วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ระบบเตือนภัยทั่วโลก ก้าวหน้าเหลื่อมล้ำ

    

บทความนี้วิเคราะห์สถานะและความก้าวหน้าของระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบหลายภัยพิบัติ (MHEWS) ทั่วโลก ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น แม้ว่าจำนวนประเทศที่มีระบบ MHEWS จะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก (SIDS) ที่มีความพร้อมต่ำสุดและเปราะบางที่สุด ระบบของประเทศพัฒนาแล้วมักใช้ เทคโนโลยีที่บูรณาการและมีความแม่นยำสูง ส่วนประเทศกำลังพัฒนามักพึ่งพาระบบผสมผสานที่เน้นการสื่อสารในระดับชุมชนเป็นหลัก แหล่งข้อมูลชี้ว่าระบบเตือนภัยที่มีอยู่เดิมยังไม่พร้อมรับมือกับ ภัยพิบัติรูปแบบใหม่ อาทิ คลื่นความร้อนรุนแรงและไฟป่าขนาดใหญ่ จึงต้องมีการปรับปรุงเทคโนโลยีอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้ องค์การสหประชาชาติจึงมีเป้าหมายผ่านโครงการ Early Warnings for All (EW4All) เพื่อให้ประชากรโลกทุกคนเข้าถึงระบบเตือนภัยให้ได้ภายในปี 2027 โดยเน้นการลงทุนด้านธรรมาภิบาลและความรู้ความเสี่ยงในพื้นที่รายได้น้อย การลงทุนในระบบนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความยืดหยุ่นให้แก่มนุษยชาติในการเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง



วิเคราะห์รูปแบบระบบเตือนภัยล่วงหน้าของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

Analysis of Global Multi-Hazard Early Warning Systems (MHEWS)

บทนำ

ระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning Systems – EWS) ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงมนุษย์ที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในภาวะวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และคาดการณ์ได้ยากกว่าในอดีต รายงาน Global Status of Multi-Hazard Early Warning Systems 2025 ของ UNDRR และ WMO ซึ่งเผยในเวที COP30 ได้สะท้อนพัฒนาการ ความก้าวหน้า และช่องว่างด้านศักยภาพของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างเป็นระบบ

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์รูปแบบระบบเตือนภัยของประเทศทั่วโลกตามกรอบ MHEWS (Multi-Hazard Early Warning Systems) พร้อมสังเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และแนวโน้มการพัฒนาในอนาคต


1. ภาพรวมสถานะระบบเตือนภัยล่วงหน้าของโลก

1.1 การขยายตัวของระบบเตือนภัยในรอบทศวรรษ

ข้อมูลล่าสุดพบว่า 119 ประเทศทั่วโลกมีระบบเตือนภัยแบบหลายภัย (Multi-Hazard) เพิ่มขึ้น 113% ในรอบ 10 ปี สะท้อนความตื่นตัวของรัฐในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ความครอบคลุมประชากรเพิ่มขึ้น 45% ตั้งแต่ปี 2015
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขโดยรวมจะเพิ่มขึ้น แต่ หลายพื้นที่ยังขาดการคุ้มครอง โดยเฉพาะหมู่เกาะขนาดเล็ก (SIDS) ที่เพียง 43% เท่านั้นมีระบบ MHEWS ส่งผลให้ประชากรจำนวนมากยังไม่มีการเตือนภัยที่ทันเวลาและแม่นยำ

1.2 ช่องว่างภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจ

  • ประเทศพัฒนาแล้วมีระบบเตือนภัยที่ซับซ้อนกว่า เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และยุโรป

  • ประเทศกำลังพัฒนาในแอฟริกา เอเชียใต้ และหมู่เกาะแปซิฟิกมีระบบจำกัด แม้คะแนนขีดความสามารถเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 45%

  • ภูมิภาคแอฟริกามีพัฒนาการเด่นที่สุด เพิ่มศักยภาพ 72% แต่ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีคะแนนต่ำสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น


2. รูปแบบระบบเตือนภัยล่วงหน้าของประเทศต่าง ๆ

ระบบเตือนภัยล่วงหน้ามาตรฐานประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก (ตาม UNDRR) ได้แก่

  1. ความรู้ความเสี่ยง (Risk Knowledge)

  2. การติดตาม–พยากรณ์ (Monitoring & Forecasting)

  3. การสื่อสารเตือนภัย (Warning Dissemination)

  4. การรับมือเชิงปฏิบัติการ (Preparedness & Response)

2.1 ประเทศพัฒนาแล้ว: ระบบแบบบูรณาการและความแม่นยำสูง

ตัวอย่างประเทศ: ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา
ลักษณะเด่น:

  • เครือข่ายเรดาร์ ดาวเทียม และเซนเซอร์ครอบคลุม

  • ระบบแจ้งเตือนผ่านมือถือ (Cell Broadcast) และแอปประจำชาติ

  • เตือนภัยหลายประเภท เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ไฟป่า คลื่นความร้อน

  • ใช้ AI วิเคราะห์ความเสี่ยงแบบเรียลไทม์
    ข้อจำกัด: ต้องลงทุนสูงมาก และต้องรักษาโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง

2.2 ประเทศกำลังพัฒนา: ระบบผสมผสานเทคโนโลยีต่ำ–สูง

ตัวอย่างประเทศ: อินเดีย บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ เคนยา
ลักษณะเด่น:

  • พัฒนาระบบเตือนภัยเฉพาะภัยที่เกิดบ่อย เช่น ไซโคลน น้ำท่วม

  • ใช้ทั้งการเตือนผ่านโทรศัพท์ วิทยุ ชุมชนและ อสม.

