สื่อถึงแหล่งข้อมูลเหล่านี้ประกอบด้วยสองส่วนหลักที่เกี่ยวกับ ดร.นิยม เวชกามา โดยส่วนแรกคือการวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 2 สกลนคร ในปี 2569 ที่เน้นการประเมินความท้าทายจากการที่ท่านย้ายจากพรรคเพื่อไทยมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ในการเผชิญหน้ากับศึกสามเส้าที่ซับซ้อน ส่วนที่สองเป็นการศึกษาเชิงวิชาการที่ว่าด้วยมิติความสัมพันธ์ของ ดร.นิยม ต่อสื่อมวลชนไทย โดยใช้ภูมิหลังด้าน พุทธจิตวิทยา ของท่านเป็นกรอบในการวิพากษ์จริยธรรมสื่ออย่างเข้มงวด โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ข้อเขียนนี้ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของท่านในการเรียกร้องให้สื่อมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมและหลีกเลี่ยงอคติส่วนตัวในการรายงานข่าวสาร. บทวิเคราะห์นี้ยังระบุถึงกลยุทธ์ของท่านในการดึงผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อเข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรี เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการบริหารราชการ
วิเคราะห์ศึกสามเส้าของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร สส.สกลนคร เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ปี 2569
บทนำ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสกลนคร ปี 2569 ได้กลายเป็นสมรภูมิที่น่าจับตา หลังการประกาศความชัดเจนของผู้สมัครหลัก โดยเฉพาะ ดร.นิยม เวชกามา หรือ มหานิยม อดีต สส. พรรคเพื่อไทย ได้ตัดสินใจย้ายมาเป็นว่าที่ผู้สมัครของ พรรคพลังประชารัฐ (PPRP) การเปลี่ยนสังกัดนี้ได้เปลี่ยนสถานะของท่านจากผู้ท้าชิงที่พ่ายแพ้มาอย่างเฉียดฉิว (ในการเลือกตั้ง 2566) ให้กลายเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับศึกหนักถึงสามเส้า การวิเคราะห์นี้มุ่งเน้นไปที่การประเมินปัจจัยความท้าทายใหม่ๆ ที่ ดร.นิยม ต้องเผชิญภายใต้สีเสื้อพรรคพลังประชารัฐ และกลยุทธ์ที่จำเป็นในการเอาชนะแชมป์เก่าและผู้ท้าชิงคนใหม่ที่มีดีกรีสูง
1. ภูมิหลังและผลงาน: ต้นทุนส่วนตัวกับภาระของพรรคใหม่
ดร.นิยม ยังคงมีต้นทุนทางการเมืองส่วนตัวที่แข็งแกร่งจากประสบการณ์หลากหลาย ทั้งการเป็นครู นิติกร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็น นักข่าวอาวุโส (อดีตผู้สื่อข่าว ITV และนายกสมาคมนักข่าวสกลนคร) ซึ่งทำให้มีสายสัมพันธ์ในพื้นที่และทักษะการสื่อสารดีเยี่ยม ความท้าทายจากการเปลี่ยนพรรค:
การอธิบายฐานเสียงเดิม: ฐานเสียงเดิมของ ดร.นิยม ถูกสร้างขึ้นภายใต้แบรนด์ "พรรคเพื่อไทย" มาเป็นเวลานาน การย้ายมาสังกัด PPRP ซึ่งเป็นพรรคที่มีฐานเสียงเชิงอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในภาคอีสาน จะเป็นประเด็นที่ยากลำบากในการตอบคำถามและรักษาความภักดีของผู้สนับสนุนเก่า
การรวมฐานเสียง PPRP: แม้ว่า PPRP จะมีฐานเสียงของตัวเองในพื้นที่สกลนคร แต่ ดร.นิยม ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าตนเองสามารถผนวกฐานเสียงส่วนตัวเข้ากับฐานเสียงของพรรคพลังประชารัฐในพื้นที่ได้อย่างสมบูรณ์
