วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568

วิกฤตน้ำท่วมไทย: พิมพ์เขียวสู่ความพร้อมรับมือจากญี่ปุ่น


วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูประบบป้องกันน้ำท่วมของประเทศไทยผ่านการบูรณาการโมเดลต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่น

เสนอต่อ: คณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย

อ้างถึง: วาระการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2568 และข้อสังเกตเชิงนโยบายของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ



1. บทนำ: วิกฤตการณ์อุทกภัย 2568 และความจำเป็นในการปฏิรูปกระบวนทัศน์

สถานการณ์มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดสงขลาและพื้นที่เศรษฐกิจหลักอำเภอหาดใหญ่ในช่วงปลายปี 2568 มิได้เป็นเพียงภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือนบททดสอบที่รุนแรงที่สุดต่อโครงสร้างการบริหารจัดการสาธารณภัยของรัฐบาลไทยในรอบทศวรรษ เหตุการณ์นี้ได้เปิดเผยให้เห็นรอยร้าวในระบบสั่งการและความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในระบบราชการไทย แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายและหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงจำนวนมาก แต่เมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์จริง กลไกเหล่านั้นกลับไม่สามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่อข้อริเริ่มในการประชุม "คณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย ครั้งที่ 1/2568" เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานในช่วงต้นและได้วางกรอบแนวคิดสำคัญไว้ว่า ประเทศไทยจำเป็นต้อง "ถอดบทเรียนจากประเทศญี่ปุ่น" 1 รายงานฉบับนี้จึงมุ่งเน้นการวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงลึกระหว่างระบบของไทยและญี่ปุ่น ทั้งในมิติกฎหมาย วิศวกรรม และสังคมวิทยา เพื่อนำเสนอแนวทางการบูรณาการที่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง

1.1 ภาพรวมความสูญเสียและพลวัตของภัยพิบัติสงขลา 2568

มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม 2568 มีสาเหตุหลักจากร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคใต้ตอนล่างประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่มีกำลังแรง ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักสะสมในปริมาณที่เกินขีดความสามารถของระบบระบายน้ำที่มีอยู่ 3 ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) ระบุถึงความเสียหายในวงกว้าง ครอบคลุมพื้นที่ 16 อำเภอ 127 ตำบล และ 997 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 1.4 ล้านคน หรือคิดเป็นกว่า 226,000 ครัวเรือน 3

ตัวเลขสถิติที่น่าตระหนกที่สุดคือจำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงถึง 142 ราย และผู้บาดเจ็บจำนวนมาก 3 ซึ่งถือเป็นตัวเลขความสูญเสียที่สูงผิดปกติสำหรับภัยพิบัติประเภทอุทกภัยในยุคสมัยใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) และกระบวนการอพยพประชาชน (Evacuation Protocol) นอกจากนี้ ความเสียหายทางเศรษฐกิจยังถูกประเมินไว้สูงถึง 1.18 ถึง 2.36 หมื่นล้านบาท 5 โดยพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างหาดใหญ่ต้องหยุดชะงัก ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั้งไฟฟ้าและประปาได้รับความเสียหายจนไม่สามารถให้บริการได้ในหลายพื้นที่

1.2 ข้อสังเกตเชิงนโยบาย: กฎหมายสมบูรณ์แต่ปฏิบัติล้มเหลว

ในการประชุมคณะกรรมการฯ นัดแรก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้กล่าวถ้อยแถลงที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของปัญหาการจัดการภัยพิบัติของไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า "ประเทศไทยมีกฎหมายดีๆ มีกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉิน กฎหมายป้องกันภัยพลเรือน กฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กฎหมายทรัพยากรน้ำมีหมด มีหน่วยงานเต็มไปหมด แต่เวลาเกิดภัยพิบัติฉับพลันทันด่วนอย่างนี้โครงสร้างอำนาจและการวินิจฉัยสั่งการมันไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น" 1

