วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ


บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยมและสถาบันสงฆ์ในการประชุมใหญ่ อพส. ครั้งที่ 9



บทสรุปผู้บริหาร

รายงานการวิจัยฉบับนี้ทำการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายและทิศทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน (Sonexay Siphandone) ที่มีต่อสถาบันสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านคำปราศรัยและมติในการประชุมใหญ่ผู้แทนพระสงฆ์ทั่วประเทศ ครั้งที่ 9 (The 9th National Congress of Buddhist Representatives) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 2025 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ ท่ามกลางบริบทความท้าทายทางเศรษฐกิจมหภาคและการเปลี่ยนผ่านทางสังคมที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ลาวสมัยใหม่

สาระสำคัญของการศึกษาพบว่า รัฐบาลลาวกำลังดำเนินยุทธศาสตร์ "ระดมสรรพกำลังทางจิตวิญญาณ" (Spiritual Mobilization) เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ "Perfect Storm" ที่ประกอบด้วยภาวะเงินเฟ้อ วิกฤตหนี้สาธารณะ และปัญหายาเสพติด ผ่านการปฏิรูปองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (Lao Buddhist Fellowship Organisation - LBFO) อย่าง "เข้มแข็ง ลึกซึ้ง และรอบด้าน" นโยบายสำคัญที่นายกรัฐมนตรีสอนไซได้ประกาศใช้ ได้แก่ การสังเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจชาตินิยมเข้ากับวิถีปฏิบัติทางศาสนา (Economic Nationalism via Buddhism) เช่น การรณรงค์ให้ใช้เงินกีบในการทำบุญเพื่อลดการพึ่งพาเงินตราต่างประเทศ (De-dollarization), การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ "Made in Laos" ในศาสนพิธี, และการใช้วัดเป็นฐานปฏิบัติการหน้าด่านในสงครามต่อต้านยาเสพติดผ่านนโยบาย "4 ไม่" (Four No's)

รายงานฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความพยายามของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว (LPRP) ในการนิยาม "ความชอบธรรม" (Legitimacy) รูปแบบใหม่ ที่มิได้อิงอยู่กับผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ผนวกเอาทุนทางสังคมและศรัทธาของสถาบันสงฆ์เข้ามาค้ำจุนเสถียรภาพของรัฐ นำไปสู่โมเดล "สังคมนิยมลาวที่มีลักษณะเฉพาะทางพุทธศาสนา" (Lao Socialism with Buddhist Characteristics) ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขณะที่ประเทศกำลังเตรียมก้าวพ้นสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC Graduation) ในปี 2026 บทบาทของคณะสงฆ์จึงถูกยกระดับจากผู้นำทางจิตวิญญาณสู่การเป็น "หุ้นส่วนการพัฒนา" (Development Partners) ที่มีพันธะผูกพันทางกฎหมายและนโยบายกับรัฐอย่างแน่นแฟ้น


1. บทนำ: ภูมิทัศน์วิกฤตและบริบทใหม่ของความสัมพันธ์รัฐ-สงฆ์

1.1 ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของการประชุมใหญ่ อพส. ครั้งที่ 9 ในปี 2025

การประชุมใหญ่ผู้แทนพระสงฆ์ทั่วประเทศ ครั้งที่ 9 (The 9th National Congress of Buddhist Representatives) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2025 มิใช่เพียงวาระปกติทางศาสนจักร แต่ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญทางการเมืองการปกครองอย่างยิ่งยวด 1 การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ สปป. ลาว กำลังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน จำเป็นต้องแสวงหาพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุดในโครงสร้างสังคมลาวเพื่อช่วยขับเคลื่อนนโยบายที่ยากลำบาก และสถาบันนั้นคือ "คณะสงฆ์"

บริบทแวดล้อมที่สำคัญของการประชุมประกอบด้วย:

  1. วิกฤตศรัทธาและเศรษฐกิจ: สปป. ลาว เผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและการอ่อนค่าของเงินกีบอย่างรุนแรงตลอดปี 2024-2025 ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและอาจสั่นคลอนเสถียรภาพทางสังคม 3

  2. การเปลี่ยนผ่านสู่ปี 2026: ปี 2026 เป็นปีเป้าหมายที่สำคัญยิ่งในการที่ลาวจะหลุดพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Country - LDC) ตามเกณฑ์ของสหประชาชาติ 5 ซึ่งต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการยกระดับดัชนีการพัฒนามนุษย์

  3. สุญญากาศผู้นำสงฆ์: การมรณภาพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มีบารมีสูงในปีก่อนหน้า เช่น พระอาจารย์ใหญ่ มหาบุนมา สิมมาพรม 7 สร้างความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดระเบียบโครงสร้างการนำใหม่ เพื่อป้องกันความแตกแยกและเพื่อให้มั่นใจว่าคณะบริหารชุดใหม่จะดำเนินนโยบายสอดคล้องกับพรรคและรัฐ

1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตของการศึกษา

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์นัยทางนโยบายของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ที่มีต่อองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (LBFO) โดยมุ่งเน้นการตอบคำถามวิจัยสำคัญ 3 ประการ:

  1. นโยบายการปฏิรูป อพส. สะท้อนถึงยุทธศาสตร์การอยู่รอดของรัฐบาลลาวในภาวะวิกฤตอย่างไร?

  2. การผนวกเอาเป้าหมายทางเศรษฐกิจ (เช่น การใช้เงินกีบ) เข้ากับพิธีกรรมทางศาสนา บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและศาสนาอย่างไร?

  3. บทบาทใหม่ของพระสงฆ์ในฐานะ "กลไกการพัฒนา" มีความท้าทายและข้อจำกัดอย่างไรในบริบทสังคมลาวยุคดิจิทัล?


2. พลวัตประวัติศาสตร์: วิภาษวิธีระหว่างลัทธิมาร์กซ์-เลนินและพุทธศาสนาเถรวาทในลาว

เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า "บทบาทที่แข็งแกร่ง" ที่นายกรัฐมนตรีเรียกร้อง จำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาชนปฏิวัติลาว (LPRP) กับสถาบันสงฆ์ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากรัฐคอมมิวนิสต์อื่น ๆ

2.1 มรดกจากยุคขบวนการปะเทดลาว: "พระสงฆ์แดง" และการปฏิวัติ

ต่างจากโซเวียตหรือจีนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมที่มักมองศาสนาเป็น "ยาเสพติด" ที่ต้องกวาดล้าง ขบวนการปะเทดลาว (Pathet Lao) เลือกใช้วิธีการ "ปรับปรนและผนวก" (Accommodation and Integration) 8