2. ปณิธานทางศาสนา: การใช้ "มหานิยม" สร้างอัตลักษณ์ใหม่
ดร.นิยม ซึ่งจบปริญญาเอกด้านพุทธจิตวิทยา (มจร.) ยังคงชู ปณิธานการส่งเสริมและปกป้องพระพุทธศาสนา เป็นจุดขายหลักในการหาเสียง ภายใต้สีเสื้อของ PPRP จุดยืนนี้อาจถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ลงตัวในการ:
ตอกย้ำภาพลักษณ์อนุรักษนิยม: ประเด็นศาสนาช่วยเสริมภาพลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐในการเป็นตัวแทนของกลุ่มอนุรักษนิยมและกลุ่มผู้สูงอายุที่ให้ความสำคัญกับจารีตประเพณี โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง: เป็นการสร้างอัตลักษณ์ส่วนตัว (Personal Brand) ให้เป็น "มหานิยม" ที่แตกต่างจากผู้สมัครที่เน้นแต่ประเด็นทางเศรษฐกิจหรือการเมืองเชิงโครงสร้าง ซึ่งอาจดึงคะแนนจากผู้มีศรัทธาที่ต้องการผู้แทนที่พร้อมจะปกป้องสถาบันศาสนา
3. ศึกสามเส้า: การเผชิญหน้ากับแชมป์เก่าและแชมป์ 8 สมัย
สมรภูมิเขต 2 สกลนครปี 2569 ไม่ใช่การแข่งขันแบบตัวต่อตัวอีกต่อไป แต่เป็นศึกสามเส้าที่มีความซับซ้อนสูง:
ผู้สมัคร | สังกัดพรรค | สถานะ/ดีกรี | ความท้าทายของ ดร.นิยม |
|---|---|---|---|
นายชาตรี หล้าพรหม | พรรคประชาธิปัตย์ (DP) | แชมป์เก่า (Incumbent) ชนะเลือกตั้งปี 2566 ด้วยคะแนนเฉียดฉิว | คู่แข่งคนเดิมที่มีฐานเสียงของตนเองและสามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางกระแสเพื่อไทยในปี 66 |
นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย | พรรคเพื่อไทย (PTP) | แชมป์ 8 สมัย อดีต สส.เขต 1 ที่ย้ายมาลงเขต 2 | ผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่งที่สุด นายอภิชาติเป็นตัวแทนของ "แลนด์สไลด์" และความภักดีต่อพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน คะแนนจัดตั้งและฐานเสียงในนามพรรคเพื่อไทยเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อ ดร.นิยม |
การวิเคราะห์ความได้เปรียบ/เสียเปรียบ:
ความได้เปรียบ: ดร.นิยม สามารถดึงคะแนนจากฐานเสียงส่วนตัวที่ยังคงภักดีอยู่ และใช้การสนับสนุนจากกลไกและฐานเสียงของ PPRP เข้ามาเสริมในพื้นที่ที่ PTP อาจไม่แข็งแกร่งเท่าเดิม
ความเสียเปรียบ: การปรากฏตัวของ นายอภิชาติ ในนาม PTP ทำให้การแบ่งคะแนนในฝั่งนิยมพรรคเพื่อไทย (ที่เคยเทให้กับ ดร.นิยม) แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดร.นิยม ต้องแข่งขันโดยอาศัยคะแนน "บ้านใหญ่" และคะแนนที่ไม่ผูกพันกับพรรค PTP และ DP เท่านั้น ซึ่งเป็นสัดส่วนที่แคบลงอย่างมาก
4. กลยุทธ์ดึงคะแนนจากคนรุ่นใหม่ภายใต้สีเสื้อ PPRP
การดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ (อายุ 18-35 ปี) ภายใต้สังกัดพรรคพลังประชารัฐถือเป็นโจทย์ที่ยากที่สุด เนื่องจากเป็นพรรคที่มักมีคะแนนนิยมต่ำในกลุ่มนี้ กลยุทธ์ที่ต้องพิจารณาคือ:
