วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ถอดบทเรียนพุทธธรรมจากนครเวสาลี สู่ประชามติไทยสร้างเมืองรุ่งเรืองสังคมมั่นคงยั่งยืน

      

ถอดบทเรียนพุทธธรรมจากนครเวสาลี สู่ประชามติไทยสร้างเมืองรุ่งเรืองสังคมมั่นคงยั่งยืน

 บทคัดย่อ

รายงานการวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเชิงลึกในมิติทางรัฐศาสตร์และพุทธศาสตร์ โดยถอดบทเรียนจากโครงสร้างการปกครองของแคว้นวัชชี ซึ่งมีนครเวสาลีเป็นศูนย์กลาง เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบริบทการเมืองไทยร่วมสมัยที่กำลังเผชิญความท้าทายในกระบวนการจัดทำประชามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในปี พ.ศ. 2568 การศึกษานี้เน้นการวิเคราะห์ผ่านมุมมองทางวิชาการของ พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา โดยเฉพาะการตีความนัยสำคัญของเหตุการณ์ ณ ปาวาเจดีย์ และหลักธรรมนูญการปกครองโบราณ "อปริหานิยธรรม 7" ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ความรุ่งเรืองและความมั่นคงของรัฐไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจทางทหารหรือกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ "จิตวิญญาณแห่งประชาธิปไตย" (Spirit of Democracy) ที่ประกอบด้วยความสามัคคี การเคารพในกติกา และการมีส่วนร่วมอย่างตื่นรู้ของประชาชน รายงานฉบับนี้เสนอแนวทางบูรณาการพุทธธรรมเข้ากับกระบวนการประชามติ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมและป้องกันความขัดแย้งซ้ำซ้อน นำไปสู่การสร้างเมืองที่รุ่งเรืองและสังคมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง


บทที่ 1: บทนำ

1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา

สังคมไทยในทศวรรษที่ผ่านมาตกอยู่ในสภาวะของความขัดแย้งทางการเมืองที่ร้าวลึก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ ปรากฏการณ์ความแตกแยกทางความคิด การขาดความเชื่อมั่นในสถาบันทางการเมือง และวิกฤตศรัทธาต่อระบบนิติรัฐ ล้วนเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเปราะบางของโครงสร้างสังคม 1 ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อมเข้าสู่กระบวนการทำประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 2568 ซึ่งถือเป็น "จุดเปลี่ยน" (Turning Point) ครั้งประวัติศาสตร์ 3 คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ สังคมไทยจะก้าวข้ามกับดักความขัดแย้งเดิมและสร้างกติกาใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายได้อย่างไร

ในท่ามกลางความท้าทายนี้ การหันกลับมาศึกษาภูมิปัญญาตะวันออก โดยเฉพาะ "พุทธธรรม" ที่เป็นรากฐานทางวัฒนธรรมของชาติ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการไขทางออก พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา นักวิชาการด้านพุทธศาสนาและการเมือง ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจในการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์พุทธกาลเข้ากับการบริหารจัดการบ้านเมืองสมัยใหม่ 5 โดยเฉพาะกรณีศึกษาของ "นครเวสาลี" (Vesali) แห่งแคว้นวัชชี ซึ่งได้รับการยกย่องจากนักประวัติศาสตร์ว่าเป็นต้นแบบของระบอบสาธารณรัฐหรือประชาธิปไตยในยุคโบราณ (Ancient Republics) 7

นครเวสาลีมิได้เป็นเพียงฉากหลังในพุทธประวัติ แต่เป็นห้องทดลองทางการเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกยุคโบราณ ที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงประดิษฐานหลัก "อปริหานิยธรรม 7" (Aparihaniyadhamma) ให้เป็นธรรมนูญแห่งความไม่เสื่อม 5 การล่มสลายของเวสาลีในกาลต่อมา ไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอทางยุทธวิถี แต่เกิดจากการ "แตกสามัคคี" และการละเลยหลักธรรมในการปกครอง ซึ่งเป็นบทเรียนที่มีราคาแพงและทรงคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน

1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย

  1. เพื่อสืบค้นและสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับระบอบการปกครองแบบ "สามัคคีธรรม" ของแคว้นวัชชี และนัยทางการเมืองของเหตุการณ์ ณ ปาวาเจดีย์ ตามทัศนะของ พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา

  2. เพื่อวิเคราะห์หลัก "อปริหานิยธรรม 7" ในเชิงรัฐศาสตร์เปรียบเทียบกับหลักการประชาธิปไตยสากล และประเมินความสัมพันธ์ระหว่างพุทธธรรมกับพฤติกรรมทางการเมือง

  3. เพื่อเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้บทเรียนจากนครเวสาลีสู่กระบวนการทำประชามติของไทยในปี 2568 เพื่อสร้างความรุ่งเรือง ความมั่นคง และความยั่งยืนให้แก่ระบอบประชาธิปไตยไทย

1.3 ขอบเขตการศึกษา

การศึกษานี้ครอบคลุมการวิเคราะห์เอกสารชั้นต้นทางพุทธศาสนา (พระไตรปิฎก โดยเฉพาะมหาปรินิพพานสูตร) และเอกสารชั้นรองทางประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับแคว้นวัชชีและระบบ "คณะสงฆ์" ในอินเดียโบราณ ผนวกกับบทความ งานวิจัย และทัศนะของ พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง พุทธศาสนา และการพัฒนาสังคม 5 โดยเชื่อมโยงกับบริบทสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงเตรียมการประชามติ พ.ศ. 2568


บทที่ 2: นครเวสาลีและแคว้นวัชชี: ต้นแบบระบอบประชาธิปไตยแห่งพุทธกาล

2.1 โครงสร้าง "คณาธิปไตย" และ "สามัคคีธรรม" แห่งวัชชี

นครเวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี เป็นนครรัฐที่มีความรุ่งเรืองอย่างสูงสุดในสมัยพุทธกาล มิใช่ด้วยอำนาจของกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว แต่ด้วยระบอบการปกครองที่เรียกว่า "กณสังฆะ" (Gana Sangha) หรือระบอบสามัคคีธรรม 7 นักประวัติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ตะวันตกและตะวันออกต่างยอมรับว่า นี่คือรูปแบบหนึ่งของระบอบสาธารณรัฐ (Republic) หรือประชาธิปไตยแบบตัวแทนในยุคแรกเริ่ม 8

โครงสร้างอำนาจของวัชชีประกอบด้วยกษัตริย์ลิจฉวีจำนวน 7,707 พระองค์ (ตัวเลขในคัมภีร์อาจเป็นสัญลักษณ์แสดงจำนวนมาก) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาบริหารและนิติบัญญัติ โดยมีการประชุมหารือกัน ณ "สัณฐาคาร" (Santhagara) หรืออาคารรัฐสภา เพื่อตัดสินปัญหาราชการแผ่นดิน ตั้งแต่การเก็บภาษี การต่างประเทศ ไปจนถึงการประกาศสงคราม 12 ระบบนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่ชัดเจน แตกต่างจากแคว้นมคธที่ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) ภายใต้พระเจ้าอชาตศัตรู

พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา ได้วิเคราะห์ถึงความสำเร็จของพระพุทธองค์ในการเผยแผ่ศาสนาในดินแดนนี้ว่า ส่วนหนึ่งมาจากการที่พระองค์ทรงเข้าพระทัยในโครงสร้างสังคมที่เปิดกว้างของชาววัชชี 5 การที่ประชาชนมีเสรีภาพทางความคิดและการมีส่วนร่วมทางการเมือง ทำให้การรับฟังธรรมะและการตัดสินใจเปลี่ยนความเชื่อเป็นไปโดยอิสระและใช้ปัญญาพิจารณา มิใช่การบังคับขู่เข็ญ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของ "สังคมปัญญาธิปไตย"