  • ยุทธวิธีแนวร่วม: ผู้นำพรรคอย่าง ภูมี วงวิจิตร และเจ้าสุภานุวงศ์ ตระหนักดีว่าในสังคมชนบทของลาว วัดคือศูนย์กลางของชุมชนและพระสงฆ์คือปัญญาชนกลุ่มเดียวที่ชาวบ้านเคารพเชื่อถือ พรรคจึงจัดตั้ง "องค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว" ขึ้นในเขตปลดปล่อยตั้งแต่ปี 1961 8 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่อุดมการณ์ปฏิวัติ

  • การตีความใหม่ (Reinterpretation): มีการสร้างวาทกรรมว่า "พระพุทธเจ้าคือนักปฏิวัติคนแรก" และเป้าหมายของนิพพานมีความสอดคล้องกับสังคมที่ปราศจากการกดขี่แบบคอมมิวนิสต์ พระสงฆ์ในช่วงเวลานั้นจึงมีบทบาทเป็น "นักโฆษณาชวนเชื่อ" (Propaganda Cadres) ที่ทรงประสิทธิภาพ 8

2.2 จากการควบคุมสู่การใช้งาน (1975 - ปัจจุบัน)

หลังการสถาปนา สปป. ลาว ในปี 1975 รัฐบาลใหม่ได้ยกเลิกธรรมยุติกนิกายและรวมศูนย์อำนาจสงฆ์เข้าสู่ อพส. เพียงองค์กรเดียว 9 แม้จะมีความพยายามลดทอนความเชื่อเรื่องผีและไสยศาสตร์ในช่วงแรก แต่รัฐก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่าไม่สามารถแยกพุทธศาสนาออกจากความเป็นชาติลาวได้

  • ยุคจินตนาการใหม่ (Post-1990s): เมื่อลาวเปิดประเทศและเข้าสู่เศรษฐกิจตลาด รัฐได้หันมาส่งเสริมพุทธศาสนาในฐานะ "อัตลักษณ์แห่งชาติ" (National Identity) เพื่อต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตกและไทยที่ไหลบ่าเข้ามา 10

  • สถานะปัจจุบัน: ในรัฐธรรมนูญและดำรัสว่าด้วยการบริหารและคุ้มครองศาสนา (Decree 315) รัฐได้รับรองพุทธศาสนาในฐานะที่มีบทบาทพิเศษในการสร้างความสามัคคีและพัฒนาชาติ 9 นายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน จึงมิได้เริ่มนโยบายใหม่จากศูนย์ แต่เป็นการ "Re-activate" กลไกที่มีอยู่เดิมให้เข้มข้นขึ้นเพื่อตอบโจทย์วิกฤตปัจจุบัน

2.3 ตารางเปรียบเทียบ: วิวัฒนาการบทบาทของสงฆ์ในสายตารัฐ

ยุคสมัยบทบาทหลักของพระสงฆ์ตามทัศนะรัฐเป้าหมายทางการเมืองสถานะทางกฎหมาย/นโยบาย
ยุคปฏิวัติ (1950s-1975)ผู้เผยแพร่อุดมการณ์, แนวร่วมการปลดปล่อยชาติ, ต่อต้านจักรวรรดินิยมองค์การจัดตั้งในเขตปลดปล่อย
ยุคสร้างสังคมนิยม (1975-1980s)ผู้ผลิต (ห้ามบิณฑบาตบางช่วง), ครูสอนหนังสือการสร้างสังคมใหม่, ขจัดความงมงายรวมนิกาย, ควบคุมเข้มงวด
ยุคจินตนาการใหม่ (1990s-2010s)ผู้รักษาวัฒนธรรม, สัญลักษณ์ชาติสร้างอัตลักษณ์ชาติ, ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่อนปรน, ฟื้นฟูประเพณี (เช่น พระธาตุหลวง)
ยุควิกฤตซ้อน (2020s-2025)หุ้นส่วนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม, ผู้นำจิตวิญญาณเพื่อความมั่นคงแก้จน, ต้านยาเสพติด, เสถียรภาพทางการเงินปฏิรูปเข้มข้น, บูรณาการกับแผนสภาพัฒน์ฯ

3. การวิเคราะห์นโยบายในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 9: การปฏิรูปเพื่อความอยู่รอด

คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 ถือเป็น "Blueprint" หรือพิมพ์เขียวฉบับใหม่สำหรับวงการสงฆ์ลาว โดยมีแกนหลักอยู่ที่คำว่า "การเปลี่ยนแปลงที่เข้มแข็ง ลึกซึ้ง และรอบด้าน" (Strong, profound and comprehensive transformation) 2 ซึ่งสะท้อนความต้องการของรัฐที่ต้องการเห็นผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม

3.1 การรื้อสร้างโครงสร้างและธรรมาภิบาลสงฆ์ (Organizational Reform)

รัฐบาลได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าโครงสร้างเดิมของ อพส. อาจมีความหย่อนยานหรือไม่ตอบสนองต่อโลกสมัยใหม่ จึงมีข้อเรียกร้องสำคัญดังนี้:

  • การบัญญัติแผนปฏิบัติการ (Concrete Action Plans): นายกรัฐมนตรีสอนไซย้ำว่า คณะกรรมการบริหารชุดใหม่ต้อง "แปลงมติที่ประชุมให้เป็นแผนปฏิบัติการและระเบียบข้อบังคับอย่างเร่งด่วน" 2 สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐต้องการเห็น KPI หรือตัวชี้วัดความสำเร็จจากองค์กรสงฆ์ เช่นเดียวกับหน่วยงานราชการ

  • ความเป็นเอกภาพ (Unity as Command): การเน้นย้ำให้คณะกรรมการศูนย์กลางเป็น "พลังแห่งความสามัคคี" 1 สะท้อนความกังวลของรัฐต่อการแตกแยกนิกายย่อย หรือการมีพระสงฆ์ที่มีความคิดเห็นอิสระทางการเมือง (Dissident Monks) รัฐต้องการให้ อพส. เป็นสายบังคับบัญชาเดียว (Single Chain of Command) ที่สามารถสั่งการจากส่วนกลางลงสู่ระดับหมู่บ้านได้ทันที

3.2 ยุทธศาสตร์ "4 ไม่" กับสงครามยาเสพติด (The "Four No's" Policy)

หนึ่งในปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดของลาวคือการแพร่ระบาดของยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า ซึ่งกระทบต่อโครงสร้างแรงงานและเยาวชน นายกฯ สอนไซ ได้มอบหมายภารกิจทางยุทธวิธีให้วัดเป็นศูนย์กลางในการต่อสู้ โดยใช้หลัก "4 ไม่" (Four No's):

  1. ไม่เสพ (No using)

  2. ไม่ซื้อ (No buying)

  3. ไม่ขาย (No selling)