ข้อสังเกตนี้ชี้ให้เห็นถึงสภาวะ "Law Rich, Implementation Poor" ของประเทศไทย ที่แม้จะมีเครื่องมือทางกฎหมายครบครัน แต่ขาดกลไกการขับเคลื่อน (Execution Mechanism) ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนายบวรศักดิ์ยกเป็นกรณีตัวอย่างว่า "เขาเกิดภัยพิบัติมากแต่ความเสียหายน้อย เพราะเขามีการฝึกซ้อม" 1 การฝึกซ้อมในที่นี้มิได้หมายถึงเพียงการซ้อมหนีภัย แต่หมายถึงการซ้อมกระบวนการตัดสินใจ (Decision-making Drill) ของผู้มีอำนาจด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบราชการไทยยังขาดแคลน


2. การวิเคราะห์เชิงโครงสร้าง: ความล้มเหลวของ "Single Command" ในบริบทไทย

หัวใจสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นในปี 2568 ไม่ใช่เรื่องของภัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ "ภัยจากการจัดการ" (Man-made Management Disaster) ที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง โดยเฉพาะความสับสนในสายการบังคับบัญชา

2.1 ภาพลวงตาของเอกภาพการบังคับบัญชา (The Illusion of Single Command)

ตามหลักการของพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 โครงสร้างการจัดการภัยพิบัติถูกออกแบบมาให้มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจ (Centralized) หรือ Single Command โดยมีผู้อำนวยการกลาง (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) หรือนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการสูงสุดในกรณีภัยร้ายแรงระดับ 4 6 อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติเมื่อเกิดวิกฤตจริง รัฐบาลกลับขาดความเชื่อมั่นในกลไกปกติของ พ.ร.บ. นี้ และเลือกที่จะประกาศใช้ "พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน" (Emergency Decree) ควบคู่กันไป 7

การประกาศใช้กฎหมายซ้อนทับกัน (Legal Overlap) นำไปสู่ความสับสนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ดังปรากฏในเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ 2568 ที่มีความขัดแย้งในการสั่งการระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายความมั่นคง

  • กรณีศึกษาความขัดแย้ง: มีรายงานความไม่ลงรอยกันระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) กับผู้บัญชาการทหารที่ได้รับมอบอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในประเด็นการจัดสรรทรัพยากรและการกำหนดโซนความช่วยเหลือ 7

  • ผลกระทบ: แทนที่จะเกิดเอกภาพ กลับเกิดสภาวะ "Multiple Commands" หรือการมีผู้สั่งการหลายคน ทำให้การระดมสรรพกำลังล่าช้าและขาดทิศทาง (Directionless) ประชาชนและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเกิดความสับสนว่าต้องฟังคำสั่งจากใคร ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด แม่ทัพภาค หรือรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ 8

2.2 ช่องว่างของระบบเตือนภัยและการสื่อสาร

นักวิชาการด้านวิศวกรรมแหล่งน้ำตั้งข้อสังเกตว่า ความล้มเหลวที่หาดใหญ่เกิดจากปัญหาเชิงโครงสร้างของธรรมาภิบาลภัยพิบัติ (Disaster Governance) 9 ระบบเตือนภัยของไทยยังคงยึดติดกับการใช้ข้อมูลทางเทคนิคที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจยาก และขาดการเชื่อมโยงข้อมูลสู่การปฏิบัติ (Actionable Intelligence)

  • ความล่าช้าของข้อมูล: ในเหตุการณ์ปี 2568 มีรายงานว่าการเปลี่ยนธงสัญลักษณ์เตือนภัยจากสีเขียวเป็นสีแดงในบางพื้นที่ทำได้ล่าช้ากว่าสถานการณ์จริง ส่งผลให้ประชาชนไม่มีเวลาเตรียมตัวอพยพ 10

  • ขาดความเข้าใจในระดับการเตือนภัย: ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนัยของ "ระดับการเตือนภัย" ว่าสัมพันธ์กับความเสี่ยงอย่างไร ต่างจากญี่ปุ่นที่มีการระบุชัดเจนว่าแต่ละระดับต้องทำอะไร (เช่น ระดับ 4 คือทุกคนต้องอพยพ) 9


3. ถอดรหัสโมเดลญี่ปุ่น: บูรณาการกฎหมาย วิศวกรรม และวัฒนธรรม

เพื่อตอบสนองต่อโจทย์การ "ถอดบทเรียนจากญี่ปุ่น" ของนายบวรศักดิ์ รายงานฉบับนี้ได้ทำการวิเคราะห์เจาะลึกองค์ประกอบความสำเร็จของญี่ปุ่น ซึ่งมิได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการออกแบบระบบนิเวศการจัดการภัยพิบัติที่สมบูรณ์ (Holistic Disaster Ecosystem)