2.2 ระบบการลงคะแนนเสียง "สลาก" (Salaka): บรรพบุรุษของประชามติ

หนึ่งในนวัตกรรมทางการเมืองที่สำคัญของแคว้นวัชชีและระบอบสงฆ์คือระบบการลงคะแนนเสียงเพื่อหาข้อยุติในสภาวะที่มีความเห็นต่าง ซึ่งเรียกว่า "เยภุยยสิกา" (Yebhuyyasika) หรือการถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ 7 เครื่องมือที่ใช้ในการลงคะแนนคือ "สลาก" (Salaka) ซึ่งทำจากไม้ซีกหรือแผ่นไม้

กระบวนการนี้มีความซับซ้อนและรัดกุมเทียบเท่ามาตรฐานการเลือกตั้งสมัยใหม่ ประกอบด้วย:

  1. สลาก: บัตรลงคะแนนเสียง

  2. สลากคาหาปกะ (Salaka-Gahapaka): ผู้ทำหน้าที่เก็บและนับคะแนน ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นกลาง และได้รับการยอมรับจากที่ประชุม (เทียบได้กับ กกต. ในปัจจุบัน) 8

  3. วิธีการลงคะแนน: มีทั้งแบบเปิดเผย (Open Vote) การกระซิบ (Whispering Method) และแบบลับ (Secret Ballot) ขึ้นอยู่กับความละเอียดอ่อนของวาระการประชุม 8

การมีอยู่ของระบบนี้ในพุทธกาลเป็นเครื่องยืนยันว่า "ประชาธิปไตย" และ "ประชามติ" ไม่ใช่แนวคิดที่นำเข้าจากตะวันตกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นวิถีปฏิบัติที่ฝังรากอยู่ในวัฒนธรรมพุทธและอารยธรรมตะวันออกมาช้านาน การรื้อฟื้นความเข้าใจนี้จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจและความชอบธรรม (Legitimacy) ให้กับกระบวนการประชาธิปไตยในบริบทสังคมไทยได้

2.3 ปาวาเจดีย์: นัยแห่งการตัดสินใจและวิกฤตศรัทธา

"ปาวาเจดีย์" (Pava Cetiya) หรือปาวาลเจดีย์ มีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ตามมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธองค์ทรงประทับ ณ ปาวาเจดีย์ และทรงทำนิมิตโอภาสแก่พระอานนท์ถึง 16 ครั้ง ว่าตถาคตสามารถดำรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ตลอดกัปหากมีผู้ทูลขอ 13 แต่พระอานนท์กลับนิ่งเฉย ไม่ได้ทูลขอ เนื่องจาก "ถูกมารดลใจ" (Mara's Influence)

พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา ได้ถอดบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ในเชิงลึกว่า "มาร" ในที่นี้อาจตีความได้ถึง "ความประมาท" "ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์" หรือ "อคติ" ที่บังตาผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ 5 เหตุการณ์ ณ ปาวาเจดีย์ สะท้อนถึงภาวะวิกฤตของการสื่อสารและการตัดสินใจ (Crisis of Decision Making) ในระดับผู้นำ

  • พระพุทธองค์: ทรงเป็นผู้นำที่เปิดโอกาส (Opportunity Giver) แต่เคารพในกฎแห่งกรรมและเจตจำนงเสรี

  • พระอานนท์: ตัวแทนของพุทธบริษัทหรือประชาชน ที่บางครั้งอาจขาดความตระหนักรู้ในวาระสำคัญ (Lack of Awareness) จนทำให้เสียโอกาสในการรักษาผู้นำหรือสิ่งล้ำค่าไว้

  • มาร: ปัจจัยแทรกซ้อนที่ทำให้เกิดความหลงผิด หรือการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร

ในบริบทการเมือง การ "ปลงอายุสังขาร" ของพระพุทธองค์ ณ ปาวาเจดีย์ คือการประกาศกำหนดการสุดท้าย (Deadline) ซึ่งเทียบได้กับการกำหนดวันประชามติหรือวันเลือกตั้ง หากประชาชนหรือผู้มีอำนาจ (พระอานนท์) เพิกเฉยต่อสัญญาณเตือน ไม่กระตือรือร้นที่จะรักษาผลประโยชน์สาธารณะ หรือปล่อยให้ "มาร" (ข่าวลวง ความขัดแย้ง) ครอบงำ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความสูญเสียที่ไม่สามารถเรียกคืนได้


บทที่ 3: อปริหานิยธรรม 7: รัฐธรรมนูญแห่งความไม่เสื่อม

หลัก "อปริหานิยธรรม 7" ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ชาววัชชี (และต่อมาทรงปรับใช้กับภิกษุสงฆ์) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษานี้ พระ ดร.ณพลเดช และนักวิชาการพุทธศาสนาต่างเห็นพ้องกันว่า นี่คือ "ธรรมนูญการปกครอง" (Constitutional Dharma) ที่เป็นหลักประกันความมั่นคงของรัฐ 1 หากวิเคราะห์เจาะลึกในแต่ละข้อ จะพบความสอดคล้องกับหลักรัฐศาสตร์สมัยใหม่อย่างน่าทึ่ง

3.1 การวิเคราะห์หลักธรรม 7 ประการเชิงรัฐศาสตร์

ตารางที่ 3.1: การเปรียบเทียบอปริหานิยธรรม 7 กับหลักการปกครองสมัยใหม่

ข้อที่หลักอปริหานิยธรรม (Pali / Meaning)นัยทางรัฐศาสตร์และการเมือง (Political Implication)การประยุกต์ใช้กับประชามติไทย
1หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ (To hold regular and frequent meetings)เสรีภาพในการชุมนุมและการหารือ (Freedom of Assembly & Deliberation): การประชุมคือกลไกแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ป้องกันการสะสมของปัญหาการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น (Public Hearing) ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเพียงพิธีกรรม เพื่อลดแรงกดดันทางการเมือง
2พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุม และทำกิจที่พึงทำ (To meet, disperse, and act in harmony)เอกภาพและความรับผิดชอบร่วม (Unity of Action & Collective Responsibility): ความสามัคคีไม่ใช่การคิดเหมือนกัน แต่คือการร่วมมือกันขับเคลื่อนมติที่ตกลงแล้วการที่ทุกฝ่ายการเมืองยอมรับผลประชามติและกติการ่วมกัน ไม่เล่นเกมสภาล่ม หรือเตะถ่วงกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ
3ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติ และไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว (Rule of Law & Respect for Tradition)นิติธรรม (Rule of Law) และเสถียรภาพทางกฎหมาย: การไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือการฉีกรัฐธรรมนูญโดยไม่ชอบธรรมการเคารพเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่แก้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนหรือพวกพ้อง และยึดมั่นในกติกาที่เป็นธรรม
4สักการะ เคารพ นับถือ บูชาท่านผู้ใหญ่ (Respect for Elders/Experience)ระบบที่ปรึกษาและวุฒิสภา (Advisory System / Senate): การให้คุณค่ากับประสบการณ์และภูมิปัญญา เพื่อถ่วงดุลความร้อนแรงของกระแสการเมืองการรับฟังความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ และการทำงานร่วมกันระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า (Intergenerational Dialogue)
5ไม่ข่มเหงบุตรสตรี (Protection of Women and Vulnerable Groups)สิทธิมนุษยชน (Human Rights): ตัวชี้วัดความเจริญของสังคมคือความปลอดภัยของกลุ่มเปราะบาง การคุ้มครองสตรีและเด็กจากความรุนแรงการบรรจุสิทธิความเสมอภาคทางเพศและการคุ้มครองสวัสดิภาพประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญใหม่อย่างชัดเจน
6สักการะ เคารพ เจดีย์ของชาววัชชี (Respect for Shrines/Culture)ทุนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ชาติ (Cultural Capital & Soft Power): การรักษาจารีตประเพณีที่เป็นรากเหง้า เพื่อสร้างความภาคภูมิใจและมูลค่าเศรษฐกิจ

การส่งเสริม Soft Power ไทย (ตามแนวคิด พระ ดร.ณพลเดช) ให้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในรัฐธรรมนูญ 16

7อารักขา คุ้มครอง พระอรหันต์ (Protection of Arhats/Moral Leaders)เสรีภาพทางศาสนาและการส่งเสริมจริยธรรม (Religious Freedom & Moral Support): รัฐต้องอุปถัมภ์คนดีและสถาบันทางศาสนาให้เป็นที่พึ่งทางใจการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาให้โปร่งใส (ธนาคารพุทธ) และสร้างกลไกป้องกันการบ่อนทำลายศาสนา

3.2 อปริหานิยธรรมกับการป้องกัน "ความเสื่อม"

พระพุทธองค์ตรัสยืนยันว่า ตราบใดที่ชาววัชชียังยึดมั่นในหลัก 7 ประการนี้ "พึงหวังความเจริญได้ฝ่ายเดียว หาความเสื่อมมิได้" 17 คำว่า "ความเสื่อม" (Parihaniya) ในทางการเมืองหมายถึง การสูญเสียอธิปไตย การเกิดสงครามกลางเมือง หรือการล่มสลายทางเศรษฐกิจ

พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา ได้ชี้ให้เห็นว่า หลักธรรมนี้คือ "ภูมิคุ้มกัน" (Immunity) ของสังคม 5 การที่สังคมไทยมีความขัดแย้งแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย รุนแรงถึงขั้นใช้วาจาประทุษร้าย (Hate Speech) และการบิดเบือนกฎหมาย เป็นสัญญาณชัดเจนว่าเรากำลังละเมิดหลักอปริหานิยธรรม โดยเฉพาะข้อ 1, 2 และ 3 ซึ่งเป็นเสาหลักแห่งความสามัคคีและนิติธรรม


บทที่ 4: ความล้มเหลวของเวสาลี: ยุทธการข่าวสารและการล่มสลาย

แม้จะมีธรรมนูญที่เข้มแข็ง แต่นครเวสาลีก็ถึงกาลอวสานในที่สุด บทเรียนนี้มีความสำคัญยิ่งต่อการทำประชามติของไทย เพราะศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดไม่ใช่กองทัพจากภายนอก แต่คือ "ไส้ศึก" และ "สงครามข่าวสาร"

4.1 วัสสการพราหมณ์: บิดาแห่งปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ยุคโบราณ

เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งมคธตระหนักว่าไม่สามารถเอาชนะความสามัคคีของวัชชีด้วยกำลังทหารได้ จึงทรงส่ง "วัสสการพราหมณ์" อำมาตย์ผู้ฉลาดล้ำลึก เข้าไปแฝงตัวในราชสำนักเวสาลี 13 วัสสการพราหมณ์ใช้เวลาถึง 3 ปี ในการทำลายอปริหานิยธรรมจากภายใน ด้วยกลยุทธ์:

  • การสร้างความหวาดระแวง (Mistrust): ยุแหย่ให้กษัตริย์ลิจฉวีระแวงซึ่งกันและกัน ด้วยคำพูดเพียงเล็กน้อย หรือการซุบซิบ (Whispering Campaign)

  • การแบ่งแยกแล้วปกครอง (Divide and Rule): ทำให้เกิดการแบ่งก๊กแบ่งเหล่า จนกระทั่งเมื่อกลองสัญญาณดังขึ้นเพื่อเรียกประชุม กลับไม่มีผู้ใดมาร่วมประชุม ต่างคนต่างคิดว่า "ไม่ใช่ธุระของตน" หรือ "ให้คนเก่งคนนั้นไปทำเถิด" 1

กลยุทธ์ของวัสสการพราหมณ์ เทียบได้กับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operation - IO) และการใช้ Fake News ในโลกโซเชียลมีเดียปัจจุบัน 19 ที่มุ่งสร้างความเกลียดชัง (Polarization) และทำลายความเชื่อถือ (Discredit) ระหว่างกลุ่มการเมืองและประชาชน จนทำให้กลไกรัฐสภาและกลไกประชามติเป็นอัมพาต

4.2 บทเรียนสำหรับไทย: อันตรายของความแตกแยกในวันประชามติ

การล่มสลายของเวสาลีเกิดขึ้นเมื่อ "อปริหานิยธรรมข้อที่ 1 และ 2" (การประชุมและความพร้อมเพรียง) ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อข้าศึกยกทัพมา ประตูเมืองเวสาลีเปิดรับความพ่ายแพ้เพราะไม่มีใครลุกขึ้นมาปกป้องเมือง

สำหรับประเทศไทย การทำประชามติ 2568 มีความเสี่ยงที่จะซ้ำรอยเวสาลี หาก:

  1. ประชาชนถูกปั่นป่วนด้วยข้อมูลเท็จ: จนเกิดความสับสนและไม่ไว้วางใจในกระบวนการประชามติ

  2. การเมืองแบ่งขั้วรุนแรง: จนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคว่ำบาตร (Boycott) หรือล้มกระดานประชามติ เพียงเพราะกลัวเสียเปรียบทางการเมือง

  3. การเพิกเฉยของพลังเงียบ (The Silent Majority): หากประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายการเมืองและไม่ออกมาใช้สิทธิ์ (เหมือนกษัตริย์ลิจฉวีที่ไม่มาประชุม) ปล่อยให้กลุ่มสุดโต่งกำหนดชะตากรรมประเทศ


บทที่ 5: ทัศนะ พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา: บูรณาการพุทธธรรมสู่การเมืองใหม่

จากการสังเคราะห์บทบาทและงานเขียนของ พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา 5 พบว่าท่านได้นำเสนอโมเดลการพัฒนาที่ผสานพุทธธรรมเข้ากับโครงสร้างสังคมสมัยใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นฐานคิดในการร่างรัฐธรรมนูญและขับเคลื่อนประชามติได้

5.1 การเมืองวิถีพุทธ (Buddhist Governance) และธรรมาธิปไตย

พระ ดร.ณพลเดช เน้นย้ำว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องสกปรก แต่เป็นเรื่องของ "การจัดสรรประโยชน์ให้ลงตัวด้วยธรรม" 1 ท่านเสนอให้ยึดหลัก "ธรรมาธิปไตย" (Dhamma as Authority) คือการยึดความถูกต้องและประโยชน์สุขของมหาชนเป็นที่ตั้ง เหนือกว่าประโยชน์ของพรรคพวก (อัตตาธิปไตย/โลกาธิปไตย) ในการทำประชามติ คำถามประชามติและเนื้อหารัฐธรรมนูญต้องสะท้อน "ธรรม" คือความยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ

5.2 ธนาคารพุทธศาสนา: ความโปร่งใสและการจัดการทุน

ในฐานะเลขานุการอนุกรรมาธิการพิจารณางบประมาณเพื่อจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา 21 ท่านเห็นว่าความมั่นคงของสถาบันศาสนา (ตามอปริหานิยธรรมข้อ 7) ต้องมาพร้อมกับความโปร่งใสทางบัญชีและการจัดการทรัพย์สิน การตั้งธนาคารพุทธจะเป็นกลไกสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมและสาธารณกุศลอย่างเป็นระบบ ลดปัญหาเงินทอนวัดหรือการฟอกเงิน สร้างความศรัทธาให้กลับคืนมา ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับการสร้างความโปร่งใสในการใช้งบประมาณแผ่นดินของรัฐบาล

5.3 พุทธธรรมกับ Soft Power แห่งชาติ

พระ ดร.ณพลเดช ได้เชื่อมโยงบทบาทของวัดและประเพณีเข้ากับนโยบาย Soft Power 16 ท่านมองว่า "วัด" คือศูนย์กลางชุมชน (Community Hub) ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ สอดคล้องกับอปริหานิยธรรมข้อ 6 (เคารพเจดีย์) การทำประชามติและการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ควรเปิดพื้นที่ให้มีการส่งเสริมทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งจากฐานราก และแข่งขันได้ในเวทีโลกด้วยอัตลักษณ์ของตนเอง


บทที่ 6: ยุทธศาสตร์สู่ประชามติ 2568: สร้างเมืองรุ่งเรือง สังคมมั่นคงยั่งยืน

จากบทเรียนนครเวสาลีสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการนำพาประเทศผ่านพ้นช่วงเปลี่ยนผ่าน

6.1 ประชามติเชิงสมานฉันท์ (Reconciliatory Referendum)

การทำประชามติต้องไม่ถูกมองว่าเป็นสนามรบ (Battlefield) ของการเอาชนะคะคาน แต่ต้องเป็นพื้นที่แห่งการแสวงหาฉันทามติ (Consensus Building)

  • ข้อเสนอ: รัฐบาลและ กกต. ควรใช้โมเดล "สัณฐาคาร" ของเวสาลี จัดเวทีพูดคุยหาทางออกทั่วประเทศ (Deliberative Polling) ให้ประชาชนได้รับข้อมูลรอบด้านก่อนวันลงคะแนน เพื่อให้ "สลาก" (บัตรประชามติ) ที่หย่อนลงไป เป็นไปด้วยปัญญา

  • การป้องกันมาร: สร้างศูนย์ตรวจสอบข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) ที่มีความเป็นกลางอย่างแท้จริง โดยมีภาคประชาสังคมร่วมตรวจสอบ เพื่อสกัดกั้นข่าวลือแบบวัสสการพราหมณ์

6.2 การร่างรัฐธรรมนูญฉบับ "อปริหานิยธรรม"

เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรถอดรหัสจากอปริหานิยธรรม 7 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้รัฐ:

  1. กลไกรัฐสภา: ต้องออกแบบให้การประชุมสภาเป็นไปได้ง่าย ลดเงื่อนไขที่ทำให้สภาล่ม และสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกร่วมประชุม (แก้ปัญหาข้อ 1, 2)

  2. ระบบนิติรัฐ: สร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง ป้องกันการแก้กฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมหรือเอื้อประโยชน์ทับซ้อน (แก้ปัญหาข้อ 3)

  3. สภาที่ปรึกษา: อาจพิจารณารูปแบบวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งของกลุ่มอาชีพและผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้เป็นสภาแห่งปัญญาอย่างแท้จริง (แก้ปัญหาข้อ 4)

  4. สิทธิมนุษยชนและสวัสดิการ: รับรองสิทธิสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มหลากหลายทางเพศอย่างครอบคลุม (แก้ปัญหาข้อ 5)

6.3 ปาวาเจดีย์แห่งยุคสมัย: การตื่นรู้ของประชาชน

คนไทยทุกคนกำลังยืนอยู่หน้า "ปาวาเจดีย์" ของตนเอง นั่นคือคูหาเลือกตั้ง การตัดสินใจรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นการกำหนดชะตากรรมของประเทศ หากประชาชนนิ่งเฉย (เหมือนพระอานนท์) หรือถูกครอบงำด้วยอคติ (มาร) ประเทศอาจสูญเสียโอกาสในการพัฒนาไปอีกนาน

