วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ศึกสามเส้าของ ดร.นิยม เวชกามา ว่าที่ผู้สมัคร สส.สกลนคร เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ปี 2569


สื่อถึงแหล่งข้อมูลเหล่านี้ประกอบด้วยสองส่วนหลักที่เกี่ยวกับ ดร.นิยม เวชกามา โดยส่วนแรกคือการวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 2 สกลนคร ในปี 2569 ที่เน้นการประเมินความท้าทายจากการที่ท่านย้ายจากพรรคเพื่อไทยมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ในการเผชิญหน้ากับศึกสามเส้าที่ซับซ้อน ส่วนที่สองเป็นการศึกษาเชิงวิชาการที่ว่าด้วยมิติความสัมพันธ์ของ ดร.นิยม ต่อสื่อมวลชนไทย โดยใช้ภูมิหลังด้าน พุทธจิตวิทยา ของท่านเป็นกรอบในการวิพากษ์จริยธรรมสื่ออย่างเข้มงวด โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ข้อเขียนนี้ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของท่านในการเรียกร้องให้สื่อมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมและหลีกเลี่ยงอคติส่วนตัวในการรายงานข่าวสาร. บทวิเคราะห์นี้ยังระบุถึงกลยุทธ์ของท่านในการดึงผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อเข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรี เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการบริหารราชการ 

วิเคราะห์ศึกสามเส้าของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร สส.สกลนคร เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ปี 2569


การประเมินความท้าทายจากการเปลี่ยนพรรคและสมการคู่แข่งที่ซับซ้อน

บทนำ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสกลนคร ปี 2569 ได้กลายเป็นสมรภูมิที่น่าจับตา หลังการประกาศความชัดเจนของผู้สมัครหลัก โดยเฉพาะ ดร.นิยม เวชกามา หรือ มหานิยม อดีต สส. พรรคเพื่อไทย ได้ตัดสินใจย้ายมาเป็นว่าที่ผู้สมัครของ พรรคพลังประชารัฐ (PPRP) การเปลี่ยนสังกัดนี้ได้เปลี่ยนสถานะของท่านจากผู้ท้าชิงที่พ่ายแพ้มาอย่างเฉียดฉิว (ในการเลือกตั้ง 2566) ให้กลายเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับศึกหนักถึงสามเส้า การวิเคราะห์นี้มุ่งเน้นไปที่การประเมินปัจจัยความท้าทายใหม่ๆ ที่ ดร.นิยม ต้องเผชิญภายใต้สีเสื้อพรรคพลังประชารัฐ และกลยุทธ์ที่จำเป็นในการเอาชนะแชมป์เก่าและผู้ท้าชิงคนใหม่ที่มีดีกรีสูง

1. ภูมิหลังและผลงาน: ต้นทุนส่วนตัวกับภาระของพรรคใหม่

ดร.นิยม ยังคงมีต้นทุนทางการเมืองส่วนตัวที่แข็งแกร่งจากประสบการณ์หลากหลาย ทั้งการเป็นครู นิติกร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็น นักข่าวอาวุโส (อดีตผู้สื่อข่าว ITV และนายกสมาคมนักข่าวสกลนคร) ซึ่งทำให้มีสายสัมพันธ์ในพื้นที่และทักษะการสื่อสารดีเยี่ยม ความท้าทายจากการเปลี่ยนพรรค:

  • การอธิบายฐานเสียงเดิม: ฐานเสียงเดิมของ ดร.นิยม ถูกสร้างขึ้นภายใต้แบรนด์ "พรรคเพื่อไทย" มาเป็นเวลานาน การย้ายมาสังกัด PPRP ซึ่งเป็นพรรคที่มีฐานเสียงเชิงอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในภาคอีสาน จะเป็นประเด็นที่ยากลำบากในการตอบคำถามและรักษาความภักดีของผู้สนับสนุนเก่า

  • การรวมฐานเสียง PPRP: แม้ว่า PPRP จะมีฐานเสียงของตัวเองในพื้นที่สกลนคร แต่ ดร.นิยม ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตนเองสามารถผนวกฐานเสียงส่วนตัวเข้ากับฐานเสียงของพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่ได้อย่างสมบูรณ์

2. ปณิธานทางศาสนา: การใช้ "มหานิยม" สร้างอัตลักษณ์ใหม่

ดร.นิยม ซึ่งจบปริญญาเอกด้านพุทธจิตวิทยา (มจร.) ยังคงชู ปณิธานการส่งเสริมและปกป้องพระพุทธศาสนา เป็นจุดขายหลักในการหาเสียง ภายใต้สีเสื้อของ PPRP จุดยืนนี้อาจถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ลงตัวในการ:

  1. ตอกย้ำภาพลักษณ์อนุรักษนิยม: ประเด็นศาสนาช่วยเสริมภาพลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐในการเป็นตัวแทนของกลุ่มอนุรักษนิยมและกลุ่มผู้สูงอายุที่ให้ความสำคัญกับจารีตประเพณี โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท

  2. สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: เป็นการสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัว (Personal Brand) ให้เป็น "มหานิยม" ที่แตกต่างจากผู้สมัครที่เน้นแต่ประเด็นทางเศรษฐกิจหรือการเมืองเชิงโครงสร้าง ซึ่งอาจดึงคะแนนจากผู้มีศรัทธาที่ต้องการผู้แทนที่พร้อมจะปกป้องสถาบันศาสนา

3. ศึกสามเส้า: การเผชิญหน้ากับแชมป์เก่าและแชมป์ 8 สมัย

สมรภูมิเขต 2 สกลนครปี 2569 ไม่ใช่การแข่งขันแบบตัวต่อตัวอีกต่อไป แต่เป็นศึกสามเส้าที่มีความซับซ้อนสูง:

ผู้สมัคร

สังกัดพรรค

สถานะ/ดีกรี

ความท้าทายของ ดร.นิยม

นายชาตรี หล้าพรหม

พรรคประชาธิปัตย์ (DP)

แชมป์เก่า (Incumbent) ชนะเลือกตั้งปี 2566 ด้วยคะแนนเฉียดฉิว

คู่แข่งคนเดิมที่มีฐานเสียงของตนเองและสามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางกระแสเพื่อไทยในปี 66

นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย

พรรคเพื่อไทย (PTP)

แชมป์ 8 สมัย อดีต สส.เขต 1 ที่ย้ายมาลงเขต 2

ผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่งที่สุด นายอภิชาติเป็นตัวแทนของ "แลนด์สไลด์" และความภักดีต่อพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน คะแนนจัดตั้งและฐานเสียงในนามพรรคเพื่อไทยเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อ ดร.นิยม

การวิเคราะห์ความได้เปรียบ/เสียเปรียบ:

  • ความได้เปรียบ: ดร.นิยม สามารถดึงคะแนนจากฐานเสียงส่วนตัวที่ยังคงภักดีอยู่ และใช้การสนับสนุนจากกลไกและฐานเสียงของ PPRP เข้ามาเสริมในพื้นที่ที่ PTP อาจไม่แข็งแกร่งเท่าเดิม

  • ความเสียเปรียบ: การปรากฏตัวของ นายอภิชาติ ในนาม PTP ทำให้การแบ่งคะแนนในฝั่งนิยมพรรคเพื่อไทย (ที่เคยเทให้กับ ดร.นิยม) แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดร.นิยม ต้องแข่งขันโดยอาศัยคะแนน "บ้านใหญ่" และคะแนนที่ไม่ผูกพันกับพรรค PTP และ DP เท่านั้น ซึ่งเป็นสัดส่วนที่แคบลงอย่างมาก

4. กลยุทธ์ดึงคะแนนจากคนรุ่นใหม่ภายใต้สีเสื้อ PPRP

การดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ (อายุ 18-35 ปี) ภายใต้สังกัดพรรคพลังประชารัฐถือเป็นโจทย์ที่ยากที่สุด เนื่องจากเป็นพรรคที่มักมีคะแนนนิยมต่ำในกลุ่มนี้ กลยุทธ์ที่ต้องพิจารณาคือ:

  1. การปรับนโยบายให้เป็นรูปธรรมและดิจิทัล: ต้องลดการชูประเด็นทางอุดมการณ์ที่ล่อแหลม และเน้นนโยบายที่จับต้องได้ เช่น การสร้างงานในท้องถิ่น (Local Entrepreneurship) การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการแก้ปัญหาหนี้สินของเยาวชน การสื่อสารต้องใช้แพลตฟอร์มที่คนรุ่นใหม่ใช้ (TikTok, X) เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจัดกลุ่มทางการเมือง

  2. การใช้ประเด็นสาธารณะ (Issue-Based Campaign): ใช้ประสบการณ์ในฐานะนักข่าวมาวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างของจังหวัดสกลนคร เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม การจัดการน้ำ การยกระดับการศึกษาในพื้นที่ห่างไกล โดยนำเสนอแนวทางแก้ไขที่เน้นหลักการและวิทยาศาสตร์ มากกว่าการเมืองแบบดั้งเดิม

  3. การสร้างความน่าเชื่อถือส่วนตัว (Personal Credibility): เน้นย้ำว่าการทำงานของตนเองมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของท้องถิ่น (Localism) โดยไม่ยึดติดกับอุดมการณ์ของพรรคจนเกินไป เพื่อดึงดูดคะแนนจากคนรุ่นใหม่ที่มักเลือก "ตัวบุคคล" ที่มีความสามารถมากกว่า "พรรคการเมือง"

สรุป

การลงชิงตำแหน่ง สส.สกลนคร เขต 2 ในปี 2569 ของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะว่าที่ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญภายใต้สมการการแข่งขันที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา การเผชิญหน้ากับ "แชมป์เก่า" อย่าง นายชาตรี และ "แชมป์ 8 สมัย" อย่าง นายอภิชาติ ทำให้โอกาสในการชนะพึ่งพาเพียงความภักดีต่อพรรคเป็นไปได้ยาก กลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดคือการ รักษาฐานเสียงเฉพาะตัว (ศาสนา/ท้องถิ่นนิยม) และการ สร้างความชอบธรรมใหม่ผ่านการสื่อสารนโยบายที่ทันสมัยและเป็นรูปธรรม เพื่อดึงคะแนนจากกลุ่มผู้ไม่ตัดสินใจและกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุด หาก ดร.นิยม สามารถนำเสนอตัวเองในฐานะผู้สมัครที่เน้นการทำงานเพื่อท้องถิ่นอย่างแท้จริง เหนือสีเสื้อของพรรค ก็จะมีโอกาสฝ่าศึกสามเส้านี้ไปได้

คำสำคัญ: ดร.นิยม เวชกามา, สกลนคร เขต 2, พรรคพลังประชารัฐ, การเลือกตั้ง 2569, นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย, กลยุทธ์สามเส้า

นิยม เวชกามา กับมิติการวิพากษ์และการวางยุทธศาสตร์ต่อสื่อมวลชนไทย

บทที่ 1: บทนำและกรอบแนวคิดเชิงวิเคราะห์

1.1 ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ของการศึกษา

รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ บทบาท และมุมมองของ ดร.นิยม เวชกามา ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนไทย โดยเฉพาะในบริบทของการเมืองและกิจการพระพุทธศาสนา ดร.นิยม เวชกามา (เกิด 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2494) เป็นนักการเมืองชาวไทยที่มีบทบาทโดดเด่นในฐานะอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดสกลนคร สังกัดพรรคเพื่อไทยหลายสมัย 1 และปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2 จุดที่ทำให้ท่านเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือการที่ท่านมีภูมิหลังทางการศึกษาที่ซับซ้อน โดยสำเร็จการศึกษาระดับสูงสุดคือ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (พุทธจิตวิทยา) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 4 ซึ่งฐานรากทางปัญญาดังกล่าวส่งผลอย่างยิ่งต่อกรอบความคิดในการวิพากษ์และปฏิสัมพันธ์กับสถาบันสื่อมวลชน

วัตถุประสงค์หลักของรายงานคือการแยกแยะและทำความเข้าใจความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างนักการเมืองที่มีพื้นฐานทางศาสนาและวิชาการผู้นี้ กับสื่อมวลชนไทย ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ครอบคลุมมิติของการเผชิญหน้าทางกฎหมาย การวิพากษ์เชิงจริยธรรมที่เข้มงวด และการยอมรับบทบาทของสื่อในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเชิงสถาบันในระบบบริหารราชการ

1.2 ขอบเขตและโครงสร้างของรายงาน

ขอบเขตของการศึกษานี้ครอบคลุมบทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองตั้งแต่เป็น ส.ส. พรรคฝ่ายค้าน ไปจนถึงบทบาทในฐานะอดีตกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 2 และผู้ช่วยรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกิจการพระพุทธศาสนา 3 ข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ประกอบด้วยการแถลงการณ์ทางการเมือง ข้อพิพาททางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อ การวิพากษ์วิจารณ์การนำเสนอข่าวสารในประเด็นทางศาสนา 6 และการดำเนินการเชิงบริหารที่เกี่ยวข้องกับการรวมบุคลากรสื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่ปรึกษาของรัฐ 3

โครงสร้างของรายงานจะแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็นสามมิติหลัก ได้แก่ (1) ภูมิหลังทางปัญญาและบทบาททางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับศาสนา (2) ปฏิสัมพันธ์เชิงประจักษ์กับสื่อมวลชน ทั้งในด้านข้อพิพาททางกฎหมายและการวางยุทธศาสตร์การบริหาร และ (3) การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ถึงมาตรฐานจริยธรรมสื่อที่ ดร.นิยม เสนอแนะ โดยมีการเชื่อมโยงกรอบคิดดังกล่าวเข้ากับหลักพุทธธรรม