  4. ไม่ผลิตหรือค้า (No producing or trafficking) 2

บทวิเคราะห์เชิงลึก: การที่รัฐต้องพึ่งพาพระสงฆ์ในเรื่องนี้ สะท้อนถึงข้อจำกัดของกลไกตำรวจและกฎหมายในพื้นที่ห่างไกล (Remote Areas) วัดและพระสงฆ์ที่มีบารมีทางศีลธรรม (Moral Authority) สามารถเข้าถึงจิตใจของเยาวชนและชุมชนได้ดีกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ การใช้วัดเป็น "ศูนย์บำบัดทางจิตวิญญาณ" หรือพื้นที่สีขาว จึงเป็นยุทธศาสตร์ Low-cost, High-impact ที่รัฐบาลเลือกใช้

3.3 การปฏิรูปพิธีกรรม: ความมัธยัสถ์แบบสังคมนิยม (Socialist Austerity in Rituals)

รัฐบาลได้เรียกร้องให้มีการ "ปรับปรุงรูปแบบพิธีกรรม" (Streamlining ceremonies) ให้กระชับ ประหยัดเวลา และทรัพยากร 2

  • นัยทางเศรษฐกิจ: ในยามที่ประเทศเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การจัดงานบุญประเพณีที่ฟุ่มเฟือย (เช่น งานบวช งานศพ) ถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ (Economic Waste) รัฐจึงต้องการสร้างบรรทัดฐานใหม่ (New Normal) ของการทำบุญที่เน้นสาระมากกว่ารูปแบบ

  • การแบ่งแยกประเภทงาน: นายกฯ เสนอให้แยกแยะชัดเจนระหว่าง "พิธีการของรัฐ" (Public/Official) กับ "พิธีท้องถิ่น" เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพ สะท้อนความพยายามในการจัดระเบียบวัฒนธรรม (Cultural Standardization) ให้เป็นระบบระเบียบ


4. เศรษฐศาสตร์การเมืองแห่งบุญ: นโยบาย "Kipization" และ "Made in Laos"

ส่วนที่น่าสนใจที่สุดและถือเป็นนวัตกรรมทางนโยบายในการประชุมครั้งนี้ คือการผูกโยง "ศรัทธา" เข้ากับ "นโยบายการเงินและการคลัง" ของประเทศอย่างชัดเจน เพื่อตอบโจทย์วิกฤตค่าเงินกีบและดุลการค้า

4.1 นโยบาย "Kipization of Merit" (การทำบุญด้วยเงินกีบ)

นายกรัฐมนตรีสอนไซได้เรียกร้องให้มีการใช้ "เงินกีบ" ในกิจกรรมการกุศลและทำบุญทางศาสนา 2

  • บริบทปัญหา: ในวัดสำคัญ ๆ ของลาว โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวหรือวัดที่มีความสัมพันธ์กับไทย มักมีการบริจาคและใช้จ่ายด้วยเงินบาทหรือดอลลาร์สหรัฐ (Dollarization) ปรากฏการณ์นี้ทำให้เงินตราต่างประเทศรั่วไหลออกจากระบบธนาคารและลดทอนประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน

  • กลไกทางนโยบาย: การรณรงค์ให้วัดรับบริจาคและชำระค่าใช้จ่ายเป็นเงินกีบ คือความพยายามในการสร้าง "อุปสงค์เทียม" (Artificial Demand) ต่อเงินสกุลท้องถิ่น และสร้างจิตสำนึกชาตินิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Nationalism) ผ่านช่องทางที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสังคม คือ "การทำบุญ"

4.2 ยุทธศาสตร์ "Made in Laos" ในตลาดสินค้าศาสนา

นโยบายสนับสนุนให้ใช้ "จีวรและเครื่องสังฆทานที่ผลิตในลาว" 2 เพื่อลดการนำเข้าสินค้า

  • การวิเคราะห์ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Analysis): ตลาดสินค้าสังฆภัณฑ์ในลาวส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศไทย ทั้งจีวร ธูป เทียน และถังสังฆทาน ซึ่งส่งผลให้ลาวขาดดุลการค้ากับไทยอย่างต่อเนื่อง

  • การทดแทนการนำเข้า (Import Substitution): รัฐบาลลาวพยายามใช้ตลาดสินค้าศาสนา ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อคงที่ (Inelastic Demand) เป็นพื้นที่นำร่องในการส่งเสริมสินค้าในประเทศ หากพระสงฆ์ซึ่งเป็น "ผู้นำทางความคิด" (Key Opinion Leaders - KOLs) หันมาใช้จีวรฝ้ายทอมือของลาว ก็จะเป็นแบบอย่างให้ฆราวาสหันมานิยมสินค้าไทยน้อยลง

4.3 ตารางวิเคราะห์: ผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจในมิติศาสนา

นโยบายเป้าหมายระยะสั้นเป้าหมายระยะยาวความท้าทายในการปฏิบัติ
ใช้เงินกีบทำบุญลดการใช้เงินบาท/ดอลลาร์ในวัดเสริมสร้างเสถียรภาพค่าเงินกีบ, สร้างค่านิยมรักชาติผู้บริจาคต่างชาติ (โดยเฉพาะไทย) อาจไม่สะดวก, มูลค่าเงินกีบผันผวนทำให้วัดบริหารจัดการยาก
ใช้สินค้า Made in Laosลดการขาดดุลการค้าสินค้าอุปโภคส่งเสริม SME และหัตถกรรมสิ่งทอลาวคุณภาพและราคาของสินค้าลาวอาจยังสู้สินค้าไทยไม่ได้ (Economy of Scale)
ลดทอนความฟุ่มเฟือยลดภาระหนี้สินครัวเรือนจากการจัดงานสร้างวัฒนธรรมการออมและการบริโภคที่ยั่งยืนขัดกับค่านิยม "หน้าตา" ทางสังคม (Social Face) ของเจ้าภาพงานบุญ

5. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้นำและยุทธศาสตร์องค์กร (Sangha Leadership & Organization)

การประชุมครั้งที่ 9 ยังเป็นหมุดหมายของการผลัดใบในระดับโครงสร้างการนำ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อทิศทางของพุทธศาสนาลาวในทศวรรษหน้า

5.1 การเปลี่ยนผ่านผู้นำภายใต้เงาของรัฐ (Transition of Power)

หลังจากการมรณภาพของพระอาจารย์ใหญ่ มหาบุนมา สิมมาพรม และพระอาจารย์ใหญ่ มหางอน ดำรงบุญ 7 องค์กรสงฆ์ลาวได้เข้าสู่ภาวะเปลี่ยนผ่าน รัฐบาลได้ใช้โอกาสในการประชุมครั้งนี้จัดสรรตำแหน่งใน "คณะกรรมการศูนย์กลาง" (Central Committee) ชุดใหม่

  • บทบาทของคณะกรรมการชุดใหม่: รัฐบาลคาดหวังให้คณะกรรมการชุดนี้มีความ "ตื่นตัว" (Active) มากกว่าชุดก่อนๆ ที่มักถูกมองว่าเป็นเพียงตรายาง หรือเน้นเพียงงานพิธีกรรม คณะกรรมการชุดใหม่ต้องทำงานเชิงรุกในการ "ระดมการสนับสนุน" (Mobilize support) จากพุทธศาสนิกชนเพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 และเตรียมเข้าสู่ฉบับที่ 10 1

