าวทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายก้าวหน้ายังคงลึกซึ้ง โดยเฉพาะในประเด็นการปฏิรูปกองทัพและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

  3. ตัวแปรทางเศรษฐกิจคือปัจจัยชี้ขาด: หากเศรษฐกิจไทยยังคงซบเซาในปี 2568 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีแนวโน้มจะเทคะแนนให้กับพรรคที่เสนอทางออกทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้และรวดเร็วที่สุด มากกว่าพรรคที่เน้นอุดมการณ์นามธรรม ซึ่งอาจเป็นโอกาสของพรรคภูมิใจไทยหรือเพื่อไทย

9.2 ฉากทัศน์อนาคต (Future Scenarios)

  • Scenario 1: รัฐบาลผสมขั้วเดิม (Status Quo Coalition): พรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีการต่อรองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเข้มข้น นโยบายจะเน้นการประคับประคองเศรษฐกิจและการสานต่อโครงการเดิม

  • Scenario 2: การพลิกขั้วทางการเมือง (Political Re-alignment): หากพรรคประชาชนชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย (Landslide) อาจเกิดแรงกดดันให้พรรคการเมืองอื่นต้องปรับตัว หรืออาจเกิดภาวะชะงักงันทางการเมือง (Deadlock) จากการต่อต้านของสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

  • Scenario 3: รัฐบาลแห่งชาติหรือขั้วที่สาม: ในกรณีเกิดวิกฤตความขัดแย้งรุนแรง พรรคตัวแปรอย่างภูมิใจไทยหรือกล้าธรรม อาจก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลขั้วกลางเพื่อลดความขัดแย้ง

ข้อเสนอแนะสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง: ควรพิจารณานโยบายอย่างรอบด้านโดยไม่ยึดติดกับคำโฆษณาชวนเชื่อ ต้องตั้งคำถามถึง "ที่มาของเงิน" และ "ผลกระทบระยะยาว" ของแต่ละนโยบาย เพื่อให้การเลือกตั้งปี 2569 เป็นก้าวสำคัญในการนำประเทศไทยออกจากหลุมดำทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างแท้จริง


รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยสังเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ ณ เดือนธันวาคม 2568 เพื่อวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ทางวิชาการและสาธารณประโยชน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ธรรมาธิปไตยบริหารท้องถิ่น ดร.นิยม เวชกามา ชูสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569

วิเคราะห์เชิงบูรณาการ: พลวัตแนวคิดธรรมาธิปไตยและการบริหารท้องถิ่นของ ดร.นิยม เวชกามา สู่บริบทการเมืองและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ...