บทความนี้วิเคราะห์เชิงโครงสร้างของรัฐไทยโดยระบุว่าระบบราชการและการเมือง ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติสมัยใหม่ โดยใช้กรณีน้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่ ปี 2568 เป็นบทเรียนชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนอย่างชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ระบบราชการมีขั้นตอนที่ล่าช้าและเน้นเอกสารเป็นหลัก เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อสภาวะปกติ ไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน ซึ่งขัดขวางการตอบสนองอย่างทันท่วงทีต่อประชาชน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาในมิติการเมือง ซึ่งผู้นำมักทำงานเชิงภาพลักษณ์มากกว่าการสร้าง ระบบศูนย์บัญชาการวิกฤตที่ถาวร ทำให้เกิดความโกรธทางสังคมจากการจัดการที่ไม่ต่อเนื่อง ความล้มเหลวเหล่านี้สะท้อนว่ารัฐไทยเป็นเพียง "รัฐที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจ" (Power-Based State) ที่ขาดระบบการทำงานที่บูรณาการและเชื่อมโยงกัน ทางออกที่เสนอมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปครั้งใหญ่ โดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่ "Statecraft State" เพื่อให้ประเทศมีระบบที่ยืดหยุ่นและรองรับภัยพิบัติที่รุนแรงและซับซ้อนในอนาคต
วิเคราะห์การออกแบบระบบเพื่อสู้ภัยพิบัติ: ราชการไทย และการเมืองไทย
บทคัดย่อ
เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่ ปี 2568 เผยให้เห็นจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของรัฐไทยทั้งในมิติราชการและการเมืองอย่างชัดเจน ข้อเสนอและข้อสังเกตจาก ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ชี้ตรงกันว่า ระบบรัฐไทย “ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้ภัยพิบัติ” ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนราชการที่ล่าช้า ระบบสื่อสารสั่งการที่ไม่ต่อเนื่อง วัฒนธรรมการทำงานที่เน้นเอกสารมากกว่าภาคสนาม ไปจนถึงปัญหาผู้นำทางการเมืองที่ไม่สามารถยกระดับการจัดการวิกฤติให้เป็นระบบได้ บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างดังกล่าว พร้อมเสนอแนวทางเพื่อปรับรัฐไทยไปสู่ “Statecraft State” ที่รับมือภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
1. บทนำ
ประเทศไทยประสบภัยพิบัติใหญ่เป็นประจำ ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง PM2.5 หรือไฟป่า แต่ทุกครั้งเกิดภาพซ้ำ—ประชาชนเดือดร้อน รัฐตอบสนองช้า และระบบราชการไม่สามารถปรับตัวทันต่อภาวะวิกฤติ เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 จึงเป็น “บทสอบของรัฐไทย” และเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนว่า ประเทศยังขาดระบบการจัดการภัยพิบัติที่ทันสมัย สอดคล้องยุคดิจิทัล และรองรับสภาพอากาศสุดขั้วในอนาคต
2. ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบราชการไทยต่อการรับมือภัยพิบัติ
2.1 ระบบราชการที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อภาวะฉุกเฉิน
อ.ธงทองชี้ว่า ระเบียบราชการส่วนใหญ่ถูกออกแบบเพื่อสภาวะปกติ เน้นความละเอียดรอบคอบมากกว่าความเร็ว และมุ่งป้องกันความผิดพลาดมากกว่าการปกป้องชีวิต ผลลัพธ์คือ
-
ขั้นตอนล่าช้า
-
ต้องใช้เอกสารจำนวนมาก
-
ไม่สามารถปรับเข้าสู่โหมดฉุกเฉินได้
ในภาวะภัยพิบัติ “ความทุกข์ของประชาชนเดินเร็วกว่าระบบราชการ” แต่ระบบกลับไม่สามารถกดปุ่มเข้าสู่โหมดฉุกเฉินแบบทันทีทันใด
2.2 ระบบสื่อสารสั่งการจากส่วนกลางถึงพื้นที่ล่าช้า
ข้อสั่งการทางทีวีหรือคำพูดไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่
-
ไม่กล้าตัดสินใจ
-
ต้องรอเอกสารทางการ
-
ทำให้การเยียวยาและช่วยเหลือล่าช้า
เป็นสัญญาณว่ารัฐไทยยังไม่มี ระบบสั่งการแบบ real-time ซึ่งเป็นหัวใจของการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่
2.3 ภาระต่อผู้ประสบภัยและต้นทุนแฝงที่รัฐไม่เห็น
อ.ธงทองตั้งคำถามสำคัญว่า รัฐเคยนับต้นทุนที่ประชาชนต้องจ่ายหรือไม่ เช่น
-
ค่าเดินทางเพื่อนำเอกสาร
-
ค่าเสียเวลาที่ควรนำไปซ่อมบ้าน