การปรับนโยบายให้เป็นรูปธรรมและดิจิทัล: ต้องลดการชูประเด็นทางอุดมการณ์ที่ล่อแหลม และเน้นนโยบายที่จับต้องได้ เช่น การสร้างงานในท้องถิ่น (Local Entrepreneurship) การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการแก้ปัญหาหนี้สินของเยาวชน การสื่อสารต้องใช้แพลตฟอร์มที่คนรุ่นใหม่ใช้ (TikTok, X) เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจัดกลุ่มทางการเมือง
การใช้ประเด็นสาธารณะ (Issue-Based Campaign): ใช้ประสบการณ์ในฐานะนักข่าวมาวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างของจังหวัดสกลนคร เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม การจัดการน้ำ การยกระดับการศึกษาในพื้นที่ห่างไกล โดยนำเสนอแนวทางแก้ไขที่เน้นหลักการและวิทยาศาสตร์ มากกว่าการเมืองแบบดั้งเดิม
การสร้างความน่าเชื่อถือส่วนตัว (Personal Credibility): เน้นย้ำว่าการทำงานของตนเองมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของท้องถิ่น (Localism) โดยไม่ยึดติดกับอุดมการณ์ของพรรคจนเกินไป เพื่อดึงดูดคะแนนจากคนรุ่นใหม่ที่มักเลือก "ตัวบุคคล" ที่มีความสามารถมากกว่า "พรรคการเมือง"
สรุป
การลงชิงตำแหน่ง สส.สกลนคร เขต 2 ในปี 2569 ของ ดร.นิยม เวชกามา ในฐานะว่าที่ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ เป็นการเดิมพันครั้งสำคัญภายใต้สมการการแข่งขันที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา การเผชิญหน้ากับ "แชมป์เก่า" อย่าง นายชาตรี และ "แชมป์ 8 สมัย" อย่าง นายอภิชาติ ทำให้โอกาสในการชนะพึ่งพาเพียงความภักดีต่อพรรคเป็นไปได้ยาก กลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดคือการ รักษาฐานเสียงเฉพาะตัว (ศาสนา/ท้องถิ่นนิยม) และการ สร้างความชอบธรรมใหม่ผ่านการสื่อสารนโยบายที่ทันสมัยและเป็นรูปธรรม เพื่อดึงคะแนนจากกลุ่มผู้ไม่ตัดสินใจและกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ได้มากที่สุด หาก ดร.นิยม สามารถนำเสนอตัวเองในฐานะผู้สมัครที่เน้นการทำงานเพื่อท้องถิ่นอย่างแท้จริง เหนือสีเสื้อของพรรค ก็จะมีโอกาสฝ่าศึกสามเส้านี้ไปได้
คำสำคัญ: ดร.นิยม เวชกามา, สกลนคร เขต 2, พรรคพลังประชารัฐ, การเลือกตั้ง 2569, นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย, กลยุทธ์สามเส้า
นิยม เวชกามา กับมิติการวิพากษ์และการวางยุทธศาสตร์ต่อสื่อมวลชนไทย
บทที่ 1: บทนำและกรอบแนวคิดเชิงวิเคราะห์
1.1 ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ของการศึกษา
รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ บทบาท และมุมมองของ ดร.นิยม เวชกามา ที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนไทย โดยเฉพาะในบริบทของการเมืองและกิจการพระพุทธศาสนา ดร.นิยม เวชกามา (เกิด 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2494) เป็นนักการเมืองชาวไทยที่มีบทบาทโดดเด่นในฐานะอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดสกลนคร สังกัดพรรคเพื่อไทยหลายสมัย
วัตถุประสงค์หลักของรายงานคือการแยกแยะและทำความเข้าใจความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างนักการเมืองที่มีพื้นฐานทางศาสนาและวิชาการผู้นี้ กับสื่อมวลชนไทย ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ครอบคลุมมิติของการเผชิญหน้าทางกฎหมาย การวิพากษ์เชิงจริยธรรมที่เข้มงวด และการยอมรับบทบาทของสื่อในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเชิงสถาบันในระบบบริหารราชการ
1.2 ขอบเขตและโครงสร้างของรายงาน
ขอบเขตของการศึกษานี้ครอบคลุมบทบาทของ ดร.นิยม เวชกามา ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองตั้งแต่เป็น ส.ส. พรรคฝ่ายค้าน ไปจนถึงบทบาทในฐานะอดีตกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
โครงสร้างของรายงานจะแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็นสามมิติหลัก ได้แก่ (1) ภูมิหลังทางปัญญาและบทบาททางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับศาสนา (2) ปฏิสัมพันธ์เชิงประจักษ์กับสื่อมวลชน ทั้งในด้านข้อพิพาททางกฎหมายและการวางยุทธศาสตร์การบริหาร และ (3) การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ถึงมาตรฐานจริยธรรมสื่อที่ ดร.นิยม เสนอแนะ โดยมีการเชื่อมโยงกรอบคิดดังกล่าวเข้ากับหลักพุทธธรรม
1.3 กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์นักการเมือง-สื่อมวลชน
ในการทำความเข้าใจจุดยืนของ ดร.นิยม เวชกามา ต่อสื่อมวลชน การวิเคราะห์ไม่สามารถจำกัดอยู่เพียงแค่กรอบแนวคิดประชาธิปไตยเสรีนิยมแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงอิทธิพลของฐานรากทางปัญญาของท่านด้วย
ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคมของสื่อ (Social Responsibility Theory): ทฤษฎีนี้เสนอว่าสื่อควรทำหน้าที่ไม่เพียงแค่รายงานความจริง (Watchdog) แต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม และควรส่งเสริมสวัสดิภาพของชุมชนและสถาบันหลัก ซึ่งเป็นจุดที่แนวคิดของ ดร.นิยม สอดคล้องกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อท่านเรียกร้องให้สื่อระมัดระวังในการนำเสนอข่าวที่อาจ "ทำลายพระพุทธศาสนา"
7 พุทธธรรมและพุทธจิตวิทยาในการสื่อสารทางการเมือง: การที่ ดร.นิยม มีคุณวุฒิระดับปริญญาเอกด้านพุทธจิตวิทยา
4 ทำให้การวิพากษ์สื่อของท่านมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับหลักการทางศาสนา ท่านมักเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ "เคารพความคิดที่แตกต่าง"8 และการละเว้นจากการสื่อสารที่มาจาก "กิเลส" หรือ "ความสะใจ"7 การใช้กรอบคิดเชิงจริยธรรมที่มาจากภายในเช่นนี้ ถือเป็นการกำหนดมาตรฐานทางศีลธรรมที่สูงกว่าจรรยาบรรณวิชาชีพทั่วไป โดยมุ่งเน้นที่การควบคุมจิตใจของผู้สื่อสาร (ปราศจากอคติหรือ Aparadhammas) ก่อนที่จะเน้นผลลัพธ์ของการสื่อสาร. กรอบคิดนี้ทำให้รายงานสามารถนำเสนอข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมและศาสนาของสังคมไทยในการพัฒนาจริยธรรมการสื่อสาร
บทที่ 2: ภูมิหลังทางการเมืองและฐานรากทางปัญญา
2.1 ประวัติส่วนตัวและเส้นทางการเมือง
ดร.นิยม เวชกามา มีภูมิลำเนาที่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
ความต่อเนื่องทางการเมืองของท่านตอกย้ำถึงการเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือในพื้นที่จังหวัดสกลนคร (เขต 2)
2.2 การศึกษาชั้นสูง: พุทธจิตวิทยาและอิทธิพลต่อมุมมองทางสังคม
ภูมิหลังทางการศึกษาของ ดร.นิยม แสดงให้เห็นถึงความสนใจในศาสตร์ที่หลากหลาย โดยมีพื้นฐานจากการเป็นครู (ครุศาสตรบัณฑิต) จากวิทยาลัยครูสกลนคร, นิติศาสตร์, รัฐศาสตร์
การศึกษาในสาขาพุทธจิตวิทยาเป็นรากฐานทางปัญญาที่สำคัญที่สุดที่ใช้ในการวิเคราะห์และวิพากษ์ปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองของท่าน งานวิชาการที่เกี่ยวข้องของท่าน เช่น การศึกษาเรื่อง "รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนชาวสกลนครตามแนวพุทธจิตวิทยา"
การที่ท่านใช้กรอบคิดพุทธจิตวิทยาในการสื่อสารการเมืองทำให้มุมมองของท่านต่อสื่อไม่ได้เป็นไปตามหลักการของสื่อเสรีนิยมตะวันตกโดยสิ้นเชิง แต่เป็นกรอบคิดเชิงจริยธรรมที่เน้นการควบคุมจิตใจของผู้สื่อสาร (Inner Ethics) ให้พ้นจากกิเลสและอคติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านใช้ในการวิพากษ์สื่อเมื่อเกิดประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับศาสนา
2.3 บทบาทที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและวัฒนธรรม
ดร.นิยม มีบทบาทเชิงสถาบันที่แข็งแกร่งในการปกป้องและดูแลกิจการสงฆ์ในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมของสภาผู้แทนราษฎร
ความเข้มข้นในบทบาทด้านศาสนาทำให้ ดร.นิยม มีความรับผิดชอบในการเป็น "ปากเสียง" ของสถาบันศาสนาในการเมือง
ตารางที่ 1: บทบาทและผลงานสำคัญของ ดร.นิยม เวชกามา ที่เกี่ยวข้องกับจุดตัดระหว่างการเมือง ศาสนา และสื่อสารมวลชน
| ช่วงเวลา/ตำแหน่ง | บทบาทหลัก | ความเกี่ยวข้องกับสื่อ/การสื่อสาร | แหล่งข้อมูล |
| ส.ส. สกลนคร (2550 – ปัจจุบัน) | ฝ่ายนิติบัญญัติ/การเมืองระดับชาติ | การอภิปรายชี้แจงประเด็นหุ้นสื่อและการใช้เวทีสภาตอบโต้ข้อกล่าวหา | |
| ดุษฎีบัณฑิต (พุทธจิตวิทยา) | การศึกษา/วิจัยเชิงวิชาการ | เสนอรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเน้นการเคารพความคิดที่แตกต่าง | |
| ผู้ช่วยรัฐมนตรี (กำกับดูแล พศ.) | ฝ่ายบริหาร/กำกับดูแลกิจการศาสนา | แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาที่รวมผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อมวลชนและกฎหมาย | |
| กรรมาธิการศาสนาฯ | การตรวจสอบและส่งเสริมศาสนา | การแถลงการณ์วิพากษ์สื่อที่รายงานประเด็นสงฆ์อย่างไม่รอบด้าน |
บทที่ 3: ปฏิสัมพันธ์เชิงประจักษ์: การวางยุทธศาสตร์กับสื่อมวลชน
ดร.นิยม แสดงให้เห็นถึงการยอมรับเชิงสถาบันต่อบทบาทของผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อมวลชน โดยการดึงบุคลากรเหล่านี้เข้าร่วมในกลไกราชการ ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ท่านได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
