วิเคราะห์วิธีการเยียวยาจิตใจของผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568
บทคัดย่อ
อุทกภัยหาดใหญ่ปี 2568 เป็นเหตุการณ์วิกฤตครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อชีวิต เศรษฐกิจ สังคม และสภาวะจิตใจของประชาชนในหลายจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะหาดใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของภาค การจัดการหลังภัยพิบัติจำเป็นต้องให้ความสำคัญทั้งในมิติทางกายภาพ เศรษฐกิจ และที่สำคัญคือการเยียวยาสุขภาพจิตของประชาชน บทความนี้มุ่งวิเคราะห์กระบวนการฟื้นฟูสภาพจิตใจตามหลักจิตวิทยาเชิงบวก จิตวิทยาวิกฤต (crisis psychology) และแนวทางการฟื้นฟูโดยชุมชนเป็นฐาน (community-based rehabilitation) พร้อมทั้งประเมินมาตรการของภาครัฐ พรรคการเมือง และหน่วยวิชาการในช่วงหลังเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้
1. บทนำ
อุทกภัยหาดใหญ่ปี 2568 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในวงกว้าง ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพออกจากบ้าน สูญเสียทรัพย์สิน รายได้ และบางครอบครัวต้องพบกับการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว ความสูญเสียเช่นนี้มีแนวโน้มทำให้เกิด ความเครียดเฉียบพลัน (acute stress) ความเศร้า ความวิตกกังวล และผลกระทบทางสังคมตามมา
ทั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทย กระทรวง พม. และหน่วยวิชาการ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือและจัดทีมเยียวยาสุขภาพจิตอย่างเป็นระบบ สะท้อนความสำคัญของการจัดการทางจิตใจควบคู่กับการฟื้นฟูทางวัตถุ
2. กรอบแนวคิดทางทฤษฎีในการเยียวยาจิตใจผู้ประสบภัย
2.1 Psychological First Aid (PFA)
การปฐมพยาบาลทางใจเป็นแนวทางสากลของ WHO ใช้ในช่วงหลังภัยพิบัติทันที ประกอบด้วย
-
การสร้างความปลอดภัย (Safety)
-
การให้ข้อมูล (Information)
-
การเชื่อมโยงแหล่งช่วยเหลือ (Connection)
-
การฟื้นกำลังใจ (Comfort and Hope)
2.2 แนวคิด Trauma-Informed Care
เน้นการเข้าใจผลกระทบจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ลดการกระตุ้นซ้ำของความทรงจำที่เจ็บปวด และสร้างความรู้สึกควบคุมในชีวิตอีกครั้ง
2.3 การฟื้นฟูโดยชุมชนเป็นฐาน (CBR)
ให้ชุมชนมีบทบาทนำในการเยียวยา ฟื้นฟูความสัมพันธ์ ความร่วมมือ และคืนความรู้สึก “มีที่ยืน” ของผู้ประสบภัย
2.4 ทฤษฎีความยืดหยุ่นทางใจ (Resilience Theory)
ชี้ว่ามนุษย์สามารถกลับมามีชีวิตที่มีคุณภาพได้ หากได้รับทรัพยากรสนับสนุนที่เหมาะสม
3. บริบทสถานการณ์และความต้องการทางจิตใจของผู้ประสบภัย
จากรายงานการลงพื้นที่ของหลายฝ่าย พบลักษณะปัญหาทางจิตใจที่สำคัญ ได้แก่
-
ความตกใจและหวาดกลัวจากการอพยพฉุกเฉิน
-
ความหดหู่เมื่อพบว่าบ้านและทรัพย์สินเสียหาย
-
ความเครียดทางเศรษฐกิจจากการสูญเสียรายได้
-
ความเหนื่อยล้าจากการพักในศูนย์อพยพ
-
ความรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่ง
-
ความกังวลจากอนาคตที่ไม่แน่นอน
นายกรัฐมนตรีเองยังได้เตือนว่า ความเสียหายที่ปรากฏเมื่อกลับเข้าบ้านอาจนำไปสู่ความเศร้า หดหู่ และจำเป็นต้องมีทีมจิตแพทย์และนักจิตวิทยาดูแลอย่างต่อเนื่อง
4. การดำเนินงานเยียวยาทางจิตใจของหน่วยงานต่าง ๆ
4.1 บทบาทของพรรคเพื่อไทย
-
นำทีมอาจารย์ด้านจิตวิทยาลงพื้นที่ศูนย์อพยพและชุมชน
-
จัดกิจกรรมฟื้นฟูจิตใจ เช่น พูดคุยรายบุคคล ให้คำปรึกษาเบื้องต้น และการให้กำลังใจ
-
ลงพื้นที่รับฟังปัญหาเพื่อประเมินความต้องการตามจริงของประชาชน
-
สนับสนุนสิ่งของจำเป็น เพื่อลดภาวะเครียดจากการขาดปัจจัยพื้นฐาน
การดำเนินงานนี้สอดคล้องกับหลัก PFA และ community-based support อย่างชัดเจน
4.2 บทบาทของกระทรวง พม.