1.3 กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์นักการเมือง-สื่อมวลชน

ในการทำความเข้าใจจุดยืนของ ดร.นิยม เวชกามา ต่อสื่อมวลชน การวิเคราะห์ไม่สามารถจำกัดอยู่เพียงแค่กรอบแนวคิดประชาธิปไตยเสรีนิยมแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงอิทธิพลของฐานรากทางปัญญาของท่านด้วย

  1. ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคมของสื่อ (Social Responsibility Theory): ทฤษฎีนี้เสนอว่าสื่อควรทำหน้าที่ไม่เพียงแค่รายงานความจริง (Watchdog) แต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม และควรส่งเสริมสวัสดิภาพของชุมชนและสถาบันหลัก ซึ่งเป็นจุดที่แนวคิดของ ดร.นิยม สอดคล้องกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อท่านเรียกร้องให้สื่อระมัดระวังในการนำเสนอข่าวที่อาจ "ทำลายพระพุทธศาสนา" 7

  2. พุทธธรรมและพุทธจิตวิทยาในการสื่อสารทางการเมือง: การที่ ดร.นิยม มีคุณวุฒิระดับปริญญาเอกด้านพุทธจิตวิทยา 4 ทำให้การวิพากษ์สื่อของท่านมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับหลักการทางศาสนา ท่านมักเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ "เคารพความคิดที่แตกต่าง" 8 และการละเว้นจากการสื่อสารที่มาจาก "กิเลส" หรือ "ความสะใจ" 7 การใช้กรอบคิดเชิงจริยธรรมที่มาจากภายในเช่นนี้ ถือเป็นการกำหนดมาตรฐานทางศีลธรรมที่สูงกว่าจรรยาบรรณวิชาชีพทั่วไป โดยมุ่งเน้นที่การควบคุมจิตใจของผู้สื่อสาร (ปราศจากอคติหรือ Aparadhammas) ก่อนที่จะเน้นผลลัพธ์ของการสื่อสาร. กรอบคิดนี้ทำให้รายงานสามารถนำเสนอข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมและศาสนาของสังคมไทยในการพัฒนาจริยธรรมการสื่อสาร

บทที่ 2: ภูมิหลังทางการเมืองและฐานรากทางปัญญา

2.1 ประวัติส่วนตัวและเส้นทางการเมือง

ดร.นิยม เวชกามา มีภูมิลำเนาที่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร 1 ท่านเริ่มต้นเส้นทางอาชีพทางการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดสกลนคร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 สังกัดพรรคพลังประชาชน 1 และดำรงตำแหน่ง ส.ส. อย่างต่อเนื่องในนามพรรคเพื่อไทยในปี พ.ศ. 2554 และ พ.ศ. 2562 1

ความต่อเนื่องทางการเมืองของท่านตอกย้ำถึงการเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือในพื้นที่จังหวัดสกลนคร (เขต 2) 9 ในส่วนของตำแหน่งในฝ่ายบริหาร ท่านได้รับความไว้วางใจให้เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2 ซึ่งตามคำสั่งมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลงานของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ) โดยเฉพาะการกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 3 บทบาทดังกล่าวทำให้ท่านมีอำนาจและหน้าที่โดยตรงในการจัดการกิจการที่เกี่ยวข้องกับศาสนาในระดับประเทศ

2.2 การศึกษาชั้นสูง: พุทธจิตวิทยาและอิทธิพลต่อมุมมองทางสังคม

ภูมิหลังทางการศึกษาของ ดร.นิยม แสดงให้เห็นถึงความสนใจในศาสตร์ที่หลากหลาย โดยมีพื้นฐานจากการเป็นครู (ครุศาสตรบัณฑิต) จากวิทยาลัยครูสกลนคร, นิติศาสตร์, รัฐศาสตร์ 4 แต่คุณวุฒิที่สำคัญที่สุดและมีอิทธิพลต่อกรอบความคิดของท่านคือ ปริญญาเอก พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาพุทธจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 4

การศึกษาในสาขาพุทธจิตวิทยาเป็นรากฐานทางปัญญาที่สำคัญที่สุดที่ใช้ในการวิเคราะห์และวิพากษ์ปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองของท่าน งานวิชาการที่เกี่ยวข้องของท่าน เช่น การศึกษาเรื่อง "รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนชาวสกลนครตามแนวพุทธจิตวิทยา" 10 สะท้อนให้เห็นว่า ดร.นิยม มุ่งเน้นการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม

การที่ท่านใช้กรอบคิดพุทธจิตวิทยาในการสื่อสารการเมืองทำให้มุมมองของท่านต่อสื่อไม่ได้เป็นไปตามหลักการของสื่อเสรีนิยมตะวันตกโดยสิ้นเชิง แต่เป็นกรอบคิดเชิงจริยธรรมที่เน้นการควบคุมจิตใจของผู้สื่อสาร (Inner Ethics) ให้พ้นจากกิเลสและอคติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านใช้ในการวิพากษ์สื่อเมื่อเกิดประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับศาสนา

2.3 บทบาทที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและวัฒนธรรม

ดร.นิยม มีบทบาทเชิงสถาบันที่แข็งแกร่งในการปกป้องและดูแลกิจการสงฆ์ในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมของสภาผู้แทนราษฎร 2 และมีส่วนร่วมในการพิจารณาร่างกฎหมายที่สำคัญ เช่น ร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา 2 ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) 3 บทบาทของท่านได้ขยายจากฝ่ายนิติบัญญัติไปสู่ฝ่ายบริหาร

ความเข้มข้นในบทบาทด้านศาสนาทำให้ ดร.นิยม มีความรับผิดชอบในการเป็น "ปากเสียง" ของสถาบันศาสนาในการเมือง 2 ดังนั้น เมื่อเกิดประเด็นเกี่ยวกับศาสนาและการรายงานของสื่อ การโต้ตอบของท่านจึงไม่ใช่แค่การตอบโต้ทางการเมืองปกติ แต่เป็นการออกมาปกป้องความศรัทธาสาธารณะและการธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพของสถาบันสงฆ์ การรับผิดชอบในระดับนี้เป็นเหตุผลที่การปฏิสัมพันธ์กับสื่อของท่านมุ่งเน้นไปที่จริยธรรมในการรายงานประเด็นทางศาสนาเป็นพิเศษ 6

ตารางที่ 1: บทบาทและผลงานสำคัญของ ดร.นิยม เวชกามา ที่เกี่ยวข้องกับจุดตัดระหว่างการเมือง ศาสนา และสื่อสารมวลชน

ช่วงเวลา/ตำแหน่งบทบาทหลักความเกี่ยวข้องกับสื่อ/การสื่อสารแหล่งข้อมูล
ส.ส. สกลนคร (2550 – ปัจจุบัน)ฝ่ายนิติบัญญัติ/การเมืองระดับชาติการอภิปรายชี้แจงประเด็นหุ้นสื่อและการใช้เวทีสภาตอบโต้ข้อกล่าวหา1
ดุษฎีบัณฑิต (พุทธจิตวิทยา)การศึกษา/วิจัยเชิงวิชาการเสนอรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเน้นการเคารพความคิดที่แตกต่าง4
ผู้ช่วยรัฐมนตรี (กำกับดูแล พศ.)ฝ่ายบริหาร/กำกับดูแลกิจการศาสนาแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาที่รวมผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อมวลชนและกฎหมาย3
กรรมาธิการศาสนาฯการตรวจสอบและส่งเสริมศาสนาการแถลงการณ์วิพากษ์สื่อที่รายงานประเด็นสงฆ์อย่างไม่รอบด้าน2

บทที่ 3: ปฏิสัมพันธ์เชิงประจักษ์: การวางยุทธศาสตร์กับสื่อมวลชน

ดร.นิยม แสดงให้เห็นถึงการยอมรับเชิงสถาบันต่อบทบาทของผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อมวลชน โดยการดึงบุคลากรเหล่านี้เข้าร่วมในกลไกราชการ ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ท่านได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 3

โครงสร้างของคณะที่ปรึกษานี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการรวมทีมผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา ได้แก่ "นักกฎหมาย - นักวิชาการ - สื่อมวลชน" 3 จุดประสงค์ของการแต่งตั้งนี้คือ "เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี" 3

การตัดสินใจรวมสื่อมวลชนเข้าในคณะที่ปรึกษา (Advisory Body) แสดงถึงยุทธศาสตร์ที่ยอมรับว่าสื่อมีบทบาทสำคัญในฐานะกลไกการสื่อสารที่ขาดไม่ได้ของรัฐ การทำงานด้านศาสนาและการบริหารราชการในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารสาธารณะที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจ 3 การยอมรับเชิงสถาบันนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ ดร.นิยม จะวิพากษ์จริยธรรมสื่ออย่างรุนแรงในบางกรณี แต่ในทางปฏิบัติ ท่านตระหนักดีว่าสื่อมวลชนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเชิงสถาบัน (Institutional Stakeholder) ที่ต้องมีการบริหารจัดการความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบ (Managing institutional media relations) เพื่อให้งานราชการประสบความสำเร็จ 3