โครงสร้างของคณะที่ปรึกษานี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการรวมทีมผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา ได้แก่ "นักกฎหมาย - นักวิชาการ - สื่อมวลชน"
การตัดสินใจรวมสื่อมวลชนเข้าในคณะที่ปรึกษา (Advisory Body) แสดงถึงยุทธศาสตร์ที่ยอมรับว่าสื่อมีบทบาทสำคัญในฐานะกลไกการสื่อสารที่ขาดไม่ได้ของรัฐ การทำงานด้านศาสนาและการบริหารราชการในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารสาธารณะที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจ
บทที่ 4: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์: มุมมองของ ดร.นิยม ต่อบทบาทจริยธรรมของสื่อมวลชนไทย
มุมมองของ ดร.นิยม เวชกามา ต่อจริยธรรมของสื่อมวลชนไทยมีความชัดเจนและเข้มงวด โดยถูกหล่อหลอมด้วยฐานรากทางพุทธจิตวิทยาและบทบาทในการเป็นผู้พิทักษ์สถาบันศาสนา การวิพากษ์ของท่านมุ่งเน้นไปที่การขาดความรอบด้านและความเป็นธรรมในการรายงานข่าวที่ละเอียดอ่อน
4.1 การวิพากษ์การรายงานข่าวประเด็นทางศาสนา: การขาดความรอบด้านและความเป็นธรรม
กรณีศึกษาที่สำคัญที่ ดร.นิยม ออกมาวิพากษ์วิจารณ์สื่ออย่างหนักคือกรณีปรากฏข่าวพระสงฆ์ถูกกล่าวหาว่าบุกป่าล่าสัตว์ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ
การวิพากษ์ของท่านมีน้ำหนัก โดยชี้ให้เห็นว่าการรายงานข่าวออกมา "ด้านเดียว" และเนื้อหาข่าวและรูปภาพทั้งหมดมาจาก "จนท.อุทยาน"
นอกจากนี้ การวิพากษ์ของท่านยังก้าวไปไกลกว่าการเรียกร้องความสมดุลทางเทคนิค แต่ได้เข้าสู่มิติทางศีลธรรม โดยเตือนว่าสื่อต้อง "ไม่เอาการเมือง เข้ามาใส่ อย่าเอากิเลสของตนเองมาใส่" และต้อง "รอบคอบ" เพราะมิเช่นนั้นจะเป็นการ "ทำลายพระพุทธศาสนาเพียงเพราะความสะใจเท่านั้น"
สำหรับ ดร.นิยม การรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถาบันศาสนาต้องมี "ใจเป็นธรรม" และปราศจากแรงจูงใจทางอารมณ์หรือการเมือง (Kiles) การที่ท่านเรียกร้องให้ศึกษาคำพิพากษาและกรณีในอดีต
4.2 การสังเคราะห์หน้าที่สื่อที่พึงประสงค์ตามหลักพุทธจิตวิทยา
มุมมองของ ดร.นิยม ต่อบทบาทของสื่อมวลชนไม่ได้เป็นเพียงการวิพากษ์ แต่เป็นการนำเสนอหลักการทางจริยธรรมเชิงบรรทัดฐาน (Normative Communication Ethics) ที่หยั่งรากลึกในพุทธธรรม
หลักการความเคารพความคิดที่แตกต่าง: จากงานวิชาการของท่านที่เชื่อมโยงพุทธจิตวิทยากับการเมือง ได้มีการเน้นย้ำถึงรูปแบบการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยพื้นฐานควรมีการ "เคารพความคิดที่แตกต่าง"
8 ในบริบทของการสื่อสารมวลชน นี่หมายถึงการที่สื่อต้องนำเสนอข้อมูลอย่างเปิดกว้าง ยอมรับความหลากหลายของมุมมองทางการเมือง และหลีกเลี่ยงการนำเสนอที่มุ่งเน้นเพียงด้านเดียวความเป็นกลางทางจิตวิทยาและการปราศจากอคติ: การที่ท่านเรียกร้องไม่ให้สื่อนำ "กิเลส"
7 เข้ามาใช้ในการตัดสินใจ สะท้อนถึงการเรียกให้สื่อปฏิบัติตามหลักธรรมในฐานะการละเว้นจากอคติ 4 (อคติอันเกิดจากความรัก ความชัง ความกลัว หรือความหลง) การนำเสนอข่าวจึงต้องอยู่บนฐานของความจริงและเหตุผล โดยปราศจากอคติส่วนตน หรือแรงจูงใจทางการเมืองที่ซ่อนเร้นหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบที่นำไปสู่การตัดสินใจ: ดร.นิยม สนับสนุนบทบาทของสื่อในการติดตามตรวจสอบประเด็นทางการเมือง ท่านระบุว่าประชาชนควร "ติดตามข่าวสาร" และ "ใช้สิทธิเลือกตั้ง"