  • โครงสร้างที่รวมศูนย์: คำสั่งให้คณะกรรมการต้อง "รวมศูนย์" และ "แบ่งงานชัดเจน" 1 แสดงถึงความต้องการของรัฐที่จะขจัดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการสั่งการ (Command and Control)

5.2 การสร้างเอกราชทางภูมิปัญญา: โครงการพระไตรปิฎกฉบับภาษาลาว

นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้ดำเนินการจัดพิมพ์ "พระไตรปิฎกฉบับภาษาลาว" (Lao Tripitaka) ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ 2

  • นัยทางการเมือง: การมีพระไตรปิฎกฉบับภาษาของตนเองเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของ "เอกราชทางศาสนา" (Religious Sovereignty) การลดการพึ่งพาตำราอักษรไทยหรือบาลีอักษรขอม จะช่วยตัดวงจรการครอบงำทางวัฒนธรรมจากเพื่อนบ้าน และเปิดโอกาสให้รัฐสามารถ "คัดสรร" หรือ "เน้นย้ำ" คำสอนที่สอดคล้องกับบริบทสังคมนิยมลาว (Lao Socialist Context) ได้สะดวกขึ้นในการเรียนการสอนปริยัติธรรม


6. บทบาททางสังคมและการพัฒนา: จาก "ผู้รับ" สู่ "ผู้ให้" (From Recipient to Provider)

ในอดีต ภาพลักษณ์ของพระสงฆ์คือ "เนื้อนาบุญ" หรือผู้รับการถวายทาน แต่ในวิสัยทัศน์ใหม่ของรัฐบาลลาว พระสงฆ์ต้องเปลี่ยนสถานะเป็น "ผู้ให้บริการทางสังคม" (Social Service Providers) อย่างเต็มตัว

6.1 โครงการพุทธศาสนาเพื่อการพัฒนา (Buddhism for Development Project - BDP)

แม้แนวคิดนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้รับการเน้นย้ำให้ขยายผลมากขึ้น โครงการ BDP ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศและรัฐบาล ได้ฝึกอบรมพระสงฆ์ให้เป็นผู้นำชุมชน 14

  • กิจกรรมหลัก: การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Environmental Conservation), การสอนหนังสือในพื้นที่ห่างไกล, และการสาธารณสุขมูลฐาน

  • กรณีศึกษาโควิด-19: ความสำเร็จของพระสงฆ์ในการช่วยสื่อสารความเสี่ยงและจัดการศพในช่วงโควิด-19 17 ได้พิสูจน์ให้รัฐเห็นแล้วว่า เครือข่ายวัดมีประสิทธิภาพสูงในการจัดการภาวะวิกฤต รัฐจึงต้องการขยายโมเดลนี้ไปสู่การแก้ปัญหายาเสพติดและความยากจน

6.2 ความท้าทายในยุคดิจิทัล (Digital Sangha)

นายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้พระสงฆ์ใช้ "แพลตฟอร์มการสื่อสารสมัยใหม่" ในการเผยแผ่ธรรมะ 2

  • ดาบสองคม: ในขณะที่โซเชียลมีเดียช่วยให้เข้าถึงวัยรุ่นได้ง่ายขึ้น แต่ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงเรื่อง "ข่าวฉาว" (Scandals) และพฤติกรรมที่ไม่สำรวม ซึ่งอาจทำลายศรัทธาได้อย่างรวดเร็ว (Viral Effect) ดังที่เห็นในกรณีศึกษาของประเทศไทย 19

  • การควบคุม: รัฐบาลจึงกำชับเรื่อง "ระเบียบวินัย" (Vinaya) ควบคู่ไปกับเทคโนโลยี เพื่อป้องกันไม่ให้พระสงฆ์กลายเป็น "Influencer" ที่ควบคุมไม่ได้ หรือเผยแพร่เนื้อหาที่ขัดต่อแนวทางของพรรค


7. บทวิเคราะห์วิพากษ์: สู่โมเดล "รัฐกำกับพุทธ" (State-Directed Buddhism)

จากการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์นโยบายในการประชุมครั้งที่ 9 สามารถสรุปโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและศาสนาของลาวในยุคปัจจุบันได้ดังนี้:

7.1 การแปร "ทุนทางศีลธรรม" เป็น "ทุนทางการเมือง" (Converting Moral Capital into Political Capital)

รัฐบาลลาวตระหนักว่า ในภาวะที่ "ความชอบธรรมทางเศรษฐกิจ" (Performance Legitimacy) ถดถอยลงจากปัญหาปากท้อง รัฐจำเป็นต้องดึง "ความชอบธรรมทางศีลธรรม" (Moral Legitimacy) จากศาสนามาช่วยค้ำจุน 8 การที่นายกฯ เรียกร้องให้พระสงฆ์สอนให้ประชาชน "เชื่อมั่นในการนำของพรรค" คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของการแลกเปลี่ยนนี้ รัฐให้การอุปถัมภ์และสถานะแก่องค์กรสงฆ์ แลกกับการที่สงฆ์ต้องรับรองสถานะของรัฐ

7.2 ความเสี่ยงของ "พุทธพาณิชย์" ภายใต้การสนับสนุนของรัฐ (State-Sponsored Commodification)

แม้รัฐจะเรียกร้องความมัธยัสถ์ แต่ในอีกด้านหนึ่ง รัฐก็ใช้วัดเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยว (Tourism Magnet) อย่างเข้มข้น 8 เช่น พระธาตุหลวง หรือวัดในหลวงพระบาง การส่งเสริมให้วัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อดึงเงินตราต่างประเทศ อาจขัดแย้งกับคำสอนเรื่องความสันโดษ และนำไปสู่ข้อครหาเรื่องพุทธพาณิชย์ (Commercialization of Buddhism) 21 ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่รัฐต้องจัดการอย่างระมัดระวัง

7.3 การเปรียบเทียบกับโมเดลเพื่อนบ้าน

มิติสปป. ลาว (Lao PDR)ไทย (Thailand)เวียดนาม (Vietnam)
โครงสร้างองค์กรรวมศูนย์เด็ดขาด (LBFO เดียว)รวมศูนย์แต่มีความหลากหลายนิกาย (มหาเถรสมาคม)รวมศูนย์ภายใต้รัฐ (VBS)
บทบาททางการเมืองสนับสนุนพรรคชัดเจน (State Ally)เป็นกลางตามนิตินัย แต่อิงสถาบันหลักอยู่ภายใต้แนวร่วมปิตุภูมิ (Fatherland Front)
จุดเน้นปัจจุบันเศรษฐกิจชาตินิยม, ต้านยาเสพติดปฏิรูปกฎหมาย, จัดการทรัพย์สินสวัสดิการสังคม, การทูตวัฒนธรรม

8. บทสรุปและทิศทางอนาคต (Conclusion and Future Trajectory)