3.1 นวัตกรรมทางกฎหมาย: Disaster Countermeasures Basic Act (DCBA)

ญี่ปุ่นมีจุดเปลี่ยนสำคัญคือพายุไต้ฝุ่นอิเสะวัน (Ise-wan Typhoon) ในปี 1959 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 5,000 คน รัฐบาลญี่ปุ่นจึงตรากฎหมาย Disaster Countermeasures Basic Act (DCBA) ในปี 1961 ซึ่งเปรียบเสมือน "รัฐธรรมนูญฉบับภัยพิบัติ" 11

3.1.1 กลไกการบังคับบัญชาและการกระจายอำนาจ

ต่างจากไทยที่พยายามรวมศูนย์ DCBA ของญี่ปุ่นเน้นการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบที่ชัดเจน (Clear delineation of responsibilities)

  • บทบาทของเทศบาล: กฎหมายระบุให้ "เทศบาล" (Municipalities) เป็นหน่วยงานด่านหน้าที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในการสั่งอพยพและจัดการเหตุการณ์เบื้องต้น โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากโตเกียว 13

  • บทบาทของรัฐบาลกลาง: เปลี่ยนบทบาทจาก "ผู้สั่งการ" เป็น "ผู้สนับสนุน" และในกรณีภัยพิบัติร้ายแรง รัฐบาลกลางมีอำนาจส่งความช่วยเหลือแบบ Push-mode (ส่งโดยไม่ต้องร้องขอ) เพื่อตัดปัญหาความล่าช้าในการสื่อสาร 15

3.1.2 มาตรา 48: หน้าที่แห่งการฝึกซ้อม (Mandatory Drills)

จุดที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกฎหมายไทยคือ มาตรา 48 ของ DCBA ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานระงับภัยพิบัติ มีหน้าที่ตามกฎหมาย (Obligation) ในการจัดการฝึกซ้อม (Disaster Reduction Drills) อย่างสม่ำเสมอ 16 การฝึกซ้อมนี้ไม่ได้ทำเพียงเพื่อให้ครบตามเกณฑ์ แต่เป็นการซ้อมเพื่อสร้าง "ความทรงจำของกล้ามเนื้อ" (Muscle Memory) ให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชน การที่นายบวรศักดิ์กล่าวว่าญี่ปุ่นเสียหาย เพราะมีการฝึกซ้อมนั้นถูกต้องตามหลักการนี้ เพราะกฎหมายบังคับให้การซ้อมเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ราชการ ไม่ใช่กิจกรรมเสริม

3.2 นวัตกรรมทางวิศวกรรม: มหาวิหารใต้ดิน (G-Cans Project)

ในมิติของโครงสร้างพื้นฐาน ญี่ปุ่นเผชิญปัญหาพื้นที่เมืองหนาแน่นและที่ราบลุ่มต่ำเช่นเดียวกับกรุงเทพฯ และหาดใหญ่ วิธีแก้ปัญหาของญี่ปุ่นคือการสร้างระบบระบายน้ำใต้ดินขนาดมหึมา

  • Metropolitan Area Outer Underground Discharge Channel (G-Cans): ตั้งอยู่ที่เมืองคาสุคาเบะ จังหวัดไซตามะ เป็นระบบระบายน้ำใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อสร้างระหว่างปี 1992-2006 ด้วยงบประมาณกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 17

  • กลไกการทำงาน: ระบบประกอบด้วยไซโลคอนกรีตขนาดใหญ่ 5 แห่ง เชื่อมต่อด้วยอุโมงค์ยาว 6.3 กิโลเมตร ลึก 50 เมตรใต้ดิน ทำหน้าที่รับน้ำจากแม่น้ำสายเล็กๆ ที่มักล้นตลิ่ง (เช่น แม่น้ำนากางาวะ) แล้วส่งไปยังถังปรับแรงดัน (Pressure-Adjusting Water Tank) หรือที่เรียกว่า "วิหารใต้ดิน" ก่อนจะสูบน้ำออกสู่แม่น้ำเอโดะคาวะซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าด้วยปั๊มเทอร์บินพลังสูงที่มีกำลังระบายน้ำ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที 18

  • ผลสัมฤทธิ์: นับตั้งแต่เปิดใช้งาน ระบบนี้ช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำทางตอนเหนือของโตเกียวได้อย่างมหาศาล และกลายเป็นต้นแบบการจัดการน้ำในพื้นที่เมืองที่มีความหนาแน่นสูง 20

3.3 นวัตกรรมทางสังคม: พลังชุมชน "โบโคมิ" (Bokomi)

ญี่ปุ่นตระหนักดีว่ารัฐไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ทันเวลา โดยเฉพาะในชั่วโมงแรกของภัยพิบัติ จึงเกิดแนวคิด "Bokomi" (Disaster-Safe Welfare Communities) ในเมืองโกเบหลังแผ่นดินไหวปี 1995 21

  • โครงสร้างและการทำงาน: Bokomi เป็นองค์กรชุมชนที่จัดตั้งขึ้นในระดับเขตโรงเรียนประถมศึกษา (Elementary School District) โดยบูรณาการงานป้องกันภัยเข้ากับงานสวัสดิการชุมชน มีสมาชิกเป็นคนในชุมชนเอง 23

  • หลักการ Jijo-Kyojo-Kojo: ญี่ปุ่นปลูกฝังหลักการ 3 ประการ คือ Jijo (ตนเองช่วยตนเอง), Kyojo (ชุมชนช่วยกันเอง), และ Kojo (รัฐช่วยเหลือ) โดยเน้นย้ำว่าในภาวะวิกฤต Kyojo หรือการช่วยเหลือกันเองในชุมชนมีประสิทธิภาพสูงสุดถึง 80% ของการรอดชีวิต 21

  • การสนับสนุนจากรัฐ: เทศบาลเมืองโกเบจัดสรรงบประมาณอุดหนุนและอุปกรณ์ให้กับกลุ่ม Bokomi อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถจัดกิจกรรมฝึกซ้อมและดูแลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ได้จริง 24


4. การวิเคราะห์เปรียบเทียบ (Comparative Analysis): ไทย vs. ญี่ปุ่น

ตารางต่อไปนี้แสดงการวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงโครงสร้างเพื่อชี้ให้เห็นช่องว่าง (Gaps) ที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ไข

ตารางที่ 4.1: เปรียบเทียบโครงสร้างการจัดการภัยพิบัติและพลวัตการตอบสนอง

มิติการเปรียบเทียบประเทศไทย (Thai Model)ประเทศญี่ปุ่น (Japan Model)นัยสำคัญต่อการปฏิรูป
ฐานคิดทางกฎหมายReactive & Centralized: เน้นการให้อำนาจสั่งการเมื่อเกิดเหตุ รวมศูนย์ที่ส่วนกลางแต่ปฏิบัติจริงกระจัดกระจายProactive & Decentralized: เน้นหน้าที่ในการเตรียมพร้อม (Drills) และกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นตัดสินใจหน้างานไทยต้องแก้กฎหมายเพื่อเปลี่ยนจาก "อำนาจสั่งการ" เป็น "หน้าที่เตรียมพร้อม"
โครงสร้างการสั่งการSingle Command (Nominal): มีแต่ในนาม ปฏิบัติจริงเกิดความซ้ำซ้อนระหว่าง พ.ร.บ. ป้องกันฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินIntegrated Command: โครงสร้างชัดเจนตาม DCBA เทศบาลเป็นแกนหลัก รัฐบาลหนุนเสริม (Push-mode)ต้องลดการใช้กฎหมายพิเศษพร่ำเพรื่อ และเสริมความเข้มแข็งให้กลไกปกติ
โครงสร้างพื้นฐานSurface Drainage: เน้นการขุดลอกคูคลองและทำแก้มลิงบนดิน ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องที่ดินและการเวนคืนUnderground Mega-structures: ใช้เทคโนโลยีอุโมงค์ยักษ์ (G-Cans) แก้ปัญหาที่ดินเมืองแพงและหนาแน่นไทยควรพิจารณาโครงสร้างใต้ดินในพื้นที่เศรษฐกิจที่วิกฤต เช่น หาดใหญ่/กทม.
วัฒนธรรมความปลอดภัยEvent-driven: ตื่นตัวเป็นพักๆ เมื่อเกิดภัยใหญ่ ขาดความต่อเนื่องCulture of Preparedness: ฝังรากลึกในวิถีชีวิต ผ่านการซ้อมหนีภัย (Drills) ที่กฎหมายบังคับการซ้อมต้องเป็น KPI ของผู้ว่าฯ และผู้นำท้องถิ่น ไม่ใช่แค่กิจกรรมเสริม
การมีส่วนร่วมของชุมชนAd-hoc Volunteerism: จิตอาสามารวมตัวกันเมื่อเกิดเหตุ (Reactive) ขาดอุปกรณ์และระบบInstitutionalized Community: ระบบ Bokomi มีโครงสร้างถาวร งบประมาณ และการฝึกฝนต่อเนื่องเปลี่ยน "จิตอาสา" ให้เป็น "องค์กรชุมชน" ที่มีสถานะรองรับ