8 นี่แสดงให้เห็นว่าท่านเชื่อมั่นในศักยภาพของสื่อในการเป็นแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยให้ประชาชนสามารถนำข้อมูลมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจทางการเมืองได้8 ดังนั้น ท่านไม่ได้ต้องการให้สื่ออ่อนแอลง แต่ต้องการให้สื่อแข็งแกร่งและมีคุณภาพในฐานะแหล่งข้อมูลที่นำไปสู่การสร้างพลเมืองที่กระตือรือร้น
ตารางที่ 2: การวิพากษ์วิจารณ์ของ ดร.นิยม เวชกามา และมาตรฐานจริยธรรมสื่อที่เสนอแนะ
| ประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ (ปัญหาในบทบาทสื่อ) | หลักการที่เสนอแนะ (ตามแนวพุทธธรรม/จริยธรรม) | นัยยะต่อการปฏิบัติหน้าที่สื่อ | แหล่งข้อมูล |
| การนำเสนอข่าวแบบไม่รอบด้าน/ด้านเดียว | ต้องให้ความเป็นธรรมและรับฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย (Dual-sided listening) | หน้าที่สืบค้นข้อเท็จจริงต้องครอบคลุมทุกมุมมอง โดยเฉพาะผู้ถูกกล่าวหา | |
| การใช้ความสะใจ/อคติ (Kilesa) ทำลายศาสนา | ต้องรอบคอบ มีใจเป็นธรรม และไม่นำการเมืองหรือกิเลสส่วนตนเข้ามาใส่ | การแยกแยะแรงจูงใจส่วนตัวออกจากความรับผิดชอบทางสังคมและศาสนา | |
| การโจมตีทางการเมืองด้วยประเด็นทางกฎหมายที่ยุติแล้ว | ต้องเคารพหลักฐานทางกฎหมายและข้อสรุปขององค์กรอิสระ (กกต.) | การหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลเก่าเป็นเครื่องมือดิสเครดิต (Political Blackmail) | |
| การขาดความลึกซึ้งในการติดตามประเด็นการเมือง | ควรติดตามข่าวสารอย่างหลากหลายและใช้ข้อมูลเป็นแนวทางในการตัดสินใจทางการเมือง | การส่งเสริมการรับรู้ข่าวสารที่มีคุณภาพเพื่อสร้างพลเมืองที่กระตือรือร้น |
บทที่ 5: สรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
5.1 สรุปภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา กับสื่อมวลชนไทย: มิติการวิพากษ์และการร่วมมือ
ความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.นิยม เวชกามา กับสื่อมวลชนไทยมีความซับซ้อนและมีลักษณะสองด้านที่ชัดเจน ในด้านหนึ่ง ท่านตกเป็นเหยื่อของการใช้กฎหมายสื่อเป็นเครื่องมือในการดิสเครดิตทางการเมือง
ในอีกด้านหนึ่ง ท่านได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบเชิงสถาบันต่อการกำกับดูแลกิจการทางศาสนา โดยเรียกร้องให้สื่อปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมที่เข้มงวดเมื่อรายงานประเด็นอ่อนไหวทางศาสนา
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เชิงสถาบันของท่านกับสื่อไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิพากษ์ เมื่อท่านเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี ท่านได้ใช้ยุทธศาสตร์ที่เน้นการปฏิบัติโดยการดึง "สื่อมวลชน" เข้ามาร่วมเป็นคณะที่ปรึกษา