-
ใช้ฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบางในระบบ MSO-Logbook และ พม. Smart เพื่อช่วยเหลือเร่งด่วน
-
เยี่ยมบ้านหลังน้ำลด เพื่อประเมินปัญหาจิตใจและสังคม
-
เตรียมมาตรการเยียวยาต่อเนื่อง เช่น ช่วยเหลือเด็กกำพร้า ผู้สูงอายุ คนพิการ
แนวทางนี้ช่วยลด “ช่องว่างความช่วยเหลือ” และลดความเครียดสะสม
4.3 การสนับสนุนจากรัฐบาลส่วนกลาง
-
เกณฑ์ทีมสุขภาพจิตและนักจิตวิทยาเพิ่มเติมลงพื้นที่
-
เน้นการป้องกันภาวะซึมเศร้าหลังเหตุการณ์
-
วางแนวทางปรับปรุงระบบเตือนภัยเพื่อลดความหวาดกลัวในอนาคต
-
ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อลดภาวะเครียดจากการสูญเสียรายได้
รัฐบาลให้ความสำคัญทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านจิตใจ ซึ่งเป็นแนวทางฟื้นฟูที่สมบูรณ์
4.4 บทบาทของสถาบันการศึกษา
คณะจิตวิทยา จุฬาฯ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จัดประชุมร่วมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อ
-
ออกแบบรูปแบบการฟื้นฟูระยะสั้นและระยะยาว
-
สร้างแบบทดสอบคัดกรองภาวะเครียดหรือบาดแผลทางใจ
-
พัฒนาหลักสูตรฟื้นตัวชุมชน (community recovery program)
5. การประเมินประสิทธิภาพของการเยียวยาจิตใจ
5.1 จุดแข็ง
-
มีการบูรณาการระหว่างพรรคการเมือง ภาครัฐ มหาวิทยาลัย และอาสาสมัคร
-
ช่วยเหลือรวดเร็ว มีทีมจิตวิทยาเข้าถึงกลุ่มเปราะบาง
-
ใช้ฐานข้อมูลดิจิทัลช่วยวางแผนเยี่ยมบ้านได้ตรงจุด
-
มีความใส่ใจต่อผลกระทบระยะยาว เช่น ความเศร้า ความเครียดเรื้อรัง
5.2 ข้อจำกัด
-
จำนวนจิตแพทย์มีจำกัด อาจดูแลได้ไม่ครอบคลุม
-
ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานยังไม่เป็นระบบในบางช่วง
-
ประชาชนบางส่วนเข้าถึงบริการฟื้นฟูได้ช้า
-
การสื่อสารภาครัฐช่วงต้นวิกฤตอาจส่งผลต่อความวิตกกังวลของประชาชน
5.3 สิ่งที่ควรพัฒนา
-
สร้างระบบติดตามสุขภาพจิตระยะ 6–12 เดือน
-
ฝึกอบรมอาสาสมัครท้องถิ่นด้าน PFA
-
พัฒนาพื้นที่พักพิงที่เป็นมิตรต่อสุขภาพจิต
-
จัดกิจกรรมชุมชนเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ เช่น เวทีเล่าเรื่อง, กิจกรรมศิลปะ, ดนตรีบำบัด
6. แนวทางเยียวยาจิตใจเชิงนโยบายสำหรับหาดใหญ่หลังปี 2568
-
ระบบเฝ้าระวังสุขภาพจิตในชุมชน (Mental Health Surveillance)
-
คัดกรองภาวะเครียด วิตกกังวล ในโรงเรียน วัด มัสยิด และชุมชน
-
-
ศูนย์ฟื้นฟูจิตใจเคลื่อนที่ (Mobile Trauma Care Unit)
-
ทำงานร่วมกับนักจิตวิทยา–อสม.–อพม.
-
-
การฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่การเยียวยาใจ
-
มาตรการซอฟต์โลนปลอดดอกเบี้ยที่พรรคเพื่อไทยเสนอ
-
ลดความเครียดจากภาระหนี้และรายได้ที่หายไป
-
-
กิจกรรมกลุ่มบำบัดแบบชุมชน (Community Group Therapy)
-
เหมาะกับผู้สูงอายุ ผู้หญิง เด็ก และแรงงาน
-
-
ระบบเตือนภัยและแผนรับมือล่วงหน้า
-
ลดความหวาดกลัวว่าจะเกิดเหตุซ้ำอีก
-
-
เสริมพลังครอบครัว (Family Strengthening Program)
-
ส่งเสริมการสื่อสารในครอบครัวหลังประสบภัย
-
7. สรุป
การเยียวยาจิตใจของผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 เป็นกระบวนการที่ต้องการความร่วมมือแบบพหุภาคี ทั้งจากภาครัฐ พรรคการเมือง นักจิตวิทยา องค์กรท้องถิ่น และประชาชนในชุมชนเอง การลงพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย กระทรวง พม. และการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของรัฐบาล ล้วนมีบทบาทสำคัญในการลดความทุกข์ทางใจและสร้างความหวังใหม่ให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม การเยียวยาจิตใจเป็นกระบวนการระยะยาว จำเป็นต้องมีระบบติดตามต่อเนื่อง การเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางใจ (resilience) และการฟื้นฟูชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อให้หาดใหญ่สามารถฟื้นตัวทั้งในระดับปัจเจก ครอบครัว และสังคมได้อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น