บทที่ 4: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์: มุมมองของ ดร.นิยม ต่อบทบาทจริยธรรมของสื่อมวลชนไทย

มุมมองของ ดร.นิยม เวชกามา ต่อจริยธรรมของสื่อมวลชนไทยมีความชัดเจนและเข้มงวด โดยถูกหล่อหลอมด้วยฐานรากทางพุทธจิตวิทยาและบทบาทในการเป็นผู้พิทักษ์สถาบันศาสนา การวิพากษ์ของท่านมุ่งเน้นไปที่การขาดความรอบด้านและความเป็นธรรมในการรายงานข่าวที่ละเอียดอ่อน

4.1 การวิพากษ์การรายงานข่าวประเด็นทางศาสนา: การขาดความรอบด้านและความเป็นธรรม

กรณีศึกษาที่สำคัญที่ ดร.นิยม ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สื่ออย่างหนักคือกรณีปรากฏข่าวพระสงฆ์ถูกกล่าวหาว่าบุกป่าล่าสัตว์ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ 6 ท่านให้ความสนใจต่อข่าวนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ระดับสูง (ระดับเจ้าคุณ) ที่สำเร็จการศึกษาชั้นสูงทางธรรม (ป.ธ.9) ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก 6

การวิพากษ์ของท่านมีน้ำหนัก โดยชี้ให้เห็นว่าการรายงานข่าวออกมา "ด้านเดียว" และเนื้อหาข่าวและรูปภาพทั้งหมดมาจาก "จนท.อุทยาน" 6 ท่านเรียกร้องให้สื่อต้องให้ความเป็นธรรมและควร "ฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย" 6 การเรียกร้องนี้สะท้อนหลักการพื้นฐานของจริยธรรมสื่อในด้านความสมดุลและความเที่ยงธรรม (Fairness and Balance) แต่การที่ท่านระบุว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นพระระดับสูงนั้น แสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่สูงกว่าปกติในการตรวจสอบข้อเท็จจริง

นอกจากนี้ การวิพากษ์ของท่านยังก้าวไปไกลกว่าการเรียกร้องความสมดุลทางเทคนิค แต่ได้เข้าสู่มิติทางศีลธรรม โดยเตือนว่าสื่อต้อง "ไม่เอาการเมือง เข้ามาใส่ อย่าเอากิเลสของตนเองมาใส่" และต้อง "รอบคอบ" เพราะมิเช่นนั้นจะเป็นการ "ทำลายพระพุทธศาสนาเพียงเพราะความสะใจเท่านั้น" 7 คำกล่าวนี้บ่งชี้ถึงการเผชิญหน้าระหว่างการแสวงหาความจริงของสื่อ (Fact-finding) กับการธำรงไว้ซึ่งความศรัทธาของสาธารณชน

สำหรับ ดร.นิยม การรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถาบันศาสนาต้องมี "ใจเป็นธรรม" และปราศจากแรงจูงใจทางอารมณ์หรือการเมือง (Kiles) การที่ท่านเรียกร้องให้ศึกษาคำพิพากษาและกรณีในอดีต 7 แสดงให้เห็นว่าท่านต้องการให้สื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ (Guardian) สถาบันทางศาสนา ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่ผู้เฝ้าดู (Watchdog) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงกว่าการรายงานข่าวอาชญากรรมทั่วไป

4.2 การสังเคราะห์หน้าที่สื่อที่พึงประสงค์ตามหลักพุทธจิตวิทยา

มุมมองของ ดร.นิยม ต่อบทบาทของสื่อมวลชนไม่ได้เป็นเพียงการวิพากษ์ แต่เป็นการนำเสนอหลักการทางจริยธรรมเชิงบรรทัดฐาน (Normative Communication Ethics) ที่หยั่งรากลึกในพุทธธรรม

  1. หลักการความเคารพความคิดที่แตกต่าง: จากงานวิชาการของท่านที่เชื่อมโยงพุทธจิตวิทยากับการเมือง ได้มีการเน้นย้ำถึงรูปแบบการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยพื้นฐานควรมีการ "เคารพความคิดที่แตกต่าง" 8 ในบริบทของการสื่อสารมวลชน นี่หมายถึงการที่สื่อต้องนำเสนอข้อมูลอย่างเปิดกว้าง ยอมรับความหลากหลายของมุมมองทางการเมือง และหลีกเลี่ยงการนำเสนอที่มุ่งเน้นเพียงด้านเดียว

