วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568

รูปแบบและโครงสร้าง แนวคิดตั้งกระทรวงบรรเทาสาธารณภัยของประเทศไทย เพื่อการรองรับวิกฤตการณ์ภัยธรรมชาติในยุคโลกเดือด


วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: รูปแบบและโครงสร้าง "กระทรวงบรรเทาสาธารณภัย" ของประเทศไทย เพื่อการรองรับวิกฤตการณ์ภัยธรรมชาติในยุคโลกเดือด

บทนำ: บริบทแห่งวิกฤตและความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้าง

ท่ามกลางกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศโลก (Climate Change) ที่ทวีความรุนแรงจนยกระดับสู่สภาวะ "โลกเดือด" (Global Boiling) ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายทางธรรมชาติในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวัฏจักรตามฤดูกาลอีกต่อไป แต่ได้กลายสภาพเป็นภัยคุกคามระดับยุทธศาสตร์ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของมนุษย์ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานของชาติ รายงานฉบับนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกถึงความเป็นไปได้ ความจำเป็น และรูปแบบที่เหมาะสมในการจัดตั้ง "กระทรวงบรรเทาสาธารณภัย" หรือหน่วยงานระดับสูงที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ โดยใช้วิกฤตอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 เป็นกรณีศึกษาสำคัญ ควบคู่ไปกับการถอดบทเรียนจากแนวคิดและการปฏิบัติงานของฝ่ายนโยบาย โดยเฉพาะบทบาทของนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อสะท้อนภาพปัญหาเชิงโครงสร้างและเสนอแนะทางออกที่ยั่งยืน


1.1 พลวัตของภัยธรรมชาติและผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งรัฐ

ในอดีต การจัดการภัยพิบัติของไทยมักถูกมองเป็นภารกิจเชิงตั้งรับ (Reactive) ที่เน้นการบรรเทาทุกข์หลังเกิดเหตุ (Relief and Recovery) ภายใต้กรอบคิดแบบ "การสงเคราะห์" อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเชิงประจักษ์จากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา รวมถึงพื้นที่เปราะบางในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ได้เผยให้เห็นถึงความเสียหายที่มีมูลค่ามหาศาลกว่า 5 แสนล้านบาท และส่งผลกระทบต่อประชากรมากกว่า 2.9 ล้านคน 1 ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถิติทางเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นดัชนีชี้วัดความล้มเหลวของกลไกการป้องกันและเตือนภัยที่มีอยู่

สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับ "วิบัติคลื่นร้อน" และภัยพิบัติทางน้ำที่รุนแรงขึ้น อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกและการแปรปรวนของสภาพอากาศ 2 สมการความเสี่ยง ($Risk = Hazard \times Exposure \times Vulnerability / Adaptive Capacity$) ชี้ให้เห็นว่า แม้เราจะไม่สามารถควบคุมภัยธรรมชาติ (Hazard) ได้ แต่ความเปราะบาง (Vulnerability) ของโครงสร้างพื้นฐานและขีดความสามารถในการปรับตัว (Adaptive Capacity) ของระบบราชการไทย คือจุดตายที่ทำให้ความเสียหายทวีคูณ 3 การที่ระบบราชการยังคงทำงานแบบแยกส่วน (Silo) และยึดติดกับระเบียบที่แข็งตัว (Rigidity) ทำให้การตอบสนองต่อวิกฤตเป็นไปอย่างล่าช้าและขาดเอกภาพ ซึ่งในภาวะวิกฤต ความล่าช้าหมายถึงความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน

1.2 วัตถุประสงค์และขอบเขตการศึกษาเชิงลึก

รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการวิเคราะห์สังเคราะห์ในระดับมหภาคและจุลภาค โดยมีขอบเขตการศึกษาดังนี้:

  1. การวิเคราะห์พยาธิสภาพของระบบราชการไทย: เจาะลึกถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง กฎหมาย และวัฒนธรรมองค์กร ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และระเบียบกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง เพื่อระบุ "คอขวด" (Bottlenecks) ที่แท้จริงของการบริหารจัดการ

  2. การถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาภาคใต้และบทบาทของฝ่ายการเมือง: วิเคราะห์การปฏิบัติงานของนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ และคณะรัฐมนตรี ในการตอบสนองต่ออุทกภัย เพื่อทำความเข้าใจถึงช่องว่างระหว่าง "อำนาจตามกฎหมาย" และ "อำนาจในทางปฏิบัติ" (De Jure vs. De Facto Power) รวมถึงนัยยะของการที่รัฐมนตรีจากกระทรวงเศรษฐกิจต้องลงมาบัญชาการเหตุการณ์ภัยพิบัติ

  3. การศึกษาเปรียบเทียบเชิงรัฐประศาสนศาสตร์ (Comparative Public Administration): ศึกษาโมเดลความสำเร็จและความล้มเหลวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ "กระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉิน" (MEM) ของจีน และ "กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน" (EMERCOM) ของรัสเซีย เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบททางการเมืองและสังคมของไทย

  4. ข้อเสนอเชิงนโยบายและการออกแบบโครงสร้างองค์กร: นำเสนอทางเลือกในการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ หรือการปฏิรูปหน่วยงานเดิม พร้อมข้อเสนอแนะด้านงบประมาณ กฎหมาย และการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างระบบที่มี "เอกภาพในการบังคับบัญชา" (Unity of Command) อย่างแท้จริง


ส่วนที่ 2: การวิเคราะห์โครงสร้าง บทบาทหน้าที่ และปัญหาของระบบจัดการสาธารณภัยไทยในปัจจุบัน

2.1 โครงสร้างตามกฎหมาย: พิมพ์เขียวที่ขาดความยืดหยุ่น

รากฐานของการจัดการภัยพิบัติไทยวางอยู่บน พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ซึ่งออกแบบโครงสร้างการบังคับบัญชาในลักษณะ "ลำดับชั้น" (Hierarchical Structure) โดยมี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สังกัดกระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานเลขานุการกลาง 4 โครงสร้างนี้กำหนดให้ท้องถิ่นเป็นหน่วยเผชิญเหตุแรก (First Responder) และเมื่อสถานการณ์รุนแรงเกินขีดความสามารถ อำนาจการบัญชาการจะถูกยกระดับขึ้นสู่ระดับอำเภอ จังหวัด และระดับชาติ ตามลำดับ 6

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ โครงสร้างนี้เผชิญกับปัญหาความซับซ้อนของอำนาจหน้าที่ (Authority Complexity) ดังนี้:

  • ระดับนโยบาย: มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย แต่ขาดอำนาจในการสั่งการเชิงปฏิบัติการแบบ Real-time

  • ระดับปฏิบัติการ: แม้กฎหมายจะกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น "ผู้บัญชาการ" ในพื้นที่ (Single Command) แต่ในความเป็นจริง ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่มีอำนาจบังคับบัญชาโดยตรงต่อหน่วยงานส่วนกลางที่มีทรัพยากรสำคัญ เช่น กรมชลประทาน (เครื่องสูบน้ำ), กรมทางหลวง (เครื่องจักรหนัก), หรือกองทัพ (กำลังพลและยานพาหนะ) 5 การสั่งการจึงต้องอาศัย "การประสานงาน" (Coordination) หรือ "การขอความร่วมมือ" มากกว่า "การสั่งการ" (Commanding) ซึ่งในสถานการณ์วิกฤตที่ต้องการความรวดเร็ว กระบวนการนี้มักล้มเหลว

2.2 ปรากฏการณ์ "ไซโล" และความแตกแยกของงบประมาณ (Budget Fragmentation)

หนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุดคือการกระจัดกระจายของงบประมาณและภารกิจ ข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงระบุว่า งบประมาณด้านการบริหารจัดการน้ำของไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี โดยเป็นงบบูรณาการน้ำประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และงบเยียวยาภัยพิบัติอีก 4-5 หมื่นล้านบาท 7 แม้เม็ดเงินจะดูมหาศาล แต่กลับถูกจัดสรรในลักษณะ "เบี้ยหัวแตก" (Fragmentation) กระจายไปตามหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 20-30 หน่วยงาน โดยมักถูกซอยย่อยเป็นโครงการขนาดเล็กเพื่อตอบสนองฐานเสียงทางการเมืองในพื้นที่ (Pork-barrel politics) แทนที่จะถูกนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สามารถแก้ไขปัญหาระยะยาวได้ 7

สภาวะนี้สร้างปัญหาใน 3 มิติหลัก:

  1. ขาดความเป็นเอกภาพทางยุทธศาสตร์: หน่วยงานต้นน้ำ (เช่น กรมอุทยานฯ) กลางน้ำ (กรมชลประทาน) และปลายน้ำ (ท้องถิ่น/ปภ.) ต่างคนต่างทำแผนของตนเอง ขาดการเชื่อมโยงระบบระบายน้ำและการกักเก็บน้ำอย่างเป็นระบบ 7

  2. ความซ้ำซ้อนของการใช้งบประมาณ: มีการตั้งงบประมาณซ้ำซ้อนในภารกิจเดียวกัน หรือในบางกรณีเกิดช่องว่างที่ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบ (Institutional Void)

  3. การขาดงบประมาณเพื่อการป้องกัน (Pre-disaster Investment): งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการ "เยียวยา" และ "ซ่อมแซม" หลังเกิดเหตุ (Post-disaster Recovery) ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและมีต้นทุนสูงกว่าการลงทุนเพื่อการป้องกันหลายเท่าตัว 10

2.3 คอขวดในกระบวนการเยียวยา: กรณีศึกษาเงินช่วยเหลือ 9,000 บาท

ความล่าช้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยอุทกภัยภาคใต้ เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพของระเบียบราชการอย่างชัดเจน แม้คณะรัฐมนตรีจะมีมติอนุมัติวงเงินช่วยเหลือเหมาจ่าย 9,000 บาทต่อครัวเรือน แต่กระบวนการเบิกจ่ายกลับติดขัดด้วยระเบียบและขั้นตอนการพิสูจน์สิทธิที่ซับซ้อน 11

สาเหตุของความล่าช้าเชิงโครงสร้าง:

  • ระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2562: แม้จะมีเจตนาเพื่อป้องกันการทุจริต แต่ระเบียบนี้กำหนดขั้นตอนการตรวจสอบที่เข้มงวดและมีลักษณะรวมศูนย์ 13 ผู้ประสบภัยต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้าน การตรวจสอบจากคณะกรรมการระดับอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และระดับจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาและการประชุมหลายรอบ 15

  • วัฒนธรรมความกลัวผิด (Risk Aversion): เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการและผู้บริหารท้องถิ่นมักมีความกังวลต่อการถูกตรวจสอบย้อนหลังโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำให้ไม่กล้าใช้ดุลยพินิจในการช่วยเหลือในกรณีที่เอกสารไม่ครบถ้วน หรือในกรณีที่มีความคลุมเครือของระเบียบ 5 ส่งผลให้กระบวนการช่วยเหลือล่าช้ากว่าความเดือดร้อนของประชาชน

  • ระบบฐานข้อมูลที่ไม่เชื่อมโยง: การขาดฐานข้อมูลกลาง (Single Database) ที่เชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ข้อมูลเกษตรกร และข้อมูลพื้นที่ประสบภัย ทำให้ต้องเสียเวลาในการสำรวจและยืนยันข้อมูลใหม่ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ 12


ส่วนที่ 3: กรณีศึกษาอุทกภัยภาคใต้และบทบาทของนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ: ภาพสะท้อนของการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต

3.1 วิกฤตการณ์อุทกภัยภาคใต้: บททดสอบที่เกินขีดจำกัด

เหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ในช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 นับเป็นภัยพิบัติที่มีความรุนแรงระดับประวัติศาสตร์ ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องเกินกว่าขีดความสามารถของระบบระบายน้ำที่มีอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจอย่างอำเภอหาดใหญ่ ที่ระบบคลองระบายน้ำ ร.1 และคลองอู่ตะเภา ไม่สามารถรองรับมวลน้ำมหาศาลได้ 7 ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบ้านเรือน แต่กระทบถึงพืชผลทางการเกษตรซึ่งเป็นรายได้หลักของประชาชนในพื้นที่

3.2 แนวคิดและการปฏิบัติงานของนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ: การแก้ปัญหาข้ามสายงาน