5. ยุทธศาสตร์การบูรณาการและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

จากการวิเคราะห์ปัญหาและถอดบทเรียนจากญี่ปุ่น รายงานฉบับนี้ขอเสนอแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบป้องกันน้ำท่วมของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการบูรณาการจุดแข็งของญี่ปุ่นเข้ากับบริบทของไทย เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ ดังนี้:

5.1 ยุทธศาสตร์ระยะสั้น: "ปฏิรูปซอฟต์แวร์และการสั่งการ" (Software Reform)

เป้าหมายคือการแก้ปัญหา "ความสับสนในการสั่งการ" และสร้าง "ความพร้อม" ทันที

  1. สถาปนา "ระบบบัญชาการเหตุการณ์เดียว" (Unified Command System) ที่แท้จริง:

    • ข้อเสนอ: รัฐบาลควรลดการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในภัยพิบัติธรรมชาติ เพื่อให้กลไกของ พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทำงานได้เต็มที่ โดยให้อำนาจ "ผู้ว่าราชการจังหวัด" ในฐานะผู้อำนวยการจังหวัด มีอำนาจเด็ดขาดในการสั่งการหน่วยงานทหารและพลเรือนในพื้นที่ โดยไม่ต้องรอการอนุมัติข้ามกระทรวง

    • กลไก: จัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ล่วงหน้าระหว่างกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม เพื่อกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติ (SOP) ในการส่งกำลังทหารสนับสนุนผู้ว่าฯ ทันทีเมื่อระดับภัยพิบัติถึงเกณฑ์ที่กำหนด

  2. การบังคับใช้ "การฝึกซ้อม" เป็นวาระแห่งชาติ (National Drill Mandate):

    • ข้อเสนอ: ตอบสนองต่อแนวคิดของนายบวรศักดิ์ โดยการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดให้การฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุ (Disaster Drills) เป็น "ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน" (KPI) ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และผู้บริหารท้องถิ่น

    • รูปแบบ: ต้องมีการซ้อมแบบจำลองสถานการณ์วิกฤต (Scenario-based Drill) ที่ผู้สั่งการต้องตัดสินใจภายใต้ภาวะกดดันและข้อมูลจำกัด (Blind Drill) ไม่ใช่เพียงการเดินสวนสนามโชว์อุปกรณ์

  3. ปฏิรูประบบเตือนภัยสู่ Action-based Warning:

    • ข้อเสนอ: ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัยของไทยให้เลิกใช้ศัพท์เทคนิค และเปลี่ยนมาใช้ระบบ "ระดับการปฏิบัติ" (Alert Levels) แบบญี่ปุ่น (ระดับ 1-5) ที่เชื่อมโยงกับคำสั่งที่ชัดเจน เช่น "ระดับ 3: ผู้สูงอายุอพยพ", "ระดับ 4: ทุกคนอพยพทันที" 25

    • เทคโนโลยี: เร่งรัดการใช้งานระบบ Cell Broadcast Service (CBS) ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยง เพื่อส่งข้อความเตือนภัยเข้ามือถือประชาชนโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านแอปพลิเคชัน

5.2 ยุทธศาสตร์ระยะกลาง: "สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนและสังคม" (Community Resilience)

เป้าหมายคือการเปลี่ยนจากระบบ "จิตอาสาเฉพาะกิจ" เป็น "เครือข่ายความปลอดภัยถาวร"