  • บทบาทผู้นำ: ต้องไม่เป็นเพียงผู้ใช้อำนาจ แต่ต้องเป็น "ผู้ให้สติ" และ "ผู้อำนวยความสะดวก" ในการตัดสินใจของประชาชน เหมือนที่พระพุทธองค์ทรงเปิดโอกาสให้พระอานนท์


บทที่ 7: บทสรุป

การถอดบทเรียนจากนครเวสาลีและมุมมองของ พระ ดร.ณพลเดช มณีลังกา ชี้ให้เห็นสัจธรรมทางการเมืองที่ก้าวข้ามกาลเวลาว่า "ความสามัคคีคือพลัง ความระแวงคือหายนะ" แคว้นวัชชีที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ล่มสลายเพราะขาดแคลนทรัพยากร แต่ล่มสลายเพราะขาดแคลน "ธรรม" ในจิตใจของผู้ปกครองและประชาชน

การทำประชามติในปี 2568 จึงเป็นมากกว่ากระบวนการทางกฎหมาย แต่เป็นบททดสอบวุฒิภาวะทางจิตวิญญาณของคนในชาติ หากคนไทยสามารถนำหลัก "อปริหานิยธรรม" มาปรับใช้—หมั่นประชุมหารือด้วยเหตุผล เคารพกติกา ให้เกียรติความเห็นต่าง และรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสาร—เราจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตความขัดแย้งให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ พลิกฟื้นประเทศไทยให้เป็น "เมืองรุ่งเรือง สังคมมั่นคงยั่งยืน" ดั่งนครเวสาลีในยุคทอง และสืบสานปณิธานแห่งพุทธธรรมให้สถาพรสืบไป


ตารางที่ 7.1: แผนภาพสรุปโมเดล "เวสาลี-มณีลังกา" สู่การเมืองไทย

องค์ประกอบ (Elements)ปัญหาในอดีต (เวสาลีตอนปลาย/การเมืองไทยปัจจุบัน)ทางออกและแนวทางแก้ไข (Solution based on Dhamma)ผลลัพธ์ที่คาดหวัง (Expected Outcome)
โครงสร้างอำนาจอำนาจรวมศูนย์ / การแบ่งฝักฝ่ายทำลายล้างอปริหานิยธรรม 1-2: กระจายอำนาจ, ประชุมสม่ำเสมอ, สามัคคีในการปฏิบัติเสถียรภาพทางการเมือง, การแก้ปัญหาที่รวดเร็ว
กฎหมายและกติกาการฉีกรัฐธรรมนูญ / สองมาตรฐาน (Double Standard)อปริหานิยธรรม 3: ยึดมั่นนิติธรรม, เคารพจารีตประเพณีที่ดีงามความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม, สังคมมีขื่อมีแป
สังคมและวัฒนธรรมความรุนแรงต่อผู้เห็นต่าง / การละเลยรากเหง้าอปริหานิยธรรม 4-6: เคารพผู้ใหญ่, ให้เกียรติสตรี/กลุ่มเปราะบาง, ส่งเสริม Soft Powerสังคมสันติสุข, เศรษฐกิจสร้างสรรค์จากฐานวัฒนธรรม
ข้อมูลข่าวสารข่าวลวง (IO), วาทกรรมเกลียดชัง (วัสสการพราหมณ์โมเดล)สติปัญญา (Mindfulness): รู้เท่าทันสื่อ, ตรวจสอบข้อมูล, สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ (ปิยวาจา)ประชาชนตื่นรู้, การตัดสินใจประชามติที่มีคุณภาพ
สถาบันศาสนาวิกฤตศรัทธา, พุทธพาณิชย์อปริหานิยธรรม 7 + ธนาคารพุทธ: ความโปร่งใส, การจัดการทุนเพื่อสังคมศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจและทางปัญญาอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ส่องนโยบายปัญญาประดิษฐ์ พรรคการเมืองไทย ชูสู้ศึกเลือกตั้งไทย 2569

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ต่อนโยบายปัญญาประดิษฐ์และเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2569 ...