ในบริบทของความโกลาหลและความล่าช้าของระบบราชการปกติ นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้ามามีบทบาทนำในการขับเคลื่อนการช่วยเหลือและการจัดการปัญหาในพื้นที่ การวิเคราะห์บทบาทของท่านสะท้อนให้เห็นถึงประเด็นสำคัญหลายประการ:

  1. การก้าวข้ามขอบเขตอำนาจ (Boundary Spanning): แม้จะดำรงตำแหน่งในกระทรวงเกษตรฯ แต่นายอามินทร์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการภาพรวมของภัยพิบัติ ซึ่งรวมถึงการประสานงานกับกระทรวงอื่น ๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อระดมทรัพยากรและความช่วยเหลือลงสู่พื้นที่ 17 สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ในภาวะวิกฤต โครงสร้างแบบแบ่งแยกกระทรวง (Departmentalism) ไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาได้ทันท่วงที จึงต้องอาศัย "ตัวบุคคล" หรือ "บารมีทางการเมือง" ในการเชื่อมประสาน (Informal Coordination) แทนที่ระบบที่เป็นทางการ

  2. การมุ่งเน้นความมั่นคงทางเศรษฐกิจฐานราก: แนวคิดของนายอามินทร์ที่เชื่อมโยงการแก้ปัญหาอุทกภัยเข้ากับการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราและการสร้างรายได้ให้เกษตรกร 19 สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในบริบทท้องถิ่นที่ว่า "ภัยพิบัติไม่ได้จบลงเมื่อน้ำลด" แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะยังคงอยู่ยาวนาน การที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องเข้ามารับบทบาทนี้อย่างเข้มข้น ชี้ให้เห็นว่ากลไกการเยียวยาปกติของ ปภ. อาจไม่ครอบคลุมถึงมิติทางเศรษฐกิจและการฟื้นฟูอาชีพ (Livelihood Recovery) อย่างเพียงพอ

  3. การเป็นตัวแทนของพื้นที่ (Local Representation): การที่รัฐมนตรีที่เป็นคนในพื้นที่ต้องลงมาบัญชาการด้วยตนเอง สะท้อนถึง "ความไม่ไว้วางใจ" ของประชาชนต่อระบบราชการส่วนกลาง และความจำเป็นที่ต้องมีผู้นำที่เข้าใจภูมิสังคมและสามารถสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความละเอียดอ่อน

3.3 นัยยะต่อการจัดตั้งกระทรวงใหม่

กรณีของนายอามินทร์ชี้ให้เห็นว่า การจัดการภัยพิบัติในปัจจุบันยังพึ่งพา "ภาวะผู้นำส่วนบุคคล" (Individual Leadership) มากกว่า "ระบบที่เข้มแข็ง" (Institutional Strength) หากขาดผู้นำที่มีความกระตือรือร้นและมีเครือข่ายทางการเมือง การช่วยเหลืออาจไม่ทั่วถึงและรวดเร็วเท่าที่ควร นี่คือเหตุผลสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งกระทรวงบรรเทาสาธารณภัย เพื่อสร้าง "ระบบมาตรฐาน" ที่สามารถปฏิบัติการได้โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้บริหาร


ส่วนที่ 4: การถอดบทเรียนและวิเคราะห์เปรียบเทียบโมเดลต่างประเทศ (Comparative Analysis)

การพิจารณาจัดตั้งหน่วยงานระดับกระทรวง จำเป็นต้องศึกษาต้นแบบจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการรวมศูนย์อำนาจการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งมีบริบทของพื้นที่กว้างใหญ่และความซับซ้อนของภัยพิบัติคล้ายคลึงกับความท้าทายในอนาคตของไทย

4.1 โมเดลสาธารณรัฐประชาชนจีน: กระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉิน (Ministry of Emergency Management - MEM)

บริบทการก่อตั้ง:

จีนเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่หลากหลายและรุนแรง ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล ในปี 2018 ภายใต้การปฏิรูปรัฐบาลครั้งใหญ่ จีนได้จัดตั้งกระทรวงการจัดการเหตุฉุกเฉิน (MEM) ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาการทำงานซ้ำซ้อนและการขาดเอกภาพ โดยการควบรวมหน่วยงานและภารกิจด้านการจัดการภัยพิบัติจาก 13 กระทรวง รวมถึงการโอนย้ายกองกำลังดับเพลิงและกู้ภัยจากกองทัพและตำรวจมาอยู่ภายใต้กระทรวงนี้โดยตรง 20