การประชุมใหญ่ผู้แทนพระสงฆ์ทั่วประเทศ ครั้งที่ 9 เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งของพุทธศาสนาลาว ภายใต้นโยบายของนายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน สถาบันสงฆ์ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียง "ผู้รักษาประเพณี" อีกต่อไป แต่ถูกยกระดับสถานะขึ้นเป็น "หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชาติ" (Strategic Partner in Nation Building) ที่มีภารกิจรูปธรรมทั้งในด้านเศรษฐกิจ (Kipization, Made in Laos) และความมั่นคงสังคม (Anti-drugs)

ข้อค้นพบสำคัญ:

  1. ศาสนาคือความมั่นคง: รัฐมองว่าความมั่นคงของ อพส. คือความมั่นคงของระบอบการปกครอง หาก อพส. อ่อนแอหรือแตกแยก จะเปิดช่องว่างให้กลุ่มอำนาจอื่นแทรกแซง

  2. เศรษฐกิจนำวิถีพุทธ: นโยบายเศรษฐกิจมหภาคถูกนำมาประยุกต์ใช้ในระดับจุลภาคผ่านกลไกวัด ซึ่งเป็นนวัตกรรมการบริหารที่น่าจับตามองว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่

  3. การปรับตัวสู่ปี 2026: ทุกกลไกของสงฆ์ถูกปรับจูน (Re-calibrated) เพื่อเป้าหมายใหญ่ของชาติในการหลุดพ้นจากสถานะ LDC ในปี 2026

ความท้าทายในอนาคต:

ความสำเร็จของนโยบายนี้ขึ้นอยู่กับว่า คณะบริหารชุดใหม่ของ อพส. จะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง "คำสั่งรัฐ" กับ "ศรัทธาประชาชน" ได้ดีเพียงใด หากพระสงฆ์กลายเป็นเพียงเจ้าหน้าที่รัฐในผ้าเหลือง (Bureaucrats in Robes) มากเกินไป อาจเกิดวิกฤตศรัทธาที่ย้อนกลับมาทำร้ายรัฐเอง แต่หากสามารถผสานบทบาทผู้นำจิตวิญญาณเข้ากับการพัฒนาชุมชนได้อย่างกลมกลืน พุทธศาสนาลาวจะเป็นต้นแบบที่น่าสนใจของ "Engaged Buddhism" ในโลกสังคมนิยมยุคใหม่


การวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากข้อมูลและเอกสารที่ปรากฏในช่วงเวลาของการประชุมใหญ่ อพส. ครั้งที่ 9 (ธันวาคม 2025) และบริบทแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง

นโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ของพรรคการเมืองไทย บนฐานคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน


วิเคราะห์เชิงลึก: นโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 ของพรรคการเมืองไทย บนฐานคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน


บทคัดย่อ

รายงานวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาและวิเคราะห์นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองหลักในการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ. 2569 ผ่านกรอบแนวคิด "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) และ "เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน" (Sustainable Development Goals - SDGs) ท่ามกลางบริบทความท้าทายแบบพหุวิกฤต (Polycrisis) ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจมหภาค ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์บริเวณชายแดน และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษานี้เจาะลึกถึงความสอดคล้องระหว่างนโยบายประชานิยมที่ถูกนำเสนอเพื่อหวังผลทางการเมืองระยะสั้น กับหลักการความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แม้พรรคการเมืองจะมีการปรับตัวโดยผนวกมิติสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีเข้าสู่นโยบาย แต่ความเสี่ยงด้านวินัยวินัยทางการเงินการคลัง (Fiscal Discipline) และการขาดกลไกสร้างภูมิคุ้มกันเชิงโครงสร้าง ยังคงเป็นจุดเปราะบางสำคัญที่อาจฉุดรั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว


1. บทนำ: ภูมิทัศน์การเมืองและเศรษฐกิจไทยสู่การเลือกตั้ง 2569

1.1 บริบททางการเมือง: การเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่และวิกฤตศรัทธา

การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 นับเป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ควบคู่ไปกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 1 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะได้รับบัตรลงคะแนน 3 ใบ ได้แก่ บัตรเลือกตั้ง สส. เขต, บัตรเลือกตั้ง สส. บัญชีรายชื่อ และบัตรลงประชามติ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการผ่าทางตันทางการเมืองที่สั่งสมมาจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 โดยเฉพาะประเด็นอำนาจและที่มาขององค์กรอิสระและวุฒิสภา

บริบททางการเมืองก่อนการเลือกตั้งเต็มไปด้วยความผันผวน ภายหลังจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสั้นๆ ก่อนการยุบสภาเมื่อปลายปี 2568 3 สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนสมการทางการเมืองอย่างรุนแรง พรรคการเมืองต่างๆ ต้องเร่งปรับกระบวนทัพและนโยบายเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้งที่ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยน (Turning Point) ของระบอบประชาธิปไตยไทย การแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างขั้วอำนาจเก่าและใหม่ แต่ขยายวงไปสู่การประชันวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤตที่รุมเร้าประเทศ

1.2 สภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต (Polycrisis) และแรงกดดันทางเศรษฐกิจ

การเลือกตั้งปี 2569 เกิดขึ้นท่ามกลางพายุหมุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรงหลายลูกพร้อมกัน:

  1. กับดักการเติบโตต่ำ (Low Growth Trap): เศรษฐกิจไทยในปี 2569 ถูกคาดการณ์ว่าจะขยายตัวในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.5 - 2.0 ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น 5 ปัญหานี้เกิดจากโครงสร้างการผลิตที่ล้าสมัย การส่งออกที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเรื้อรัง ทำให้กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ

  2. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Tension): สถานการณ์ปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เริ่มตึงเครียดตั้งแต่กลางปี 2568 และยืดเยื้อมาจนถึงช่วงเลือกตั้ง กลายเป็นปัจจัยแทรกซ้อนที่สำคัญ 7 ส่งผลให้งบประมาณด้านความมั่นคงและนโยบายชาตินิยมถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสำหรับการพัฒนาด้านอื่น

  3. วิกฤตสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ: ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง สร้างแรงกดดันให้พรรคการเมืองต้องนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 9


2. กรอบแนวคิด: ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะบรรทัดฐานการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ

ในการวิเคราะห์ความเหมาะสมและความยั่งยืนของนโยบายหาเสียง รายงานฉบับนี้ยึดถือ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" (Sufficiency Economy Philosophy - SEP) เป็นกรอบแนวคิดหลัก โดยตีความในมิติของการบริหารจัดการรัฐกิจ (Public Administration) มิใช่เพียงมิติเกษตรกรรมหรือการดำรงชีวิตระดับปัจเจกชน SEP ในระดับมหภาคประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ที่สัมพันธ์โดยตรงกับการสร้างความยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs ของสหประชาชาติ 11