  2. ความเป็นกลางทางจิตวิทยาและการปราศจากอคติ: การที่ท่านเรียกร้องไม่ให้สื่อนำ "กิเลส" 7 เข้ามาใช้ในการตัดสินใจ สะท้อนถึงการเรียกให้สื่อปฏิบัติตามหลักธรรมในฐานะการละเว้นจากอคติ 4 (อคติอันเกิดจากความรัก ความชัง ความกลัว หรือความหลง) การนำเสนอข่าวจึงต้องอยู่บนฐานของความจริงและเหตุผล โดยปราศจากอคติส่วนตน หรือแรงจูงใจทางการเมืองที่ซ่อนเร้น

  3. หน้าที่ในการติดตามตรวจสอบที่นำไปสู่การตัดสินใจ: ดร.นิยม สนับสนุนบทบาทของสื่อในการติดตามตรวจสอบประเด็นทางการเมือง ท่านระบุว่าประชาชนควร "ติดตามข่าวสาร" และ "ใช้สิทธิเลือกตั้ง" 8 นี่แสดงให้เห็นว่าท่านเชื่อมั่นในศักยภาพของสื่อในการเป็นแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยให้ประชาชนสามารถนำข้อมูลมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจทางการเมืองได้ 8 ดังนั้น ท่านไม่ได้ต้องการให้สื่ออ่อนแอลง แต่ต้องการให้สื่อแข็งแกร่งและมีคุณภาพในฐานะแหล่งข้อมูลที่นำไปสู่การสร้างพลเมืองที่กระตือรือร้น

ตารางที่ 2: การวิพากษ์วิจารณ์ของ ดร.นิยม เวชกามา และมาตรฐานจริยธรรมสื่อที่เสนอแนะ

ประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ (ปัญหาในบทบาทสื่อ)หลักการที่เสนอแนะ (ตามแนวพุทธธรรม/จริยธรรม)นัยยะต่อการปฏิบัติหน้าที่สื่อแหล่งข้อมูล
การนำเสนอข่าวแบบไม่รอบด้าน/ด้านเดียวต้องให้ความเป็นธรรมและรับฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย (Dual-sided listening)หน้าที่สืบค้นข้อเท็จจริงต้องครอบคลุมทุกมุมมอง โดยเฉพาะผู้ถูกกล่าวหา6
การใช้ความสะใจ/อคติ (Kilesa) ทำลายศาสนาต้องรอบคอบ มีใจเป็นธรรม และไม่นำการเมืองหรือกิเลสส่วนตนเข้ามาใส่การแยกแยะแรงจูงใจส่วนตัวออกจากความรับผิดชอบทางสังคมและศาสนา7
การโจมตีทางการเมืองด้วยประเด็นทางกฎหมายที่ยุติแล้วต้องเคารพหลักฐานทางกฎหมายและข้อสรุปขององค์กรอิสระ (กกต.)การหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลเก่าเป็นเครื่องมือดิสเครดิต (Political Blackmail)11
การขาดความลึกซึ้งในการติดตามประเด็นการเมืองควรติดตามข่าวสารอย่างหลากหลายและใช้ข้อมูลเป็นแนวทางในการตัดสินใจทางการเมืองการส่งเสริมการรับรู้ข่าวสารที่มีคุณภาพเพื่อสร้างพลเมืองที่กระตือรือร้น8

บทที่ 5: สรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

5.1 สรุปภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา กับสื่อมวลชนไทย: มิติการวิพากษ์และการร่วมมือ

ความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา กับสื่อมวลชนไทยมีความซับซ้อนและมีลักษณะสองด้านที่ชัดเจน ในด้านหนึ่ง ท่านตกเป็นเหยื่อของการใช้กฎหมายสื่อเป็นเครื่องมือในการดิสเครดิตทางการเมือง 11 ซึ่งสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของกฎหมายไทยที่เปิดช่องให้มีการใช้ข้อกล่าวหาเรื่องการถือหุ้นสื่อเป็นประเด็นโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะมีการชี้แจงและสั่งยุติคดีไปแล้วก็ตาม 11

ในอีกด้านหนึ่ง ท่านได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบเชิงสถาบันต่อการกำกับดูแลกิจการทางศาสนา โดยเรียกร้องให้สื่อปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมที่เข้มงวดเมื่อรายงานประเด็นอ่อนไหวทางศาสนา 6 การวิพากษ์ของท่านมีรากฐานมาจากหลักพุทธจิตวิทยา ซึ่งเป็นการยกระดับการโต้ตอบจากระดับการเมืองทั่วไปไปสู่การเรียกร้องความรับผิดชอบทางศีลธรรม (Moral Accountability) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตือนไม่ให้ผู้สื่อสารนำ "กิเลส" หรือ "ความสะใจ" มาเป็นแรงจูงใจในการรายงาน 7