โครงสร้างและกลไกการทำงาน:

  • การรวมศูนย์อำนาจ (Centralization): MEM มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการวางแผน สั่งการ และบริหารจัดการทรัพยากรทั่วประเทศ มีสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจนจากส่วนกลางสู่ระดับมณฑลและท้องถิ่น 21

  • การบูรณาการแบบองค์รวม (Holistic Integration): ครอบคลุมภัยพิบัติทุกประเภท (All-hazard approach) ทั้งภัยธรรมชาติ อัคคีภัย และอุบัติภัยทางอุตสาหกรรม ยกเว้นโรคระบาดและความมั่นคงทางทหาร

  • การใช้เทคโนโลยีและ Big Data: MEM ลงทุนมหาศาลในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยอัจฉริยะ โดยใช้ดาวเทียม AI และ IoT ในการประเมินความเสี่ยงและสั่งการแบบ Real-time 10

จุดเด่นและบทเรียนสำหรับไทย:

ความสำเร็จของ MEM สะท้อนให้เห็นว่า การมี "เจ้าภาพหลัก" เพียงหน่วยงานเดียว ช่วยลดความสับสนในการสั่งการและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรได้อย่างมหาศาล สถิติหลังปี 2018 ชี้ให้เห็นว่าความสูญเสียจากภัยพิบัติของจีนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง 10 อย่างไรก็ตาม การรวมศูนย์อำนาจที่มากเกินไปอาจทำให้การตอบสนองต่อปัญหาเฉพาะถิ่นขาดความยืดหยุ่น หากไม่มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจในระดับปฏิบัติการที่เหมาะสม

4.2 โมเดลสหพันธรัฐรัสเซีย: กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน (EMERCOM)

บริบทการก่อตั้ง:

EMERCOM ถือกำเนิดขึ้นจากบทเรียนราคาแพงของโศกนาฏกรรมเชอร์โนบิล (Chernobyl) และแผ่นดินไหวในอาร์เมเนีย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแบบเดิม รัสเซียจึงยกระดับหน่วยงานกู้ภัยขึ้นเป็นกระทรวงที่มีสถานะกึ่งทหาร (Paramilitary) ในปี 1994 23

โครงสร้างและกลไกการทำงาน:

  • โครงสร้างแบบกึ่งทหาร: EMERCOM มีกำลังพล ยานพาหนะ อากาศยาน และยุทโธปกรณ์เป็นของตนเอง มีขีดความสามารถในการเคลื่อนย้ายกำลังพลและอุปกรณ์หนักเข้าสู่พื้นที่ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วเทียบเท่ากองทัพ 24

  • การดำเนินงานเชิงรุก: เน้นการปฏิบัติการกู้ภัยและบรรเทาทุกข์ทั้งในและต่างประเทศ มีบทบาทโดดเด่นในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระดับโลก ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นให้กับองค์กร 24

  • อำนาจทางการเมือง: รัฐมนตรีว่าการ EMERCOM มักเป็นบุคคลที่มีบารมีทางการเมืองสูง (เช่น Sergei Shoigu ผู้ก่อตั้ง) ทำให้สามารถผลักดันงบประมาณและนโยบายได้อย่างราบรื่น 24

จุดเด่นและบทเรียนสำหรับไทย:

EMERCOM แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมี "กำลังพลอาชีพ" และ "เครื่องมือที่พร้อมสรรพ" การที่หน่วยงานจัดการภัยพิบัติมีขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเอง (Self-sufficient) โดยไม่ต้องรอการสนับสนุนจากกองทัพในทุกเรื่อง ช่วยให้การปฏิบัติการมีความคล่องตัวและรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การรักษากองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้ใช้งบประมาณสูงมาก และอาจมีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของกองทัพในบางมิติ 24

4.3 ตารางเปรียบเทียบเชิงโครงสร้าง: ไทย จีน และรัสเซีย

ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบโครงสร้างและกลไกการจัดการภัยพิบัติระหว่างประเทศไทย (ปัจจุบัน) จีน และรัสเซีย

