วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568

รัฐไทย: ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อสู้ภัยพิบัติ

 


บทความนี้วิเคราะห์เชิงโครงสร้างของรัฐไทยโดยระบุว่าระบบราชการและการเมือง ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยพิบัติสมัยใหม่ โดยใช้กรณีน้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่ ปี 2568 เป็นบทเรียนชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนอย่างชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ระบบราชการมีขั้นตอนที่ล่าช้าและเน้นเอกสารเป็นหลัก เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อสภาวะปกติ ไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน ซึ่งขัดขวางการตอบสนองอย่างทันท่วงทีต่อประชาชน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาในมิติการเมือง ซึ่งผู้นำมักทำงานเชิงภาพลักษณ์มากกว่าการสร้าง ระบบศูนย์บัญชาการวิกฤตที่ถาวร ทำให้เกิดความโกรธทางสังคมจากการจัดการที่ไม่ต่อเนื่อง ความล้มเหลวเหล่านี้สะท้อนว่ารัฐไทยเป็นเพียง "รัฐที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจ" (Power-Based State) ที่ขาดระบบการทำงานที่บูรณาการและเชื่อมโยงกัน ทางออกที่เสนอมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปครั้งใหญ่ โดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่ "Statecraft State" เพื่อให้ประเทศมีระบบที่ยืดหยุ่นและรองรับภัยพิบัติที่รุนแรงและซับซ้อนในอนาคต


วิเคราะห์การออกแบบระบบเพื่อสู้ภัยพิบัติ: ราชการไทย และการเมืองไทย

บทคัดย่อ

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่ ปี 2568 เผยให้เห็นจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของรัฐไทยทั้งในมิติราชการและการเมืองอย่างชัดเจน ข้อเสนอและข้อสังเกตจาก ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ชี้ตรงกันว่า ระบบรัฐไทย “ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้ภัยพิบัติ” ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนราชการที่ล่าช้า ระบบสื่อสารสั่งการที่ไม่ต่อเนื่อง วัฒนธรรมการทำงานที่เน้นเอกสารมากกว่าภาคสนาม ไปจนถึงปัญหาผู้นำทางการเมืองที่ไม่สามารถยกระดับการจัดการวิกฤติให้เป็นระบบได้ บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างดังกล่าว พร้อมเสนอแนวทางเพื่อปรับรัฐไทยไปสู่ “Statecraft State” ที่รับมือภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


1. บทนำ

ประเทศไทยประสบภัยพิบัติใหญ่เป็นประจำ ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง PM2.5 หรือไฟป่า แต่ทุกครั้งเกิดภาพซ้ำ—ประชาชนเดือดร้อน รัฐตอบสนองช้า และระบบราชการไม่สามารถปรับตัวทันต่อภาวะวิกฤติ เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 จึงเป็น “บทสอบของรัฐไทย” และเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนว่า ประเทศยังขาดระบบการจัดการภัยพิบัติที่ทันสมัย สอดคล้องยุคดิจิทัล และรองรับสภาพอากาศสุดขั้วในอนาคต


2. ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบราชการไทยต่อการรับมือภัยพิบัติ

2.1 ระบบราชการที่ไม่ได้ออกแบบเพื่อภาวะฉุกเฉิน

อ.ธงทองชี้ว่า ระเบียบราชการส่วนใหญ่ถูกออกแบบเพื่อสภาวะปกติ เน้นความละเอียดรอบคอบมากกว่าความเร็ว และมุ่งป้องกันความผิดพลาดมากกว่าการปกป้องชีวิต ผลลัพธ์คือ

  • ขั้นตอนล่าช้า

  • ต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

  • ไม่สามารถปรับเข้าสู่โหมดฉุกเฉินได้

ในภาวะภัยพิบัติ “ความทุกข์ของประชาชนเดินเร็วกว่าระบบราชการ” แต่ระบบกลับไม่สามารถกดปุ่มเข้าสู่โหมดฉุกเฉินแบบทันทีทันใด