  • มีการเชื่อมงานกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อลดช่องว่างการเข้าถึง
    ข้อจำกัด: ความครอบคลุมไม่ทั่วถึง และขาดข้อมูลความเสี่ยงละเอียด

2.3 ประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก (SIDS): ระบบจำกัดและช่องว่างสูง

ตัวอย่างประเทศ: ติมอร์-เลสเต ฟิจิ สมอลล์ไอส์แลนด์ในแคริบเบียน
ลักษณะเด่น:

  • เผชิญภัยพายุ–สึนามิสูง แต่ระบบเตือนภัยมีเพียง 43%
    ข้อจำกัด:

  • โครงสร้างพื้นฐานอ่อนแอ

  • ทรัพยากรบุคลากรและงบประมาณจำกัด

  • ยังพึ่งพากลไกความช่วยเหลือจากองค์การระหว่างประเทศ


3. ภัยรูปแบบใหม่และความท้าทายของระบบเตือนภัยโลก

UNDRR ชี้ให้เห็นว่าระบบปัจจุบันยังไม่พร้อมรับมือภัยรูปแบบใหม่ ได้แก่

  • คลื่นความร้อนรุนแรง (Extreme Heatwaves)

  • ไฟป่าระดับเมกะไฟร์

  • น้ำท่วมจากธารน้ำแข็งแตก (GLOFs)

  • พายุซูเปอร์สตรอมรูปแบบใหม่
    ระบบเตือนภัยจำนวนมากยังพัฒนามารองรับภัยแบบ “ดั้งเดิม” เช่น พายุและน้ำท่วม จึงต้องปรับให้ทันบริบทโลกใหม่


4. การขับเคลื่อนระดับโลก: โครงการ Early Warnings for All (EW4All)

สหประชาชาติตั้งเป้าให้ ประชากรทุกคนบนโลกเข้าถึงระบบเตือนภัยภายในปี 2027 โดยเน้น 4 ประเด็นสำคัญ:

  • ปิดช่องว่างระบบเตือนภัยของประเทศรายได้น้อย

  • ยกระดับธรรมาภิบาลความเสี่ยง

  • เสริมความรู้ความเสี่ยงระดับชุมชน

  • พัฒนาการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและข้อมูลดาวเทียม

อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติย้ำว่า

“ไฟป่า น้ำท่วม และซูเปอร์สตรอมกำลังทำลายชีวิต การลงทุนในระบบเตือนภัยคือการลงทุนความยืดหยุ่นของมนุษยชาติ”


5. ช่องว่างสำคัญที่ยังต้องเติมเต็ม

แม้ความรู้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 16% ตั้งแต่ปี 2022 แต่…

  • น้อยกว่า 1/3 ของประเทศทั่วโลกมีข้อมูลความเสี่ยงครบถ้วน

  • ชุมชนจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงข้อมูลในเวลาที่ใช้งานได้

  • ระบบสื่อสารที่รวดเร็ว เช่น Cell Broadcast ยังมีใช้เฉพาะบางประเทศ

  • การบูรณาการระหว่าง “ฝ่ายนโยบาย–ฝ่ายปฏิบัติ–ชุมชน” ยังไม่สมบูรณ์


6. สรุปและข้อเสนอเชิงนโยบาย

ข้อค้นพบจากการวิเคราะห์

  1. ระบบเตือนภัยโลกพัฒนาเร็ว แต่ยังเหลื่อมล้ำอย่างมาก

  2. ประเทศพัฒนาแล้วมีระบบครบวงจร ขณะที่ประเทศรายได้น้อยยังขาดงบประมาณ

  3. ประเทศหมู่เกาะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุดและมีระบบเตือนภัยต่ำที่สุด

  4. ภัยรูปแบบใหม่ทำให้ระบบเดิมไม่พอ ต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีใหม่

  5. การลงทุนและการเสริมธรรมาภิบาลความเสี่ยงเป็นหัวใจความสำเร็จ

ข้อเสนอเชิงนโยบายระดับโลก

  • เพิ่มเงินทุนและเทคโนโลยีให้ประเทศรายได้น้อยและหมู่เกาะ

  • พัฒนาระบบเตือนภัยเฉพาะภัยสมัยใหม่ เช่น คลื่นความร้อน

  • ส่งเสริมข้อมูลเปิด (Open Data) ร่วมกันระหว่างประเทศ

  • เชื่อมระบบเตือนภัยเข้ากับชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

  • บูรณาการหน่วยงานอุตุนิยมวิทยา–ภัยพิบัติ–ท้องถิ่นให้เป็นระบบเดียว


บทสรุป

แม้ระบบเตือนภัยล่วงหน้าทั่วโลกมีความก้าวหน้าในทศวรรษที่ผ่านมา แต่ความเหลื่อมล้ำด้านความพร้อมยังสูงมาก โดยเฉพาะประเทศหมู่เกาะและประเทศกำลังพัฒนา การตั้งเป้าว่าทุกคนต้องมีระบบเตือนภัยภายในปี 2027 เป็นหมุดหมายสำคัญที่ท้าทาย และต้องอาศัยการร่วมมือด้านการเงิน เทคโนโลยี และงานเชิงชุมชนอย่างใกล้ชิด

ระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิผลไม่ใช่แค่ “การแจ้งเตือนให้รู้ล่วงหน้า” แต่คือ การสร้างความยืดหยุ่นให้มนุษย์อยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่รุนแรงขึ้นทุกปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปิด 24 วิชชั่นบริการ 24 ชั่วโมง พรรควิชชั่นใหม่ สู้ศึกเลือกตั้งปี 2569

วิเคราะห์วิชชั่นใหม่ 24 ประการของนโยบายสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 ของพรรควิชชั่นใหม่: การถอดรหัสปรัชญาเศรษฐกิจมนุษย์และยุทธศาสตร์ทางเลือกที่สาม ...