ปัจจัยเปรียบเทียบประเทศไทย (ปัจจุบัน: พ.ร.บ. ปภ. 2550)จีน (MEM: หลังปฏิรูป 2018)รัสเซีย (EMERCOM)
รูปแบบองค์กรกรม (ระดับ Department) สังกัดกระทรวงมหาดไทยกระทรวง (Ministry) รวมศูนย์ 13 หน่วยงานกระทรวง (Ministry) กึ่งทหาร (Paramilitary)
โครงสร้างการสั่งการกระจายอำนาจตามลำดับชั้น (ท้องถิ่น->จังหวัด->ชาติ) แต่ขาดเอกภาพในทางปฏิบัติรวมศูนย์อำนาจเบ็ดเสร็จจากส่วนกลาง (Top-down Command)รวมศูนย์อำนาจที่มอสโก สั่งการผ่านศูนย์ภูมิภาค
การบูรณาการหน่วยงานใช้รูปแบบ "คณะกรรมการ" ประสานงานข้ามกระทรวง (Inter-agency Committee)ควบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาอยู่ภายใต้กระทรวงเดียว (Organizational Merger)มีกองกำลังและทรัพยากรเป็นของตนเองแบบเบ็ดเสร็จ
กำลังพลหลักข้าราชการพลเรือน และอาสาสมัคร (อปพร.)กองกำลังกู้ภัยอาชีพ (Professional Rescue Teams) ที่โอนย้ายจากทหาร/ตำรวจเจ้าหน้าที่กึ่งทหารที่มีระเบียบวินัยและขีดความสามารถสูง
งบประมาณกระจัดกระจายตามกระทรวงต่าง ๆ (Budget Fragmentation) เบิกจ่ายล่าช้ารวมศูนย์ที่กระทรวง บริหารจัดการและจัดสรรเองรวมศูนย์ มีงบประมาณสูงสำหรับการบำรุงรักษายุทโธปกรณ์
จุดแข็งมีเครือข่ายอาสาสมัครและท้องถิ่นที่ครอบคลุมพื้นที่ประสิทธิภาพการสั่งการสูง ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานความพร้อมของเครื่องมือหนักและความรวดเร็วในการเคลื่อนย้าย
จุดอ่อนขาดเอกภาพในการบังคับบัญชา ติดขัดระเบียบราชการ เครื่องมือไม่เพียงพออาจขาดความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อบริบทเฉพาะของท้องถิ่นใช้งบประมาณมหาศาล การตัดสินใจอาจล่าช้าหากรอส่วนกลาง

ส่วนที่ 5: ข้อดีและข้อเสียของการจัดตั้ง "กระทรวงบรรเทาสาธารณภัย" ในบริบทประเทศไทย

การยกระดับหน่วยงานจัดการภัยพิบัติขึ้นเป็นกระทรวง เป็นข้อเสนอที่มีนัยสำคัญต่อการปฏิรูประบบราชการไทย การวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียอย่างรอบด้านเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการเพิ่มหน่วยงานใหม่

5.1 ข้อดี (Advantages)

  1. เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command): การมีรัฐมนตรีว่าการที่มีอำนาจเต็มตามกฎหมาย จะช่วยแก้ปัญหา "สุญญากาศทางอำนาจ" ในภาวะวิกฤต สามารถสั่งการข้ามหน่วยงานได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประสานงานที่ซับซ้อน ลดปัญหาการเกี่ยงความรับผิดชอบ และทำให้การตัดสินใจ (Decision Making) รวดเร็วขึ้น 26

  2. การบูรณาการงบประมาณและทรัพยากร: สามารถรวบรวมงบประมาณที่กระจัดกระจายอยู่ในหลายกระทรวง (กว่า 1 แสนล้านบาท) มารวมไว้ที่เดียว ทำให้การจัดสรรงบประมาณเป็นไปตามยุทธศาสตร์ (Strategic Allocation) มากกว่าการตอบสนองทางการเมือง สามารถลงทุนในโครงการป้องกันขนาดใหญ่และจัดหาเครื่องมือที่ทันสมัยได้ 7