  1. โมเดล "อสม. จัดการภัยพิบัติ" (Thai Bokomi):

    • ข้อเสนอ: ประยุกต์โมเดล Bokomi โดยต่อยอดจากเครือข่าย อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ที่เข้มแข็งอยู่แล้ว ยกระดับให้เป็นแกนนำด้านการจัดการภัยพิบัติชุมชน โดยมีการฝึกอบรมเพิ่มทักษะการกู้ชีพทางน้ำ การอ่านแผนที่เสี่ยงภัย และการจัดการศูนย์พักพิง

    • งบประมาณ: รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณอุดหนุนรายปี (Annual Grant) ให้กับชุมชนที่จัดตั้งกลุ่มจัดการภัยพิบัติ เพื่อใช้ในการจัดหาอุปกรณ์พื้นฐาน (เรือ, เสื้อชูชีพ, วิทยุ) และจัดกิจกรรมซ้อมหนีภัยในชุมชน 24

  2. การจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยชุมชน (Community Hazard Maps):

    • ข้อเสนอ: กรม ปภ. ต้องร่วมมือกับท้องถิ่นจัดทำ Hazard Maps ที่มีความละเอียดสูง (ระบุระดับความลึกของน้ำท่วมรายหลังคาเรือน) และแจกจ่ายให้ถึงมือประชาชนทุกครัวเรือน พร้อมทั้งติดตั้งป้ายแสดงระดับน้ำท่วมในอดีตตามเสาไฟฟ้าในพื้นที่ชุมชนเมือง เพื่อเป็นการเตือนความจำสังคม (Social Reminder) แบบที่ทำในญี่ปุ่น 26

5.3 ยุทธศาสตร์ระยะยาว: "การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ" (Smart Infrastructure)

เป้าหมายคือการแก้ปัญหาทางกายภาพที่ยั่งยืนในยุค Climate Change

  1. โครงการศึกษาอุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน (Underground Tunnel Feasibility Study):

    • ข้อเสนอ: ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญที่มีข้อจำกัดด้านที่ดินอย่างหาดใหญ่ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ควรศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างระบบระบายน้ำใต้ดินแบบ G-Cans ของญี่ปุ่น ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการตัดยอดน้ำหลาก (Flood Peak Cut) โดยไม่กระทบต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านบน

    • ความร่วมมือ: รัฐบาลควรแสวงหาความร่วมมือทางเทคนิคและการเงินจาก JICA (Japan International Cooperation Agency) ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างระบบนี้ และมีประวัติความร่วมมือที่ดีกับไทย 27

  2. การวางผังเมืองที่ทนทานต่อภัยพิบัติ (Resilient Urban Planning):

    • ข้อเสนอ: บังคับใช้กฎหมายผังเมืองอย่างเคร่งครัดในการกำหนดเขต "พื้นที่แก้มลิงถาวร" (Retention Areas) และเขต "ห้ามก่อสร้าง" (Red Zones) ในพื้นที่ทางน้ำหลาก โดยรัฐอาจต้องพิจารณามาตรการเวนคืนหรือจัดรูปที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะ พร้อมทั้งมีมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนลงทุนในอาคารต้านภัยพิบัติ


6. บทสรุป

การประชุมคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย ครั้งที่ 1/2568 และวิสัยทัศน์ของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการจัดการภัยพิบัติของไทย การถอดบทเรียนจากญี่ปุ่นมิใช่การลอกเลียนแบบเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่คือการนำ "ปรัชญาแห่งความเตรียมพร้อม" มาปรับใช้

ความสำเร็จของญี่ปุ่นพิสูจน์แล้วว่า การมีกฎหมายที่ดีเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ แต่ต้องมี "การปฏิบัติที่เข้มข้น" (Rigorous Implementation) ผ่านการฝึกซ้อมที่สม่ำเสมอ และการมี "พลังของชุมชน" (Community Power) ที่เข้มแข็ง หากประเทศไทยสามารถบูรณาการบทเรียนเหล่านี้เข้ากับโครงสร้างทางสังคมไทยได้ เราจะไม่เพียงแค่ลดความสูญเสียจากมหาอุทกภัยในอนาคต แต่เราจะสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีความยืดหยุ่นและทนทาน (Resilient Society) อย่างยั่งยืน พร้อมรับมือกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...