-
ภาระทางจิตใจและสุขภาพ
การเรียกสำเนาเอกสารซ้ำซ้อนเป็นตัวอย่างว่ารัฐยังมองไม่เห็น “ชีวิตจริงของผู้ประสบภัย” และยังไม่สามารถออกแบบบริการที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (human-centered) ได้
2.4 วัฒนธรรม “กลัว สตง.” ทำให้ระบบเยียวยาช้า
หลายหน่วยงานกลัวถูกตรวจสอบย้อนหลัง จึงเน้นความครบถ้วนของเอกสารมากกว่าความเร็วในการช่วยชีวิต นี่คือจุดอ่อนสำคัญของรัฐที่ระบบตรวจสอบไม่เข้าใจลักษณะงานภาคสนามในภาวะวิกฤติ ทำให้เจ้าหน้าที่เลือก “ปลอดภัยไว้ก่อน” มากกว่าการช่วยประชาชนทันที
3. มิติการเมืองไทย: ภาวะผู้นำและโครงสร้างที่ไม่เอื้อต่อการจัดการภัยพิบัติ
ดร.สุวิทย์ให้ภาพที่ชัดเจนว่าภัยพิบัติครั้งนี้นำไปสู่ Social Anger และเกิดจากความล้มเหลวเชิงระบบของการเมืองไทย
3.1 Social Anger: ความโกรธทางสังคมต่อรัฐที่ไม่ทำงาน
เกิดจาก 3 ปัจจัยสะสม
-
ความรู้สึกถูกทอดทิ้ง
-
การสื่อสารที่ล้มเหลว
-
ความเชื่อมั่นต่อรัฐที่เสื่อมลงต่อเนื่อง
นี่คือสัญญาณเตือนของ “State Failure” หากไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง
3.2 วิกฤติผู้นำทางการเมือง
การเมืองไทยติดกับดักใหญ่
-
ผู้นำทำงานเชิงภาพมากกว่าเชิงระบบ
-
วาระการเมืองระยะสั้น ไม่สอดคล้องกับงานบริหารน้ำระยะยาว
-
ไม่มีศูนย์บัญชาการวิกฤติถาวร
ทำให้ภัยพิบัติถูกแก้แบบ “ชั่วคราว–เฉพาะหน้า–เฉพาะตัวบุคคล”
3.3 รัฐไทยยังไม่เป็น Statecraft State
ประเทศไทยยังเป็น Power-Based State คือรัฐที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจและตำแหน่ง ไม่ใช่ระบบและหลักการ
ผลคือ
-
ระบบแตกเป็นส่วน ๆ (silo)
-
ไม่ทำงานเชื่อมโยงกัน
-
การตอบสนองช้า
นี่เป็นปัญหาที่ต่อให้เปลี่ยนรัฐบาล ก็ยังไม่เปลี่ยนระบบ
4. การวิเคราะห์เชิงระบบ: ทำไมรัฐไทยจึงไม่พร้อมสู้ภัยพิบัติ
4.1 ปัญหามาจากการออกแบบ ไม่ใช่ความผิดรายบุคคล
รัฐไทยไม่ได้สร้างระบบที่รองรับภัยพิบัติใน 3 ระดับ
-
ข้อมูล – ไม่มีระบบข้อมูลแบบเปิดที่ทันสมัย
-
สั่งการ – ไม่มีศูนย์บัญชาการถาวร
-
ภาคสนาม – ขั้นตอนราชการไม่ยืดหยุ่น
เมื่อรวมกันจึงเกิดความล้มเหลวทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และการปฏิบัติ
4.2 ปัญหาบริหารจัดการน้ำของหาดใหญ่: จากเชิงวิศวกรรมสู่เชิงสถาบัน
แม้หาดใหญ่มีองค์ความรู้การจัดการน้ำมายาวนาน แต่ระบบสถาบันรัฐไม่รองรับ
-
ข้อมูลไม่ถูกใช้ประกอบการตัดสินใจ
-
แผนบรรเทาน้ำท่วมปรับปรุงช้า
-
การเตือนภัยไม่แม่นยำ
-
เมืองขยายโดยไม่มีกรอบ urban design รับมือฝนสุดขั้ว
นี่เป็นปัญหาเชิง “สถาปัตยกรรมรัฐ” ไม่ใช่เชิงเทคนิค
5. ทางออกเชิงนโยบาย: การออกแบบรัฐไทยใหม่เพื่อรับมือภัยพิบัติ
5.1 ระยะสั้น (ภายใน 7 วัน)
-
ตั้ง War Room กลางแบบ 24 ชั่วโมง
-
ผู้นำต้องอยู่หน้างานทุกวัน
-
สื่อสารแบบ real-time รายชั่วโมง
-
ดึงภาคประชาชน–เอกชน–อาสาสมัครเข้าระบบเดียว
เป้าหมายคือหยุดความสูญเสียและฟื้นความเชื่อมั่น
5.2 ระยะกลาง (6 เดือน)
-
ตั้ง National Crisis Management Agency (NCMA) เป็นองค์กรถาวรไม่ขึ้นตรงกับระบบราชการเดิม
-
สร้างระบบข้อมูลภัยพิบัติ–ข้อมูลน้ำแบบเปิด
-
ออกแบบระบบป้องกันน้ำท่วมหาดใหญ่ใหม่ทั้งภูมิศาสตร์ลุ่มน้ำและผังเมือง
5.3 ระยะยาว (3 ปี)
ปรับรัฐไทยไปสู่ Statecraft State
-
ระบบราชการใหม่แบบ integrated missions
-
ตั้งตำแหน่ง Chief Risk Officer of Thailand
-
สร้างผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Leadership Corps)
-
เปลี่ยนการเมืองไทยจาก Power Politics → Statecraft Politics
นี่คือการปรับทั้งรัฐ ไม่ใช่การเปลี่ยนตัวบุคคล
6. สรุป
เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 คือ “สัญญาณเตือนครั้งใหญ่” ว่ารัฐไทยไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือภัยพิบัติยุคใหม่ที่รวดเร็ว รุนแรง และซับซ้อน การปฏิรูปราชการและการเมืองเพียงผิวเผินไม่เพียงพอ รัฐไทยต้องยกระดับทั้งระบบไปสู่ รัฐที่ทำงานด้วยระบบ ไม่ใช่อำนาจ และพร้อมรับมือภัยพิบัติในอนาคต
Statecraft State ไม่ใช่ตัวเลือก—แต่เป็นเงื่อนไขการอยู่รอดของประเทศไทย


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น