2.2 ระบบสื่อสารสั่งการจากส่วนกลางถึงพื้นที่ล่าช้า

ข้อสั่งการทางทีวีหรือคำพูดไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่

  • ไม่กล้าตัดสินใจ

  • ต้องรอเอกสารทางการ

  • ทำให้การเยียวยาและช่วยเหลือล่าช้า

เป็นสัญญาณว่ารัฐไทยยังไม่มี ระบบสั่งการแบบ real-time ซึ่งเป็นหัวใจของการจัดการภัยพิบัติยุคใหม่


2.3 ภาระต่อผู้ประสบภัยและต้นทุนแฝงที่รัฐไม่เห็น

อ.ธงทองตั้งคำถามสำคัญว่า รัฐเคยนับต้นทุนที่ประชาชนต้องจ่ายหรือไม่ เช่น

  • ค่าเดินทางเพื่อนำเอกสาร

  • ค่าเสียเวลาที่ควรนำไปซ่อมบ้าน

  • ภาระทางจิตใจและสุขภาพ

การเรียกสำเนาเอกสารซ้ำซ้อนเป็นตัวอย่างว่ารัฐยังมองไม่เห็น “ชีวิตจริงของผู้ประสบภัย” และยังไม่สามารถออกแบบบริการที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (human-centered) ได้


2.4 วัฒนธรรม “กลัว สตง.” ทำให้ระบบเยียวยาช้า

หลายหน่วยงานกลัวถูกตรวจสอบย้อนหลัง จึงเน้นความครบถ้วนของเอกสารมากกว่าความเร็วในการช่วยชีวิต นี่คือจุดอ่อนสำคัญของรัฐที่ระบบตรวจสอบไม่เข้าใจลักษณะงานภาคสนามในภาวะวิกฤติ ทำให้เจ้าหน้าที่เลือก “ปลอดภัยไว้ก่อน” มากกว่าการช่วยประชาชนทันที


3. มิติการเมืองไทย: ภาวะผู้นำและโครงสร้างที่ไม่เอื้อต่อการจัดการภัยพิบัติ

ดร.สุวิทย์ให้ภาพที่ชัดเจนว่าภัยพิบัติครั้งนี้นำไปสู่ Social Anger และเกิดจากความล้มเหลวเชิงระบบของการเมืองไทย

3.1 Social Anger: ความโกรธทางสังคมต่อรัฐที่ไม่ทำงาน

เกิดจาก 3 ปัจจัยสะสม

  1. ความรู้สึกถูกทอดทิ้ง

  2. การสื่อสารที่ล้มเหลว

  3. ความเชื่อมั่นต่อรัฐที่เสื่อมลงต่อเนื่อง

นี่คือสัญญาณเตือนของ “State Failure” หากไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง


3.2 วิกฤติผู้นำทางการเมือง

การเมืองไทยติดกับดักใหญ่

  • ผู้นำทำงานเชิงภาพมากกว่าเชิงระบบ

  • วาระการเมืองระยะสั้น ไม่สอดคล้องกับงานบริหารน้ำระยะยาว

  • ไม่มีศูนย์บัญชาการวิกฤติถาวร

ทำให้ภัยพิบัติถูกแก้แบบ “ชั่วคราว–เฉพาะหน้า–เฉพาะตัวบุคคล”


3.3 รัฐไทยยังไม่เป็น Statecraft State

ประเทศไทยยังเป็น Power-Based State คือรัฐที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจและตำแหน่ง ไม่ใช่ระบบและหลักการ

ผลคือ

  • ระบบแตกเป็นส่วน ๆ (silo)