2.1 ความพอประมาณ (Moderation): วินัยทางการคลังและความสมดุล

ในบริบทนโยบายสาธารณะ ความพอประมาณหมายถึงการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณอย่างสมดุล ไม่ก่อหนี้สาธารณะเกินตัวจนกลายเป็นภาระผูกพันระยะยาว (Fiscal Burden) ที่กัดกินงบประมาณในอนาคต นโยบายประชานิยมที่มุ่งแจกเงินหรืออุดหนุนราคาพลังงานโดยบิดเบือนกลไกตลาดอย่างรุนแรง ถือว่าขาดความพอประมาณ เพราะเป็นการดึงทรัพยากรในอนาคตมาใช้ในปัจจุบันเกินความจำเป็น 14

2.2 ความมีเหตุผล (Reasonableness): ตรรกะเชิงโครงสร้างและการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

ความมีเหตุผลคือการตัดสินใจดำเนินนโยบายบนพื้นฐานของเหตุและผลทางวิชาการ มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นตอ (Root Cause Analysis) มิใช่การปะผุสถานการณ์เฉพาะหน้า นโยบายที่มีเหตุผลต้องสามารถอธิบายกลไกการส่งผ่านผลประโยชน์ (Transmission Mechanism) ได้อย่างชัดเจน ว่าเม็ดเงินที่ลงทุนไปจะก่อให้เกิดผลิตภาพ (Productivity) หรือผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมที่คุ้มค่าอย่างไร 16

2.3 การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี (Self-Immunity): การบริหารความเสี่ยงและความยืดหยุ่น

หัวใจสำคัญของ SEP คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมสามารถรองรับแรงกระแทกจากภายนอก (External Shocks) ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตโรคระบาด สงคราม หรือความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ นโยบายที่ดีต้องไม่สร้างความเปราะบาง (Fragility) เช่น การพึ่งพาตลาดส่งออกเดียว หรือการทำให้ประชาชนเสพติดการช่วยเหลือจากรัฐจนขาดทักษะในการพึ่งพาตนเอง 17

2.4 เงื่อนไขความรู้และคุณธรรม: ธรรมาภิบาลและความโปร่งใส

การขับเคลื่อนนโยบายต้องอาศัยข้อมูลที่รอบด้าน (Data-driven Policy) และความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) เพื่อป้องกันการรั่วไหลและการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนผูกขาด การตรวจสอบที่มาของงบประมาณและความคุ้มค่าจึงเป็นเกณฑ์สำคัญในการประเมินภายใต้เงื่อนไขนี้ 18


3. การวิเคราะห์เจาะลึกกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเดิมและพันธมิตร

3.1 พรรคภูมิใจไทย: นวัตกรรมนโยบาย "Trade+" และการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน

ภาพรวมนโยบาย:

ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และทีมเศรษฐกิจใหม่อย่าง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ พรรคภูมิใจไทยได้นำเสนอนโยบายที่ผสมผสานระหว่างแนวคิดประชานิยมและการบริหารจัดการสมัยใหม่ โดยมีสโลแกน "พูดแล้วทำ พลัส" 19

  • นโยบาย Trade+ (Barter Trade): เสนอการแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรของไทยกับสินค้าทุนหรือยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ เช่น ข้าวแลกเครื่องบิน หรือยางพาราแลกเทคโนโลยี 19

  • พลังงานสะอาดระดับครัวเรือน (Solar Roof): โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์ฟรีทุกหลังคาเรือน เพื่อลดค่าไฟฟ้า 450 บาทต่อเดือน และสนับสนุนมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 21

  • พักหนี้เกษตรกร: พักหนี้ 3 ปี หยุดต้นปลอดดอกเบี้ย วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท 23

บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:

  1. ความพอประมาณ: นโยบาย Trade+ เป็นความพยายามที่สร้างสรรค์ในการรักษาสมดุลของดุลการชำระเงินและลดการใช้เงินตราต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับหลักความพอประมาณในระดับมหภาค อย่างไรก็ตาม นโยบายพักหนี้และโซลาร์เซลล์ฟรีต้องใช้งบประมาณตั้งต้นจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นความเสี่ยงทางการคลังหากไม่มีการวางแผนรายรับที่ชัดเจน

  2. ความมีเหตุผล: การส่งเสริม Solar Rooftop เป็นนโยบายที่มีเหตุผลรองรับสูง เพราะเป็นการแก้ปัญหาค่าครองชีพและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน (Co-benefit) และช่วยลดภาระการลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของรัฐในระยะยาว

  3. ภูมิคุ้มกัน: การกระจายการผลิตไฟฟ้าสู่ระดับครัวเรือน (Decentralized Energy) สร้างภูมิคุ้มกันทางพลังงานให้ชุมชน ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลนำเข้า ส่วนนโยบาย Trade+ หากทำสำเร็จ จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินและราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก

3.2 พรรครวมไทยสร้างชาติ: ความมั่นคงนำเศรษฐกิจ กับความเสี่ยงด้านภูมิคุ้มกัน

ภาพรวมนโยบาย:

พรรครวมไทยสร้างชาติเน้นจุดยืนด้านความมั่นคงและชาตินิยมอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งชายแดน 8

  • ความมั่นคงชายแดน: เสนอสร้างรั้วกั้นพรมแดนไทย-กัมพูชา, ยกเลิก MOU 44 และเพิ่มเบี้ยเลี้ยงการรบให้ทหาร 8

  • พลังงานราคาถูกแบบหักดิบ: ตรึงราคาน้ำมันให้ต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร โดยยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และใช้ระบบคลังน้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์แทน

  • กฎหมายเด็ดขาด: เพิ่มโทษประหารชีวิตสำหรับคดีฉ้อโกงประชาชนและแก๊งคอลเซ็นเตอร์

บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:

  1. ความพอประมาณ: นโยบายตรึงราคาน้ำมันโดยยกเลิกกองทุนน้ำมัน ขัดแย้งกับหลักความพอประมาณอย่างรุนแรง เพราะเป็นการส่งเสริมการบริโภคเกินความจำเป็น (Over-consumption) และทำลายกลไกราคาที่ควรสะท้อนต้นทุนจริง นอกจากนี้ การสร้างรั้วชายแดนตลอดแนวยังใช้งบประมาณมหาศาลซึ่งอาจไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

  2. ความมีเหตุผล: แนวคิดคลังน้ำมันสำรองเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Reserve) เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลในแง่ความมั่นคงทางพลังงาน แต่การยกเลิกกองทุนน้ำมันจะทำให้รัฐขาดเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพราคาในยามวิกฤต ส่วนนโยบายความมั่นคงที่แข็งกร้าวอาจสมเหตุสมผลในมุมมองการป้องกันประเทศ แต่ขาดความสมดุลในมิติการทูตและการค้าชายแดน