  3. ความเป็นมืออาชีพและความเชี่ยวชาญ (Professionalism): การมีกระทรวงเฉพาะทางจะช่วยสร้างเส้นทางความก้าวหน้า (Career Path) ให้กับบุคลากรด้านการจัดการภัยพิบัติ ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมในการจัดการภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะพึ่งพาข้าราชการสายปกครองที่มีการหมุนเวียนบ่อยครั้ง

  4. ยกระดับความสำคัญของวาระภัยพิบัติ: การมีกระทรวงสะท้อนถึงการให้ความสำคัญสูงสุด (National Priority) ต่อปัญหาภัยพิบัติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศ การดึงดูดความช่วยเหลือ และการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน

5.2 ข้อเสียและความเสี่ยง (Disadvantages & Risks)

  1. การขยายขนาดของระบบราชการ (Bureaucratic Bloat): นักวิชาการและ TDRI เตือนว่าระบบราชการไทยมีขนาดใหญ่เกินความจำเป็นอยู่แล้ว การตั้งกระทรวงใหม่อาจนำไปสู่การเพิ่มจำนวนข้าราชการและงบประมาณประจำ (Recurrent Expenditure) โดยไม่ได้รับประกันประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น หากไม่มีการรื้อถอนโครงสร้างเดิมที่ซ้ำซ้อน 28

  2. ปัญหาช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transitional Challenges): การโอนย้ายหน่วยงานและบุคลากรจากกระทรวงเดิม (เช่น กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา) จะต้องเผชิญกับแรงต้านจากวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกัน และการหวงแหนอำนาจ (Turf War) ซึ่งอาจทำให้เกิดความขลุกขลักหรือสุญญากาศในการทำงานในช่วงแรกของการจัดตั้ง 30

  3. ความเสี่ยงต่อการรวมศูนย์เกินไป (Over-centralization): ในบริบทที่ภัยพิบัติมีความเฉพาะถิ่นสูง การรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางอาจสวนทางกับหลักการกระจายอำนาจ (Decentralization) ทำให้การตอบสนองล่าช้าและไม่ตรงจุด หากไม่มีการออกแบบกลไกให้ท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจอย่างเหมาะสม 31

  4. ความเสี่ยงทางการเมือง: กระทรวงใหม่ที่มีงบประมาณมหาศาลอาจกลายเป็นเป้าหมายของการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง (Political Rent-seeking) หากขาดกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็ง อาจเกิดการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการขนาดใหญ่และการช่วยเหลือเยียวยา


ส่วนที่ 6: ข้อเสนอเชิงนโยบายและรูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสม (Policy Recommendations)

จากการวิเคราะห์ปัญหาและเปรียบเทียบโมเดลต่างประเทศ รายงานฉบับนี้ขอเสนอทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ 3 รูปแบบ สำหรับการปฏิรูประบบการจัดการภัยพิบัติของไทย โดยเรียงลำดับจากความเป็นไปได้และประสิทธิภาพสูงสุด

ทางเลือกที่ 1: การจัดตั้ง "ทบวงการจัดการภัยพิบัติและความมั่นคงฉุกเฉิน" (Agency Upgrade)

รูปแบบ: ยกระดับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และควบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ให้เป็น "ทบวง" สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

  • ข้อดี: มีสายการบังคับบัญชาที่สั้นลง (Direct Line to PM) สามารถบูรณาการสั่งการข้ามกระทรวงได้โดยอาศัยอำนาจนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องตั้งกระทรวงใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณบริหารจัดการมากนัก

  • กลไกเสริม: ต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อให้อำนาจ "หัวหน้าทบวง" สามารถสั่งการหน่วยงานอื่นในภาวะวิกฤตได้เสมือนนายกรัฐมนตรีสั่งการเอง

ทางเลือกที่ 2: การปฏิรูป "ระบบปฏิบัติการ" ผ่าน "ศูนย์บัญชาการแห่งชาติ" (System Overhaul)

รูปแบบ: คงโครงสร้างกระทรวงเดิมไว้ แต่ปฏิรูประบบการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีและกฎหมายพิเศษ

  • National Command Center: สร้างศูนย์บัญชาการที่มีระบบ Single Command Platform เชื่อมโยงข้อมูล Big Data จากทุกหน่วยงาน (ตามข้อเสนอ TDRI) ใช้ AI ในการพยากรณ์และเตือนภัย 32