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เชิงสถาบันของท่านกับสื่อไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิพากษ์ เมื่อท่านเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี ท่านได้ใช้ยุทธศาสตร์ที่เน้นการปฏิบัติโดยการดึง "สื่อมวลชน" เข้ามาร่วมเป็นคณะที่ปรึกษา 3 การกระทำนี้เป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าสื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน และจำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การทำงานด้านพระพุทธศาสนาและการสื่อสารสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

5.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาจริยธรรมสื่อมวลชน

จากข้อสังเกตและข้อวิพากษ์ของ ดร.นิยม เวชกามา ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความคาดหวังเชิงจริยธรรมทางศาสนา สามารถเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อยกระดับมาตรฐานสื่อในประเด็นที่ละเอียดอ่อนได้ดังนี้:

  1. การยกระดับมาตรฐานความรอบคอบในการรายงานประเด็นศาสนา: ควรมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติ (Guidelines) เฉพาะสำหรับการรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถาบันศาสนาและสงฆ์อย่างเป็นทางการ เพื่อให้แน่ใจว่าการรายงานจะไม่เป็นไปในทิศทางเดียว 6 และควรมีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนศาสตร์หรือกฎหมายสงฆ์ก่อนการเผยแพร่ข่าวที่อาจส่งผลกระทบต่อความศรัทธาสาธารณะอย่างรุนแรง เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นธรรมตามที่ ดร.นิยม เรียกร้อง.7

  2. การจัดการแรงจูงใจในการสื่อสารผ่านการอบรมจริยธรรม: องค์กรสื่อควรเน้นการฝึกอบรมบุคลากรในด้านการตระหนักถึงอคติและความลำเอียง (Bias Awareness) โดยเฉพาะอคติทางจิตวิทยาที่เกิดจากความรู้สึกส่วนตัว (Kiles) การสร้างความเข้าใจในหลักการทางจริยธรรมที่หลีกเลี่ยงการสื่อสารที่เกิดจากความ "สะใจ" 7 หรือการเมืองส่วนตัว จะช่วยส่งเสริมความเป็นกลางทางจิตวิทยาในการทำงานของสื่อ

5.3 ข้อเสนอแนะสำหรับนักการเมืองในการสื่อสารสาธารณะและการจัดการข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับสื่อ

กรณีของ ดร.นิยม เป็นแบบอย่างสำหรับการจัดการข้อพิพาทเกี่ยวกับกฎหมายสื่อและการสร้างความชอบธรรมในการวิพากษ์ต่อสาธารณะ:

  1. การสร้างความโปร่งใสและใช้หลักฐานทางกฎหมาย: นักการเมืองควรเตรียมพร้อมในการใช้หลักฐานที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษรในการตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องหุ้นสื่อ 11 การชี้แจงสถานะของบริษัท (การยกเลิก/ไม่ดำเนินกิจการ) อย่างละเอียดและต่อเนื่องเป็นยุทธวิธีที่จำเป็นในการต่อสู้กับวาระทางการเมืองที่พยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ

  2. การใช้กรอบคิดเชิงจริยธรรมสูงในการวิพากษ์สื่อ: การนำหลักการทางปัญญา (เช่น พุทธจิตวิทยา) มาเป็นกรอบในการวิพากษ์สื่อ 7 ช่วยยกระดับการโต้ตอบให้พ้นจากการตอบโต้ทางการเมืองแบบธรรมดา และสร้างความชอบธรรมในการเรียกร้องให้สื่อยกระดับมาตรฐานทางศีลธรรมของตนเอง

ดร.นิยม เวชกามา เป็นตัวอย่างที่สำคัญของนักการเมืองที่พยายามนำเอาฐานรากทางปัญญา (พุทธธรรม) เข้ามาเป็นกรอบกำหนดจริยธรรมสื่อ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ท้าทายกรอบคิดประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมมาตรฐาน โดยเรียกร้องให้สื่อมวลชนไทยทำหน้าที่ด้วยความรอบคอบ มีใจเป็นธรรม และตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสถาบันหลักของชาติในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ดร.นิยม เวชกามา แจงเหตุผลลงสมัคร สส.สกลนคร เขต 2 ในนามพรรคโอกาสใหม่ ชูโอกาสดูแลศาสนา–ประชาชน ท่ามกลางสมรภูมิเลือกตั้ง 2569

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ดร.นิยม เวชกามา เปิดเผยถึงการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร เขต 2 ในนามพรรคโอกาสใ...