  3. ภูมิคุ้มกัน: นโยบายที่เน้นการเผชิญหน้า (Confrontation) บริเวณชายแดน อาจลดทอนภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ สร้างความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานชายแดน ในขณะที่การอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลระยะยาวจะขัดขวางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ลดทอนภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตโลกร้อน 9

3.3 พรรคประชาธิปัตย์: การรีแบรนด์สู่เศรษฐกิจสีเขียว

ภาพรวมนโยบาย:

พรรคประชาธิปัตย์พยายามปรับภาพลักษณ์ด้วยนโยบาย "ไทยหายจน" และ "Green Economy" 25

  • Green Economy: ผลักดันตลาดคาร์บอนเครดิต และเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • ที่ดินทำกิน: เร่งออกโฉนดที่ดินให้เกษตรกร เพื่อเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นทุน

  • ธนาคารชุมชน: กระจายแหล่งทุนสู่ท้องถิ่น

บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:

  1. ความพอประมาณ: นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์มีความระมัดระวังและอนุรักษ์นิยมทางการคลังมากกว่าพรรคอื่น สอดคล้องกับหลักความพอประมาณ แต่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ นโยบายลักษณะนี้อาจถูกมองว่าไม่เพียงพอ (Insufficient Stimulus) ต่อการกระตุ้นการเติบโต

  2. ความมีเหตุผล: การผลักดันคาร์บอนเครดิตและการออกโฉนดที่ดิน เป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีเหตุผลรองรับชัดเจน ช่วยเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์และเตรียมความพร้อมสู่กติกาการค้าโลกใหม่

  3. ภูมิคุ้มกัน: การสร้างความมั่นคงในกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันขั้นพื้นฐานให้เกษตรกร แต่ต้องระวังไม่ให้ที่ดินหลุดมือไปยังกลุ่มทุนหากขาดวินัยทางการเงิน


4. การวิเคราะห์เจาะลึกกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายค้านและขั้วใหม่

4.1 พรรคเพื่อไทย: ยุทธศาสตร์ "Big Push" กับความเสี่ยงทางการคลัง

ภาพรวมนโยบาย:

พรรคเพื่อไทยยังคงยึดมั่นในปรัชญา "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส" โดยมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพื่อดึง GDP ให้กลับมาเติบโตที่ระดับ 5% 27

  • Digital Wallet & Income Guarantee: เติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท และการันตีรายได้ครัวเรือน 20,000 บาท/เดือน 27

  • ค่าแรงและเงินเดือน: เป้าหมายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570

  • Soft Power (OFOS): นโยบาย 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ เพื่อยกระดับทักษะแรงงาน

  • เกษตร: "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม" เพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่า และพักหนี้เกษตรกร 3 ปี 29

บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:

  1. ความพอประมาณ: นโยบายเติมเงินและการันตีรายได้เป็นประเด็นที่มีความเปราะบางสูงสุดในแง่ความพอประมาณ นักเศรษฐศาสตร์มหภาคและสถาบันวิจัยหลายแห่ง (เช่น TDRI) เตือนว่าการใช้งบประมาณผูกพันสูงอาจนำไปสู่ "หน้าผาทางการคลัง" (Fiscal Cliff) และลดพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) สำหรับรับมือวิกฤตในอนาคต 15

  2. ความมีเหตุผล: แนวคิดการกระตุ้นจากฐานราก (Bottom-up Economics) มีเหตุผลในทางทฤษฎี Keynesian เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ แต่ในบริบทไทยที่มีปัญหาโครงสร้างการผลิต (Supply Side) การอัดฉีดเงินอาจนำไปสู่เงินเฟ้อมากกว่าการเติบโตที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม นโยบาย OFOS ที่มุ่งเน้นการสร้างทักษะ (Human Capital) ถือว่ามีความสมเหตุสมผลสูงในการแก้ปัญหาระยะยาว

  3. ภูมิคุ้มกัน: นโยบายพักหนี้เกษตรกรหากทำโดยไม่มีเงื่อนไขการปรับโครงสร้างการผลิต อาจสร้างกับดักหนี้สินและ Moral Hazard ลดทอนภูมิคุ้มกันทางการเงินของเกษตรกรในระยะยาว แต่การเน้นนวัตกรรมเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) เป็นทิศทางที่ถูกต้องในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อความผันผวนของสภาพอากาศ

4.2 พรรคประชาชน: การปฏิรูปโครงสร้างและสวัสดิการถ้วนหน้า

ภาพรวมนโยบาย:

พรรคประชาชนนำเสนอชุดนโยบายที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนโครงสร้างสถาบันและระบบเศรษฐกิจ (Structural Reform) 32

  • สวัสดิการถ้วนหน้า: สวัสดิการตั้งแต่เกิดจนแก่ (Cradle to Grave) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างตาข่ายรองรับทางสังคม

  • Orange Megaprojects: การลงทุน 6.3 แสนล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิต เช่น น้ำประปาดื่มได้ ขนส่งสาธารณะทั่วถึง และระบบกำจัดขยะ 34

  • เศรษฐกิจสร้างสรรค์และปลดล็อกทุนผูกขาด: สุราก้าวหน้า เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการเปิดเสรีพลังงาน (Net Metering) 35

บทวิเคราะห์ตามหลัก SEP:

  1. ความพอประมาณ: ข้อเสนอสวัสดิการถ้วนหน้าและการลงทุน Megaprojects ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งท้าทายหลักความพอประมาณทางการคลังอย่างยิ่ง พรรคประชาชนเสนอการหารายได้ใหม่จากการปฏิรูปภาษีและลดงบประมาณกองทัพ ซึ่งหากทำได้จริงจะเกิดสมดุล แต่ในทางปฏิบัติมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญแรงต้านทานทางการเมืองและระบบราชการ

  2. ความมีเหตุผล: การแก้ปัญหาที่โครงสร้าง (เช่น การทลายทุนผูกขาด, สุราก้าวหน้า) สอดคล้องกับหลักความมีเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยเติบโต ซึ่งเป็นการสร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากภายใน

  3. ภูมิคุ้มกัน: ระบบสวัสดิการถ้วนหน้าคือรูปแบบสูงสุดของการสร้าง "ภูมิคุ้มกันทางสังคม" (Social Immunity) ที่ช่วยให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แม้เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การกระจายอำนาจและการจัดการน้ำ/ขยะ ยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้เมืองและชุมชนมีความยืดหยุ่น (Resilience) ต่อภัยพิบัติ


5. บทสังเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ: นโยบายประชานิยมกับความยั่งยืน

5.1 ตารางเปรียบเทียบนโยบายหลักกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

ตารางด้านล่างแสดงการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายเรือธงของแต่ละพรรคกับเป้าหมาย SDGs และหลัก SEP:

