วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ระบบเตือนภัยไทย: เราพร้อมแค่ไหน?



บทวิเคราะห์นี้ประเมินสถานะของระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบหลายภัย (MHEWS) ของประเทศไทย โดยระบุว่าประเทศมีความก้าวหน้าในระดับ ปานกลางค่อนไปทางสูง เมื่อเทียบกับมาตรฐานโลก แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมายการเตือนภัยสำหรับทุกคนของสหประชาชาติในปี 2027 ความพร้อมดังกล่าวมาจาก โครงสร้างหน่วยงานที่ชัดเจน และการมีเทคโนโลยีเตือนภัยระดับหนึ่ง เช่น ระบบเรดาร์และระบบสึนามิ อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนสำคัญคือปัญหา การขาดความเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ซ้ำซ้อนหรือล่าช้าในสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ ไทยยังขาดการประเมินความเสี่ยงและระบบเตือนภัยสำหรับ ภัยพิบัติรูปแบบใหม่ อาทิ คลื่นความร้อนและไฟป่า โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนและเขตเมืองที่มีความเสี่ยงสูง ผู้เขียนจึงเสนอให้มีการรวมระบบเตือนภัยทั้งหมดให้เป็น แพลตฟอร์มเดียวที่สมบูรณ์ เพื่อรองรับความท้าทายด้านสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นในอนาคต 



บทวิเคราะห์: สถานภาพของประเทศไทยต่อระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบหลายภัย (Multi-Hazard Early Warning Systems – MHEWS)

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าปานกลางถึงค่อนข้างสูงด้านระบบเตือนภัยล่วงหน้า แต่ยังมีจุดอ่อนสำคัญในระดับพื้นที่และการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงาน แม้จะไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ “ขาดระบบเตือนภัย” แบบหมู่เกาะขนาดเล็ก แต่ก็ยังไม่บรรลุระดับมาตรฐานที่ UN ตั้งเป้าไว้ภายใต้โครงการ Early Warnings for All (EW4All) ปี 2027


1. จุดแข็งของประเทศไทยด้านระบบเตือนภัยล่วงหน้า

1.1 โครงสร้างหน่วยงานเตือนภัยเข้มแข็งและชัดเจน

ไทยมีหลายหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่เตือนภัย เช่น

  • กรมอุตุนิยมวิทยา (พายุ ฝนตกหนัก คลื่นพายุซัดฝั่ง)

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (แจ้งเตือนหลายภัย)

  • กรมทรัพยากรน้ำ / กรมชลประทาน (อุทกภัย–น้ำท่วม)

  • ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (สึนามิและภัยชายฝั่ง)

โครงสร้างดังกล่าวทำให้ไทยมี “ฐานข้อมูล” และ “ศูนย์บัญชาการ” พร้อมใช้งานมากกว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


1.2 ความครอบคลุมด้านเทคโนโลยีเตือนภัยระดับหนึ่ง

  • ระบบเตือนภัยสึนามิชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทย

  • ระบบเรดาร์ตรวจฝนทั่วประเทศกว่า 30 แห่ง

  • ระบบ SMS และแอปกรมอุตุนิยมวิทยา

  • เครื่องเตือนภัยไซเรนในบางพื้นที่ (เช่น หมู่บ้านเสี่ยงดินถล่ม)

ไทยจึงจัดอยู่ในประเทศที่มี ความพร้อมระดับกลาง-สูง ตามนิยาม UNDRR


2. ข้อจำกัดและปัญหาเชิงโครงสร้าง

2.1 ความเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานยังไม่สมบูรณ์

ปัญหาหลักคือ “หลายระบบแยกกันทำงาน” เช่น

  • กรมอุตุฯ ออกประกาศเอง

  • กรมชลฯ มีระบบเตือนน้ำของตนเอง

  • ปภ. มีแอปเฉพาะของกระทรวงมหาดไทย

ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลช้า กำกวม หรือซ้ำซ้อน โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องการความชัดเจน


2.2 ความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีในพื้นที่ชนบท

แม้ไทยมีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตกว้างขวาง แต่ยังพบว่า