5.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการพัฒนาจริยธรรมสื่อมวลชน
จากข้อสังเกตและข้อวิพากษ์ของ ดร.นิยม เวชกามา ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความคาดหวังเชิงจริยธรรมทางศาสนา สามารถเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อยกระดับมาตรฐานสื่อในประเด็นที่ละเอียดอ่อนได้ดังนี้:
การยกระดับมาตรฐานความรอบคอบในการรายงานประเด็นศาสนา: ควรมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติ (Guidelines) เฉพาะสำหรับการรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับสถาบันศาสนาและสงฆ์อย่างเป็นทางการ เพื่อให้แน่ใจว่าการรายงานจะไม่เป็นไปในทิศทางเดียว
6 และควรมีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนศาสตร์หรือกฎหมายสงฆ์ก่อนการเผยแพร่ข่าวที่อาจส่งผลกระทบต่อความศรัทธาสาธารณะอย่างรุนแรง เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นธรรมตามที่ ดร.นิยม เรียกร้อง.7 การจัดการแรงจูงใจในการสื่อสารผ่านการอบรมจริยธรรม: องค์กรสื่อควรเน้นการฝึกอบรมบุคลากรในด้านการตระหนักถึงอคติและความลำเอียง (Bias Awareness) โดยเฉพาะอคติทางจิตวิทยาที่เกิดจากความรู้สึกส่วนตัว (Kiles) การสร้างความเข้าใจในหลักการทางจริยธรรมที่หลีกเลี่ยงการสื่อสารที่เกิดจากความ "สะใจ"
7 หรือการเมืองส่วนตัว จะช่วยส่งเสริมความเป็นกลางทางจิตวิทยาในการทำงานของสื่อ
5.3 ข้อเสนอแนะสำหรับนักการเมืองในการสื่อสารสาธารณะและการจัดการข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับสื่อ
กรณีของ ดร.นิยม เป็นแบบอย่างสำหรับการจัดการข้อพิพาทเกี่ยวกับกฎหมายสื่อและการสร้างความชอบธรรมในการวิพากษ์ต่อสาธารณะ:
การสร้างความโปร่งใสและใช้หลักฐานทางกฎหมาย: นักการเมืองควรเตรียมพร้อมในการใช้หลักฐานที่ชัดเจนและเป็นลายลักษณ์อักษรในการตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องหุ้นสื่อ
11 การชี้แจงสถานะของบริษัท (การยกเลิก/ไม่ดำเนินกิจการ) อย่างละเอียดและต่อเนื่องเป็นยุทธวิธีที่จำเป็นในการต่อสู้กับวาระทางการเมืองที่พยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือการใช้กรอบคิดเชิงจริยธรรมสูงในการวิพากษ์สื่อ: การนำหลักการทางปัญญา (เช่น พุทธจิตวิทยา) มาเป็นกรอบในการวิพากษ์สื่อ
7 ช่วยยกระดับการโต้ตอบให้พ้นจากการตอบโต้ทางการเมืองแบบธรรมดา และสร้างความชอบธรรมในการเรียกร้องให้สื่อยกระดับมาตรฐานทางศีลธรรมของตนเอง
ดร.นิยม เวชกามา เป็นตัวอย่างที่สำคัญของนักการเมืองที่พยายามนำเอาฐานรากทางปัญญา (พุทธธรรม) เข้ามาเป็นกรอบกำหนดจริยธรรมสื่อ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ท้าทายกรอบคิดประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมมาตรฐาน โดยเรียกร้องให้สื่อมวลชนไทยทำหน้าที่ด้วยความรอบคอบ มีใจเป็นธรรม และตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสถาบันหลักของชาติในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น.


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น