พรรคการเมืองนโยบายเรือธง (Flagship Policies)การวิเคราะห์ตามหลัก SEPความสอดคล้องกับ SDGs
เพื่อไทยDigital Wallet, ค่าแรง 600, พักหนี้, OFOSปานกลาง-ต่ำ (เน้นเติบโตเร็ว แต่อาจขาดความพอประมาณทางการคลัง เสี่ยงต่อหนี้สาธารณะ)SDG 1 (No Poverty), SDG 8 (Decent Work) แต่มีความเสี่ยงกระทบ SDG 17 (Fiscal Sustainability)
ประชาชนสวัสดิการถ้วนหน้า, สุราก้าวหน้า, น้ำประปาดื่มได้สูง (เน้นแก้โครงสร้าง ลดเหลื่อมล้ำ สร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว แม้ต้องใช้งบสูง)SDG 10 (Reduced Inequalities), SDG 6 (Clean Water), SDG 16 (Strong Institutions)
ภูมิใจไทยSolar Roof ฟรี, Trade+ (Barter), พักหนี้ปานกลาง-สูง (Solar Roof และ Trade+ สอดคล้องกับหลักการพึ่งพาตนเองสูงสุด)SDG 7 (Clean Energy), SDG 12 (Responsible Consumption & Production)
รทสช.ตรึงราคาน้ำมัน, สร้างรั้วชายแดน, เบี้ยทหารต่ำ (เน้นอุดหนุนฟอสซิล ขัดแย้งกับทิศทางความยั่งยืน และเน้นความขัดแย้ง)ขัดแย้งกับ SDG 13 (Climate Action) และ SDG 16 (Peace & Justice)
ปชป.Green Economy, คาร์บอนเครดิต, ที่ดินทำกินปานกลาง (เน้นสิ่งแวดล้อมแต่ขาดความชัดเจนด้านกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหภาค)SDG 13 (Climate Action), SDG 15 (Life on Land)

5.2 ความขัดแย้งระหว่าง "ประชานิยมระยะสั้น" กับ "ความยั่งยืนระยะยาว"

จากการสังเคราะห์ข้อมูล พบว่ากับดักสำคัญของการเมืองไทยในปี 2569 คือ "กับดักระยะสั้น" (Short-termism Trap) พรรคการเมืองส่วนใหญ่มุ่งนำเสนอนโยบายที่ให้ผลตอบแทนรวดเร็ว (Quick Wins) เช่น การแจกเงิน การพักหนี้ หรือการลดราคาพลังงานทันที เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ละเลยผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้น 15

หากพิจารณาตามหลัก SEP นโยบายเหล่านี้ขาด "ภูมิคุ้มกัน" อย่างร้ายแรง การดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนโครงการประชานิยม จะกัดเซาะความน่าเชื่อถือทางการคลัง (Fiscal Credibility) ของประเทศ และเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ ประเทศไทยจะไม่มี "กระสุน" (Fiscal Space) เหลือเพียงพอที่จะปกป้องประชาชน ดังบทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจในลาตินอเมริกา 16

5.3 มิติสิ่งแวดล้อม: จาก "วาทกรรม" สู่ "การปฏิบัติจริง"

แม้ทุกพรรคจะเริ่มพูดถึง Green Economy ตามกระแสโลก แต่ระดับความมุ่งมั่นและวิธีการมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ:

  • เชิงรุกและโครงสร้าง: พรรคประชาชนและภูมิใจไทย มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมในการเปลี่ยนโครงสร้างพลังงาน (Energy Transition) ผ่าน Solar Roof และ Net Metering ซึ่งเป็นการกระจายอำนาจทางพลังงานสู่ประชาชน

  • เชิงตั้งรับ: พรรคเพื่อไทยเน้นการแก้ปัญหาปลายเหตุอย่าง PM 2.5 แต่ยังขาดความชัดเจนในการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม

  • เชิงถดถอย (Regressive): พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอนโยบายที่สวนทางกับโลกด้วยการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะทำให้ไทยติดอยู่ในกับดักพลังงานเก่าและเสียเปรียบในการค้าระหว่างประเทศที่มีกำแพงภาษีคาร์บอน (CBAM) 9


6. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

การเลือกตั้งปี 2569 ไม่ใช่เพียงการเลือกผู้บริหารประเทศ แต่เป็นการเลือก "ทิศทางอนาคต" ของประเทศไทย ท่ามกลางทางแพร่งระหว่างการเติบโตแบบฉาบฉวยที่ทิ้งภาระไว้ให้คนรุ่นหลัง หรือการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มีรากฐานแข็งแกร่ง

6.1 บทสรุปตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

  1. ด้านสังคม: นโยบายสวัสดิการของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยตอบโจทย์การลดความเหลื่อมล้ำ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความยั่งยืนทางการเงิน เพื่อไม่ให้ระบบล่มสลายในอนาคต

  2. ด้านเศรษฐกิจ: นวัตกรรมนโยบายอย่าง Trade+ ของภูมิใจไทย และการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (สุราก้าวหน้า/OFOS) เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับการสร้างมูลค่าเพิ่มและการพึ่งพาตนเอง ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนสานต่อไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล

  3. ด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม: การสร้างภูมิคุ้มกันที่แท้จริงไม่ได้มาจากการสร้างรั้วหรือสะสมอาวุธ แต่มาจากการสร้างความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อม นโยบายที่สนับสนุนพลังงานสะอาดและการเกษตรยั่งยืนจึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด

6.2 ข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนนโยบาย (Policy Recommendations)

  1. สร้างภูมิคุ้มกันทางการคลัง (Fiscal Immunity): รัฐบาลใหม่ควรจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-term Fiscal Framework) ที่ระบุแหล่งที่มาของรายได้สำหรับทุกนโยบายประชานิยมอย่างชัดเจน และควรพิจารณาการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มรายได้รัฐ

  2. เปลี่ยนจากการ "แจก" เป็นการ "สร้าง" (Empowerment over Handouts): ควรเปลี่ยนงบประมาณสำหรับการแจกเงินหรือประกันราคา มาเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาและเทคโนโลยี (R&D) เช่น ระบบชลประทานอัจฉริยะ เทคโนโลยีการเกษตรแม่นยำ และการฝึกทักษะแรงงานยุค AI

  3. เร่งเครื่องเศรษฐกิจสีเขียว (Accelerate Green Transition): ต้องผลักดัน พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) และสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจปรับตัว ซึ่งจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้สินค้าไทยในตลาดโลก

  4. ยึดมั่นในทางสายกลาง (The Middle Path): ในมิติความมั่นคงและการต่างประเทศ ไทยควรรักษาสมดุลทางทูต หลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่รุนแรง และใช้กลไกการค้าชายแดนเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน

ท้ายที่สุด การน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการกำหนดนโยบายสาธารณะ มิใช่การหยุดการพัฒนา แต่คือการพัฒนาอย่างมีสติ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะพาประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤตซ้อนวิกฤต และส่งต่อสังคมที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไปได้อย่างภาคภูมิ

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...