  • ผู้สูงอายุจำนวนมากไม่ได้ใช้แอปเตือนภัย

  • หลายหมู่บ้านไม่มีลำโพงเตือนภัย หรือเสียหาย

  • SMS เตือนภัยยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่พร้อมกัน

UNDRR จัดให้เป็น “ความเสี่ยงระดับกลาง” ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา


2.3 การประเมินความเสี่ยงยังไม่ครบทุกมิติ

ตามรายงานระดับโลก ปี 2025 ระบุว่าทั่วโลกยังมีไม่ถึง 1 ใน 3 ของประเทศที่มีฐานข้อมูลความเสี่ยงครบถ้วน ไทยก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือ

  • มีข้อมูลฝน–น้ำท่วมดี

  • แต่ขาดฐานข้อมูล คลื่นความร้อน, ไฟป่า, และ ภัยสมัยใหม่ (new-generation hazards)

  • ข้อมูลความเสี่ยงระดับชุมชนยังไม่ครอบคลุม


3. ไทยเทียบกับมาตรฐานโลก

ตารางวิเคราะห์ความก้าวหน้า (สังเคราะห์ตามกรอบ UNDRR–WMO)

มิติระดับของไทยประเมิน
1. การรู้ความเสี่ยง (Risk knowledge)ปานกลางยังขาดข้อมูลภัยสมัยใหม่
2. การติดตาม–คาดการณ์ (Monitoring & Forecasting)ค่อนข้างสูงสภาพอากาศและน้ำท่วมเข้มแข็ง แต่คลื่นความร้อนยังอ่อน
3. การสื่อสารเตือนภัย (Warning dissemination)ปานกลางระบบกระจัดกระจาย ไม่รวมศูนย์
4. การตอบสนองของประชาชน (Preparedness & response)ปานกลางการฝึกซ้อมไม่ทั่วถึงทุกจังหวัด
คะแนนรวมโดยประมาณปานกลางค่อนไปทางสูงยังไม่ถึงระดับ “ครอบคลุมทุกคนทั้งประเทศ”

4. ประเด็นท้าทายใหม่ของไทย

รายงาน UN ปี 2025 สะท้อนว่าภัยที่จะเพิ่มขึ้นคือ

  • คลื่นความร้อนระดับอันตราย (extreme heat)

  • ไฟป่าในภาคเหนือ

  • น้ำท่วมฉับพลันในเขตเมือง (โดยเฉพาะ กทม. และหาดใหญ่)

  • น้ำท่วมจากฝนสุดขั้ว (extreme rainfall)

  • น้ำท่วมจากทะเลหนุนในกรุงเทพฯ

ไทยยังไม่มี “ระบบเตือนภัยสำหรับทุกภัยร่วมกัน (MHEWS ที่สมบูรณ์)” เพื่อรองรับภัยรูปแบบใหม่เหล่านี้


5. ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับไทยสู่มาตรฐานปี 2027

  1. รวมระบบเตือนภัยทุกหน่วยงานสู่แพลตฟอร์มเดียว (One Warning System)

  2. เชื่อมโยงข้อมูลระดับหมู่บ้านและเมืองใหญ่แบบเรียลไทม์

  3. ขยายระบบเตือนภัยคลื่นความร้อนและไฟป่า

  4. สร้างระบบเตือนภัยเฉพาะพื้นที่เมืองเสี่ยง เช่น หาดใหญ่, กรุงเทพฯ

  5. ใช้ AI–Big Data เพื่อคาดการณ์ฝนสุดขั้วและน้ำหลาก

  6. ผลิตเนื้อหาเตือนภัยที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้สูงอายุและพื้นที่ห่างไกล

  7. ร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น AIS, TRUE, DTAC ในการทำ Cell Broadcast เตือนภัยฉุกเฉิน


สรุป

ประเทศไทยมีความก้าวหน้า “ในระดับที่ดี” เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค แต่ยังไม่บรรลุเป้าของ UN ที่ต้องการให้ “ทุกคนบนโลกมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า” ภายในปี 2027 โดยเฉพาะในมิติความเสี่ยงใหม่ ความเชื่อมโยงข้อมูล และการเข้าถึงระดับชุมชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...