  • กฎหมายพิเศษ: ตราพระราชกำหนดหรือแก้ไข พ.ร.บ. ปภ. เพื่อให้อำนาจผู้อำนวยการศูนย์ฯ (อาจเป็นนายกฯ หรือรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมาย) มีอำนาจเด็ดขาดในการสั่งการและอนุมัติงบประมาณข้ามหน่วยงาน โดยยกเว้นระเบียบปกติบางประการในภาวะวิกฤต

  • กองทุนภัยพิบัติ: จัดตั้งกองทุนที่มีสถานะเป็นนิติบุคคล แยกออกจากระบบงบประมาณปกติ เพื่อความคล่องตัวในการเบิกจ่ายและเยียวยา 33

ทางเลือกที่ 3: การจัดตั้ง "กระทรวงความปลอดภัยสาธารณะและบรรเทาสาธารณภัย" (Full Ministry Establishment)

รูปแบบ: จัดตั้งกระทรวงใหม่เต็มรูปแบบ ตามโมเดล MEM ของจีน หรือ EMERCOM ของรัสเซีย

  • องค์ประกอบ: ควบรวม ปภ., กรมอุตุนิยมวิทยา, ส่วนงานบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน, และหน่วยงานกู้ภัย/ดับเพลิง เข้าด้วยกัน

  • ภารกิจ: รับผิดชอบครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน เตือนภัย เผชิญเหตุ และฟื้นฟูเยียวยา มีงบประมาณและกำลังพลเป็นของตนเอง

  • ความเหมาะสม: เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในระยะยาวเพื่อแก้ปัญหา Fragmentation แต่มีความยากลำบากทางการเมืองและการบริหารจัดการสูงสุด ต้องใช้เจตจำนงทางการเมือง (Political Will) ที่แน่วแน่

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (Immediate Actions)

  1. การปฏิรูประเบียบการเงินการคลัง: เร่งแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการฯ ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยใช้หลักการ "ไว้วางใจก่อน ตรวจสอบทีหลัง" (Post-audit) ในพื้นที่วิกฤต เพื่อให้เงินเยียวยาถึงมือประชาชนทันที โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยยืนยันตัวตนและพื้นที่ประสบภัย 12

  2. การขยายผลแนวคิดนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ: จัดตั้ง "คณะทำงานพิเศษบูรณาการความช่วยเหลือ" ในระดับพื้นที่ (Area-based Task Force) ที่รวมตัวแทนจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง (เกษตร, พม., ศึกษา, ท่องเที่ยว) โดยให้อำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จในพื้นที่ ไม่ต้องส่งเรื่องกลับส่วนกลาง เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในระหว่างที่รอกระบวนการปฏิรูปโครงสร้างใหญ่


บทสรุป

วิกฤตอุทกภัยภาคใต้และสภาวะโลกเดือดได้ส่งสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ด้วยโครงสร้างระบบราชการแบบเดิมที่กระจัดกระจายและเชื่องช้าได้อีกต่อไป แนวคิดของนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ ในการบูรณาการความช่วยเหลือข้ามกระทรวงและการลงพื้นที่บัญชาการด้วยตนเอง เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบปกติ

การจัดตั้ง "กระทรวงบรรเทาสาธารณภัย" หรือการปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น "ความจำเป็นเร่งด่วน" ทางยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างเอกภาพในการบังคับบัญชา บูรณาการงบประมาณ และยกระดับขีดความสามารถในการจัดการภัยพิบัติให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล เช่น โมเดลของจีนและรัสเซีย อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปนี้จะสัมฤทธิ์ผลได้ ต้องมาพร้อมกับการรื้อถอนระเบียบที่ล้าสมัย การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการอย่างจริงจัง เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยจากผู้ตั้งรับภัยพิบัติ ให้กลายเป็นสังคมที่มีภูมิคุ้มกันและความยืดหยุ่น (Resilient Society) อย่างยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ส่องนโยบายปัญญาประดิษฐ์ พรรคการเมืองไทย ชูสู้ศึกเลือกตั้งไทย 2569

รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์: การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ต่อนโยบายปัญญาประดิษฐ์และเศรษฐกิจดิจิทัลของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2569 ...