บทวิเคราะห์นี้ประเมินสถานะของระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบหลายภัย (MHEWS) ของประเทศไทย โดยระบุว่าประเทศมีความก้าวหน้าในระดับ ปานกลางค่อนไปทางสูง เมื่อเทียบกับมาตรฐานโลก แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมายการเตือนภัยสำหรับทุกคนของสหประชาชาติในปี 2027 ความพร้อมดังกล่าวมาจาก โครงสร้างหน่วยงานที่ชัดเจน และการมีเทคโนโลยีเตือนภัยระดับหนึ่ง เช่น ระบบเรดาร์และระบบสึนามิ อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนสำคัญคือปัญหา การขาดความเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ซ้ำซ้อนหรือล่าช้าในสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ ไทยยังขาดการประเมินความเสี่ยงและระบบเตือนภัยสำหรับ ภัยพิบัติรูปแบบใหม่ อาทิ คลื่นความร้อนและไฟป่า โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนและเขตเมืองที่มีความเสี่ยงสูง ผู้เขียนจึงเสนอให้มีการรวมระบบเตือนภัยทั้งหมดให้เป็น แพลตฟอร์มเดียวที่สมบูรณ์ เพื่อรองรับความท้าทายด้านสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นในอนาคต
บทวิเคราะห์: สถานภาพของประเทศไทยต่อระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบหลายภัย (Multi-Hazard Early Warning Systems – MHEWS)
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าปานกลางถึงค่อนข้างสูงด้านระบบเตือนภัยล่วงหน้า แต่ยังมีจุดอ่อนสำคัญในระดับพื้นที่และการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงาน แม้จะไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ “ขาดระบบเตือนภัย” แบบหมู่เกาะขนาดเล็ก แต่ก็ยังไม่บรรลุระดับมาตรฐานที่ UN ตั้งเป้าไว้ภายใต้โครงการ Early Warnings for All (EW4All) ปี 2027
1. จุดแข็งของประเทศไทยด้านระบบเตือนภัยล่วงหน้า
1.1 โครงสร้างหน่วยงานเตือนภัยเข้มแข็งและชัดเจน
ไทยมีหลายหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่เตือนภัย เช่น
-
กรมอุตุนิยมวิทยา (พายุ ฝนตกหนัก คลื่นพายุซัดฝั่ง)
-
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (แจ้งเตือนหลายภัย)
-
กรมทรัพยากรน้ำ / กรมชลประทาน (อุทกภัย–น้ำท่วม)
-
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (สึนามิและภัยชายฝั่ง)
โครงสร้างดังกล่าวทำให้ไทยมี “ฐานข้อมูล” และ “ศูนย์บัญชาการ” พร้อมใช้งานมากกว่าหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1.2 ความครอบคลุมด้านเทคโนโลยีเตือนภัยระดับหนึ่ง
-
ระบบเตือนภัยสึนามิชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทย
-
ระบบเรดาร์ตรวจฝนทั่วประเทศกว่า 30 แห่ง
-
ระบบ SMS และแอปกรมอุตุนิยมวิทยา
-
เครื่องเตือนภัยไซเรนในบางพื้นที่ (เช่น หมู่บ้านเสี่ยงดินถล่ม)
ไทยจึงจัดอยู่ในประเทศที่มี ความพร้อมระดับกลาง-สูง ตามนิยาม UNDRR
2. ข้อจำกัดและปัญหาเชิงโครงสร้าง
2.1 ความเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานยังไม่สมบูรณ์
ปัญหาหลักคือ “หลายระบบแยกกันทำงาน” เช่น
-
กรมอุตุฯ ออกประกาศเอง
-
กรมชลฯ มีระบบเตือนน้ำของตนเอง
-
ปภ. มีแอปเฉพาะของกระทรวงมหาดไทย
ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลช้า กำกวม หรือซ้ำซ้อน โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องการความชัดเจน
2.2 ความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีในพื้นที่ชนบท
แม้ไทยมีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตกว้างขวาง แต่ยังพบว่า
-
ผู้สูงอายุจำนวนมากไม่ได้ใช้แอปเตือนภัย
-
หลายหมู่บ้านไม่มีลำโพงเตือนภัย หรือเสียหาย
-
SMS เตือนภัยยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่พร้อมกัน
UNDRR จัดให้เป็น “ความเสี่ยงระดับกลาง” ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
2.3 การประเมินความเสี่ยงยังไม่ครบทุกมิติ
ตามรายงานระดับโลก ปี 2025 ระบุว่าทั่วโลกยังมีไม่ถึง 1 ใน 3 ของประเทศที่มีฐานข้อมูลความเสี่ยงครบถ้วน ไทยก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือ
-
มีข้อมูลฝน–น้ำท่วมดี
-
แต่ขาดฐานข้อมูล คลื่นความร้อน, ไฟป่า, และ ภัยสมัยใหม่ (new-generation hazards)
-
ข้อมูลความเสี่ยงระดับชุมชนยังไม่ครอบคลุม
3. ไทยเทียบกับมาตรฐานโลก
ตารางวิเคราะห์ความก้าวหน้า (สังเคราะห์ตามกรอบ UNDRR–WMO)
| มิติ | ระดับของไทย | ประเมิน |
|---|---|---|
| 1. การรู้ความเสี่ยง (Risk knowledge) | ปานกลาง | ยังขาดข้อมูลภัยสมัยใหม่ |
| 2. การติดตาม–คาดการณ์ (Monitoring & Forecasting) | ค่อนข้างสูง | สภาพอากาศและน้ำท่วมเข้มแข็ง แต่คลื่นความร้อนยังอ่อน |
| 3. การสื่อสารเตือนภัย (Warning dissemination) | ปานกลาง | ระบบกระจัดกระจาย ไม่รวมศูนย์ |
| 4. การตอบสนองของประชาชน (Preparedness & response) | ปานกลาง | การฝึกซ้อมไม่ทั่วถึงทุกจังหวัด |
| คะแนนรวมโดยประมาณ | ปานกลางค่อนไปทางสูง | ยังไม่ถึงระดับ “ครอบคลุมทุกคนทั้งประเทศ” |
4. ประเด็นท้าทายใหม่ของไทย
รายงาน UN ปี 2025 สะท้อนว่าภัยที่จะเพิ่มขึ้นคือ
-
คลื่นความร้อนระดับอันตราย (extreme heat)
-
ไฟป่าในภาคเหนือ
-
น้ำท่วมฉับพลันในเขตเมือง (โดยเฉพาะ กทม. และหาดใหญ่)
-
น้ำท่วมจากฝนสุดขั้ว (extreme rainfall)
-
น้ำท่วมจากทะเลหนุนในกรุงเทพฯ
ไทยยังไม่มี “ระบบเตือนภัยสำหรับทุกภัยร่วมกัน (MHEWS ที่สมบูรณ์)” เพื่อรองรับภัยรูปแบบใหม่เหล่านี้
5. ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับไทยสู่มาตรฐานปี 2027
-
รวมระบบเตือนภัยทุกหน่วยงานสู่แพลตฟอร์มเดียว (One Warning System)
-
เชื่อมโยงข้อมูลระดับหมู่บ้านและเมืองใหญ่แบบเรียลไทม์
-
ขยายระบบเตือนภัยคลื่นความร้อนและไฟป่า
-
สร้างระบบเตือนภัยเฉพาะพื้นที่เมืองเสี่ยง เช่น หาดใหญ่, กรุงเทพฯ
-
ใช้ AI–Big Data เพื่อคาดการณ์ฝนสุดขั้วและน้ำหลาก
-
ผลิตเนื้อหาเตือนภัยที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้สูงอายุและพื้นที่ห่างไกล
-
ร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น AIS, TRUE, DTAC ในการทำ Cell Broadcast เตือนภัยฉุกเฉิน
สรุป
ประเทศไทยมีความก้าวหน้า “ในระดับที่ดี” เมื่อเทียบกับหลายประเทศในภูมิภาค แต่ยังไม่บรรลุเป้าของ UN ที่ต้องการให้ “ทุกคนบนโลกมีระบบเตือนภัยล่วงหน้า” ภายในปี 2027 โดยเฉพาะในมิติความเสี่ยงใหม่ ความเชื่อมโยงข้อมูล และการเข้าถึงระดับชุมชน


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น