  • ไม่ทำงานเชื่อมโยงกัน

  • การตอบสนองช้า

นี่เป็นปัญหาที่ต่อให้เปลี่ยนรัฐบาล ก็ยังไม่เปลี่ยนระบบ


4. การวิเคราะห์เชิงระบบ: ทำไมรัฐไทยจึงไม่พร้อมสู้ภัยพิบัติ

4.1 ปัญหามาจากการออกแบบ ไม่ใช่ความผิดรายบุคคล

รัฐไทยไม่ได้สร้างระบบที่รองรับภัยพิบัติใน 3 ระดับ

  1. ข้อมูล – ไม่มีระบบข้อมูลแบบเปิดที่ทันสมัย

  2. สั่งการ – ไม่มีศูนย์บัญชาการถาวร

  3. ภาคสนาม – ขั้นตอนราชการไม่ยืดหยุ่น

เมื่อรวมกันจึงเกิดความล้มเหลวทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และการปฏิบัติ


4.2 ปัญหาบริหารจัดการน้ำของหาดใหญ่: จากเชิงวิศวกรรมสู่เชิงสถาบัน

แม้หาดใหญ่มีองค์ความรู้การจัดการน้ำมายาวนาน แต่ระบบสถาบันรัฐไม่รองรับ

  • ข้อมูลไม่ถูกใช้ประกอบการตัดสินใจ

  • แผนบรรเทาน้ำท่วมปรับปรุงช้า

  • การเตือนภัยไม่แม่นยำ

  • เมืองขยายโดยไม่มีกรอบ urban design รับมือฝนสุดขั้ว

นี่เป็นปัญหาเชิง “สถาปัตยกรรมรัฐ” ไม่ใช่เชิงเทคนิค


5. ทางออกเชิงนโยบาย: การออกแบบรัฐไทยใหม่เพื่อรับมือภัยพิบัติ

5.1 ระยะสั้น (ภายใน 7 วัน)

  • ตั้ง War Room กลางแบบ 24 ชั่วโมง

  • ผู้นำต้องอยู่หน้างานทุกวัน

  • สื่อสารแบบ real-time รายชั่วโมง

  • ดึงภาคประชาชน–เอกชน–อาสาสมัครเข้าระบบเดียว

เป้าหมายคือหยุดความสูญเสียและฟื้นความเชื่อมั่น


5.2 ระยะกลาง (6 เดือน)

  • ตั้ง National Crisis Management Agency (NCMA) เป็นองค์กรถาวรไม่ขึ้นตรงกับระบบราชการเดิม

  • สร้างระบบข้อมูลภัยพิบัติ–ข้อมูลน้ำแบบเปิด

  • ออกแบบระบบป้องกันน้ำท่วมหาดใหญ่ใหม่ทั้งภูมิศาสตร์ลุ่มน้ำและผังเมือง


5.3 ระยะยาว (3 ปี)

ปรับรัฐไทยไปสู่ Statecraft State

  1. ระบบราชการใหม่แบบ integrated missions

  2. ตั้งตำแหน่ง Chief Risk Officer of Thailand

  3. สร้างผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Leadership Corps)

  4. เปลี่ยนการเมืองไทยจาก Power Politics → Statecraft Politics

นี่คือการปรับทั้งรัฐ ไม่ใช่การเปลี่ยนตัวบุคคล


6. สรุป

เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 คือ “สัญญาณเตือนครั้งใหญ่” ว่ารัฐไทยไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือภัยพิบัติยุคใหม่ที่รวดเร็ว รุนแรง และซับซ้อน การปฏิรูปราชการและการเมืองเพียงผิวเผินไม่เพียงพอ รัฐไทยต้องยกระดับทั้งระบบไปสู่ รัฐที่ทำงานด้วยระบบ ไม่ใช่อำนาจ และพร้อมรับมือภัยพิบัติในอนาคต

Statecraft State ไม่ใช่ตัวเลือก—แต่เป็นเงื่อนไขการอยู่รอดของประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ดร.นิยม เวชกามา แจงเหตุผลลงสมัคร สส.สกลนคร เขต 2 ในนามพรรคโอกาสใหม่ ชูโอกาสดูแลศาสนา–ประชาชน ท่ามกลางสมรภูมิเลือกตั้ง 2569

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ดร.นิยม เวชกามา เปิดเผยถึงการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร เขต 2 ในนามพรรคโอกาสใ...